คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : The 05th Blessing
The 05th Blessing
The Lord of the ลิง: The Fellowship of the (เกย์) ‘King’
|[ไทเก็ก]|
‘...ฮือออออ...เฮียฟู...เฮียฟู.....พวกไอ้โก้ไอ้ปอมันเอากันดั้มของเก็กไปค๊าบบ....’
‘ไอ้ปอ ไอ้โก้...หนังหนานักใช่ไหม? แผลเก่าที่กูฝากไว้ยังไม่ทันหาย...
...อยากได้แผลใหม่อีกรึไง ถึงได้กล้ามาแกล้งน้องกูอีก...
.
...ไอ้เด็กเหี้ย!! พวกมึงอย่าอยู่เลย!...
...ย๊ากกกกกกก!!!’
‘เฮียฟู... เก็กนอนไม่หลับ ขอเก็กนอนด้วยได้ไหมครับ?’
‘....อือ...อะไรของมึงอีกอ่ะเก็ก?...
.
...ห้องมึงอยู่โน่นไม่ใช่หรือไง?...
...มึงกลับไปนอนห้องมึงเลยไป! คนจะหลับจะนอน’
‘นะเฮียฟูนะ...
.
...ขอเด็กนอนด้วยนะครับ...
...เก็กกลัวไอ้ฆาตกรมันโผล่มาเอาตัวเก็กไปอ่ะ...
...ให้เก็กนอนด้วยนะเฮียฟู...
...เฮียฟู นะ นะ...’
‘เฮ่ออออ...
...กูบอกมึงแล้วใชไหมว่าอย่าไปดูแม่งไอ้หนังโรคจิตนั่น มึงก็ยังเสือกดื้อนั่งดูอยู่ได้...
...เป็นไงล่ะมึง นอนไม่หลับเลยเห็นไหม...
.
.
...เอ้า... แล้วตกลงมึงจะยืน หรือจะนอน?...
...ถ้าจะยืน มึงไปยืนที่อื่น... แต่ถ้าจะนอน ก็คลานขึ้นเตียงมาซะที...
...อย่าลืมไปปิดไฟให้กูด้วย...
...เปิดไฟมาได้ แสบตาจะตายห่า’
‘ขอบคุณครับเฮีย...เฮียฟูใจดีที่สุดเลย!!’
‘รีบนอนก่อนกูจะเปลี่ยนใจ’
‘เก็กหลับแล้วเฮีย...คร่อก ฟี้...คร่อก ฟี้’
‘หึ!... ปัญญาอ่อนชิบหายน้องกู’
‘เฮียฟู...เก็กสอบเข้าโรงเรียนเฮียฟูได้แล้ว ทีนี้เก็กก็จะได้ไปโรงเรียนพร้อมเฮียฟูทุกวันเล้ยยย!’
‘เออๆ แต่ถ้าเรียนหนักแล้วอย่ามาบ่นกับกูทีหลังล่ะ ขี้เกียจฟังว่ะ’
‘โห่...เฮียแม่ง อย่างนี้ตลอดอ่ะ เฮียรู้ไหม...สองเดือนมานี่ เก็กอ่านหนังสือตาแทบหลุดเลยนะ...
...รางวงรางวัลก็ไม่คิดจะให้ เซ็งว่ะ’
‘เออๆ มึงเก่งมากไอ้น้องรัก สมแล้วที่กูยอมให้ม้ามีมึงเป็นลูกอีกคน’
‘ไม่ใช่ป๊ากับม้าที่อยากให้เก็กมาเกิดเป็นน้องเฮียหรอกเหรอ?’
‘โธ่ไอ้เก็กเอ๊ย...มึงยังมีหน้ามาสงสัยอีก ตอนนั้นมึงยังไม่เกิด มึงจะรู้ดีกว่ากูไปได้ยังไง?’
‘ได้ข่าวว่าตอนนั้นเฮียก็แค่ขวบเดียวไม่ใช่เหรอ?’
‘พูดมากว่ะมึง...ใครสั่งใครสอนวะ’
‘ม้า!!! เฮียฟูด่าม้าว่าไม่สั่งสอนเก็กอ่ะ’
‘ไอ้สัดเก็ก!!! มึงเอาตีนกูไปแดกเป็นรางวัลก่อนเลยแล้วกัน....ย๊ากกกกกกก!!!’
‘ม้า! เฮียฟูแกล้งเก็กค๊าบบบบบ!!’
‘ไอ้สัดแหง่...ตายซะเถอะ!!!!!’
‘...ฮึก...ฮึก...ฮือ....เฮียฟู...ไม่จริงใช่ไหมครับ?....ฮืออออ.....’
‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร...กูอยู่นี่แล้วนะ’
‘เฮียฟู...ฮึก...ฮึก....ป๊ากับม้าตายแล้วจริงๆเหรอเฮีย?’
‘ป๊ากับม้าแค่ล่วงหน้าไปเที่ยวเล่นรอกูกับมึงที่สวรรค์...แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ มึงยังมีกูอีกตั้งคนแหน่ะ’
‘...ฮืออออ....เฮียฟู...ฮือออออออ...’
‘จากวันนี้...เฮียจะอยู่กับเก็กเอง เฮียจะไม่ไปไหน’
‘...ฮึก...สัญญานะเฮีย...’
‘เออ...สัญญา’
‘ตั้งใจเรียนนะมึง...ปีสุดท้ายแล้ว สอบเข้ามอเดียวกับกูให้ได้ล่ะ ครอบครัวเราจะได้มาอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนซะที’
‘เฮียฟูไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...เก็กจะตั้งใจเรียน จะสอบเข้ามอเดียวกับเฮียให้ได้เลยคอยดู’
‘เออ...กูจะรอดู เหมือนที่ป๊ากับม้ารอดูมึงอยู่เสมอนั่นแหละ’
‘ครับเฮีย... เก็กจะไม่ทำให้เฮีย กับป๊าม้าผิดหวังแน่นอน’
‘เรื่องอิ๊กอ่ะ มึงไม่ต้องเสียใจไปหรอกเก็ก...เดี๋ยวคืนนี้ไปกินเหล้าฉลองโสดกับกู’
‘เฮียฟู...
.
...เฮียว่าเก็กแปลกไหมที่เก็กไม่เสียใจเลยหลังบอกเลิกอิ๊กอ่ะ?’
‘จะแปลกอะไรวะ ก็คนมันไปด้วยกันไม่ได้...เลิกกัน มันก็ธรรมดาป่ะวะ? จะเสียใจหาพระแสงปืนต้นหรือไง?’
‘ไม่ใช่อย่างนั้นนะเฮีย...
...ก่อนหน้านี้เก็กไม่ได้อยากเลิกกับอิ๊กเลยนะ ไม่งั้นเก็กจะปิดเฮียเรื่องที่แอบคบกับอิ๊กมาตั้งแต่มอสี่ไปทำไมล่ะ...
