ลิขิตรักลำน้ำไนล์ Re-Up
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ ซึ้งกินใจ Tags : ลิขิตรักลำน้ำไนล์, อียิปต์, ฟาโรห์, ย้อนเวลา, มัลลิกา
ผู้แต่ง : mallika
My.iD :
https://my.dek-d.com/mallika/writer/
ตอนที่ 44 : บทที่ 13 ตอนที่ 4
บทที่ 13
แผนพิชิตนูเบีย
ตอนที่ 4
ภายในท้องพระโรงทองคำแห่งพระราชวังพาร์ทาร์ เสียงเพลงแห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะดังอื้ออึงไปทั่วห้องโถงใหญ่ที่ฉาบทาด้วยทองคำบริสุทธิ์และอัญมณีล้ำค่า บนพระราชอาสน์ทองคำเจ้าชายนูห์ทารัชทายาทแห่งนูเบียประทับอยู่ท่ามกลางนางห้ามสะคราญโฉม
เสวยน้ำจัณฑ์เคล้านารีด้วยความสำราญพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ถัดลงมาเป็นแถวของเหล่าข้าราชบริพารและขุนทหารคู่พระทัยที่ทรงเชิญมาร่วมฉลองความสำเร็จ ซึ่งแต่ละนายล้วนดื่มกินด้วยความสำราญไม่ต่างจากเจ้าเหนือหัวของตน
“ยอดๆ เติมเหล้าให้ข้าอีก ชัยชนะครั้งนี้ต้องได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ต่อไปนี้เราชาวนูเบียจะไม่เป็นเมืองขึ้นของอียิปต์อีกต่อไปแล้ว” เจ้าชายหนุ่มตรัสอย่างเบิกบาน น้ำจัณฑ์ล้นปรี่ที่รินใส่ถ้วยทองคำถูกเสวยหมดลงถ้วยแล้วถ้วยเล่า
“ฝ่าบาททรงเก่งกาจเยี่ยงนี้ ฟาโรห์เลือดผสมมีหรือจะหาญต่อกร” พระสนมคนงามออดอ้อนเสียงหวาน ก่อนจะได้รับจุมพิตเป็นรางวัลตอบแทนความช่างเจรจา
“ชิ เจ้านั่นมันขี้ขลาดจะตายไป การศึกแต่ละครั้งไม่เคยออกรบด้วยตัวเองเลย ยิ่งศึกครั้งนี้ข้าได้ข่าวมาว่ามันให้พระสนมนางหนึ่งเป็นผู้บัญชาการรบ” รับสั่งกลั้วหัวเราะ ก่อนจะยกถ้วยน้ำจัณฑ์ขึ้นเสวยจนหมดถ้วย
“พระสนมนางหนึ่ง เป็นไปได้หรือเพคะเจ้าพี่” เจ้าหญิงรานีน่าเอ่ยถามมาจากพระแท่นทองทางด้านซ้ายมือของพระเชษฐา
“เอาไว้ข้าขยี้กองทัพอียิปต์แหลกลาญแล้วจะจับนางมาให้เจ้าดูเล่นนะน้องรัก” เจ้าชายหนุ่มตรัสด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“แต่ข้าว่าถ้านางสามารถบัญชาการรบได้ นางคงมีความสามารถไม่ใช่น้อย” เจ้าหญิงแห่งนูเบียตรัสแย้งพระเชษฐา ดวงเนตรดำขลับหรี่ลงอย่างครุ่นคิด ภาพฟาโรห์แห่งอียิปต์ผุดขึ้นในพระทัย พระนางไม่อยากเชื่อเลยว่าฟาโรห์รูปงามพระองค์นั้นจะขี้ขลาดหรือโง่เขลาอย่างที่พระเชษฐากล่าวอ้าง
“ผู้หญิงจะมีความสามารถอะไร ยิ่งฟาโรห์ที่ยอมให้ผู้หญิงบัญชาการกองทัพด้วยแล้ว มันจะต้องเป็นฟาโรห์ที่ไร้น้ำยาที่สุด” ตรัสเย้ยหยันแล้วพระสรวลดังก้อง ก่อนที่บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายจะหัวเราะรับอย่างรู้พระทัย
“อย่างนั้นหรือเจ้าชายนูห์ทา”
พระสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นพร้อมๆ กับประตูท้องพระโรงถูกผลักเปิดออก ตรงหน้าประตูพระวรกายสูงโปร่งของอริราชสูงศักดิ์จากอียิปต์ประทับยืนด้วยท่วงท่าสง่างาม ฟาโรห์หนุ่มแย้มพระสรวลเยาะที่มุมพระโอษฐ์แล้วก้าวพระบาทเข้ามายืนกลางห้องโถง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคนในที่นั้น
“ฟาโรห์เมนโนฟิส!”
