ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ

    ลำดับตอนที่ #7 : The 07th Blessing

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 58


    และแล้วแผนการผูกสมัครรักใคร่เฮียฟูกับหนุ่มกรังร่างใหญ่ก็เริ่มขึ้น

    ขอไม่เสียเวลาเกริ่น...ไปอ่านกันเลยเถอะค่ะ...

    คำเตือน : ตอนนี้ยาวม๊ากค่ะ

     

    ขออภัยในความไม่สะดวก และคำผิด

    (จะตามมาอ่านและแก้อีกครั้งในภายหลังค่ะ)

    รักคนอ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ เจอกันวันอังคารนะคะ ^^

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    The 07th Blessing

    แผนลวงบ่วงรัก :

    ฉบับโอปป้ากรังนำสไตล์ กับ ชายผู้เลื่อมใสในแสงสว่าง...นำแสดง

    ให้เสียงให้แสงกันวุ่นวายโดย ทีมงานนปช.(แนวร่วมประชากรชายไทยไม่เต็มบาทจำนวนห้าคนครึ่ง)

     

     

     


    ใบหน้าขาวเนียนถูกละอองเหงื่อพรมจนพร่างพราวราวพื้นผิวแวววาวของกระเบื้องเคลือบชั้นดี  ดวงตาโตกลมใสรับแพขนตางอนหนากับคิ้วได้รูปสะท้อนความเกรี้ยวกราดอยู่ในที  ปอยผมสีขนกาหยักศกน้อยๆที่ไล้ข้างแก้มถูกเจ้าของเสยลวกๆให้พ้นหูพ้นตาคล้ายตัดรำคาญ จมูกทรงหยดน้ำมีดั้งแต่พองามสูดและพ่นลมหนักๆเข้าออกตอกย้ำความไม่พอใจ  แก้มบางใสกับริมฝีปากอิ่มเอิบรูปกระจับขึ้นสีกุหลาบเพราะความร้อนของอากาศช่วงหย่อนเที่ยงวันมาไม่ถึงสองชั่วโมง บวกกับการสันดาปภายในร่างกายหลังจากเรียวขากะทัดรัดสมตัวกำลังสับปลายเท้าทั้งสองให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว  

     

     

    “ฮึ่ย!!” หางเสียงฟึดฟัดหลบอยู่ในลำคอ ฟังเผินๆคล้ายเสียงกระดูกติดคอหมา

     

     

    ไม่ต้องบอกก็รู้..

    วินาทีนี้กังฟูกำลังหงุดหงิดถึงขีดสุด...

     

    สาเหตุน่ะเหรอ...

    ไม่ใช่ใครอื่นไกล.. หากแต่เป็นเพื่อนสนิทร่างกำยำสมชายชาตรีที่ใส่เสื้อและกางเกงสีพาสเทลประดับลำคอไม่ให้ดูเปลือยด้วยผ้าพันคอลายม้าน้อยโพนี่เจ็ดสีมณีเจ็ดแสง ผู้กำลังย่ำฝีเท้ากวดให้ทันคนร่างเล็กที่ทิ้งระยะห่างมากขึ้นทุกทีๆ

     

     

    เมื่อตัดช่วงทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำออกไป นับจากหลังกินข้าวมื้อเย็นวาน เพื่อนรักหน้าสวยก็ไม่ยอมปล่อยให้กังฟูอยู่คนลำพังสักเสี้ยวขณะจิต  กระทั่งเขากับน้องชายแอบสมคบคิดกันเก็บกระเป๋าเพื่อกลับบ้านที่กรุงเทพฯอย่างเงียบเชียบก่อนดวงตะวันจะแตะขอบฟ้า คนนอนขี้เซาระดับแชมเปี้ยนอย่างด้วงยังฝืนลืมตาแล้วติดรถมาด้วยกันอีกจนได้...  ฟูถึงกับยอมซูฮกให้นิสัยห่วงจนกัดไม่ปล่อยของเพื่อนคนนี้ ทั้งที่อีกใจก็ละเหี่ยเหลือเกิน

     

     

    “ด้วง...จริงๆมึงไม่ต้องตามกูแจขนาดนี้ก็ได้นะ บ้านเบิ้นมึงก็มี  ไม่คิดจะกลับไปเจอหน้าพ่อแม่ให้รู้สึกกตัญญูหน่อยรึไง?”  ฟูบ่นอุบเพราะสลัดเพื่อนรักไม่หลุดจนต้องกระเตงกันมาถึงนี่...  สถานที่ๆเขาไม่เคยอนุญาตให้ใครมาด้วยเพราะไม่ต้องการลำบากใจในภายหลัง

     

    “ก็เราเป็นห่วงฟูนี่ ตั้งแต่กลับมาจากศาลเจ้าพ่อห่อไหล่เมื่อวาน  ฟูก็เจอเรื่องแปลกๆให้ต้องเจ็บตัว ไม่ก็เสียเงินตลอด...

    .

    ...เราไม่วางใจ เราไม่อยากให้ฟูต้องเจ็บตัวอีก” ด้วงยกข้อเท็จจริงมาอธิบายด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

     

     

    ใช่... หลังจากเจอหน้าคู่ปรับคนสำคัญที่ศาลศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยช่วงสายเมื่อวาน

    ชายหนุ่มร่างเล็กก็ซวยตลอดทั้งวัน เดี๋ยวเดินล้ม เดี๋ยวชนนั่น เดี๋ยวคนโน้นคนนี้ก็มาคอยตอแย... เดินผ่านสนามบอลก็โดนลูกบอลอัดเข้ากลางหลัง รถที่ขับอยู่ดีๆก็ดันวิ่งไปเหยียบเศษตะปูจนต้องเปลี่ยนยาง เสื้อขาวตัวโปรดที่ส่งซักก็ดันถูกสีตกใส่   

    แต่มันใช่เรื่องไหมที่อีกฝ่ายต้องมาคอยระแวดระวังภัยให้เขาแทบจะทุกฝีก้าวราวกับบอดี้การ์ดแบบนี้?!!