.
.
...แต่ไม่รู้ทำไมว่ะเฮีย...
...จู่ๆ เก็กก็ไม่รู้สึกอะไรกับอิ๊กอีกเลยอ่ะเฮีย...
...แบบ...มันเหมือนความรู้สึกรัก มันหายไปไหนก็ไม่รู้...
...เฮียว่าแปลกเปล่าล่ะ?’
‘ช่างแม่งเหอะวะ...เรื่องแล้วไปแล้ว มึงควรจะหยุดคิด หยุดสนใจเรื่องในอดีตได้ซะที...
.
...ไป ไป...ไปแดกเหล้ากับกู เดี๋ยวกูจะแนะนำสาวแจ่มๆให้มึงเอง’
‘...เฮียฟู.....เก็กไม่ได้ชอ.....
‘มึงยังเด็กเก็ก ยังต้องเจออะไรอีกเยอะ...อย่าเอาความรู้สึกชั่ววูบมาตัดสินว่ามึงจะเป็น...หรือไม่เป็นอะไร’
‘แต่เฮีย...เก็กรู้ตัวดีนะ แล้วก็แน่ใจแล้วด้วย’
‘เก็ก...กูบอกไว้เลยนะ ถ้ามึงคิดจะเป็นน้องกู...อย่าพูดกับกูด้วยเกี่ยวกับเรื่องเหี้ยนี่อีก กูไม่อยากฟัง’
‘ครับเฮีย’
‘ไป! แดกเหล้า...กูเปรี้ยวปากสัดหมาอ่ะ’
.
.
.
‘เฮีย...
...เมื่อกี๊...
...เก็กขอโทษนะครับ...
.
.
.
...เก็กรักเฮียนะ’
‘เออ...
...กูก็รักมึงเหมือนกัน...
...จำไว้นะเก็ก ในโลกนี้ ไม่มีใครรัก และหวังดีกับมึงได้เท่ากับกูอีกแล้ว’
‘ครับเฮียฟู’
สายตางุนงงสงสัยของนักศึกษาท่าทางติสท์ๆหลายคนยามมองผ่านทางผม
ทำให้ผมหลุดจากห้วงเวลาต่างๆในอดีตได้ในที่สุด
จริงอยู่... แม้การถูกมองตามด้วยสายตาทุกรูปแบบนับเป็นเรื่องปกติที่ผมเคยชิน
แต่เรื่องผิดปกติในเวลานี้เห็นจะเป็นการที่พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในสถานที่ของเขา... ในขณะที่ตัวผมกลับไม่
ผมกำลังนั่งอยู่ในโรงอาหารขนาดย่อมใต้ถุนคณะสถาปัตย์ทั้งๆที่ยังใส่ช็อปของคณะตนเองหราอยู่
พวกเขาเหล่านั้นคงจะสงสัยว่า...เด็กวิศวะอย่างผม มานั่งทำซากอ้อยอะไรที่นี่? สถานที่ๆนักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ค่อยปลื้มใจกับการเห็นหน้าเหี้ยมๆของเด็กใส่ช็อปเท่าไรนัก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อเช้า ที่ทำให้ผมได้รับรู้ความจริงบางอย่างอันน่าตกใจ...
ผมก็คงจะไม่มานั่งชิลอยู่ที่นี่ตั้งชาติกว่า เพื่อก่อให้เกิดมลพิษทางสายตาให้กับเด็กในคณะนี้โดยไม่จำเป็นหรอก
‘...เพราะพรที่พี่ชายของเจ้าขอจากข้า ก็คือ......ห้ามนายธันวา อริยะตรัยมีความรักกับผู้ชายคนไหนเป็นอันขาด’
‘...เจ้าจะรักผู้ชายคนไหนไม่ได้ กระทั่งรู้สึกดีๆด้วย ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน...’
‘...จะเกิดสถานการณ์บางอย่างซึ่งทำให้คนที่สนใจในตัวนายธันวา กลายเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง’
บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าเฮียฟู จะทำแบบนี้กับผมได้
เพราะหลังจากอุบัติเหตุเครื่องบินโดยสารตกเมื่อสี่ปีก่อนอันเป็นสาเหตุที่พรากป๊ากับม้าไปจากเราสองคนพี่น้อง
เฮียฟูก็ดูแลผมในทุกๆเรื่องอย่างดีเยี่ยมไม่ต่างจากผู้ปกครองคนหนึ่งมาโดยตลอด...
อืม...จริงๆแล้ว เรื่องมันก็ซับซ้อนกว่านั้นนิดหน่อย...
แต่เพราะเฮียฟูเป็นเฮียฟูที่ทำได้ทุกอย่าง เรื่องยุ่งยากทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่องง่ายๆภายในพริบตา โดยที่เรามีอาเจ็กซึ่งเป็นญาติห่างๆท่านหนึ่งคอยดูแลเรื่องเซ็นเอกสาร หรือออกงานในฐานะผู้ปกครองเฉพาะโอกาสที่เฮียฟูทำไม่ได้เท่านั้น
สำหรับผม...
คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากดำเนินรอยตามไปเสียทุกกระเบียดมาโดยตลอด คือ เฮียฟูผู้แข็งแกร่ง และใจดีที่สุดคนนี้แต่เพียงผู้เดียว...
ตั้งแต่เล็กจนโต เฮียฟูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบเล็กของผม...
เฮียฟูเป็นทั้งพี่ชายคนโต เป็นเพื่อนสนิทคนแรก เป็นคนที่คอยคุ้มครองปกป้องดูแลผมเป็นอย่างดีโดยไม่มีตกหล่น
ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เฮียจะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจ หรือต้องผิดหวังเป็นอันขาด
แต่แล้วแม่งก็ไม่ใช่...
เรื่องที่ผมได้ฟังจากปากเจ้าพ่อทั้งสองนั่น สั่นคลอนความเชื่อเดิมๆที่ผมเคยมีต่อเฮียฟูเสียกระเจิงไปหมด
ครั้นจะย้อนว่าไม่เชื่อ... ผมกลับเสือกแย้งได้ไม่เต็มปาก
เพราะผมรู้ดีว่า สิ่งที่เจ้าพ่อไทรทองพูด เป็นความจริงอย่างที่สุด...
.
.
...ความจริงอันน่าอับอายที่ผมไม่กล้าบอกให้ใครรู้...
...ไม่เว้นแม้แต่เหล่าสมุนเลวของเจ้าพ่อห่อไหล่ทั้งสี่ซึ่งมีน้ำใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือผมด้วยความยินดี ทั้งที่ผมกับพวกเขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันแม้แต่น้อย
‘...ถ้าคนเหล่านั้นยังขืนดื้อดึง หรือฝ่าฟันเรื่องที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้...
