คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue
(Prologue)
โลกของแต่ละคนมีสีที่แตกต่างกัน ซึ่งบางครั้งมันขึ้นอยู่กับมุมมอง
บางครั้งขึ้นอยู่กับอารมณ์
และตอนนี้โลกของผม มันกำลังเป็นสีแดง
“เอ่อ อาจารย์ครับ”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองนักศึกษาหนุ่มแต่งกายผิดระเบียบ มันน่าประหลาดใจเสียจริงที่เธอได้เห็นเด็กคนนี้ที่นี่ เพราะแทบจะนับครั้งได้กับการได้เจอกัน หนึ่งคือตอนเดินผ่านซุ้มคณะ สองคือตอนเข้าเช็กชื่อในคาบเรียนซึ่งบางครั้งก็มาในรูปแบบการฝากเพื่อนดัดเสียงขานตอบ
ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุผลอะไรที่พาขาของเด็กตัวสูงมาถึงที่นี่ เธอยังคงจับจ้องอยู่กับใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้ส่วนสูงร้อยแปดสิบต้น ๆ ดูโดดเด่นกว่าเด็กคนอื่น ถ้า ‘สุริยันต์ พสุธากัมปนาท’ ตั้งใจเรียนกว่านี้อีกหน่อยก็คงคว้าตำแหน่งเดือนคณะตอนปีหนึ่งได้ไม่ยาก
แต่เสียดายไปก็เท่านั้น ในเมื่อเจ้าเด็กนี่เป็นแค่พวกเรียนไม่มากีฬาไม่ขาด
“ว่าไงล่ะสุริยันต์” หญิงวัยกลางคนประสานมือไว้บนโต๊ะ พลางชี้นิ้วไปยังชายเสื้อเชิ้ตขาวเพื่อให้เด็กหนุ่มเก็บมันเข้าไปในกางเกง ซึ่งเขาก็ทำตามแม้จะไม่เต็มใจนัก “เข็มขัดหายไปไหน?”
“หอเพื่อนครับ”
“มันควรอยู่ที่เอวเธอ รู้ใช่ไหม?”
“รู้ครับ แต่ผมมาหาอาจารย์เพราะมีเรื่องสำคัญมากกว่านั้น” เด็กตัวสูงลากเก้าอี้ออกเสียงครืดคราดกับพื้นแล้วรีบนั่งลงไป จองตาอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างจริงจังชนิดว่าเกิดมายังไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“จะมาขอคะแนนพิเศษหรือไง ขอบอกเลยนะว่าครูไม่มีคะแนนพิเศษให้เด็กที่ไม่มีความตั้งใจ” เธอแค่นหัวเราะ กอดอกพร้อมเอนหลังพิงกับเก้าอี้
“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้าพรืด
“แล้วเรื่องอะไร?”
หญิงวัยกลางคนมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่าย เธอเห็นว่าเขากลืนน้ำหลายลงคออย่างลำบาก พลางขมวดคิ้วเมื่อนึกไปถึงปัญหาโลกแตกที่ปั่นป่วนความคิดมาจนถึงตอนนี้ สุริยันต์นิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมแววตาน่าสงสารที่ต้องการความช่วยเหลือ
“อาจารย์เคยท้องไหม?”
*
“ก๊ากกก!!!”
“พี่เขามาโน่นแล้ว”
“ไอ้ซัน! เอาของดองไหมเดี๋ยวกูแวะโรงอาหารให้!”
“ขอมะม่วงกะปิค๊าพี่บอส!”
“ก๊ากกก!!!”
ขายังไม่ทันก้าวเข้าไปในซุ้มเลยด้วยซ้ำ... เสียงของเหล่าเพื่อนนรกก็โห่แซวประหนึ่งว่าเขาเป็นสาวแซ่บใส่ทรงเอที่คิดจะปากหมาใส่ยังไงก็ได้ ‘ซันนี่ หรือ สุริยันต์’ ยืนทำหน้าสิ้นคิดอยู่ตรงนั้นอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเซไปด้านหน้าเล็กน้อยเมื่อเพื่อนเดินเข้ามาล็อกคอให้เข้าไปในซุ้มด้วยกัน
“เล่นใหญ่นะห่า เดี๋ยวกูเตะปากเรียงคน” คนถูกแซวพูดเสียงลอดไรฟัน มองเพื่อนในกลุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนพร้อมซากแก้วน้ำดื่มที่เหลือเพียงน้ำแข็ง
“เหยด พี่เขาโหด”
“คนท้องก็งี้แหละ เกรี้ยวกราด”
“ก๊ากกก!!!”