     


    “ด้วง...มึงดูปากพี่กังฟูนะครับ...

    .

    ...กู เป็น ผู้ ชาย...และ...กู ดู แล ตัว เอง ได้ ว่ะ สัด!!! คิ้วสวยได้รูปขมวดจนเกือบดูคล้ายกับโบว์ ตากลมใสพยายามจ้องเพื่อนรักอย่างกินเลือดกินเนื้อ... แต่กลับดูคล้ายกับการจิกเบาๆพอแค่ให้อีกฝ่ายระคายเคืองระดับหนังกำพร้าเท่านั้น

     

    “ไม่รู้ล่ะ ต่อจากนี้...ไม่ว่าฟูจะไปที่ไหน เราก็จะตามฟูไปเหมือนเหาเลย” ด้วงลอยหน้าลอยตาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้จนอีกฝ่ายถอนหายใจยาว แล้วจึงเฉไฉไปถามเพื่อนรักที่กำลังยืนมองบ้านทรงไทยยกพื้นหลังโตที่ดูน่าเกรงขามและงามสง่า ทว่าไม่น่าผุดอยู่ใจกลางย่านศูนย์กลางธุรกิจแบบนี้ได้อยู่เป็นนานสองนานแทน  “ฟูจะเข้าไปข้างในจริงๆน่ะเหรอ?... บ้านใครเหรอฟู?”

     

    “ตำหนักเจ้าพ่อน่ะ” ขาทั้งสองก้าวของฟูนำร่างเล็กๆเข้าสู่ด้านในรั้วบ้านที่เปิดแง้มเอาไว้อย่างมั่นคงจนไม่ต้องตอบให้ร่ำไร

     

    “ห๊ะ?! แล้วฟูจะมาที่นี่ทำไม?” ด้วงรั้งข้อศอกเพื่อนรักเพื่อกักไม่ให้ก้าวต่อ... เขายังอยากได้ยินเหตุผลที่น่าฟังกว่านี้  แต่เขาคงลืมไปแล้วล่ะมั้งว่า อีกฝ่ายให้ความร่วมมือดีๆเป็นเสียที่ไหน

     

    “ก็มาหาเจ้าพ่อไง ถามได้นะมึง” คนพูดสะบัดมือด้วงทิ้ง สืบเท้าทะลุผ่านสวนหย่อมเขียวชอุ่มลึกเข้าด้านใน  ด้วงจนใจ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรั้นเกินต้านทานมานานจนติดเป็นนิสัย  เขาจึงตามหลังฟูขึ้นบันไดแล้วก้าวข้ามธรณีประตูไปติดๆ  ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่า ถ้าไม่ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักเจ้าพ่อหมอผี บ้านหลังนี้จัดว่าร่มรื่นและน่าอยู่จริงๆ

     

    “แล้วฟูจะมาหาเจ้าพ่อไปทำไม?” ด้วงถามออกไปทันทีเมื่อคนข้างหน้าชะลอฝีเท้าโดยไม่ได้สนใจสายตาหลายสิบคู่ของผู้คนมากหน้าหลายวัยที่นั่งกระจัดกระจายใต้ชายคาที่ปกคลุมเกือบทั่วทั้งชานเรือน

     

    “ชู่ว์ เบาๆซี่ เห็นไหม ลูกศิษย์ลูกหาเจ้าพ่อมองพวกเราสองคนใหญ่แล้ว” ฟูลดเสียงพูดจนเบาราวกับกระซิบกระซาบ แล้วลากเพื่อนสนิทให้เดินตามไปนั่งยังขอบชานฝั่งสระบัวที่ยังว่างอยู่  “มึงรู้ไหมว่า การจะขอเข้าพบเจ้าพ่อองค์นี้น่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ เพราะท่านไม่ได้เปิดตำหนักทุกวัน  แถมแต่ละรอบ คนจองคิวขอเข้าพบเจ้าพ่อเยอะเหี้ยๆ...

    .

    .

    ...แต่กูจะบอกอะไรให้ รอบนี้กูโชคดีชิบหายเลยว่ะ...

    ...เพราะเมื่อวานเย็น ลูกน้องเจ้าพ่อโทรหากู บอกว่าเจ้าพ่ออยากปฏิสันถารเป็นการส่วนตัวด้วย...

    ...กูเลยได้ลัดคิวพบเจ้าพ่อตัดหน้าคนที่จองคิวมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วแหน่ะ” ฟูทำท่าภูมิอกภูมิใจราวกับได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    ด้วงปรายตามองผู้คนมากมายซึ่งกำลังเฝ้ารอให้ประตูกระจกบานหนึ่งด้านข้างโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่เปิดออก

    สายตาของพวกเขาดูมุ่งมาดปรารถนา ไม่ผิดไปจากสิ่งที่ฉายชัดอยู่ในแววตาเพื่อนสนิทตัวน้อยแต่อย่างใด  

     

    แม้ชายหนุ่มจะรู้อยู่เต็มอกว่า กังฟูสนใจศาสตร์เกี่ยวกับความเชื่อทั้งหลายมากเป็นทุนเดิม...