“เจ้าเข้ามาได้ยังไง” เจ้าชายนูห์ทาคำรามลั่นอย่างเดือดดาล ทรงเสียพระพักตร์เป็นที่สุด ป้อมปราการแห่งเมืองพาร์ทาร์แข็งแกร่งยิ่งนัก เหตุใดฟาโรห์แห่งอียิปต์จึงเข้ามาถึงท้องพระโรงได้โดยไม่ถูกพบเห็น
“เดินเข้ามา” รับสั่งด้วยท่าทางยียวน ก่อนจะส่ายพระพักตร์อย่างผิดหวัง “นี่น่ะหรือเจ้าชายนักรบแห่งนูเบีย ศัตรูมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่รู้ตัว น่าขำยิ่งนัก”
“เจ้าเข้ามาได้ แต่อย่าหวังว่าจะออกไปได้ ทหารฆ่ามัน!” เจ้าชายหนุ่มทรงตะโกนก้อง สิ้นรับสั่งบรรดาทหารต่างกรูเข้ามาล้อมอริราชสูงศักดิ์ด้วยท่าทางมุ่งร้าย
ฟาโรห์เมนโนฟิสแย้มพระสรวล ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดในพระเนตรสีน้ำเงินสวย ทรงหันไปสบพระเนตรเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะรับสั่งด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“หากต้องการหัวข้าไยมิเข้ามาเอาเอง เหตุใดต้องยืมมือบ่าวไพร่ด้วยเล่า หรือว่า...เจ้ากลัวข้านูห์ทา...”
“ได้ ถ้าอยากตายด้วยมือข้านัก ข้าจะสนองให้ ทหารเอาดาบมา ข้าจะตัดหัวฟาโรห์แห่งอียิปต์เอาเลือดสองสีของมันมาล้างเมือง” เจ้าชายแห่งนูเบียทรงคว้าดาบจากมือราชองครักษ์ ก่อนจะกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้ด้วยแรงโทสะ
“คิดว่าทำได้ก็เข้ามาเลยนูห์ทา” ฟาโรห์หนุ่มยกพระแสงดาบคู่พระทัยขึ้นรับ ทรงแย้มพระสรวลยั่วเย้าแล้วปัดดาบของอีกฝ่ายทิ้งอย่างง่ายดาย
เจ้าชายนูห์ทาเซถอยหลังไม่เป็นกระบวน ทรงขบพระทนต์แน่นด้วยความเดือดดาล เพียงดาบแรกก็ทรงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียแล้ว ยิ่งคิดยิ่งเสียหน้า ยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก ทรงคำรามลั่นแล้วโถมเข้าใส่อีกครั้ง
ดาบสองเล่มปะทะกันเกิดเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงกว้าง ฟาโรห์หนุ่มแม้จะเป็นฝ่ายตั้งรับแต่พระองค์ไม่ลนลาน ดวงเนตรสีน้ำเงินนิ่งสงบ ทรงยกดาบตั้งรับและปัดป่ายดาบของเจ้าชายแห่งนูเบียอย่างคล่องแคล่ว สองราชนิกุลหนุ่มกระชับดาบในพระหัตถ์มั่น สืบพระบาทดูเชิงกันเป็นวงกลม
เจ้าชายนูห์ทาหอบหายใจหนักๆ ด้วยเสียแรงไปกับการฟาดฟันในช่วงแรกของการประดาบค่อนข้างมาก ในขณะที่ฟาโรห์หนุ่มแม้จะเป็นฝ่ายตั้งรับกลับไม่มีท่าทางเหนื่อยหอบให้เห็น แถมยังทรงแย้มพระสรวลเป็นเชิงเยาะหยันอยู่ตลอดเวลา
