คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 01 :: เลิกก็เลิก
CHAPTER 01
เลิกก็เลิก
ขายาวหยุดยืนอยู่ทางเข้า ‘สถาบันวิทยาศาสตร์ชาติเจริญเหินฟ้า’ เงยหน้าขึ้นมองป้ายโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมีจุดเด่นคือค่าตอบแทนเป็นจำนวนเลขศูนย์หลายหลักล่อตาล่อใจอยู่ เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษายับ ๆ ยืนนิ่งตรงนั้นชั่วอึดใจ ก่อนจะสะบัดสองมือแล้วจัดเผ้าผมให้เนี๊ยบ
คิ้วหนาขมวดมุ่นพร้อมเพ่งตาคมไปยังประตูบานใหญ่ตรงหน้า เช่นเดียวกับผู้ชายหลากหลายวัยที่กำลังเบียดเสียดเข้าไปยื่นใบสมัคร
เออ ไอ้ซันก็เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในเหยื่อผู้ท้าชิงเงินรางวัลที่เขาคิดว่าไม่น่าจะได้เพราะไอ้โปรเจ็คท์เหลาเหย่นี่คงเละไม่เป็นท่าเพราะทดลองไม่สำเร็จ ผู้ชายจะท้องได้ยังไงวะถามจริง มันคงมีแค่นิยายเกย์ที่น้องสาวเขาเขียนในเวปบอร์ดเท่านั้นแหละ
จะหาว่าคิดแบบคนไม่ค่อยมีความรู้ก็ได้ แต่คำถามที่ตามมาคือผู้ชายจะคลอดทางรูไหนถ้าเกิดท้องสำเร็จจริง ๆ ซึ่งทางโครงการก็ช่วยตบกะโหลกให้ไอ้ซันได้รู้ว่าถ้าอุ้มท้องไปจนถึงเวลานั้นได้โดยที่เด็กไม่ตายไปก่อน การผ่าท้องแหวกเอาลูกออกมานั่นแหละคือคำตอบที่ถูกต้อง
โอ้พระสงฆ์... ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้วว่าผู้หญิงต้องท้อง ผู้ชายต้องเกณฑ์ทหาร ถ้าไอ้โครงการงี่เง่านี่สำเร็จ (ซึ่งคิดว่าไม่) ในอนาคตเผ่าพันธุ์ชายไม่ถึงคราวหายนะกันพอดีเหรอวะ
แต่ในเมื่อเพื่อนชั่วท้าให้ลองของพร้อมวางเงินคนละห้าพันบาท ไอ้ซันก็ไม่อยากขัดกับการทดลองที่ไม่เสียหายอะไรสักบาทเดียว แต่ที่เคยโม้ไปว่าอยากลองของเองน่ะคือเล่าไม่หมด ที่จริงมันมีเรื่องเงินเพื่อนเข้ามาเอี่ยวด้วย แต่ก็อายเกินกว่าที่จะเล่าให้ฟัง เข้าใจไหมว่าตอนนั้นภาพมันไวมาก พอเห็นเพื่อนวางเงินปุ๊บเขาก็รีบเข้าเวปไซต์โครงการ ปริ๊นท์แบบฟอร์มใบสมัครออกมากรอกอย่างไร้สติ
ซันนี่ได้คุยกับลุงคนหนึ่งที่สวมเสื้อกั๊กวินมอเตอร์ไซค์สีส้มเบอร์สิบสี่ระหว่างรอตรวจร่างกาย เราผูกมิตรกันด้วยการแลกเปลี่ยนความจนของตนเองให้อีกฝ่ายฟัง ค่อนข้างถูกคอเลยทีเดียว กระทั่งผู้หญิงชุดขาวตะโกนเรียกชื่อเขาให้เข้าไปด้านในนั่นแหละ บทสนทนาชั่วคราวจึงจบลง
พอตรวจเช็กร่างกายและข้อมูลทุกอย่างผ่านเรียบร้อยเด็กหนุ่มจึงถูกนำไปอีกโซนหนึ่ง เพื่อพบกับเจ้าของน้ำเชื้อในโครงการนี้ ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมได้ต้องเป็นคู่ผัวเมียซึ่งรวยอยู่ในระดับหนึ่ง แน่ล่ะ ไก่กาอาราเล่คงมาเข้าร่วมไม่ได้กับสังคมที่ต้องพึ่งต้นทุน ระหว่างทางเห็นคนมีเงินมากหน้าหลายตา ประคองเมียเดินเข้ามาประหนึ่งกลัวว่าจะสะดุดอากาศล้ม
ผู้หญิงก็คลอดลูกกันทั้งโลกปะวะ ถ้ากลัวเมียเจ็บมากก็ไม่ต้องมีมันแล้วลูกเลิกเนี่ย เห็นคนรวยที่ใช้เงินไปกับเรื่องไม่เข้าท่ามันหงุดหงิดโว้ย คิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นดิ ถุย ถุย ถุย!