ซันนี่ถอนหายใจ กับเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นความจริงอย่างที่เพื่อน ๆ แซว แน่นอนว่าชีวิตของเด็กหนุ่มไม่ใช่หนังแฟนตาซีที่สร้างปาฏิหาริย์ให้ผู้ชายท้องได้ แต่การที่ในท้องของเขามีตัวอ่อนดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่มันยิ่งกว่านั้น
ใช่... ซันนี่ท้องได้สามเดือนแล้ว แต่เป็นการท้องแบบมีผัวแค่ในนาม และทางกายภาพยังคงปลอดภัย ถึงให้มีจริง ๆ เด็กผู้ชายอย่างเขาก็ไม่สามารถมีเด็กได้ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปปฏิสนธิ
เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะความบาปหนาของซันนี่ที่เสือกอยากลองของ โดยการอาสาเข้าร่วมโปรเจค ‘ให้พ่อเจ็บแทนแม่’ ที่ทางสถาบันวิทยาศาสตร์ชาติเจริญเหินฟ้าเป็นตัวต้นคิด เพื่อให้ผู้ชายอุ้มท้องแทนภรรยาได้
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลเพราะไม่อยากทนเห็นเมียเจ็บ หรือสาว ๆ กลัวลงพุงหลังคลอดก็ตามแต่ คนเหล่านั้นต่างทุ่มเงินสุดตัวเพื่อสานโปรเจคนี้ให้ไปถึงฝั่งฝัน ซึ่งคนจน ๆ ไม่มีตังค์คงต้องทนเจ็บท้องไป
กระทั่งโปรเจคนี้ดำเนินมาถึงจุดที่ประกาศหาหน่วยกล้าตายผ่านทางรายการเรื่องเด็ดเย็นนี้ โดยผู้สมัครต้องเป็นเพศชาย และมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อความสะดวกในการทดลอง ซึ่งซันนี่มีครบ หนำซ้ำยังแถมความหล่อให้ด้วย
แน่นอนว่าพอมีเรื่องแบบนี้คงมีคนหิวเงินแห่ไปสมัครกันอย่างล้นหลาม ดังนั้นทางฝ่ายต้นทุนโปรเจคจึงออกกติกามาว่า ‘หากร่างกายประคองตัวอ่อนรอดเกินสามเดือน ทางโปรเจคถึงจะจ่ายเงินก้อนแรกให้ แต่ถ้าไม่รอดก็กลับบ้านมือเปล่า แต่ถ้าคลอดออกมาแล้วเด็กรอดทางโปรเจคจ่ายให้สองล้านบาท ยังไม่รวมทางฝ่ายคุณพ่อที่จะตบความพอใจให้เป็นพิเศษ’
ระหว่างนั้นก็ได้รับค่าเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากเจ้าของน้ำเชื้อ... นี่ใช้คำรุนแรงไปเปล่าวะ แต่จะให้เรียกว่ายังไงล่ะ พ่อเด็กงี้เหรอ ขนลุกเหลือเกิน
แต่ก็นั่นแหละ... ด้วยความผีของชายชาตรีอย่างสุริยันต์ พสุธากัมปนาท เขาจึงประกาศกร้าวต่อหน้าเพื่อน ๆ ว่า ‘กูจะเข้าร่วมด้วย อยากรู้เหมือนกันแหละว่าผู้ชายแม่งจะท้องได้ไง’
ซันนี่ไม่ได้เข้าร่วมชุดแรก รู้สึกว่าเขาจะเป็นลำดับที่หกร้อยกว่า ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีพวกหิวเงินแต่ร่างกายไม่อำนวยได้เริ่มทดลองก่อน มีหลายคนที่ร่างกายไม่ผ่าน และได้กลับบ้านก่อนเพราะตัวอ่อนตายตั้งแต่ยังไม่เดินออกจากห้องทดลอง หลายคนถอดใจหนีกลับบ้านกลางคันเพราะกลัวตาย คิวที่ว่ายาวเหยียดไปถึงลาดพร้าวร้อยหนึ่งจึงลดลงไปเยอะพอสมควร
ซันนี่ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่เดินออกมาข้างนอกได้อย่างปกติแทนที่จะถูกหิ้วปีกออกมาพร้อมสีหน้าซีดเซียว เขาเห็นรอยยิ้มของชาวต่างชาติรุ่นพ่อในชุดกาวน์ แกเข้ามากุมมือพร้อมพูดเป็นภาษาไทยแบบเหน่อ ๆ ว่า ‘ยินดีด้วย ๆ นัดครั้งต่อไปสิบโมงวันเสาร์หน้านะ อย่าสาย ๆ’