เจ้าชายแห่งนูเบียขบพระทนต์แน่น ทั้งที่ทรงโถมเข้าใส่เต็มกำลังแล้ว แต่กลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย หนำซ้ำยังถูกคู่ต่อสู้ยิ้มเยาะด้วยสายตาของผู้ใหญ่มองเด็กอีกต่างหาก เจ้าชายหนุ่มคำรามก้อง ก่อนจะโถมเข้าใส่คู่อริหนุ่มสุดพระกำลัง
เสียงประดาบดังก้องขึ้นอีกชุดหนึ่ง เจ้าชายนูห์ทายังคงใช้พละกำลังเข้าหักหาญ ทรงฟันซ้ายป่ายขวา ในขณะที่ฟาโรห์หนุ่มตั้งรับอย่างใจเย็น ทรงหลอกล่อให้คู่ต่อสู้ของพระองค์โถมออกแรงจนเหนื่อยหอบ ก่อนฉวยโอกาสโต้กลับ เมื่อฝ่ายที่โหมบุกจู่โจมพลาดพลั้ง
ฟาโรห์เมนโนฟิสตวัดดาบของอีกฝ่ายหลุดกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะกรีดพระแสงดาบคู่พระทัยเป็นวงแคบพุ่งเข้าจู่โจมรัชทายาทแห่งนูเบียอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
“อ้าก!...” เจ้าชายนูห์ทาทรงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด พระวรกายล่ำสันผงะหงายล้มลงกระแทกพื้น
ฟาโรห์เมนโนฟิสทรงลดพระแสงดาบลง เปิดทางให้เจ้าหญิงแห่งนูเบียเข้าไปหาพระเชษฐาของตน
“เจ้าพี่!”
เจ้าหญิงรานีน่าทรงกดบาดแผลของพระเชษฐา ก่อนจะหันไปมองอริราชจากอียิปต์ด้วยดวงตาวาววับ แม้พระนางจะพอพระทัยในรูปโฉมของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นพระเชษฐาถูกทำร้ายก็อดโกรธแค้นไม่ได้
ฟาโรห์หนุ่มแย้มพระสรวลด้วยความพอพระทัย เจ้าหญิงพระองค์นี้ทรงพระสิริโฉมมิใช่น้อย ทรงมีพระวรกายอวบอัดด้วยวัยสาว ดวงพักตร์ค่อนข้างกลมแต่ก็ดูน่ามองเมื่อแต่งแต้มด้วยพระเนตรสีน้ำตาลใส พระนาสิกโด่งงุ้มน้อยๆ พระโอษฐ์อิ่มค่อนข้างหนา พระฉวีเป็นสีน้ำผึ้งนวลเนียนแปลกตา
เจ้าชายนูห์ทายันพระวรกายขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ทรงกดบาดแผลที่พระอุระแน่น พระโอษฐ์หนาสั่นระริกด้วยความเดือดดาล ทรงชี้พระหัตถ์ไปยังฟาโรห์หนุ่มพลางตะโกนก้อง
“ทหาร! ตัดหัวฟาโรห์อียิปต์มาให้ข้า ใครตัดหัวมันได้ข้าจะให้ทองคำพันแท่ง”
ฟาโรห์เมนโนฟิสทรงขยับถอยหลัง ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดในพระเนตรคมสวย ทรงแย้มพระสรวล ก่อนจะผิวพระโอษฐ์เสียงดัง สิ้นเสียงแหลมสูง ซารัส ลูอา และทหารหน่วยพิฆาตฟ้าพากันวิ่งเข้ามาในท้องพระโรง
แม้จะมีกำลังพลน้อยกว่า แต่ฝีมือในการรบฉกาจนัก เพียงเวลาไม่นานพวกเขาก็สามารถยึดท้องพระโรงไว้ได้พร้อมกับที่นายพลโบเฮ็มพาไพร่พลส่วนใหญ่เข้ายึดป้อมปราการทั้งหมดไว้ได้เช่นกัน โดยที่ฝ่ายอียิปต์ไม่เสียไพร่พลแม้แต่ชีวิตเดียว