และวันนั้นซันนี่ได้เจอกับหมอภีร์ เจ้าของน้ำเชื้อที่คาดว่าคงไปอยู่ในตัวเหยื่อทดลองอีกหลายคน รู้สึกเป็นเมียน้อยแปลก ๆ อารมณ์แบบ ‘อ๋อ เธอก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวสินะ’ อะไรประมาณนี้
เราคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคซึ่งเนื้อ ๆ ก็เป็นเรื่องดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อชีวิตตัวอ่อนซึ่งอ่อนแอกว่าที่เกิดด้วยการปฏิสนธิจากท้องแม่ วันนั้นหมอไม่ได้พกเมียมาด้วย เห็นว่าเจ้าหล่อนไปต่างประเทศ และก็ดูเหมือนเธอจะเป็นคนรักการบินเหลือเกิน เพราะซันนี่ไม่เคยมีโอกาสได้เจอหน้าเมียหมอเลย แม้เราจะนัดเจอกันหลายครั้งแล้ว
“ขอโทษนะคะ ทางร้านเราไม่มีพริกน้ำปลาค่ะ”
เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิด กระพริบตาปริบ ๆ พลางมองไปยังสาวเสิร์ฟที่ยืนยิ้มเจื่อนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร ซันนี่หันกลับมาสบตากับคนตัวเล็กที่นั่งฝั่งตรงข้าม ก่อนจะพบรอยยิ้มบาง ๆ ซึ่งแฝงไปด้วยความกวนตีนของหมอภีร์ที่มีให้กับเขา
“ที่นี่ไม่มีของที่คุณต้องการล่ะ สุริยันต์”
“งั้นน้ำปลาอย่างเดียวก็ได้พี่”
“เอ่อ ขอโทษอีกครั้งนะคะคุณลูกค้า ทางร้านของเราไม่ได้ใช้น้ำปลาในการปรุงรสน่ะค่ะ” เธอยิ้มอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะโค้งศีรษะอย่างมีมารยาทหลังจากหมอภีร์พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอกลับไปทำงานต่อได้
“ไม่มีพริกน้ำปลาคือไร มันคือสิ่งที่ทุกร้านต้องมีไหม ขนาดตามสั่งป้าพรปากซอยยังมีแบบซองเลย” ซันนี่ถอนหายใจอย่างหัวเสีย กวาดตาคมมองไปรอบ ๆ ร้านอาหารหรูซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของประเทศห่าไร ไม่เคยเข้ามากิน
“ร้านตามสั่งก็แบบนั้นแหละ” คนตัวเล็กอมยิ้มอย่างพอใจ ซึ่งตอนนี้ซันนี่พอจะเดาออกแล้วว่ามันเป็นแผนของหมอภีร์ที่คิดจะกวนตีนเขา ถึงได้พามากินที่นี่
ก็รู้ว่าไม่ชอบให้กินเค็มเพราะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายจนส่งผลถึงเด็กในท้องขนาดนั้นเปล่าวะ กูเกรี้ยวกราดแล้วนะ อีสปาเก็ตตี้คลุกน้ำขาว ๆ นี่ก็รสชาติสมถุยเกินกว่าที่จะกินโดยไม่ปรุงรสด้วย มันเรียกว่าอะไรอะ คาโบโปเตฮ่าปะ ไม่ดิ คาโบนาร่า เออนั่นแหละ จืดชืดไม่ทน งงว่ากินไปได้ยังไง
“อาหารตามสั่งมันใส่น้ำมันเยอะ แคลอรี่ก็สูง”
“แล้วอีที่ผมกินอยู่นี่ไม่แคลสูงเหรอเหรอวะ”
“หนึ่งจานเท่ากับพิซซ่าฮาวายเอี้ยนหนึ่งชิ้น คุณกินพิซซ่าอิ่มภายในชิ้นเดียวหรือเปล่าล่ะสุริยันต์?”
หมดคำจะเถียงกับหมอภีร์ คือจากสภาพคงรู้อยู่แก่ใจว่าอีเส้น ๆ นัวใส่สปาเก็ตตี้นี่ก็ไม่ได้แคลต่ำไปกว่าอาหารตามสั่งหรอก อยากหรูก็บอกมาตรง ๆ ทำเหยียดข้าวกล่อง หึย!