ตอนนั้นถึงรู้ว่าเขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ร่างกายดันฟลุ๊คเข้ากับตัวอ่อนได้ แต่ถึงอย่างนั้นซันนี่ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นจนต้องก้มลงลูบท้องอย่างเอ็นดู พร้อมทักทายลูกจ๋าที่ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดสักนิด แล้วคิดไปว่าที่กำลังร้องโครกครากอยู่มันคือการโต้ตอบของตัวอ่อนหรือท้องร้องเพราะความหิว
เด็กหนุ่มคิดว่าแผนการคงล้มเหลวไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตเลยกระทั่งไปศูนย์วิจัยอีกครั้งเมื่อครบถึงวันนัดพบ
วันนั้นซันนี่ได้เจอกับเจ้าของน้ำเชื้อ เขาจำได้ว่าเคยเห็นผู้ชายตัวเล็กผิวขาวคนนั้นออกทีวีอยู่หลายครั้ง ทั้งโฆษณา และตามเชลท์หนังสือแรงบันดาลใจชีวิต ซึ่งนั่นก็คือ ‘คุณภีรณัฐ’ เป็นแพทย์ผิวหนัง
หมอภีร์อายุสามสิบหก ถ้าหักลบกันแล้วก็อายุมากกว่าเขาอยู่ประมาณสิบห้าปี แต่ด้วยความเป็นแพทย์ผิวหนังจึงทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนเพิ่งอายุยี่สิบปลาย ๆ
เจ้าของน้ำเชื้อแอบเรื่องมากอยู่นิดหน่อย เออ... จริง ๆ ก็ไม่นิด แต่เพราะคิดว่าหมอภีร์เป็นเจ้าของตัวอ่อนจึงใส่ใจกับเด็กในท้องเขาจนน่ารำคาญ
ทีแรกซันนี่คิดว่าตัวอ่อนในท้องคงตายไปตามพยาธิไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะไม่หือไม่อืออะไรเลย ไม่รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ คือไม่อะไรอะ แต่พอได้ยินนักวิทยาศาสตร์บอกว่ายังเป็นตัวอ่อนอยู่ ไว้ผ่านไปอีกสักสิบหกสัปดาห์คงกระโดดถีบยอดหน้าเขาได้แล้ว (อันนี้เวอร์เอง)
หมอภีร์ยื่นใบแดงมาว่าห้ามดื่มเหล้า ห้ามไปเที่ยวกลางคืน ห้ามกินของโง่ ๆ ห้ามเล่นเกมจนดึก ห้ามแม่งทุกอย่างที่เขาทำมาตลอดชีวิต
ผู้ชายคนนั้นซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ พร้อมแผ่นเพลงคลาสสิกโมสารทสำหรับคนท้องมาให้เสร็จสรรพ ก็รู้ว่าทำไปทุกอย่างก็เพื่อลูก แต่เขาไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้จริง ๆ ว่ะ
ซันนี่รู้สึกเหมือนถูกล่ามโซ่แล้วขังไว้ในคุกมืด จะอ้าปากเถียงก็ไม่ได้เพราะตามสัญญาตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าเจ้าของน้ำเชื้อมีสิทธิ์ใส่ใจพ่ออุ้มเด็ก เพื่อให้ช่วยดูแลสุขภาพ ไม่ให้เสี่ยงอันตรายต่อตัวอ่อน ดังนั้นหมอภีรณัฐจึงเข้ามาอยู่ในโลกโง่ ๆ ของสุริยันต์ พสุธากัมปนาทตั้งแต่วันนั้น
“ศิริพรว่าไงบ้าง?” เจ้าของคำถามคือไอ้เป้ ผู้ชายผมยาวถึงปลายคางมีหนวดเคราอยู่หน่อย ๆ มันคือเจ้าของไอเดียที่บอกให้เขาไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา สำหรับเรื่องการตั้งครรภ์ ซึ่งศิริพรก็...