...สุดท้าย ธันวาเองนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายถอยห่างออกไปโดยไม่มีข้อแม้’
เมื่อปลายปีที่แล้ว...
ก็ไอ้ช่วงเดียวกับที่เจ้าพ่อไทรทองบอกว่าเฮียฟูไปขอพรกับท่านนั่นแหละ...
อยู่ๆก็เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับตัวผม...
ความรู้สึกรักฉันท์ชู้สาวที่ผมเคยมีเฉกเช่นชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ทั่วไป กลับเหือดระเหยแห้งหายไปราวกับไอน้ำในอากาศ
ผมไม่อาจสัมผัสความรู้สึกรัก หรือเติมเต็มความปรารถนาทางเพศของตัวเองกับชายอื่นชายใดได้เลยแม้แต่คนเดียว
กระทั่งอิ๊ก...แฟนคนแรกและคนเดียวที่ผมรักมาก ผู้ชายที่ผมรักพอๆกับที่รักเฮีย และรักไม่น้อยไปกว่าที่รักป๊ากับม้า
ผมยังจำวันที่ผมเลิกกับอิ๊กได้อย่างไม่มีตกหล่น...
หลังจากตื่นนอนวันนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่า...อิ๊กได้กลายเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ผมไม่ควรวิสาสะด้วยอีกต่อไป
อะไรบางอย่าง...สั่งให้ผมรีบมองหาประสบการณ์สดใหม่จากคนอื่นที่น่าสนใจกว่า หลังจากรู้ตัวแล้วว่า ผมเสียเวลาจมปลักดักดานอยู่กับอิ๊กมานานหลายปี
ผมบอกเลิกอิ๊กต่อหน้าเพื่อนๆทุกคนในคณะของเขาด้วยท่าทางเป็นการเป็นงานและห่างเหิน ราวกับกำลังกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับก้อนน้ำแข็งขั้วโลกที่แย่งกันละลายภายหลังจากโลกร้อนเข้าขั้นวิกฤต อิ๊กเทียวมาเฝ้าตาม อ้อนวอนพลางร้องไห้คร่ำครวญขอโอกาสจากผมร่วมหลายเดือน แต่ทุกครั้ง...น้ำตา หรือความเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายที่ส่งผ่านสีหน้า ท่าทาง กระทั่งแววตาของเขากลับไม่ทำให้ผมรู้สึกร่วมใดๆ...นิดเดียว ก็ไม่มี
พอหมดเรื่องอิ๊ก...
มีหลายครั้งที่ผมเกิดหวั่นไหวใจเต้นกับชายหนุ่มมากหน้าหลายตา
แต่ผมกลับไม่อาจสานต่อความสัมพันธ์กับใครได้ ไม่ว่าทางใจ หรือแค่ทางกายก็ตาม
ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่สังเกตตัวเอง ผมมักจะแปลกใจเสมอที่มีความรู้สึกเหมือนคนแพ้ท้องอยู่ตลอด
โดนเฉพาะเวลาที่ผมอยู่กับหนุ่มน้อยหน้ามนคนใดก็ตามแบบสองต่อสองในห้องหับมิดชิด
ร่างกายผมมักจะป่วยนั่น เจ็บนี่ จะรู้สึกไม่ค่อยดีแบบไม่มีเหตุผลขึ้นมาเฉยๆ...
วันไหนผีเข้าผีออกหนักๆหน่อย กระทั่งเห็นหน้าผู้ชายสายรับทั้งหลายส่งยิ้ม หรือทอดสายตาหยาดเยิ้มหยดย้อยมาให้
ผมถึงกับต้องก็วิ่งไปอ้วก หรือรีบเข้าห้องน้ำไปถ่ายหนักเพราะท้องดันส่งเสียงปู๊ดป๊าดแบบเซ็นเซอราวด์ไม่มีไว้หน้ากันขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หนที่น่าอายที่สุด คือ ครั้งที่ออกไปกินข้าวกับเดือนแพทย์สุดจิ้มลิ้ม
ผมเสือกท้องร่วงถึงขั้นหมอบกราบราบคลานอยู่บนพื้นห้องน้ำเพราะอาหารเป็นพิษอย่างรุนแรง
ทั้งที่ปกติผมเป็นพวกธาตุแข็ง แถมเคยไม่มีประวัติแพ้อาหารใดๆมาก่อน
เดือนร้อนถึงเดือนแพทย์กับพนักงานร้านอาหารอีกหลายคนให้ต้องช่วยกันงัดประตูห้องน้ำออก ก่อนจะลากสังขารผมไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลโดยไม่คิดแยแส
นี่ยังไม่นับพวกที่ดอดมานอนให้ท่าผมถึงห้องเลยนะ
เวลาเปิดห้องมาจ๊ะเอ๋กับผู้ชายในสภาพวาบหวิวจังจังหน้า ผมแม่งก็ดันรู้สึกคลื่นไส้วิงเวียนคลื่นเหียนเหมือนจะเป็นลม
หายใจไม่ออกจนต้องพึ่งยาดมคล้ายกับเห็นความตายอยู่ปลายมือ
จากที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ปลดปล่อยให้ซาบซ่าน กลับกลายเป็นหดหู่และหย่อนยานไปเสียดื้อๆ...
เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็มีข่าวลือลอยมาเข้าหูผมเป็นครั้งคราวว่า สุดหล่ออดีตเดือนมหาลัย...คือขุนกระบี่ไร้น้ำยา
จนผมไม่เหลือหน้าจะไปแอ่วหนุ่มหน้าไหนอีกต่อไป
ก่อนทุกอย่างจะดำเนินไปถึงจุดแตกหักทางอารมณ์...
ที่สุดผมก็ไม่อาจอดทนกับอาการผิดปกติทางกายทั้งหลาย กับสายตาดูถูกเหยียดหยามบ้องข้าวหลามไร้ความมันของตัวเองได้อีกต่อไป
ผมจึงตัดสินใจไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียดอยู่หลายครั้ง ต่างโรงพยาบาล...
แต่ผลการตรวจร่างกายซึ่งระบุความสมบูรณ์แข็งแรงที่ตรงกันของทุกแห่งกลับยิ่งทำให้ผมหนักใจ และเริ่มสังเกตตัวเองนับตั้งแต่นั้น
และแล้วผมก็ได้รู้ว่า... ร่างกายผมปฏิเสธการมีตัวตนของความรัก และความรู้สึกวาบหวามกับผู้ชายคนอื่นๆไปโดยสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่อาจเข้าใกล้ผู้ชายคนใดกที่ทำให้ผมใจเต้นผิดจังหวะได้แม้แต่นิดเดียว
เพราะถ้าไม่ป่วยจนร่างกายทนไม่ไหว ก็จะเกิดเรื่องอุบาทว์น่าอับอายขึ้นจนอีกฝ่ายหมดอารมณ์กับผมไปเสียเอง...
นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมอุทิศเวลาและแรงกายไปกับการวิ่งไล่ลูกบอล ไม่ก็เล่นกีฬาเป็นบ้าเป็นหลังตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
และหากยังเหลือเวลาว่าง ผมจะใช้เรื่องรักในนิยายวายสุดฟินทั้งหลายแหล่ขับไล่ความรู้สึกฟุ้งซ่านให้หายไป เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับการเข้าใกล้ผู้ชายหน้าไหน จนเพลี่ยงพล้ำทำให้ตัวเองต้องอับอายด้วยเรื่องชวนขายหน้าโดยไม่จำเป็น
“โอ้ว! คุณธันวา มานานแล้วเหรอครับ?...
.
...ดีเลย งั้นพวกผมฝากคุณธันวานั่งเป็นเพื่อนบ๊วยหน่อยก็แล้วกันนะครับ...
...พอดีพวกผมสามคนว่าจะไปหาอะไรแจ๊บๆกันซักจื๊ด...
...แต่คุณธันวาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับว่าจะหิวระหว่างที่เราประชุมกัน เดี๋ยวผมให้พี่ฌานซื้อหนมมาฝากคุณธันวาเองครับ อะเหอ เหอ เหอ”
ถ้าผมจำไม่ผิด...
ไอ้หน้าแว่นที่โฉบเข้ามาด้วยความเร็วราวกับพายุบุแคม ก่อนจะแร็พใส่หน้า แล้วจึงแว่บหายไปทันทีที่พูดเรื่องตัวเองจบ
โดยไม่สนว่าผมจะยินดียินร้ายอย่างไรคนนั้น น่าจะชื่อว่า...สกล...
เด็กคณะนี้แม่งแปลกระดับเกินยอดคนไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง
“ขอโทษนะ”
เสียงเบาๆคล้ายกับเจ้าของเสียงไม่ตั้งใจจะเปล่งให้พ้นลำคอ ดังผ่านริมฝีปากบางๆของผู้ชายหัวฟูร่างผอมกะหร่อง หน้าตาธรรมดาๆดูหมองๆแบบไร้ความโดดเด่นหรือดึงดูด สิ่งที่เขาพูดนั้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนผมต้องถามอีกครั้ง
“ห๊ะ?!... เมื่อกี๊คุณว่าอะไรนะ?”
.
.
.
.
“เอ่อ... ผมบอกว่า...ขอโทษ...
...ขอโทษสำหรับทุกๆเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น” ท่าทางเขาดูกระมิดกระเมี้ยนชอบกล... คนปกติเขาทำตัวนอบน้อมใส่คนรุ่นราวคราวเดียวกันได้มากขนาดนี้เชียวหรือ? เพื่อนผมแต่ละคนนี่ไม่มีเลยนะ
“คุณหมายถึงเรื่องอะไรเหรอ?” ผมถามออกไปตรงๆเพื่อจะได้ไม่หลงประเด็น
.
.
.
.
.
“เอ่อ...ก็...เรื่องแปลกๆที่ทำให้คุณต้องคอยระแวง และผวาจนไม่เป็นอันทำอะไรน่ะครับ” ผมว่าถ้าต้องพูดขอโทษผมอีกนิดเดียว คนๆนี้คงได้ร้องไห้จริงๆแหละ ตานี่แดงก่ำ น้ำตาก็ปริ่มเลยแฮะ
“ก็...ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก คุณอย่าคิดมากไปเลย” ผมยักไหล่
เขาดูจะเสียใจยิ่งไปกว่าเก่า เมื่อเห็นผมดูจะไม่ใส่ใจคำพูดของเขามากนัก...
แต่ทำไมแววตาจ๋อยๆ หน้าจ๋องๆของคนๆนี้ ถึงได้ดูคุ้นตาผมนักวะ?
.
.
.
อ๋อ! ใช่...จำได้ล่ะ...
เรื่องมันเป็นอแบบนี้นี่เอง...
เขาคือผู้ชายคนเดียวกันกับคนที่ผมบังเอิญไปเจอในห้องน้ำโรงอาหารกลางเมื่อวาน
เขาทำให้ผมลืมเสื้อที่ซักทิ้งไว้แล้ววิ่งไปอ้วกได้สำเร็จ หลังจากที่ล้มทับตัวเขาต่อด้วยประกบปากกันเพราะความผิดพลาดทางเทคนิคอย่างใหญ่หลวง
และเขาคือคนที่ขอพรให้เจ้าพ่อห่อไหล่ทำให้ผมกับเขารักกัน...
ถ้าเป็นคนอื่น คงจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผม ให้ของ หรือไม่ก็ให้ท่ากันโต้งๆไปแล้วตั้งแต่แรก...
แล้วเพราะอะไรกันล่ะ?...
อะไรทำให้คนๆหนึ่งถึงเลือกยืมมือเทพเจ้ามาแก้ปัญหาความรัก? ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างที่สุด
การบนบานแปลกๆแบบที่คนอื่นไม่ทำกัน มันจะทำให้ใจของคนสองคนตรงกันได้ด้วยหรือวะ?
ความรักแม่งไม่ได้เกิดจากความชอบใจหลังจากได้เรียนรู้อุปนิสัยใจคอกันอย่างถ่องแท้หรอกเหรอ?
“เออคุณ...ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ”
ดูเหมือนไม่ว่าอะไรที่ผมทำ ก็สามารถเรียกความสนใจของเขาได้อย่างน่าพิศวง
เพราะจากที่นั่งก้มหน้าก้มตาแบบนิ่งติ๋ม จนผมเผลอนึกไปว่ากำลังนั่งอยู่กับหุ่นปลาทูหน้างอคอหักอีกหนึ่งตัว
เขาก็เปลี่ยนมานั่งยิ้มจนตาหยีแล้วตั้งหน้าตั้งตาฟังสิ่งที่ผมต้องการจะถามทันที... นี่ของผมดีขนาดเปลี่ยนโหมดคนอื่นได้เชียวหรือวะ?
“อะไรเหรอครับ?”
“ทำไมคุณต้องให้เจ้าพ่อห่อไหล่ช่วยทำให้ผมรักคุณด้วยล่ะ?”
.
.
.
.
.
“...เอ่อ...”
แล้วนั่นจะบิดชีทจนใกล้ขาดเพื่อ?...
เขินเหรอ?
เออเว้ย! เขินแล้วทำลายข้าวของ...