“เขาก็กินตามสั่งกันทั้งประเทศ หมอไม่ชอบก็ไม่ต้องกินดิ”
“ผมไม่กินอยู่แล้ว และผมก็ไม่อยากให้ลูกกินด้วย” คนตัวเล็กพูดหน้าตาย พลางชี้นิ้วมายังท้องของเขา
เด็กหนุ่มตัวสูงเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม มองคนอายุมากกว่าที่เอาส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ เข้าปาก พร้อมมองมาด้วยรอยยิ้มกวนเหมือนในทีแรก
“เมื่อไหร่จะพาซ้อมาให้ผมเจอ”
“มีธุระอะไรหรือเปล่า?” ดูถามเข้า ไม่มีธุระปะปังนี่จะเจอหน้าเมียพี่ไม่ได้เลยหรือ
“ผมจะได้ฟ้องซ้อว่าหมอแม่งโคตรเผด็จการ” ซันนี่ถลึงตามอง กำช้อนกับส้อมไว้พร้อมยื่นหน้าไปหยุดอยู่กลางโต๊ะเป็นเชิงขู่
คราวก่อนก็ห้ามของทอด ของมัน หมูสามชั้นก็ยังไม่ได้ หมอภีร์เติบโตโดยไม่กินของพวกนั้นได้ยังไง เสียชาติเกิดอย่างแรง
“คิดว่าเธอจะฟังคุณเหรอ?”
“ทำไม จะบอกว่าซ้อก็นิสัยเหมือนหมองั้นดิ?”
“ก็ไม่หรอก แต่ก็ไม่น่าคล้ายคุณ” มันเขี้ยวลักยิ้มของหมอว่ะ อยากเข้าไปดึงแก้มแรง ๆ เอาให้แหกปากร้องลั่นร้านไปเลย ตอนนั้นคงสะใจดีพิลึก
“ช่างเหอะ สักวันหมอก็ต้องพาซ้อมาเจอผมอยู่ดี”
“อ่าฮะ”
“แต่ถ้าเกิดซ้อติดใจพ่ออุ้มบุญจนเทหมอขึ้นมา มันก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นะ” ซันนี่ยังคงพยายามเอาชนะ ซึ่งเจ้าของใบหน้าขาวก็หลุดขำออกมาก่อนจะใช้ทิชชู่เช็ดปากราวกับว่าเรื่องที่เขาพูดมันคงไม่มีวันเป็นไปได้และน่าตลกสิ้นดี
ดูดิ บอกเขาว่าอย่าหงุดหงิดบ่อย ๆ เพราะมันจะส่งผลถึงลูก แต่หมอภีร์เคยย้อนมองดูตัวเองบ้างไหมว่าแต่ละสิ่งที่ปฏิบัติต่อเขาเนี่ย นอกจากจะไม่ส่งไปในทางดีแล้ว ก็มีแต่เรื่องชวนให้เกรี้ยวกราด
“อ้อ สำหรับเดือนนี้ ผมโอนให้แล้วนะ”
“กราบขอบพระคุณค่ะหมอ” ภีร์มองเด็กหนุ่มตัวสูงที่กรีดมือชดช้อยพนมมือไหว้เขาพร้อมปลายนิ้วหัวแม่มือที่จรดหัวคิ้วอย่างประชดประชัน ก่อนจะเงยหน้าทะเล้น ๆ ขึ้นมายิ้มให้
“ต่อไปนี้เราคงได้เจอกันบ่อยขึ้น เพราะงั้นอย่าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อย ๆ ล่ะ”
“บ่อยที่ว่าคือบ่อยแค่ไหน?” ซันนี่ขมวดคิ้ว พยายามม้วนเส้นสปาเกตตี้เป็นคำใหญ่ ๆ แล้วยัดเข้าปากภายในคำเดียว คนตัวเล็กเห็นอย่างนั้นก็ทนไม่ได้ จึงเอาทิชชู่ที่ถูกพับไว้ออกมาสยายออกแล้วยื่นให้เด็กหนุ่มเช็ดปากตนเอง
“อาทิตย์ละสองครั้ง”
“ก็ยังไม่บ่อยมาก” ซันนี่ไหวไหล่ ถ้าเจอกันแบบรายวันก็ว่าไปอย่าง
“พอเข้าเดือนที่สี่ก็อาทิตย์ละสามครั้ง เดือนที่ห้าสี่ครั้ง” ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ค้างอยู่ในท่าอ้าปาก และส้อมที่ม้วนสปาเก็ตตี้ไว้เป็นคำใหญ่ก็เช่นกัน
“หมอไม่ทำงานทำการเหรอ อะไรจะว่างขนาดนั้น”