“นางไม่เคยมีผัว ไอ้ฉิบหาย”
“อ้าวเหรอ”
“เรื่องเศร้า” บอสอุทานหน้านิ่ง พร้อมวางมือลงบนไหล่ซันนี่อย่างเห็นใจ
“งั้นถามอุไรไหม ถึงหน้าตาจะเหมือนเจ้าแม่บนคานเลี่ยมทอง แต่แกก็แต่งงานตั้งสองรอบแล้วนะ”
“ไม่เอาอะ ขนาดตอนเรียนด้วยกันแกยังไม่อยากเช็กชื่อให้กูเลย ลาบเป็ด” ถึงกับเครียด ซันนี่กุมขมับอย่างคิดไม่ตกกับปัญหาโลกแตกที่เริ่มจะบานปลายเข้าไปทุกที
“ตอนนี้มึงท้องกี่เดือนแล้วนะ”
“สาม”
“อ้าว งี้ก็ใกล้ได้เงินอีกก้อนแล้วดิ?” เซฟเลิกคิ้ว และพอเป็นเรื่องเงิน กลุ่มเด็กผู้ชายที่ทุ่มเทไปกับการซื้อของในเกมก็หูผึ่งไปตาม ๆ กัน
“ใช่ คราวนี้หมอภีร์บอกจะให้กูห้าหมื่น”
“เจ็ทเข้”
“กูซิ่วไปเรียนแพทย์ผิวหนังดีไหมวะ แลดูจะรวยเรี่ยราด” เป้ขมวดคิ้ว สำหรับเด็กต้นทุนน้อยที่พ่อแม่ส่งเข้าโรงเรียนวัดตั้งแต่เด็ก เขาก็อยากมีชีวิตดี ๆ แบบนั้นบ้าง
“ไหน ขอดูสภาพมึงหน่อย” บอสถลกเชิ้ตขาวตัวใหญ่ของเพื่อนขึ้น ก่อนจะเห็นว่าหน้าท้องแบน ๆ ของเพื่อนได้พองนูนออกมาบ้างแล้ว “ฉิบหายละ นี่มึงอ้วนขึ้นหรือเด็กกำลังก่อตัวเป็นดักแด้วะซัน”
“พูดยากเลย ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาหมอภีร์ให้กูยัดห่าอะไรบ้างไม่รู้ แต่กูคิดว่าน่าจะอ้วน” สีหน้าของซันนี่ดูเป็นกังวล เขาไม่ใช่พวกห่วงสุขภาพหรือหุ่นที่ดูดี แต่เกิดมายี่สิบเอ็ดปีก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“มึงก็รู้ว่าไอ้ซันแดกอย่างกับห่าลงยังไงก็ไม่อ้วน เพราะงั้นกูขอฟันธงว่าที่ป่อง ๆ ออกมานี่คือหลานเราเอง” เซฟยิ้มอ่อน
“ท้องสาวสินะ” <- เป้
“เดี๋ยวกูถีบปากแตก สาวที่หน้ามึงดิ” ไม่พูดเปล่า ซันนี่ยกขาขึ้นข้างหนึ่งขึ้น เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนอีกสามคนได้เป็นอย่างดี
“ระวังหน่อย กำลังท้องกำลังไส้ จะทำอะไรก็นึกถึงหลานกูบ้าง” เขารู้ว่าไอ้เซฟกำลังแกล้งยั่วให้โมโหเล่น และไอ้เพื่อนชั่วอีกสองคนก็เช่นกัน
“อีกเดือนสองเดือนก็คงเริ่มชัดแล้ว มึงพอจินตนาการตอนตัวเองเดินท้องโย้ในมหาลัยออกไหมวะ” คำถามของเป้ทำเอาเขาผวาตั้งแต่เดือนสาม คนตัวสูงขมวดคิ้วเคร่งเครียด เมื่อนึกไปถึงนรกที่ใกล้จะมาเยือน
ใช่ พอถึงตอนนั้นเขาจะถูกมองยังไง ได้กลายเป็นตัวตลกให้คนนินทากันจนสนุกปากแน่
“ไหนจะอีพิงค์กี้อีก มึงจะเล่าเรื่องนี้ให้มันฟังเมื่อไหร่” ว่าด้วยแฟนสาวที่คบกันมาได้หกเดือนกว่า ๆ ซึ่งซันนี่คิดว่าผีหน้าขาวตนนั้นคงไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ก็ทะเลาะกันกลางร้านเกม โวยวายอย่างเอาแต่ใจเรื่องไม่ยอมพาไปเดินฟิวเจอร์