“ว่าไงเจ้าชายนูห์ทา จะฆ่าตัวตายเองหรือว่าจะให้ข้าสงเคราะห์ให้” ฟาโรห์หนุ่มตรัสถามเชลยของพระองค์ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“เจ้าไม่มีวันชนะข้า ฟาโรห์เลือดผสมอย่างเจ้าไม่มีวันชนะข้า” เจ้าชายนูห์ทาตรัสอย่างเคียดแค้น ก่อนจะทรงหยิบดาบบนพื้นมาปาดพระศอของพระองค์เองด้วยน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยว
“เจ้าพี่!” เจ้าหญิงรานีน่าทรงกรีดร้องพลางโถมเข้ากอดพระศพพระเชษฐา
ฟาโรห์เมนโนฟิสถอนพระปัสสาสะ ก่อนจะค้อมพระเศียรให้อริราชของพระองค์ด้วยความนับถือ ไม่ทรงมีพระประสงค์จะสังหารใคร แต่เพื่อไม่ให้ประเทศราชต่างๆ เอาเป็นเยี่ยงอย่างจึงจำต้องตัดพระทัย เจ้าชายนูห์ทาก่อการกบฏโทษที่ทรงได้รับจึงมีเพียงสถานเดียวคือ ‘ตาย’ เท่านั้น
“ลูอา จัดพระราชพิธีศพให้พระองค์อย่างสมพระเกียรติด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยพิฆาตฟ้าค้อมศีรษะรับพระบัญชา ก่อนจะเข้าไปอัญเชิญพระศพ แต่เจ้าหญิงรานีน่าทรงไม่ยอม ทรงผลักไสพลางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
“อย่ามาถูกตัวพี่ข้า ไปให้พ้น!”
“ซารัส เชิญเสด็จเจ้าหญิงรานีน่า” ฟาโรห์หนุ่มหันไปรับสั่งกับราชองครักษ์คนสนิท ซารัสค้อมศีรษะแล้วเข้าไปดึงเจ้าหญิงรานีน่าออกมา เปิดทางให้ลูอาและทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปอัญเชิญพระศพเจ้าชายหนุ่ม
“ปล่อยข้าสิ! ปล่อยนะ!” เจ้าหญิงน้อยทรงร่ำร้องด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะหันไปทอดพระเนตรพระมารดาและพระอนุชาที่ถูกนำเข้ามาในท้องพระโรง
“รานีน่าอย่าสู้เขาลูก เราแพ้แล้ว” พระราชินีแห่งนูเบียตรัสห้ามพระธิดาด้วยน้ำพระเนตรนองพระพักตร์
“ท่านแม่” เจ้าหญิงแห่งนูเบียโผเข้ากอดพระมารดาและพระอนุชา ทั้งสามพระองค์ทรงกอดกันกรรแสงด้วยความเสียพระทัย
ฟาโรห์แห่งอียิปต์กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ ท้องพระโรงที่เคยงดงาม แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยซากศพและคราบเลือดแดงฉาน ทรงไม่โปรดการรบทัพจับศึก เพราะตระหนักว่าสงครามไม่เคยให้อะไรใคร ทั้งผู้แพ้และผู้ชนะต่างสูญเสียไม่ต่างกัน แต่ครั้งนี้ความสูญเสียที่ได้รับน้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งคงต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับพระสนมอัปลักษณ์นางนั้น
“เมนโนฟิส!”