“เพราะคุณท้องจากการทดลอง อัตราการเสี่ยงเลยสูงกว่าผู้หญิงที่ท้องโดยธรรมชาติ ผมไม่ไว้ใจคุณ” แล้วอะไรคือการมองมาด้วยสายตาดูถูกดูแคลน นี่ก็รักตัวเองไหมล่ะสังคม ไม่ได้ใช้ชีวิตมั่วซั่ว “ที่บอกว่าเจอก็ช่วงหัวค่ำ ตอนกลางวันผมก็ต้องทำงาน”
“ลูกหมอไม่ไหลออกมาตอนขี้หรอก ผมถามทางสถาบันแล้ว” เริ่มจะเดือดดาลละนะ ถึงไอ้ซันจะเรียนไม่เก่ง ดูไม่ค่อยฉลาด แต่เขาก็พอจะรู้โว้ยว่าอะไรเป็นอะไร “เข้มงวดขนาดนี้ไม่ท้องเองเลยล่ะ”
“ทำไมผมต้องทดลองเองในเมื่อผมมีเงิน”
หน้า – ถึง – กับ – โยก – ไป
“กินเถอะ เดี๋ยวเราจะไปเดินย่อยกันต่อ”
หมอภีร์ยังคงเป็นคนเดียวที่ดูสนุกกับการกินมื้อเย็นในวันนี้ ซันนี่ถอนหายใจกับความเรื่องมากของผู้ชายตรงหน้า ที่อยากเจอเมียหมอก็เพราะเหตุผลนี้แหละ เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าผู้หญิงหน้าตาแบบไหน นิสัยยังไงถึงอยู่กับคนแบบนี้ได้
*
“ตัวนี้ ตัวนี้ แล้วก็ตัวนี้”
“เยอะไปแล้วหมอ”
“เอาไปลองดูก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที” คนตัวเล็กวางเสื้อตัวสุดท้ายลงบนท่อนแขนแกร่งของคนอายุน้อยกว่า ก่อนจะกอดอกพร้อมชี้นิ้วไปทางห้องลองชุดซึ่งอยู่ด้านขวามือ
ซันนี่ดูไม่เต็มใจนัก หลังจากถูกลากเข้าร้านเสื้อผ้าชายในห้าง ซึ่งราคามันแพงหูฉีกกว่าที่แขวนอยู่ตามแผงในตลาดนัดหลายเท่าตัว เจ้าเด็กขี้บ่นไม่ได้นอยด์เพราะเกรงใจที่เขาต้องจ่ายเงินค่าเสื้อผ้าแพง ๆ ให้ แต่ที่มีสีหน้าแบบนั้นก็เพราะเจ้าตัวบอกว่าให้เอาเงินมา แล้วจะเอาเงินไปซื้อเอง
“แบบนี้ตลาดนัดรถไฟก็มี แถมถูกกว่าด้วย” ซันนี่ป้องปากกระซิบเพื่อไม่ให้พนักงานได้ยิน ซึ่งหมอภีร์ก็ผละออกมาสบตาเขาราวกับจะถามว่าแล้วไง
“ของก๊อปน่ะเหรอ ใส่เดี๋ยวเดียวก็ยุ่ยแล้ว คุณควรมองเรื่องคุณภาพมากกว่าราคาสิสุริยันต์”
ก็อยากมองอยู่หรอกถ้าบ้านผลิตเงินได้ หมอจะจ่ายเงินหลายพันไปทำไมในเมื่อเอาแบงค์พันยัดใส่มือเขาให้ไปหาซื้อใส่เองได้ แถมยังเอาเงินที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้อีก เช่นซื้อของในเกม และเปย์แฟนสาวอีกที
*
รถยนต์สีดำขับเทียบจอดหน้าบ้านทาวเฮาส์หลังเก่าซึ่งมีรถเข็นน้ำเต้าหู้จอดอยู่ ภีร์ชะโงกหน้าเข้าไปข้างใน และคาดว่าตอนนี้พ่อแม่ของซันนี่คงหลับไปแล้ว เขาจึงอ้อมไปเปิดประตูเบาะหลัง ก้มลงคว้าเอาถุงเสื้อผ้าทั้งหมดออกมา ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้ามึนอยู่ตรงระตูบ้าน
“ตามตรงเลยนะ เห็นหมอทำแบบนี้ทีไรผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงทุกทีเลยว่ะ ขนลุก” เด็กตัวสูงตวัดแขนกอดตัวเองและสั่นให้ดูจนเวอร์เกินจริง ขณะมองใบหน้าหวานสุดเรียบเฉยของหมอผิวหนัง
“ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติกับคนท้อง แต่ถ้าคุณรู้สึกแบบนั้นไปเองมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ลึก ๆ ในใจคุณมีความเป็นสาวน้อยอยู่หรือเปล่าสุริยันต์ ลองถามใจตัวเองดู”
“อ้าวหมอ กวนตีนละ” ซันนี่สบถเบา ๆ ขณะสบตากับคนตัวเล็กที่ย้ำถุงในมือตนเองเพื่อให้เขารับไว้สักที
เด็กหนุ่มถลึงตามอง พร้อมกระชากถุงมาอย่างแรงก่อนจะเดินถอยหลังทีละก้าวทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่าง ภีร์ยืนกอดอกยิ้มให้กับความเป็นเด็กของพ่ออุ้มท้อง ซันนี่ยังเอาแต่อ้าปากพูดแบบไม่มีเสียงซึ่งคาดว่าคงเป็นการก่นด่าเขาล้วน ๆ
คนตัวเล็กยืนอยู่ตรงนั้นกระทั่งมั่นใจแล้วว่าลูกและเด็กขี้บ่นเข้าไปในบ้านอย่างปลอดภัย เขาจึงเดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงประตูรถฝั่งคนขับ และกลับบ้านพร้อมความสบายใจ
*
“เป็นไงบ้างครับซันนี่ผีท้องอ่อน เดทกับผัวเมื่อวานสนุกไหม?” เป็นเสียงเจ้าของผมสกินเฮดอย่างไอ้เซฟที่ส่งเสียงทักทายรับยามสายของวัน ซันนี่นั่งลงบนม้าหินอ่อนตัวเดิมเมื่อไอ้บอสขยับให้นั่ง ก่อนจะวางกระเป๋าสะพายใบใหม่ลงข้างตัว
“เข้ สุพรีมนิวคอลเลคชั่น!”
“ใบนี้กูเห็นว่าแพงมาก นี่ซื้อเองหรือหมอภีร์ซื้อให้?” ไอ้บอสถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น และอีกสองตัวที่เหลือก็เช่นกัน
“ใช่จ้า หมอซื้อให้เองจ้า” ซันจีบปากจีบคอพูด “กูบอกให้เอาเงินมาเดี๋ยวไปซื้อเองก็ไม่ฟัง แบบนี้มันไม่ใช่สไตล์กูอะเข้าใจไหม มันเกาหลีเกินไป”
“ทำไมวะ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็อินเกาหลีกันทั้งนั้น ขนาดไอ้ปั๊บยังไปเต้นโคฟกับพวกเด็กท่องเที่ยวเลย” บอสว่าพร้อมสำรวจกระเป๋าใบใหม่อย่างใส่ใจ
“สไตล์หมอเขาล่ะมั้ง หน้าก็แนว ๆ นักร้องเกาหลีอยู่” เป้เสริม ซึ่งซันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน กับความโอป้าเกาหลีตัวผอม ๆ ขาว ๆ ตัวเล็กเหมือนหมดสูงตอนช่วงอายุสิบเจ็ดสิบแปด ปากนิดจมูกหน่อยนั่นน่ะ หมอดูไม่แก่ตามวัยสักเท่าไหร่
“กูว่าเขาน่ารักดีนะ”
“เดี๋ยวไอ้บอส นั่นผู้ชาย” ซันนี่เหล่มองเพื่อนอย่างหวาด ๆ แต่อีกฝ่ายกลับตีหน้ามึนราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่จะชมผู้ชายว่า ‘น่ารัก’ ยังไงก็ได้
“ทำไม ตอนหมอยิ้มกูก็ว่าน่ารักดีออก” เด็กหนุ่มตัวสูงคิดว่าที่เพื่อนพูดออกมาคงไม่ใช่การอธิบายเพื่อแก้ต่าง แต่มันเป็นการย้ำเพื่อให้เขาคิดว่าหมอภีร์เป็นอย่างที่มันพูดจริง ๆ “หรือมึงไม่คิดแบบนั้น?”
“หะ?” คนถูกยิงคำถามถึงกับเลิกคิ้วมอง นี่มันส้นตีนอะไรกันที่เขาต้องมาคิดหนักกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ความน่ารักของหมอภีร์คือสิ่งใด น่ารักแบบไหนจึงกลายเป็นหัวข้อประจำวันไปได้ ไหนบอก
“ผัวมึงอะ น่ารักเปล่า?”