จะหาว่าเชี่ยก็ได้ แต่มันจะมีสักกี่คนที่เป็นเหมือนเดิมไปได้ตลอด ตอนคบกันแรก ๆ ก็เห็นทนนั่งเฝ้าได้เป็นวัน แต่พอผ่านไปสามสี่เดือนก็หาข้ออ้างสารพัดมาทะเลาะ ว่าไม่พาไปกินข้าวบ้างล่ะ ไม่ซื้อดอกไม้หรือตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ให้ในวันวาเลนไทน์ ไม่เซอร์ไพรส์วันเกิดด้วยลูกโป่ง บลา บลา บลา... คือก็งงว่าทำไมต้องขนาดนั้น
“ถ้าบอกนะ... กูโดนดราม่าอีกชุดแน่ พูดเลย”
“ไม่น่ามั้ง มึงลองเอาเงินจากหมอภีร์ไปซื้อปราด้าให้นางสักใบดิ เผลอ ๆ ทำให้หายงี่เง่าไปได้อีกสามเดือน” บอสหัวเราะ เมื่อนึกถึงหน้าแฟนสาวของเพื่อนสนิท
“กูต้องเปย์เพื่อให้นางหายเอาแต่ใจเหรอ ชีวิตลูกผู้ชายของกูต้องอดสูขนาดนั้นไหม ขนาดแม่กูยังง้อได้ด้วยตำซั่วป้าอ๋อยเลย แล้วอีพิงค์เป็นใคร”
“เมียมึงไง” ทั้งสามคนพร้อมใจประสานเสียง ก่อนบรรยากาศโดยรอบจะเงียบกริบในวินาทีถัดมา
“มึงเริ่มเครียดจัดแล้วไอ้ซัน มันจะส่งผลต่อลูกนะ ท่องไว้” เซฟวางมือลงบนบ่าเพื่อน พร้อมบีบเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“อย่างที่วางแผนกันไว้แต่แรกอะ ถ้ามึงอายก็ดร็อปเรียนไปเลยเทอมนึง เลือกเอาว่าจะจบช้าหรือขายขี้หน้าในมหาลัยยันคลอด” คำพูดคำจาไอ้เป้เหมือนนรกสั่งมาเกิด
ซันนี่รู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะความปากดีของตนเองในวันนั้นแท้ ๆ ที่ทำให้เวรกรรมติดไนตรัสเร็วถึงขนาดนี้ เหมือนว่าพระเจ้าอยากสั่งสอนให้เด็กกะโหลกอย่างเขารู้ว่าไม่ควรท้าทายอำนาจใด ๆ ในโลกนี้ ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผี วิญญาณ มนุษย์แม่ และการทดลองของนักวิทยาศาสตร์
“ถ้าสมมติเด็กในท้องไม่รอดล่ะ?” บอสเม้มปาก ชี้นิ้วย้ำ ๆ ไปยังท้องของเพื่อนตัวสูง
“ก็ไม่ไง โปรเจคลำดับหกร้อยยี่สิบเจ็ดก็ถูกพับเก็บไปเป็นตัวอย่างในการพัฒนาต่อไป” ซันนี่ไหวไหล่ มันก็เหมือนกับของพวกลำดับต้น ๆ ที่พังเละเทะไม่เป็นท่า แต่คนที่ตัวอ่อนได้ผลจริง ๆ กลับมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น
“งั้นแสดงว่ามึงก็แกล้งทำเป็นแท้งลูกได้ดิ?” บอสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนสายตาของทุกคนจะหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“อย่าบอกนะ...”
บอสยิ้มกริ่ม ก่อนจะหน้าคว่ำแทบปากจูบโต๊ะม้าหินอ่อนเพราะถูกตบอย่างแรง “มึงจะให้กูแท้งลูกเหรอ?!!!”