พอนึกถึงเจ้าตัวก็โผล่มาทันที ดูท่านางจะอายุยืนน่าดู ฟาโรห์หนุ่มหันไปทอดพระเนตรร่างเล็กบางที่วิ่งตรงมาหา ก่อนจะทรงแย้มพระสรวลด้วยความเอ็นดู
“คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เมษากวาดตามองทั่วพระวรกายด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าทรงปลอดภัย ความห่วงใยก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ “ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ รู้ไหมว่ากองทัพวุ่นวายขนาดไหนที่จู่ๆ คุณก็หายไป รู้ไหมว่าตัวเองสำคัญขนาดไหน หากคุณเป็นอะไรไปอียิปต์จะเป็นยังไง คิดบ้างหรือเปล่า”
‘คนถูกดุ’ ทรงพระสรวลเบาๆ ก่อนจะรับสั่ง “เจ้าเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ”
“ห่วง...เปล่า ไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย ใครจะเป็นห่วงคนหัวดื้ออย่างคุณกัน” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง ใบหน้านวลใต้หน้ากากทองร้อนผ่าว
‘คนหัวดื้อ’ เลิกพระขนงขึ้นสูง ก่อนจะรับสั่งด้วยท่าทางยียวน “ข้าก็ไม่ต้องการให้หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้ามาเป็นห่วงเช่นกัน”
“คุณ!” ‘หญิงอัปลักษณ์’ ตวาดแหว ดวงตากลมโตวาววับด้วยความเดือดดาล แต่คนช่างยั่วกลับทรงพระสรวลดังก้องอย่างชอบอกชอบใจ
“จะทรงจัดการกับเชลยพวกนี้ยังไงดีพ่ะย่ะค่ะ” นายพลโบเฮ็มเดินตรงเข้ามากราบทูลถาม
ฟาโรห์เมนโนฟิสทอดพระเนตรไปยังกลุ่มเชลยศึก “เอาไปขังให้หมด พรุ่งนี้ข้าจะตัดสินโทษพวกมันเอง แต่ตอนนี้ข้าขอรับรางวัลของผู้ชนะไปก่อน” ฟาโรห์หนุ่มแย้มพระสรวลแล้วเสด็จไปอุ้มเจ้าหญิงรานีน่าขึ้นจากพื้น ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนทั้งท้องพระโรง โดยเฉพาะเมษาที่จ้องมองจนตาแทบจะหลุดจากเบ้า
เจ้าหญิงแห่งนูเบียกัดพระโอษฐ์ไม่ให้เสียงกรีดร้องด้วยความตกพระทัยเล็ดลอดออกจากลำพระศอ เมื่อตกเป็นเชลยก็มิอาจปฏิเสธความปรารถนาของผู้ชนะได้ ทางรอดเดียวที่มีคือต้องก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างสง่างาม
“ทำบ้าอะไรของคุณหา” เมษาเอ่ยถามเสียงเขียว
“ทำอะไร” ฟาโรห์หนุ่มเลิกพระขนงขึ้นสูง ก่อนจะรับสั่งด้วยน้ำเสียงยียวน “อยากรู้เจ้าก็ตามไปดูสิ” เมื่อรับสั่งจบก็ก้าวพระบาทออกไปจากท้องพระโรงทันที
เมษาอ้าปากค้าง ดวงหน้าใต้หน้ากากทองแดงก่ำ ก่อนจะกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธ
“คนบ้าๆ”
“พระสนมกลับไปค่ายก่อนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะดูแลทางนี้เอง” ลูอาเอ่ยขึ้น
เมษาข่มอารมณ์ของตนให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ขอบใจนะลูอา พวกคุณบาดเจ็บกันหรือเปล่า”
“เล็กน้อยพระเจ้าค่ะ เพราะพระสนมแท้ๆ ศึกนูเบียคราวนี้จึงมิเสียไพร่พลแม้แต่คนเดียว กระหม่อมขอขอบพระทัยแทนทหารทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่มีใครบาดเจ็บก็ดีแล้ว”
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบท้องพระโรงงดงามที่ตอนนี้แดงฉานไปด้วยเลือด ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็เดินไปตามทางของมัน จารึกที่พบในพีระมิดแห่งฟาบาถูกต้อง อียิปต์มีชัยเหนือนูเบียภายในเจ็ดวันจริงๆ แล้วราชินีหน้ากากทองเล่าพระนางอยู่ที่ไหน เหตุใดไม่ปรากฏกายออกมาเสียที เธอจะได้มอบหน้ากากทองให้แล้วเดินทางกลับไปยังยุคสมัยของตน ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้...
***อ่าน ลิขิตรักลำน้ำไนล์ ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่าน ปาริมา ราชินีไอยคุปต์ ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่าน เพลิงเสน่หา มนตราทะเลทราย ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่าน บันทึกรักสุดผืนทราย ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ของมัลลิกา ได้ที่เมพ***
0 ความคิดเห็น