“ผัวพ่องดิ”
“ซัน!” ทั้งสี่หนุ่มหันไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากหน้าซุ้มคณะ ตอนนั้นซันนี่ก็ได้รู้คำตอบแล้วว่าความน่ารักที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งนั่นก็คือแฟนสาวของเขาที่เข้ามาช่วยขัดจังหวะบทสนทนางี่เง่าของเพื่อน ๆ นั่นเอง
“ใครผัวใครเมียก็ดูกันตรงนี้” เด็กหนุ่มตัวสูงยิ้มมุมปาก ก่อนจะลุกขึ้นเดินตัวเบาไปหาแฟนสาวที่ยืนทำหน้าไม่เอาโลกอยู่ตรงนั้น
เป็นอะไรอีกล่ะวันนี้ เมนส์มา ปลาร้าหกใส่กระเป๋าเหรอ อะไรยังไง
“จ๋าพิงค์”
“เตงมานานยัง”
“ยังเลย เค้าเพิ่งถึงเมื่อกี้นี้เอง ไม่เชื่อถามพวกไอ้เป้ได้” เดี๋ยวหาว่ากูไปเล่นเกมแล้วไม่โทรหาอีก ซันนี่ผายมือยังไอ้เวรสามตัวนั้นที่กำลังทำหน้านิ่งพร้อมค่อย ๆ ชูสามนิ้วขึ้นจนสุดแขน ม็อกกิ้งเจย์มากมั้งพวกมึง
“เค้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“เอาสิ” เด็กหนุ่มยิ้ม ล้วงสองมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขณะมองดวงหน้าเรียวเพราะฉีดโบของหญิงสาวตัวเล็ก
“ไปตรงนั้นได้ไหม แถวนี้คนเยอะ” พอได้ยินอย่างนั้น ซันจึงขยับปากบอก ‘โอเค’ ก่อนจะโอบไหล่แฟนสาวให้เดินไปด้วยกัน
ที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนนัก อาจเป็นเพราะมันใกล้ถังขยะซึ่งคงมีแต่อีพิงค์ที่คิดได้ว่าที่นี่ช่างเหมาะสมในการคุยอะไรเช่นนี้ ดวงตาคมมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของหญิงสาวนุ่งทรงเอสูงเหนือเข่า คล้ายว่าเธอจะสำลักความอึดอัดออกมาเสียเดี๋ยวนี้
“ซัน”
“จ๋า”
“เค้ารู้ว่าเตงต้องรู้สึกแย่แน่ ๆ ถ้าเค้าจะพูดแบบนี้ แต่เค้าอยากบอกเตงไว้ก่อนว่าเรื่องที่จะพูดทั้งหมดอะ เค้ามีเหตุผล...” ถ้าบอกว่าอยากได้เงินไปทำเล็บอีกกูจะว๊ากใส่หน้าจริง ๆ ด้วย แต่ไม่น่าจะใช่... เพราะกลิตเตอร์กากเพชรวิ้งวั๊งนั่นยังคงเกาะแน่นอยู่บนเล็บอีกฝ่ายอย่างสวยงามอยู่
“ว่ามาเลย”
“สัญญาก่อนว่าจะเข้าใจ แล้วก็จะไม่โกรธเค้า” พิงค์กี้ชูนิ้วก้อยขึ้นมา พร้อมช้อนตามองอย่างน่าสงสาร ทีงี้ล่ะอินนางเอกเบอร์ใหญ่เลยนะมึง ตอนเห็นกูอยู่ร้านเกมนี่แทบจะแดกหัว
“ป๊าบ” ซันเกี่ยวน้อยก้อยเข้าไปกับนิ้วเล็ก ๆ บอกตามตรงว่ากากเพชรและการ์ตูนมุ้งมิ้งสีชมพูที่นูนเด่นอยู่บนเล็บก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจมนุษย์เพศหญิง ลำบากไหมเวลาใช้ชีวิต จะกินข้าว จะล้างตูดยังไง เป็นห่วง
พิงค์กี้หลุบสายตาลง ถอนหายใจหนัก ๆ กับความทุกข์ใจที่คาดว่าเรื่องกระเป๋าแบรนด์และการทำเล็บใหม่คงเป็นเรื่องเล็กไปเลย ซันนี่ยังคงรอคำบอกเล่า ถ้าให้รอนานกว่านี้อีกนิดจะได้โทรบอกไอ้เซฟซื้อป๊อปคอร์นมาให้
“เค้าว่าเราเลิกกันเหอะ”
ว้อท – เดอะ – ฟัค
“หะ?” เด็กหนุ่มตัวสูงอ้าปากค้าง มองริมฝีปากสีชมพูที่เม้มเข้าหากันหลังจากลั่นประโยคที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินตอนนี้ คือเดี๋ยว มันฉุกละหุกเกินไป “อะไรของเตงอะพิงค์”
“ก็เลิกกันไง!”