“เอ้า! ก็ถ้ามึงไม่อยากดร็อปจนเรียนจบช้า ไม่อยากอายคนในมหาลัย ก็มีทางนี้แหละที่เวิร์ค ถึงมันจะเหี้ย แต่คนแบบมึงยังมีดีอะไรหลงเหลืออยู่เหรอวะเพื่อน” บอสเชิดหน้าถลึงตาถาม ซึ่งคนถูกด่าเพียงนั่งเย็นหน้าโดยไร้หนทางสู้
“เมื่อกี้พี่เขาเรียกว่าลูกด้วยนะจ๊ะ” <- เป้
“ปกป้องลูกค่ะ พลังแห่งแม่” <- เซฟ
“โธ่ไอ้ซัน ได้เงินจากโปรเจคมาตั้งเท่าไหร่แล้ว แถมหมอภีร์ยังจ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นรายเดือนอีก เอาไปพัฒนากิจการร้านน้ำเต้าหู้ของแม่มึงจนชีวิตดีขึ้นโข มันเพียงพอแล้ว ขอแค่มึงกล้าเทเด็กในท้อง”
“...”
“กูมั่นใจในความชั่วของมึง ซันนี่เพื่อนรัก” บอสขมวดคิ้ว ตบบ่ากว้างอย่างจริงจัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนอีกสองคน
“กู--”
RRRrrrr!!
ยังอ้าปากด่าเพื่อนไม่จบประโยคก็ต้องหันไปสนใจกับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ เด็กหนุ่มทั้งสี่คนชะโงกหน้ามองจอ และพอเห็นชื่อเจ้าของเบอร์ อีกสามคนก็ยิ้มกริ่มพร้อมแซวคนท้องด้วยสายตา
[ หมอภีร์ ]
“ผัวโทรมาแล้ว รับเร็ว”
“อั่ยหยา”
“เงียบปากไป” ซันนี่คว้ามือถือแล้วลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน ท่ามกลางเสียงแซวของเพื่อนชั่วยังคงตามไล่หลังมาติด ๆ
แม้ว่าจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วพวกนรกส่งมาเกิดนั่นก็ยังสร้างความอับอายให้เขาต่อหน้ารุ่นพี่รุ่นน้อง ซันนี่ยิ้มพร้อมยกไหว้ด้วยมือข้างเดียวเมื่อน้องปีหนึ่งทำความเคารพ เขามองชื่อบนหน้าจอมือถืออีกครั้งก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล”
( เรียนเสร็จแล้วใช่ไหม? )
“อ่าฮะ หมอรู้ได้ไง?”
( ผมจอดรถอยู่หน้าซุ้ม มันจะดีนะถ้าคุณเดินออกมาหาผมตรงนี้ก่อนที่ยามจะเดินมาล็อกล้อ )
ซันนี่ค่อย ๆ หันไปทางด้านซ้ายมือ ก่อนจะเห็นแอสตันมาร์ตินสีดำจอดเจิดจรัสอยู่หน้าซุ้มคณะบริหารธุรกิจ กระจกฝั่งขวาเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าขาวโดยธรรมชาติพร้อมแว่นดำที่ไม่รู้ว่าใส่มาเพื่อลดแสงหรือแค่ใส่โก้ ๆ
สาว ๆ ที่เดินผ่านเป็นต้องหันไปซุบซิบกรี๊ดกร๊าดกับความรวยและดูดีของผู้ชายวัยสามสิบหก เขากับหมอภีร์ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เป็นเพราะอีกฝ่ายงานยุ่งและเขาก็เป็นเด็กมหาลัยที่ใช้เวลาไปกับการอยู่กับเพื่อนและร้านเกมเสียส่วนใหญ่
ซันนี่ยอมรับว่าเป็นพวกชอบเช็กเรทเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่ตอนผู้ชายอายุมากกว่าขับรถสวย ๆ มารับแบบนี้ว่ะ
เขาไม่ได้เป็นเกย์ โอเคไหม? คือถ้าเดินไปขึ้นรถคงไม่วายถูกเข้าใจผิด ซันนี่ไม่สามารถตะโกนบอกคนอื่นได้ว่าตอนนี้เขามีตัวอ่อนอยู่ในท้อง ไม่มีใครอยากเข้าใจ และคงไม่มีใครอยากเชื่อ ซึ่งเจ้าของน้ำเชื้อก็เอาแต่ยิ้มทักทายพร้อมโบกมืออย่างอารมณ์ดีอยู่นั่น
จะลมจับ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กเสี่ยที่กำลังจะถูกอ็อบไปนอนด้วย
“โธ่หมอ นัดเจอกันก็ได้เปล่า?”