    ถึงอย่างนั้น...เผ่าพันธ์มนุษย์ก็เลิกบูชาต้นไม้ กราบไหว้กองไฟมาเป็นพันๆปีแล้วไม่ใช่หรือ? 

     

     

    “ของแบบนี้เชื่อได้แน่เหรอ?” เขาถามเรียบๆ

     

    “นั่นไง...กูว่าแล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้” ฟูถอนใจหนักๆ อาการฉุนเฉียวกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มหน้าหวานหายใจเข้าลึกสุดปอดเพื่อประคองสติ ก่อนจะพูดอย่างช้าๆเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายความรู้สึกคนฟัง

     

    “กูเพิ่งเข้าใจคำพูดของพวกลูกศิษย์อาจารย์ดังๆก็วันนี้เอง...

    ...ด้วง... มึงรู้ไหมว่าคนวงในพวกนั้นเขาบอกกูว่าอะไร...

    ...คนใจบอด ย่อมมองไม่เห็นแสงสว่างอันเรืองรองผ่องอำไพของอีกโลก...  

    .

    .

    ...เอาอย่างนี้แล้วกันนะมึง...

    ...ถ้ามึงอึดอัด มึงออกไปรอกูที่รถก็ได้นะ...

    ...ขอล่ะ...กูไม่อยากผิดใจกับเพื่อนด้วยเรื่องที่กูนับถือว่ะ  กูซีเรียส...จริงๆนะมึง” สายตาแน่วแน่ กับความหนักแน่นของถ้อยคำจากปากฟูเกือบทำให้ด้วงลุกออกไปข้างนอกแต่โดยดีตามที่อีกฝ่ายแนะนำ  กระนั้น เสียงฮือฮาจากกลุ่มคนที่นั่งปักหลักอยู่ด้านหน้าโต๊ะหมู่  กลับเรียกสายตาของเขาให้กวาดมองยังเบื้องหลังประตูกระจกสีชาบานนั้นเสียก่อน

     

     

    “มึงไปได้แล้วล่ะด้วง เจ้าพ่อท่านจะออกมาแล้ว”  ฟูสั่งขณะลุกขึ้นเตรียมพร้อม

     

     

    ร่างสูงใหญ่ในชุดสีขาวปลอดเดินด้วยท่วงท่าสง่างามผ่านหลังบานประตูไปอีกทางหนึ่ง การปรากฏกายเพียงชั่วพริบตาของชายหนุ่มผู้นั้นปลุกให้ทุกคนตื่นเต้น จนย้ายไปนั่งรวมกันตรงลานด้านหน้าโต๊ะหมู่กันเกือบหมด... พวกเขาต่างซุบซิบกันด้วยความยินดี เมื่อในที่สุดจะได้เข้าพบเจ้าพ่อใกล้ๆสมความตั้งใจเสียที

     

     

    หนุ่มหน้าสวยกำลังอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน...

    เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นคือเจ้าพ่อที่ฟูและใครๆต่างพูดถึงหรอกหรือ?

     

    เป็นไปไม่ได้!!...

    เพราะถ้าเขาจำไม่ผิด นายคนนั้นคือหัวโจกที่วางแผนจับคู่ฟูกับเต๋อเมื่อวานนี่นา?!!

     

     

    “เพื่อนขอโทษ...ขอเพื่อนอยู่ฟังด้วยแล้วกันนะ เพื่อนสัญญาว่าเพื่อนจะไม่พูดแบบนั้นอีก” ด้วงเปลี่ยนท่าทีในทันใดแล้วรีบเดินตามฟูไปสมทบกับคนอื่นๆ

     

    “ตามใจ” ฟูที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตอบอย่างเลื่อนลอย เพราะสองตากำลังจับจ้องชายวัยกลางคนที่เพิ่งผลักประตูกระจกสีชาให้เปิดออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน

     

    “ใครชื่อกรกฏ?” ฟูยิ้มเต็มหน้าด้วยความยินดี เพราะการขานชื่อแบบนี้ แปลกว่า...นอกจากจะไม่ต้องรอคิวนานเป็นปีเหมือนคนอื่นๆ คนที่เจ้าพ่อนัดเจอเป็นพิเศษจะได้เข้าพบเจ้าพ่อเป็นคนแรกอีกด้วย  

     

    “ผมครับ!!!

     

    “เจ้าพ่อขอเชิญให้พบเป็นการส่วนตัวที่ห้องรับรองข้างๆเดี๋ยวนี้” ทั้งที่อยากจะหัวเราะเยาะเย้ยคนอื่นที่พลาดโอกาสงามๆแบบเขา แต่หนุ่มร่างเล็กกลับทำได้แค่กลั้นยิ้มเต็มกำลังจนหน้าเบี้ยวไปทั้งแถบระหว่างเดินผ่านลูกศิษย์ลูกหาของเจ้าพ่อนำหน้าด้วงไปยังประตูอภิสิทธิ์บานนั้น

     

    “ผมขอพาผู้ติดตามเข้าไปด้วยนะครับ เผื่อว่าอิทธิฤทธิ์ของเจ้าพ่อ จะช่วยเบิกเนตรให้เขาได้เห็นแสงสว่างอันงดงามที่แท้จริงสักครั้งน่ะครับ” ฟูอธิบายกับผู้ติดตามเจ้าพ่อที่ชักสีหน้าไม่พอใจทันทีเมื่อเห็นว่าเขาเองก็ผูกปิ่นโตมาเข้าพบเจ้าพ่อด้วยอีกคน

     

    “เชิญ!!” 