พีคใส่กูอี๊กกกกกกกกกกกกกก
“อยู่ดี ๆ ก็เลิกงี้ได้ไงอะ บอกเหตุผลมาก่อนดิ” ถึงจะพอรู้แก่ใจอยู่ว่าแฟนสาวคงไม่ชอบเวลาไปลากคอเขาตามร้านเกม แต่คนจะคบกันมันต้องมีเรื่องที่หักลบกันได้ไม่ใช่เหรอวะ ซันนี่ก็ไม่โอเคที่ต้องเดินห้างแบบไร้จุดหมาย โพสต์รูปคู่พร้อมแคปชั่นหวานหยดย้อยเพื่อเอาใจอีพิงค์เหมือนกัน นี่ยังไม่บ่นเลย
“ก็เตงท้องอะ!”
เด็กหนุ่มยืนหน้านิ่ง ตาเบิกโพลงกับความจริงที่แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากยอมรับนัก
“แล้วไงต่อ เตงจะบอกเลิกเค้าเพราะเรื่องกะโหลกกะลาแค่นี้เองเหร๊อ” เขาดัดเสียงเป็นสำเนียงใต้ ก่อนจะหน้าหันไปด้านข้างเพราะถูกมือเล็ก ๆ ผลักเข้าเต็มแรง
“เค้าไม่ตลกนะซัน”
แล้วกูตลกมากมั้ง ทั้งท้องสามเดือน ทั้งถูกแฟนบอกเลิกแบบงง ๆ ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้แดกอีก ดราม่าสัด
“มันเป็นการทดลองปะพิงค์ เค้าเคยบอกเตงไปเมื่อตอนนั้นไงลืมแล้วเหรอ?” เงินที่พาไปกินข้าว ดูหนัง ก็มาจากตรงนี้ด้วย แล้วจะยังไงอี๊ก
“เรื่องนั้นเค้าเข้าใจ แต่ซัน...” หญิงสาวกัดริมฝีปากล่าง ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ “เคยฟังเพลงเข้าใจแต่ทำไม่ได้ไหม?”
ไปโน่นแล้วจ้า -- บอกอย่างนั้น บอกอย่างนี้ บอกวิธีที่ทำให้ไม่เสียใจ
“ตอนนั้นเค้าทำเป็นเหมือนว่าเข้าใจ เพราะเค้ารักเตงมากไงซัน เค้าคิดว่ายอมรับได้ทุกอย่าง แต่มันไม่ใช่เลยอะ คือเค้ารับไม่ได้”
“ว้อท?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แบสองมือออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“เค้ารักเตงมากนะ แต่...”
พิงค์กี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ซันนี่มองอีกคนที่พลิกตัวหันหลัง มองไหล่แคบ ๆ นั่นที่กำลังสั่นไหวแล้วก็สบถแบบไม่มีเสียงว่า ‘เชี่ยไรมึงอีพิงค์?!’
“แต่เค้าคงทำใจเดินจับมือกับเตง ทั้ง ๆ ที่เตงท้องโย้ไม่ได้” อย่าว่าแต่มึงเลย กูก็ทำใจเห็นตัวเองในสภาพนั้นไม่ได้เหมือนกัน
“อดทนอีกหน่อยดิพิงค์ มันเป็นการทดลอง โลกต้องเข้าใจอยู่แล้ว”
“ไม่เข้าใจหรอก เพื่อน ๆ ต้องล้อเค้าแน่อะ เตงท้องให้ผู้ชายนะซัน แล้วผู้ชายคนนั้นก็เคยขับรถมารับเตงถึงหน้าซุ้มด้วย” หญิงสาวพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับแฟนหนุ่ม
“อันนั้นเขามาหาเพราะเป็นห่วงลูกในท้องเค้าไม่ใช่เพราะแรงพิศวาสปะวะ พิงค์ เตงต้องมีสติ” ซันนี่คว้าหัวไหล่หญิงสาวไว้พร้อมเพ่งมองอย่างจริงจัง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายแกะมือออกอย่างไร้เยื่อใย
“เราเลิกกันเถอะ”
“...”
“แล้วพอเตงคลอด... เราค่อยกลับมาคบกันต่อ”
แล้วพอเตงคลอด... เราค่อยกลับมาคบกันต่อ...
แล้วพอเตงคลอด... เราค่อยกลับมาคบ...
แล้วพอเตงคลอด... เราค่อย...
แล้วพอเตงคลอด...