( ผมขับผ่านมาทางนี้พอดี ทำไมล่ะ คุณอายเหรอ )
“อายดิ รถหมอไม่ใช่ซีวิคเงินผ่อนที่จะขับไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนสนใจนะ”
( อ๋อ กลัวถูกเข้าใจผิดสินะ )
“เออ”
( คือผมต้องขับรถราคาถูกเพื่อมารับคุณไปกินข้าวหรือไงสุริยันต์ )
“อย่าเรียกผมด้วยชื่อจริง”
( สุริยันต์ )
“หมอจะกวนตีนผมว่างั้น?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองคนตัวเล็กอย่างหาเรื่อง จนถึงตอนนี้หมอภีร์ยังเอาแต่ยิ้มขณะมองเขาจากตรงนั้น
( อย่าหงุดหงิด ผมไม่อยากให้ลูกของเราซึมซับนิสัยส่วนนั้นของคุณไป )
“อย่า นี่ลูกหมอคนเดียวว่ะ” ซันนี่แค่นหัวเราะ พร้อมเดินไปหยุดอยู่ข้างรถคันสวยทั้งที่ยังไม่วางสาย สบตากับคนอายุมากกว่าซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะได้กวนตีนเขา
( ลูกผมคนเดียวก็ได้ แต่ขึ้นรถก่อนดีไหม ถ้ายามเดินมาล็อกล้อจริง ๆ ผมไม่มีแบงค์ย่อยจ่ายค่าปรับ )
ซันนี่เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม สบตากับอีกฝ่ายเพียงครู่เดียวก่อนจะหันไปเจ้าของเสียงแซวซึ่งมาจากเพื่อนสนิททั้งสามที่นั่งอยู่ตรงจุดเดิม เขาได้ยินเสียงปลดล็อกประตูซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้รีบขึ้นไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ เด็กหนุ่มยืนนิ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ และสุดท้ายเขาก็ขึ้นไปนั่งบนรถเจ้าของน้ำเชื้อ
“อะไร?” ซันนี่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทันทีที่เห็นหมอภีร์วางกล่องบางอย่างลงบนหน้าขาของเขา
“ของขวัญจากซานต้า” คนตัวเล็กยิ้มโดยไม่หันมามองเลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วฉีกกระดาษออกอย่างไม่มีความประณีต
และทันทีที่เห็นสิ่งของที่อยู่ด้านใน ซันนี่ก็ได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าหมอภีร์แม่งก็รู้จักวิธีเอาอกเอาใจคนอื่นอยู่เหมือนกัน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าควรประหลาดใจกับเรื่องนี้หรือไม่ แม้ว่าจะรู้สึกไปแล้ว
แผ่นเกมใหม่เอี่ยมที่เพิ่งวางขายเมื่อวานถูกแปะด้วยโพสต์-อิทสีเหลืองเป็นรูปยิ้ม ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าเขากำลังยิ้มตามมันหรือเพราะดีใจที่ได้เกมแผ่นนี้กันแน่ ซันนี่จำที่นักวิทยาศาสตร์บอกได้ว่าคนอุ้มท้องต้องดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี เพราะทุกอารมณ์ที่เขารู้สึกนั้นสามารถส่งไปถึงลูกในท้องได้
ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหมอภีร์ถึงเลือกซื้อแผ่นเกมให้เด็กอย่างเขา
“ประเทศไทยแม่งมีซานต้าที่ไหน เลอะเทอะว่ะหมอ”
TBC
เรียกว่าวายไทยเรื่องแรกได้ไหม แอบตื่นเต้น แล้วก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า ปกติเขียนแต่แฟนฟิคค่ะ ติ๋มบอกอยากลองอ่านวายไทยจากเราดู เราเลยลองค่ะ ฮือ ยากเหมือนกัน ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ใจคืออยากลองทำอะไรที่มันท้าทายดูบ้าง ถ้าชอบหรือมีส่วนไหนไม่โอเค ก็เมนท์ติติงกันได้เลยนะคะ ขอบคุณมากค้า
ความคิดเห็น