ดี! เดี๋ยววันไหนจะพาไปนั่งเขินที่สนามหญ้าหน้าบ้าน จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงตัดหญ้าให้เหนื่อย
“ถ้าคุณไม่อยากบอก คุณก็ไม่ต้องบอกผมก็ได้นะ” ผมดึงเชง แน่ล่ะ...ไม่ได้ทำเพราะไม่อยากรู้ แต่เพราะโคตรอยากรู้ต่างหาก ถึงได้ทำให้อีกฝ่ายอยากเล่า แล้วก็จากไปแบบนี้อย่างไรล่ะ
“เปล่า เปล่าครับ...
.
...ที่ผมต้องไปบนกับเจ้าพ่อ...
...เพราะผม.....ไม่มั่นใจว่าคนอย่างผม จะทำให้คนดังอย่างคุณหันมารักผมได้น่ะครับ” คำตอบโคตรเจียม ทั้งที่ความทะเยอทะยานสูงเทียมเมฆมากๆเลยว่ะ นับถือจริงๆ
“อืม” ยังดีที่พรของเจ้าพ่อไทรทองไม่ได้ทำให้ผมสูญเสียมารยาทการเข้าสังคมไปพร้อมๆกับหัวจิตหัวใจ ไม่อย่างนั้นผมคงได้พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรงกับการประมาณตนของพี่แกแหงๆ
“พอคุณรู้แล้วแบบนี้ คุณก็บอกปัดผมได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก” ปากเขาพูดอย่าง แต่ท่าทางใจเขาคงจะไม่ได้คิดแบบนั้น ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะบอกกับอีกฝ่ายทำร้ายหัวใจคนฟังได้ไม่น้อย แต่ก็ดีกว่าผมปล่อยให้เขาฝันเลื่อยลอยจนเจ็บปวดไปเสียเปล่าๆ
“ขอโทษด้วยนะ...ผมขอโทษจริงๆที่รับความรู้สึกดีๆของคุณเอาไว้ไม่ได้...
.
...เพราะถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจของพรจากเจ้าพ่อไทรทอง...
...ตอนนี้ ผมก็คงยังไม่เลิกกับแฟนเก่า และผมก็มั่นใจว่า...ผมกับอิ๊ก น่าจะคบกันไปอีกนานน่ะ...
...ซึ่งถ้าพรที่เฮียฟูขอถูกทำลายไป ผมก็น่าจะกลับไปขอโอกาสจากอิ๊กอีกหน...ถ้าเขาจะยังรอผมน่ะนะ”
“ครับ...ผมรู้ ผมเข้าใจ...คุณคงรักเขามากสินะครับ”
“ผมกับอิ๊ก...เราสองคนรักกันมาก...อุ๊บ!!!” ผมต้องเอามือขึ้นมาอุดปากทันทีที่รู้สึกตัวว่าร่างกายกำลังจะโปรเจคเสียงเรอห่าใหญ่ออกมาให้ได้อายอีกครั้ง...
เมื่อกี๊นี้มันคืออะไร?
กะอีแค่พูดว่ารักใครยังทำไม่ได้เลยเหรอ?!!
สมควรแล้วที่ไอ้พรห่าเหวของเฮียฟูจะต้องถูกกำจัด...สัดหมาเอ๊ย!!!
“คุณ!! คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ไหวไหม? อยากให้ผมไปซื้ออะไรเย็นๆมาให้ดื่มดีไหมครับ?” ไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่หน้าตาของคนพูดฟ้องชัดว่า เขากำลังเป็นห่วงผมอย่างที่สุด
“เปล่าๆ ผมโอเค” ผมรีบตอบเพื่อให้เขาคลายใจ ก่อนจะหยุดคิดเรื่องรักๆใคร่ๆเอาไว้สักพัก แล้วถามเขากลับ
“คุณรู้บอกว่า คุณรู้ว่าผมรู้สึกยังไง...ทั้งๆที่คุณชอบผมจนต้องไปบนขอพรเจ้าพ่อห่อไหล่เนี่ยะนะ?...
...เท่านั้นยังไม่พอ คุณยังจะมาช่วยผมล้างพรของเฮียฟูอีก?...
...ถ้าคุณไม่ได้อะไรจากการช่วยเหลือผมเลย แล้วอย่างนี้คุณจะทำไปเพื่ออะไรล่ะ?”
.
.
.
.
.
“อืมมมม เพราะผมคิดว่า อกหัก...ดีกว่ารักไม่ได้น่ะครับ...
...ถึงท้ายที่สุดแล้ว ผมจะไม่ได้สมหวังกับคุณอย่างที่ฝันเอาไว้ แต่การที่รู้ว่าคุณจะไม่มีโอกาสรักใครได้ไปตลอดชีวิต...
...มันดูโหดร้าย และไม่ยุติธรรมกับคุณยังไงไม่รู้...
.
.
...ขนาดผมเป็นคนอื่นที่แค่รับฟังเฉยๆ...ผมยังอดเศร้าใจแทนไม่ได้เลย...
...แย่ออกนะ อุตส่าห์เกิดมาเป็นถึงนายธันวา อริยะตรัยหนุ่มหล่อสุดเพอร์เฟกต์ทั้งที แต่กลับต้องกลายเป็นหอคอยงาช้างเพื่อให้คนชื่นชมแค่เพียงห่างๆอยู่ฝ่ายเดียว เพราะถูกสาปให้ไม่อาจรักใครได้”
ฟังดู...เขาก็เป็นคนดีใช่ย่อย คบเอาไว้เป็นเพื่อนคงจะไม่เสียหาย...
แถมดูจะใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาอุรังอุตังร่างใหญ่อีกสามตัวที่เหลือ
และที่จะลืมไปไม่ได้ ก็คือ... ถ้าไม่ใช่เพราะเขา...
ผมอาจต้องปลูกเขาจนยาวโง้งแล้วเสี้ยมจนคม จะได้เอาไว้ขวิดไอ้พวกโรคจิตที่เอาแต่ลวนลามผมจนไม่เป็นอันเตะบอล...
ตกเย็นผมก็ต้องคอยตามหาหนังสือประโลมโลกอ่านประโลมใจก่อนนอนเพื่อให้เวลาผ่านไปอีกวันโดยไม่อ้างว้างเกินไป...
แล้วไอ้ชีวิตแบบนั้น มันดีตรงไหนวะ?
“ขอบคุณนะครับที่คุณยอมช่วย...
.
...บอกตรงๆนะครับ...
...การที่มีคุณอยู่ด้วยท่ามกลางคนอื่นๆในกลุ่มน่ะ มันทำให้ผมอุ่นใจยังไงก็ไม่รู้...
...คือ...อย่าว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลยคุณ...