อะไรคือความอายที่จะเดินด้วยกัน แต่พอถึงเวลากูได้เงินสองล้านแล้วถึงจะยอมกลับมาคบกันต่อ ประโยคเมื่อกี้นี่วิ่งวนอยู่ในหัว มันไร้เหตุผลและดูเห็นแก่ตัวจนเลือดในตัวสูบฉีดเพราะความโมโหกับเหตุผลกลวง ๆ ของอีกฝ่าย
ซันนี่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันคือการคบกันแบบฉาบฉวย และเขาก็รู้ว่าพิงค์กี้เป็นคนนิสัยยังไง แต่ที่คบมาจนถึงตอนนี้ใช่ว่าจะไปไหนไม่ได้เสียเมื่อไหร่
อี – นี่
“ได้”
หญิงสาวเบิกตากว้าง ค่อย ๆ ผุดยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำตอบที่เป็นผลในแง่บวก แม้ว่าซันนี่จะรู้สึกแย่ไปบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะแฟนหนุ่มของเธอเลือกรนหาที่เองนี่นา
“แต่เลิกแล้วคือเลิกเลย ไม่มีการกลับมาคบกันอีกอะไรทั้งนั้นอะ”
“หา?”
“จำคำพูดตัวเองไว้นะพิงค์ แล้วเตงจะต้องเสียใจ เค้าพูดเลย” ซันนี่กัดฟันกรอด เดินถอยหลังทีละก้าวพร้อมชี้หน้าคาดโทษอดีตแฟนสาวที่กำลังอ้าปากเหมือนว่าอยากพูดอะไรอีก
“เลิกกันแค่หกเดือนเองนะซัน พอเตงคลอด ท้องแฟ่บแล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่ไง”
“แค่ป้าเตงดิ แม่งครึ่งปีเลยนะ นานเท่าสมัครเป็นทหารเลยห่าจิก”
“เตงไม่มีความอดทนเลยอะ”
“มึงก็ไม่มีเหมือนกันอีพิงค์” ซันถลึงตามองอย่างเอาจริง ผู้หญิงคนนี้กล้าดียังไงถึงได้บอกเลิกผู้ชายดี ๆ อย่างเขาไปได้ ตามใจทุกอย่างก็แล้ว จนแค่ไหนก็หาเงินพาไปกินข้าวดูหนัง แล้วจะเอาอะไรอีก!
“อ๋อ นี่ขึ้นกูมึงใช่ปะ?” หญิงสาวแค่นหัวเราะ มองอดีตแฟนหนุ่มที่กำลังทำหน้าอวดดีใส่เธอ
“เออ! ขึ้นได้มากกว่านี้อีก” ทีก่อนหน้านี้โมโหทีเขวี้ยงกระเป๋าใส่กู ตะโกนด่าไม่เหลือดียังไม่ขุดมาพูด “เลิกก็เลิก! คิดว่าแคร์เหรอ?!”
“เออ เลิก! ก็ไม่ได้แคร์อะไรขนาดนั้นเหมือนกันแหละ!” อ้าว! แล้วที่ตีหน้าเศร้า ดราม่าเมื่อกี้นี้คืออะไร ตอแหลตาใสเหรออีพิงค์!!!!!!!!!!!
ทั้งคู่เล่นสงครามประสาทกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนเด็กหนุ่มจะหมุนตัวหันหลังให้ทั้งที่อารมณ์ยังคงคุกรุ่นไม่จางหาย ท่ามกลางสายตาใครหลายคนที่เสือกนึกอยากเดินผ่านในเวลานี้ ซันนี่จึงระบายความรู้สึกทุกอย่างออกมาด้วยการเตะถังขยะโชว์
“กูว่าเพื่อนมึงไม่โอเคแล้วว่ะ” เซฟสะกิดแขนเพื่อนอีกสองคน พลางมองไปยังจุดเกิดเหตุที่ไม่ใช่แค่เขาสามคนที่มองเห็น ซันนี่ยังคงเตะไม่ยั้ง ซัดเอา ๆ จนถังขยะกระเด็นไปติดรั้ว ก่อนจะหันไปกระทืบถังที่เหลืออีก
“ของมหาลัยนะนั่น กูว่าหลายตังค์อยู่” ตอนนี้พิงค์กี้กระฟัดกระเฟียดเดินหายไปจากตรงนั้นแล้ว และยังไม่มีใครเข้าไปห้ามซันนี่ให้หยุดระบายอารมณ์กับถังขยะ ซึ่งพวกเขาคงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปจนกว่าเพื่อนจะพอใจ
“ช่างเหอะ เดี๋ยวผัวมันก็มาจ่ายค่าเสียหายให้เองแหละ”
พูดจบทั้งสามคนก็หันไปชนแก้วน้ำอัดลมอย่างรู้กัน ยิ้มกริ่มอย่างคนรอดูหายนะของเพื่อนสนิทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก
TBC
ความคิดเห็น