     

     

    พอหมดพิธีการตามหาตัวลูกศิษย์ที่เจ้าพ่อต้องการพบ ชายวัยกลางคนหน้าดุเสียงเข้มก็เดินนำหน้าพาสองหนุ่มไปยังห้องข้างๆ แล้วบอกให้ทั้งคู่รู้ธรรมเนียมการเข้าพบเจ้าพ่อ พร้อมกับชี้แจงทางเดินออกจากบ้านหลังการเข้าพบเสร็จสิ้น ก่อนจะเคาะประตูห้องเบาๆ เปิดแล้วผายมือบอกให้ทั้งกังฟูและด้วงเดินเข้าด้านใน

     

     

     

     

    ภายในห้องโล่งๆ มีตั่งไม้เตี้ยๆตัวหนึ่งวางอยู่เหนือพื้นขัดมัน  ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหมือนฝรั่งผสมแขกขาวนั่งอยู่บนพื้นตรงอีกฟากหนึ่งของโต๊ะเตี้ยตัวนั้น  เขาโปรยยิ้มกว้างพร้อมกับส่งสายตาสื่อความเมตตาและเอ็นดูทั้งกังฟูและด้วง พลางเอ่ยเรียกอย่างกระชับ ทว่าน้ำเสียงและคำพูดของเขาช่างทรงพลังเหลือเกิน

     

     

    “กรกฏ...มาหาข้า”  ชายหนุ่มในชุดขาวชำเลืองมองยังเบาะปูพื้นทั้งสองด้านหน้าตั่ง  พวกเขาทั้งคู่จึงเดินเข้ามานั่งตรงตำแหน่งดังกล่าวอย่างว่าง่าย  

     

     

    แม้ใจด้วงจะต่อต้านสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่น้อย

    แต่เพื่อพิสูจน์ความจริง และเจตนาแอบแฝงของชายชุดขาว เขาจึงยินยอมรับบทผู้เฝ้าชมการแสดงปาหี่ชุดนี้ด้วยความเต็มใจ

     

     

    “เจ้ารู้ไหม ทำไมข้าถึงเรียกให้เจ้ามาพบในวันนี้?” เจ้าพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มทรงอำนาจจนกังฟูประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ นั่นสิ...ทำไมเขาถึงต้องถ่อเข้าเมืองมาถึงนี่ล่ะ?!  

     

    “ไม่รู้ครับเจ้าพ่อ..เพราะอะไรหรือครับ?” เมื่อเห็นมือขาวทั้งสองข้างพนมวางไว้กลางอกกับสีหน้าเลื่อมใสอย่างที่สุดของคนถาม ชายหนุ่มในชุดขาวจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับจางหายไปในพริบตา ก่อนประโยคอธิบายจะหลุดออกมาจากปากของเจ้าพ่อ

     

    “เมื่อวานข้านั่งทางในเพื่อสอดส่องดูสวัสดิภาพของลูกๆทั้งหลายตามปกติ...

    ...แต่เจ้ารู้ไหม พอข้าได้เห็นภาพอนาคตของเจ้า อกข้าก็ร้อนรุ่มเหมือนสุมไฟ...

    ...ขนาดข้านั่งสวดมนต์ภาวนาตลอดทั้งคืน ใจข้าก็ยังไม่เป็นสุข”

     

    “ทำไมเหรอครับเจ้าพ่อ?” กังฟูที่กำลังแสดงสีหน้าตกใจอย่างปิดไม่มิด โน้มตัวเข้าไปใกล้กับเจ้าพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่อีกฟากฝั่งส่ายหัวน้อยๆด้วยสีหน้าลำบากใจ แล้วจึงเฉลยความ

     

    “เพราะเจ้ากำลังประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่น่ะสิ...

    .

    ...เคราะห์กรรมอันร้ายกาจของเจ้าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวานตอนเก้าโมงเก้านาที”

     

    “ยะ ยะ..ยังไงครับเจ้าพ่อ?” เสียงของกังฟูสั่นจนเกินควบคุม เขาพยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

     

    “แล้วเมื่อวานเจ้าได้ไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน ณ เวลาเก้าโมงเก้านาทีหรือเปล่าล่ะ?” เสียงเข้มๆของเจ้าของตำหนักทำให้ฟูเริ่มลนลานแม้จะมั่นใจว่าตนเองไม่ได้เผลอไผลทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ... คำพูดเฉียบขาดของเจ้าพ่อกำลังทำเขาไขว้เขว

     

    “เอ่อ....ลูกเปล่านะครับ ลูกแค่ไป...มีเรื่องกับอริเก่าที่หน้าศาลเจ้าพ่อในมหาลัยเท่านั้นเอง” ...มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิด...แค่มีปากเสียงกับไอ้นั่นเหมือนอย่างทุกทีเองนะ?!!

     

    “จิ๊ จิ๊ จิ๊ จิ๊...หนอยยย เจ้าลูกคนนี้!!...

    .

    ...นี่เจ้ากล้าลองดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ดูแลอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยขนาดนี้เชียวรึ?!!...