...แต่ผมว่า...เพื่อนคุณดูหลุดโลกแปลกๆนะ...คุณว่าไหม?” ผมพยายามใช้ถ้อยคำรักษาน้ำใจอีกฝ่ายมากพอดู...การเรียกอุรังอุตังกลุ่มนั้นเสียหรูว่า ‘หลุดโลก’ ก็ถือเป็นการอุปโลกน์คุณสมบัติจนดีเกินจริงไปมากแล้ว
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผมเพิ่งบอก แววตาขำขันของเขาก็ฉายกล้าออกมาจนทำให้ผมกลั้นยิ้มไม่ได้จริงๆ
จะว่าไป...หน้าตอนยิ้มของคนๆนี้ก็ดูมีเสน่ห์ดีเหมือนกันนะ...
เออแฮะ...ก็ไม่เลวร้ายเท่าไรนี่หว่า....
อุ๊บ!!!!! ไอ้น้ำเปรี้ยวห่า...หาเรื่องจะสแปลชออกจากปากผมอีกแล้ว
“หึ หึ...ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้งครับ...
...แต่พวกเขานิสัยดีนะครับ รับรองว่าถ้าคุณรู้จักพวกเขามากกว่านี้ คุณจะต้องชอบสามคนนั้นแน่ๆ” อาจเป็นเพราะผมรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับผมแต่กลับไม่เร้าหรือจนดูงี่เงา แถมเขายังดูไม่เป็นพิษเป็นภัยเมื่อเทียบกับไอ้ลิงสามตัวนั่น ผมเลยอยากทำตัวเป็นกันเองกับเขามากชึ้นโดยไม่มีเหตุผล
“คุณเรียกผมว่าเก็กเถอะ...
.
...แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องใช้คำสุภาพกับผมนักหรอก ไหนๆเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่เนอะ” คนฟังยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินคำผม เขาดูประหลาดใจ ทว่ายินดีอยู่ในที
แหม่...ไอ้พรเหี้ยนี่ก็รู้ดีจริง!!
ปล่อยให้ผมชื่นชมรอยยิ้มน่ามองสักนาทีสองนาทีแค่นี้ก็ไม่ได้ แม่งเสือกทำน้ำลายผมเปรี้ยวจนขมไปทั้งปากแล้วเนี่ยะ!!
“ครับเก็ก...ถ้างั้นเก็กเรียกผมว่าบ๊วยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องลำบากคุณๆผมๆให้ต้องตะขิดตะขวงใจ...
.
...ส่วนเรื่องการพูดแบบสุภาพ ผมคนเดียวคงเปลี่ยนแปลงอะไรมากไม่ได้หรอกครับ...
...เพราะพี่ฌาน...เอ่อ...ผมหมายถึงฝาแฝดคนพี่น่ะครับ ควรจะถือศีลแปดให้ได้ตลอดเวลา...
...พี่ฌานเคยบอกว่า การที่เพื่อนๆทุกคนงดเว้นจากการใช้คำหยาบระหว่างการสนทนา ถือเป็นการทำบุญอย่างนึง เพราะนั่นเท่ากับได้ช่วยให้ฆราวาสผู้ทรงศีลอย่างพี่ฌานยังคงรักษาศีลข้อมุสาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น...
.
.
...แต่คุณจะพูดแบบไหนก็ได้นะครับ พวกผมรับได้หมดแหละ” เขาปิดการอธิบายด้วยรอยยิ้มอีกแล้ว ไม่นึกเลยว่าเขาจะยิ้มง่ายและยิ้มเรี่ยราดขนาดนี้ ถ้าให้ดี...ผมควรต้องรีบชินกับรอยยิ้มของเขาโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นผมต้องได้เป็นกรดไหลย้อนก่อนเวลาอันควรแน่ๆ
“ใครรับอะไรใครได้เหรอ? หรือบ๊วยจะรับใคร...บอกพี่ฌานหน่อยได้ไหมครับ?”
ตัวหัวโจกของเหล่าอุรังอุตังทั้งสามที่เดินกลับมาพร้อมกับของกินมากมายส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล
ไอ้คำพูดสองแง่สองง่ามชวนให้คิดลึกเนี่ยะนะ คือ คำพูดสามัญในหมู่เพื่อนของคนทรงศีล... รักษาศีลกันอีท่าไหนวะ?
“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ฌาน ผมแค่คุยกับเก็กเรื่องทั่วๆไปน่ะครับ” ดูๆแล้ว บ๊วยนี่น่าจะเป็นที่รักของทุกคนมากทีเดียวแฮะ ไม่อย่างนั้นฝาแฝดหน้าหยกทั้งสองคงไม่ต้องนั่งประกบซ้ายขวาราวกับไข่ในหินอย่างนี้หรอก
“บ๊วย..ฌอนซื้อกล้วยบวชชีมาให้ รีบกินสิ กำลังร้อนๆเลย”
คนที่เรียกตัวเองว่าฌอนนี่น่าจะเป็นแฝดคนน้อง เพราะเห็นบ๊วยเรียกแฝดพี่ว่าพี่ฌาน
หน้าเหมือนกันอย่างกับแบ่งตัวออกมาจากร่างหลักแบบนี้...แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นใครวะ?
เกิดมาก็เพิ่งเคยต้องคบหากับฝาแฝด ไม่รู้ว่าตอนคุยกันจะงงขนาดไหน
‘ป็อบ!’ / ‘เฮ่ลโหล่ว โหม่วโต๊ว!!!’
สิ้นเสียงสัญญาณบ่งบอกการปรากฏกายของเจ้าพ่อทั้งสอง ผมก็ก้มดูเวลาที่ข้อมือ
แล้วก็ตระหนักว่า การฆ่าเวลาด้วยการนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตรงใต้คณะคนอื่นนั้นได้ผลดีเป็นที่น่าชื่นชม...
เพราะเผลอแผล็บเดียว ผมก็นั่งเล่นใต้ตึกคณะสถาปัตย์มาร่วมๆสองชั่วโมง ในที่สุดก็ได้เวลารวมตัวเหล่าสมุนทั้งห้าและองค์เทพเพื่อเริ่มประชุมแผนลบล้างพรของเฮียฟูกันเสียที
พอได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองปรากฏตัวอีกครั้ง... ผมก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆไม่ได้
ใครกันจะคิดล่ะว่า วันหนึ่ง...ผมจะมีโอกาสเห็นสิ่งลี้ลับจับต้องไม่ได้ต่อหน้าต่อตา โดยไม่ต้องไปวิ่งล่าท้าผีตามบ้านร้างหลังโน้นหลังนี้ให้หอบแดก แถมยังไม่ต้องเสี่ยงกับการโดนผู้หญิงลวนลามเพราะกลัวความมืดซึ่งไม่มีตัวตนอีก
ยิ่งไปกว่านั้น...
ใครเลยจะรู้ว่า ผมจะต้องมาสุมหัวคิดหาทางแก้ปัญหาระดับชาติว่าด้วยการสร้างชีวิตคู่ให้เฮียฟูกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ไปพร้อมๆกับคนแปลกหน้า...คนหน้าแปลก...และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามอารมณ์ของผมยามจ้องมองแบบนี้... นี่มันส่วนผสมแห่งความประหลาดอย่างแท้จริงชัดๆ!!
ชักอยากรู้เสียแล้วสิว่า เจ้าพ่อทั้งสองจะทำอย่างไรต่อไป...
เพราะเมื่อมานึกๆดูถึงวิธีแก้ไขพรเฮียฟูตามที่เจ้าพ่อทั้งสองเกริ่นสั้นๆให้ฟังเมื่อเช้า... ก็ใช่ว่าผมจะวางใจนัก
ผมรู้จักพี่ชายของตัวเองเป็นอย่างดี ผมรู้ว่าเฮียฟูทั้งเกลียด และกลัวเกย์อย่างกับอะไร...
เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำให้เฮียเกิดพิสวาสผู้ชายด้วยกันเข้าจริงๆ
และเป็นไม่ได้อย่างยิ่ง ที่จะทำให้ผู้ชายคนไหนรับสภาพความเถื่อนถ่อยสก๊อยยังรังเกียจของเฮียฟูได้แน่ๆ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
“เอาล่ะเสมียน...เอ๊ย! สมุน” เจ้าพ่อไทรทองที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อโปโล กางเกงขาสั้นพอดีเข่าในโทนสีสัญญาณไฟจราจรเล่นมุก ก่อนจะปรับท่าทางให้เป็นหลักเป็นฐานเมื่อเห็นสายตาเชือดเฉือนของเจ้าพ่อห่อไหล่ “อ่ะแฮ่ม!.. ในเมื่อเรามาพร้อมกันแล้ว...เรามาเริ่มหารือถึงแนวทางในการล้างพรของข้ากันเลยดีกว่า”
“แต่เราคงไม่มีทางรู้ว่าเราจะเริ่มต้นยังไงถ้าเราไม่รู้จักเป้าหมายของเราเป็นอย่างดีเสียก่อน...พวกเจ้าว่าจริงไหม?” เจ้าพ่อห่อไหล่ตั้งกระทู้ถาม ทำให้สมุนเลวรุ่นดั้งเดิมทั้งสี่ต่างพยักหน้าเห็นด้วยเป็นการใหญ่ “ธันวา...เจ้าช่วยบอกให้พวกเรารู้หน่อยสิว่า พี่ชายเจ้าเป็นมนุษย์แบบไหน และเพราะอะไรพี่ชายเจ้าถึงได้เกลียดเกย์เป็นที่สุด?”
“ถ้าตัดเรื่องที่เฮียฟูเกลียดเกย์ออกไป เฮียฟูก็เป็นพี่ชายที่ดีที่สุดเท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะเป็นได้น่ะครับ...
.
...เฮียฟูดูแลผมและจัดการทุกอย่างในบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบหลังจากที่พ่อแม่ของเราเสียไปเมื่อหลายปีก่อน...
...เฮียฟูรักผมมาก... ความรักของเฮียฟูทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาด หรือมีไม่เท่าคนอื่น...
...เฮียฟูเป็นผู้ชายเข้มแข็ง เป็นตัวอย่างของผู้ชายในอุดมคติที่ผมอยากจะเป็นบ้างในตอนที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่” อดีตเดือนมหาลัยจงใจละคุณสมบัติด้านลบของพี่ชายตนเองเอาไว้... เขายังไม่จนแต้มขนาดจะต้องขายพี่ชายตนเองทอดตลาดให้กังฟูต้องอับอายในสายตาคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
“โห! ดูท่าคุณกรกฏพี่ชายของคุณธันวานี่น่าจะแมนกว่าพี่ฌานเป็นล้านเท่าเลยนะครับ...น่าเลื่อมใส น่าเลื่อมใส” สกลชื่นชมพี่ชายเก็กโดยไม่ลืมชิ่งลูกตบไปกระทบแฝดพี่ จนอีกฝ่ายเริ่มขมวดหัวคิ้ว
“แล้วทำไมพี่ชายนายถึงได้ไม่ชอบเกย์ล่ะเก็ก?” แค่บ๊วยถามออกมาในที่ประชุมต่อหน้าต่อตากองทัพสื่อสอดทั้งหลาย ก็ทำให้สามหนุ่มเพื่อนซี้ตาลุกวาวด้วยความตกใจ แต่นี่บ๊วยกลับล้ำหน้ายิ่งไปกว่านั้น...เพราะการเรียกอดีตเดือนมหาวิทยาลัยด้วยชื่อเล่นกันต่อหน้า มันคือปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือไร???!!!
“อ๋อ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก...
.
...คือ ตอนมัธยม เรากับพี่ชายเรียนโรงเรียนชายล้วนกินนอนมาตลอด...
...ไอ้เรื่องที่ผู้ชายได้กัน มันก็เป็นธรรมดาของโรงเรียนแบบนี้น่ะแหละ...
...แต่ที่มันไม่ธรรมดาก็คือ ตอนที่ต้องกลายเป็นที่หมายตาของผู้ชายคนอื่นทั้งๆที่ไม่เต็มใจจะเล่นด้วยยังไงล่ะ...
.
.
.
...เฮียฟูเคยโดนผู้ชายคนอื่นลากเข้าห้อง แต่สุดท้ายเฮียก็หนีออกมาได้โดยไม่บุบสลายแต่ประการใดน่ะ”
“อย่างนี้เอง...
.
...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพี่นายถึงได้ทั้งเกลียดและกลัวเกย์มาตั้งแต่ตอนนั้น” คราวนี้เป็นฌอนที่สรุป และเก็กก็พยักหน้าให้แทนการยอมรับ ส่วนสกลกับบ๊วยต่างแสดงสีหน้าแปลกใจ ด้วยไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ชายของอดีตเดือนมหาวิทยาลัยเคนเป็นศิษย์ร่วมโรงเรียนมัธยมกับพวกเขาทั้งคู่ ที่ผ่านมาเขาทั้งสองคนมัวแต่ไปมุดอยู่ที่รูไหนกันแน่?
“โอ้ มาย ลอร์ดเดอะ!! งานนี้ท่าจะหนักหนาเอาการ” ทั้งที่คำพูดฟังคล้ายกับหนักใจ แต่เจ้าพ่อไทรทองกลับยิ้มอย่างมีเลศนัยชวนให้นึกระแวง
“ก็นั่นไง...ผมถึงได้บอกคุณว่า ถึงเราจะมีกันหลายหัว แต่จะให้ไปจับคู่พี่ชายนายธันวาที่ชิงชังเกย์เหนือสิ่งอื่นใด ให้รักใคร่ชอบพอกับผู้ชายอีกคนน่ะมันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก...
.
...นี่ยังเพิ่งแค่เริ่มต้นเองนะ...