    ...เจ้าไม่รู้หรือไรว่า การใช้วาจาสามหาวต่อหน้าองค์บุตรแห่งเทพอย่างโอหังเช่นนั้น ทำให้เบื้องบนสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยความเดือดดาลมากเพียงไหน... ข้าเสียใจและผิดหวังในตัวเจ้ามากนะกรกฏ” เมื่อพูดจบ...ร่างหนาของเจ้าพ่อก็ดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่เห็นทำให้ฟูหน้าซีด...ความรู้สึกผิดกำลังตีรวนชวนให้ความคิดฟุ้งกระจายเสียจนเขาเริ่มนั่งไม่ติด

     

    “เอ่อ....จะ จะ เจ้าพ่อครับ แต่ลูกไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะครับ” ฟูพยายามอธิบาย แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้เขาแทบเป็นลม

     

    “ถึงเจ้าจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่นั่นกลับไม่ได้บรรเทาให้เคราะห์กรรมของเจ้าเบาบางลงแม้แต่น้อย...

    ...ความผิดของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าต้องชดใช้มันร่วมกับผู้ที่เจ้ามีเรื่องด้วย จนกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่แห่งนั้นจะพอใจ”

     

    “เจ้าพ่อครับได้โปรดเมตตาลูกด้วยเถิด...

    .

    ...จะมีทางไหนที่ลูกพอจะลดหย่อนบทลงโทษในครั้งนี้ได้บ้างไหมครับ?” เขากำลังดิ้นรนอย่างที่สุด เพราะถ้าเลือกได้... เขาขอลบล้างความผิดของตัวเองด้วยวิธีอื่น ดีกว่าต้องร่วมมือร่วมใจกับไอ้นั่น หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่มีวันยอมญาติดีกับมันแน่

     

    “เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ ณ ศาลแห่งนั้น...ปรารถนาสิ่งใดเป็นที่สุด?” เจ้าพ่อหยั่งภูมิของลูกศิษย์ห่างๆผู้นี้

     

    “เอ่อ....ไม่รู้ครับ ลูกไม่รู้จริงๆ...

    .

    ...ลูกรู้แค่ว่า...

    ...ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลคำขอเกี่ยวกับการเรียน และการงานให้กับผู้ทุกข์ยากทุกคนโดยไม่มีข้อแม้” ฟูตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก คนฟังพยักหน้าให้สั้นๆ คล้ายกับจะพอใจแต่ไม่สุด จากนั้นจึงพูดไขความกระจ่างจนกังฟูตระหนก

     

    “นั่นก็ใช่...

    .

    .

    ...แต่สิ่งที่ท่านอยากเห็นจากมนุษย์มากที่สุด คือการปรองดอง สมัครสมาน และรักใคร่สามัคคีกัน...

    ...เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องเปิดใจและลืมเรื่องบาดหมางระหว่างเจ้ากับอริที่ชื่อตรินคนนั้นไปให้หมดสิ้น แล้วจงสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเขาให้ได้ในเร็ววัน” สายตาแปลกๆของเจ้าพ่อทำให้กังฟูเสียวสันหลังจนต้องถามออกมาอย่างร้อนรน

     

    “สัมพันธ์อันแน่นแฟ้น.....คือการคบหาเป็นเพื่อนกันน่ะเหรอครับเจ้าพ่อ?” เขาไม่แน่ใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดและท่าทางของเจ้าตำหนักเมื่อสักครู่เท่าไรนัก  หรือ...เขาแค่ไม่อยากเข้าใจกันแน่นะ?!

     

    “เปล่า...

    ...เจ้ากับพ่อหนุ่มที่ชื่อตรินนั่น จะต้องรักใคร่ผูกพันกันมากกว่าเพื่อน...

    .

    ...ความสัมพันธ์ของเจ้าทั้งสองต้องแนบแน่นประหนึ่งคู่ตุนาหงัน หรือฉันท์สามีภรรยา...

    ...ความสัมพันธ์แบบที่เจ้าชังนักชังหนานั่นแหละ” คำพูดของเจ้าพ่อเหมือนสายฟ้าที่ฟาดจังจังเข้ายังกลางใจของฟู...

     

     

    ไม่จริงใช่ไหม?... เจ้าพ่อต้องแกล้งอำเขาแน่ๆ!

    จะให้เขากับไอ้นั่นเป็นแฟนกันเนี่ยะนะ?!... ย้ายมนุษย์โลกไปอยู่บนวงแหวนดาวพฤหัสยังจัดว่าง่ายกว่านี้เป็นล้านเท่า

     

     

    ห๊ะ?!!! เจ้าพ่อพูดผิดหรือเปล่าครับ? กังฟูตะโกนโดยเผลอโปรเจคเสียงจากช่องท้องออกมาโดยไม่รู้ตัว

     

    “นี่เจ้ากังขาในสิ่งที่ข้าหารือกับองค์ทวยเทพทั้งหลายมาแล้วน่ะหรือ?” เจ้าตำหนักชักสีหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเข้ม

     

    “ปละ เปล่าครับ...

    .

    ...แต่ความสัมพันธ์แบบนั้นมันผิดธรรมชาตินะครับ...

    ...ผู้ชาย ก็ควรจะได้ครองคู่กับผู้หญิง ไม่ควรเป็นอย่างอื่น...

    ...สิ่งที่เจ้าพ่อว่ามา ลูกว่ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้นะครับเจ้าพ่อ?”  เป็นครั้งแรกที่กังฟูแอบหวังให้เหตุผลของเขา สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้สักครั้งก็ยังดี

     

    “นี่เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี่ ข้ากำลังล้อเล่นกับเจ้าอยู่รึ?” ฝ่ามือของเจ้าพ่อตบฉาดลงบนโต๊ะอย่างแรงจนฟูเผลอเจ็บแทน ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกเลื่อมใสในตัวเจ้าตำหนักไปกันใหญที่ความเจ็บปวดไม่อาจทำอะไรเจ้าพ่อได้แม้แต่น้อย

     

    “เปล่าครับ...คือ ลูก...เอ่อ ลูกไม่ถูกชะตากับไอ้...เอ๊ย!.. นายตรินอะไรนั่นสักเท่าไรน่ะครับเจ้าพ่อ” ฟูเลิ่กลั่ก

     

    “เจ้ารู้ไหม ว่าอริของเจ้า แท้ที่จริงแล้ว...เขาได้ทำบุญสร้างกรรมร่วมกับเจ้ามาตั้งแต่ชาติปางก่อน เจ้าทั้งสองจึงมีสัญญาผูกพันให้ต้องมาเจอกันในชาตินี้... ต่อให้เจ้าพยายามหลีกหนีอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางหนีชะตาและผลกรรมที่เจ้าเคยทำเอาไว้ได้หรอก”

     

    “จริงหรือครับเจ้าพ่อ?” ฟูเริ่มโอนอ่อนเมื่อได้ยินคำอธิบายของเจ้าพ่อ...

     

     

    ถ้ามันเป็นเพราะผลบุญที่เคยทำร่วมกันมา อย่างนี้เขาคงหลีกเลี่ยงดวงชะตาไม่ได้จริงๆ 

    แปลว่าเขาจะต้องตกร่องปล่องชิ้นกับไอ้นั่นน่ะสินะ...

    ทำไมวะ ทำไมเขาถึงไม่ทะเลาะกับณเดช  ไม่ก็ หมาก ปริญตรงหน้าศาลเจ้าพ่อห่อไหล่เมื่อวานนี้?!... ทำไม????!!!!

     

     

    “จริง...

    .

    ...ข้าถึงได้บอกอย่างไรล่ะ ว่าเจ้ากำลังมีเคราะห์ อันเกิดจากการตั้งแง่เฝ้าปฏิเสธคนที่ฟ้าลิขิตลงมาให้เป็นคนข้างกาย...

    ...ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงเผลอลบหลู่องค์เทพผู้ปกปักรักษาผืนดินที่เจ้าใช้เล่าเรียนโดยไม่ตั้งใจทั้งๆที่นั่นเป็นสิ่งไม่สมควร...

    .

    .

    .

    ...เอาล่ะ หมดธุระของข้าแล้ว ข้าคงส่งเจ้าให้ออกเดินไปได้ไกลที่สุดเท่านี้ ที่เหลือก็แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งก็แล้วกันนะ” เจ้าพ่อปรายตามองไปที่ประตูเมื่อพูดจบ แต่กังฟูยังยอมรับไม่ได้เสียทีเดียว

     

    “เจ้าพ่อครับ ประเดี๋ยวก่อนครับ...คือ...ลูกยังข้องใจอยู่บางประการครับ”

     

    “ว่ามา”

     

    “จะเกิดอะไรขึ้นหากลูกเลือกหนทางที่ขัดแย้งกับลิขิตจากฟ้าเหรอครับเจ้าพ่อ?” สายตาของกังฟูดูร้อนรนและสับสนในตัวเองอยู่ไม่น้อย เขากำลังลังเล...จึงต้องการชั่งน้ำหนักถึงสิ่งที่จะได้มา และสิ่งที่จะต้องแลกไป

     

    “เจ้าจะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไปอย่างไม่มีทางเลือก...

    .

    ...จะต้องให้ข้าเจาะจงไหม ว่าคนๆนั้นคือใคร ชื่ออะไร เป็นอะไรกับเจ้า?” ใจความอันเด็ดขาดของเจ้าตำหนักฟ้องชัดว่า บุคคลอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวของกังฟูหมายถึงน้องชายคนเล็กของชายหนุ่ม หาใช่ใครอื่น นั่นยิ่งทำให้ฟูสติแตก เพราะเขาสละชีวิตน้องแลกกับดวงชะตาของตัวเองไม่ได้

     

    “มะ มะ ไม่ต้องครับ”

     

    “อ้อ! ข้าลืมบอกไปอย่างหนึ่งว่า นอกจากเจ้าจะมีเคราะห์แล้ว...

    .

    ... บุคคลอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวของเจ้า ก็กำลังถูกดวงชะตาเล่นตลกเช่นกัน” เจ้าพ่อเอ่ยอย่างกำกวมคล้ายกับจะทดสอบกังฟูอยู่ในที

     

    “ยังไงหรือครับเจ้าพ่อ?”

     

    “น้องชายของเจ้ากำลังมีความรักครั้งใหม่” ชายหนุ่มนุ่งขาวห่มขาวเอ่ยง่ายๆ แต่พลังทำลายล้างของประโยคเมื่อครู่กลับรุนแรงเสียจนฟูลืมตัวโก่งคออุทานต่อหน้าผู้เป็นเจ้าของตำหนักทั้งที่ไม่ควร

     

    ไม่!!  ไม่จริง!... เป็นไปไม่ได้!!!

     

    “มันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นโดยที่เจ้าไม่รู้...

    ...ที่สำคัญ  ความรักครั้งนี้ อยู่เหนือไปจากอำนาจที่พรของเจ้าพ่อไทรทองจะกางกั้นได้...

    ...ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใด จะสามารถต่อต้านความต้องการที่องค์พรหมได้ลิขิตเอาไว้แล้ว...