...สิ่งที่ผมลำบากใจยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเรายังไม่รู้เลยว่า ลำพังด้วยความสามารถของเราทั้งหมดรวมกันนี่ เราจะตามหาผู้ชายคนที่จะมาเป็นคู่ให้กับพี่ชายของธันวาเจอหรือไม่” เจ้าพ่อห่อไหล่พ้อ ก่อนจะค้อนจนหน้าคว่ำใส่เทวบุตรอีกองค์ เจ้าพ่อไทรทองชอบอกชอบใจท่าทางกระเง้ากระงอดขององค์เทพสุดที่รักเป็นอันมาก จึงยอมเผยความลับที่ตนได้ลงทุนไปสืบมาเป็นค่าตอบแทนทีท่าน่าเอ็นดูยามเผลอไผลของอีกฝ่าย
“โธ่เบ๊บ!! เบ๊บจะกังวลให้หน้าสวยๆมีริ้วรอยไปทำไมกันครับ?...
...บันยันยังไม่ได้บอกเลยว่า บันยันจะหาเนื้อคู่ของนายกังฟูไม่ได้น่ะ...
...โอ่เอ๊ โอ่เอ๊ แต่ช้าแต่...หายงอนบันยันน้า...
...นะครับเบ๊บ” เจ้าพ่อไทรทองตีเนียนด้วยการลูบหลังลูบไหล่เทวบุตรอีกองค์ที่กำลังปั้นปึงคล้ายกับจะปลอบใจ ฝ่ามือของเทวบุตรสุดชิคต้องมีอันชะงักก่อนจะได้ลูบไล้ลงต่ำกว่าบั้นเอวสอบของเจ้าพ่อห่อไหล่ เมื่อได้ยินเสียงสอดแทรกแดกดันหลุดออกจากปากสมุนสามหาวหน้าแว่น
“เอ่อ เจ้าพ่อครับ...
.
...ที่นัดพวกเรามา ก็เพื่อจะหาคู่ให้คุณกรกฏพี่ชายของคุณธันวากันไม่ใช่เหรอครับ...
...หรือว่าพวกผมหลงเดินเข้ามาในงานสัปดาห์เวดดิ้งชายสิงชาย ไม่ใช่ห้องสัมมนาหาหนทางล้างพรอันโหดร้ายของคุณกรกฏกันแน่ครับ?” เจ้าพ่อไทรทองถึงกับเซ็งที่เผลอเปิดช่องให้หนุ่มหน้าแว่นสอดเข้ามาได้อีกครั้ง
“เอาล่ะ เอาล่ะ...ข้ากำลังจะบอกพวกเจ้าอยู่นี่ยังไงว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าด้วยวิธีไหน...
.
.
...คืนนี้ข้าจะไปเข้าฝันชายหนุ่มผู้ที่จะเป็นเนื้อคู่กระดูกคู่ให้กับพี่ชายของนายเก็ก” เจ้าพ่อไทรทองกอดอกกระหยิ่มด้วยความภูมิใจเป็นที่สุด การเป็นผู้ชี้ทางสว่างให้แก่เหล่าสมุนเลวทั้งหลายในยามอับจนคงทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่เพิ่มคะแนนหัวใจแก่เขาเป็นพิเศษ
“แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าคนๆนั้นเป็นใคร?” ฌานแทรกขึ้นด้วยสงสัยจนอั้นไว้ไม่อยู่
“พรุ่งนี้เช้าเวลาเก้าโมงเก้านาที... ข้าจะพาผู้ชายใส่เสื้อสีแดงมาตรงหน้าศาลของเบ๊บห่อไหล่ ถ้าพวกเจ้าอยากจะรู้ว่าชายหนุ่มโชคดีผู้นั้นเป็นใคร พวกเจ้าก็มารอดูด้วยสองตาของพวกเจ้าได้เลย” เจ้าพ่อไทรทองเอ่ยอย่างหมายมาด
ใจจริง...ก่อนหน้านี้องค์เทวบุตรสุดชิคเองก็อดหวั่นใจไม่ได้เมื่อนึกถึงอุปสรรคแรกว่าด้วยเนื้อคู่ของนายกังฟู
ไม่มีผู้ใดในโลกหล้าหยั่งรู้ได้ล่วงหน้าว่า พระพรหมจะลิขิตให้ใครครองคู่กับใคร...
กรณีของพี่ชายนายธันวาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
เจ้าพ่อไทรทองจึงไม่อาจรู้ได้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้มีเนื้อคู่เป็นผู้ใด และเนื้อคู่ของเขาเป็นหญิงหรือชาย...
หากนายกังฟูมีชะตาและทำกรรมร่วมกันกับดวงวิญญาณที่มาจุติในร่างของหญิงสาว คงไม่มีวันที่พรของเขาจะถูกลบล้างลงได้อย่างแน่นอน
แต่หลังจากขอความช่วยเหลือจากเทวบุตรเพื่อนรักองค์หนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นต้นห้องให้องค์พรหม
เขาก็ได้รู้ว่า แผนการมัดใจเจ้าพ่อห่อไหล่ด้วยการเสนอตัวทำลายล้างพรของตนเองนั้น สว่างไสวกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก
เพราะเนื้อคู่ของพี่ชายนายเก็ก เป็นผู้ชาย...และองค์เทพผู้กว้างขวางแห่งย่านปทุมวันก็รู้แล้วว่า มนุษย์ผู้นั้นเป็นใคร
ที่เหลือจากนี้ ก็แค่รอดูว่า...
เหล่าสมุนเลวทั้งห้าจะมีสีหน้าตลกแค่ไหน เมื่อได้เห็นว่าที่คนรักของพี่นายเก็กผู้จงเกลียดจงชังชายรักชายยิ่งกว่าสิ่งใด กลับเป็นคนคุ้นเคย อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพวกเขาราวกับหญ้าปากคอกซึ่งไม่ได้รับการเหลียวแลนั่นเอง
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
ตอนใหม่มาแล้วค่า ตอนนี้ขอพระเอกเล่าหน่อยนะคะ
จะได้รู้ว่าเรื่องน่าเศร้าทางฝั่งของพี่เก็กเขามีที่มาที่ไปอย่างไร
ตอนนี้อาจจะไม่ฮามากนัก... แต่เก็กก็รักคนอ่านทุกท่านนะเออ
(เหมือนจะไม่เกี่ยวอย่างแรง ฮาาาาาาาาา)
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขเหมือนทุกทีค่ะ
รักชอบ ชิงชัง อยากจะติงนังประการใด ฝากข้อความเอาไว้แทนใจที่หน้าจอได้เลยนะคะ...
เค้าชอบอ่านข้อความของพวกคุณเหลือเกิน
เจอกันอีกทีวันอังคารค่ะ ^ ^
ด้วยความรัก และความขอบคุณคนอ่านทุกท่านอย่างสุดซึ้งค่ะ
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
ความคิดเห็น