    .

    .

    ...ครั้งนี้ หากเจ้ายังคิดจะลองดีด้วยการยืมมือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆมาพรากคนทั้งสองออกจากกัน ความผิดบาปทั้งหมดนั้น จะสนองคืนมาที่เจ้าพันเท่าทวีคูณ เจ้าจะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ส่วนเจ้าเองก็จะเจ็บช้ำหวาดกลัวกับความรักไปจนวันตาย จำคำของข้าเอาไว้ให้ดี” แม้เจ้าพ่อจะไม่ได้ใช้วาจาฟาดฟันให้กังฟูเสียใจ ทว่าใจความทั้งหมดกลับทำให้ชายหนุ่มหมดอาลัยตายอยากในชีวิตอย่างที่สุด... ถึงเวลาที่เขาจะต้องยอมรับผลกรรมที่ตัวเองเคยก่อแล้วจริงๆหรือ?  

     

    “ครับ ลูกจะจำคำของเจ้าพ่อให้ขึ้นใจเลยครับ”

     

    “ข้าหมดธุระกับเจ้าแล้ว...เชิญ! คราวนี้เจ้าพ่อไม่เปิดโอกาสให้กังฟูเวิ่นเว้อเป็นครั้งที่สอง เพราะเจ้าตำหนักผายมือชี้ไปที่ประตูเพื่อส่งแขกทันที

     

    “ครับเจ้าพ่อ...ผมกราบลาล่ะครับ” กังฟูก้มลงกราบเจ้าพ่ออย่างสวยงามก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นด้วยสีหน้ามึนงงเหมือนเพิ่งเดินฝ่าดงตีนมาหมาดๆ  แต่ยังไม่ทันทีเขาจะยืดตัวตรง ด้วงก็รั้งมือเขาไว้แล้วเอ่ยเบาๆกับเพื่อนรัก

     

    “ฟูออกไปก่อนนะ ขอเพื่อนกราบเจ้าพ่อเดี๋ยวเดียว”

     

     

    กังฟูไม่เหลือกะจิตกะใจคลางแคลงสงสัยในความต้องการข้อนี้ของด้วง  

    เขาทำได้แค่ประคองร่างกระปลกกระเปลี้ยให้ก้าวเดินออกจากห้องรับรองไปอย่างยากเย็นเท่านั้น 

    เมื่อร่างเล็กๆของฟูหายลับออกจากห้องไป น้ำเสียงทุ้มหากกระด้างแบบที่ด้วงไม่เอ่ยกับผู้ใดก็เปล่งถ้อยคำข่มขู่ชายหนุ่มในชุดขาวจอมเจ้าเล่ห์ในทันที

     

     

    “ผมไม่รู้ว่าคุณมีจุดประสงค์อะไร...

    ...แต่ผมบอกคุณได้เลยว่า ผมไม่มีทางปล่อยให้แผนการของคุณสำเร็จแน่ๆ คุณเจ้าพ่อกำมะลอ...

    .

    .

    ...ไม่สิ...

    ...นายมันเป็นเพื่อนใหม่เก็ก เด็กเต็กปีสอง” ท่าทางทรงอำนาจราวกับจงอางหวงไข่ ซึ่งขัดกับเสื้อผ้าสีลูกกวาดที่ด้วงใส่อยู่ทำให้ฌานถึงกับแสยะยิ้มอย่างกวนประสาท  สำหรับแฝดคนพี่แล้ว...แค่อีกฝ่ายเผยจุดยืนมาซึ่งซึ่งหน้า ทำให้การต่อกรกับด้วงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งกว่ารับมือกับพวกยียวนแบบสกลอยู่หลายขุม

     

    “หึ หึ...เก่งนี่...

    ...หูตากว้างขวางดีจริงๆนะคุณพี่ด้วงสุดสวย...

    .

    ...แต่ผมชักจะสงสัยซะแล้วสิว่า เฮียฟูจะโกรธขนาดไหนน้า ถ้าเกิดบังเอิญได้รู้ว่า...

    ...เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่หลงไว้ใจ ดันคิดไม่ซื่ออยากเป็นได้มากกว่าเพื่อนสนิท...

    ...น่าเศร้านะครับ แทนที่จะได้เผยใจในสภาพของชายอกสามศอก กลับต้องอกยอกเพราะต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นกะเทย...

    ...การได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่ตัวเองแอบรักในคราบผู้หญิง มันดีพอจะทำให้คุณสมหวังกับเฮียฟูได้จริงๆน่ะหรือ?...

    ...ผมช่วยสงเคราะห์บอกเฮียฟูให้เองดีหรือเปล่าล่ะครับคุณพี่ด้วง รับรอง...ถ้าเป็นข้อความจากปากเจ้าพ่อ เฮียฟูไม่มีทางขัดขืนแน่ๆ หึ หึ หึ” แฝดพี่ยอกย้อนด้วยสีหน้าเป็นต่อ

     

    อย่าบอกฟู!!...ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าผมไม่เตือน” ดูเหมือนคำขู่ของเจ้าพ่อหนุ่มจะทำให้แม่จงอางหวงไข่กลายร่างเป็นอสูรร้ายภายในบัดดล ทว่าท่าทางคุกคามของด้วงไม่ได้ทำให้แฝดพี่ยี่หระ

     

    “คุณไม่พูดเรื่องผม...ผมไม่พูดเรื่องคุณ เราต่างคนต่างอยู่ ไม่มายุ่งกัน” ฌานยื่นคำขาด

     

    “ผมไม่มีทางปล่อยให้ฟูคลาดสายตาแน่!” แม้จะสงบลงได้ระดับหนึ่ง แต่ด้วงก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกอยู่ดี

     

    “นี่คุณ!.. ก่อนออกไป ช่วยปรับสีหน้าให้มันแบ๊วหน่อยนะ...

    .

    .

    ...ไม่งั้นเฮียฟูดูออกพอดี ว่าผีกะเทยที่เคยสิงคุณมันออกจากร่างไปแล้ว หึ หึ หึ” ฌานไม่ได้สนใจคนฟังที่ส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปในที่สุด เนื่องจากกำลังเฝ้ามองที่ว่างฝั่งหน้าต่างซ้ายมือด้วยสีหน้าโล่งใจ

     

    “ขอบคุณครับเจ้าพ่อไทรทอง เจ้าพ่อห่อไหล่...นี่ถ้าไม่ได้ท่านทั้งสองช่วยเรื่องความลับของเพื่อนเฮียฟูเอาไว้ ภารกิจของพวกเราคงต้องวุ่นวายยิ่งกว่านี้แน่ๆเลยครับ” แฝดพี่เอ่ยออกมาทันทีที่ทั้งห้องเหลือเพียงแต่เขากับเทวบุตรอีกสององค์ในสภาพล่องหน

     

    “ไม่เป็นไร...แค่นี้สบายมาก” เจ้าพ่อห่อไหล่ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  

     

     

    องค์เทวบุตรอดประทับใจกับการแสดงอันสมบทบาทของเจ้าแฝดพี่ไม่ได้

    แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะประสบการณ์ในการเป็นร่างทรงของชายหนุ่มที่ยาวนานกว่าสิบปีก็เถอะ

    เทวบุตรสุดชิคแห่งย่านปทุมวันสังเกตเห็นกระแสความกังวลในแววตาของฌาน จึงปลอบใจชายหนุ่มด้วยข้อมูลตามนิมิตที่ตนมองเห็น... ซึ่งไม่เคยผิดพลาดแม้สักครั้ง

     

     

    “เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าหนุ่มที่ชื่อด้วงนั่นไม่ทำอะไรกระโตกกระตากจนแผนการของพวกเราแตกหรอก...

    .

    ...แต่หลังจากนี้ พวกเราต้องคิดแผนการทุกอย่างให้รอบคอบ...

    ...และต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วยว่า อาจจะมีบุคคลที่สามเข้ามาสอดแทรกความสัมพันธ์ของนายฟูกับนายเต๋อก็เป็นได้...

    ...ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร พวกเราคงทำได้แค่ยอมรับผลตามแต่ชะตาที่ฟ้าลิขิตลงมาเท่านั้น” เจ้าพ่อไทรทองปิดท้ายอย่างคลุมเครือ แต่ยังไม่ทันที่แฝดพี่จะได้ซักไซ้ ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเจ้าพ่อห่อไหล่กลับดึงความสนใจของชายหนุ่มไปหมดสิ้น

     

    “เดี๋ยวข้าแว่บไปดูฝั่งโน้นก่อนดีกว่า ทิ้งเอาไว้แค่สองคน...ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าแว่นสกลจะทำเสียเรื่องไปแล้วหรือยัง” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยในที่สุด ฌานยิ้มร้ายทันทีที่ได้ยินถ้อยคำที่แสดงความเป็นห่วงขององค์เทพ  

     

    “ไม่ต้องห่วงครับเจ้าพ่อ...

    น้องชายผมอยู่ที่นั่นทั้งคน รับรองว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย...

    .

    .

    ...ผมว่าเจ้าพ่อทั้งสองไปอยูกับบ๊วยที่สวนหลังบ้านดีกว่าครับ...

    ...เพราะถ้าทางนี้พลาด พวกเราทั้งหมดจะตกที่นั่งลำบากกว่าทางโน้นมากทีเดียว...

    ...อีกอย่าง น้องพลายบอกผมว่า อีกไม่ถึงสิบนาที พวกนั้นก็น่าจะมาถึงกันแล้ว” ความมั่นอกมั่นใจและการรับประกันหนักแน่นของฌาน ทำให้เจ้าพ่อทั้งสองเบี่ยงปลายทางไปยังสวนหย่อมตรงท้ายบ้านทันที

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    ย้อนภาพเหตุการณ์ไปเมื่อราวๆสองชั่วโมงก่อน  ณ  เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์หรูเริ่ดเพียงแห่งเดียวในเขตตัวเมืองเล็กๆใกล้กับมหาวิทยาลัยซึ่งขัดกับความเจริญระดับปานกลางของพื้นที่ไกลปืนเที่ยงเช่นนี้นักแล เสียงเคาะประตูอย่างไม่รู้กาละเทศะ บวกกับการร้องตะโกนเอะอะด้านหน้าเพนท์เฮาส์เพียงห้องเดียวของตึก ทำให้เจ้าของห้องหงุดหงิดใจได้ไม่น้อย

     

     

    “พี่เต๋อคร๊าบ...พี่เต๋อ  พี่เต๋อเปิดประตูให้สกลหน่อยคร๊าบบบบบบ!!” เสียงร้องโหวกเหวกหน้าห้องเป็นท่วงทำนองแปลกประหลาดทำให้เจ้าของเพนท์เฮาส์และลูกชายเจ้าของตึกถึงกับตาขวากระตุกริกๆ   เมื่อเขาเปิดบานประตู...ก็พบกับรุ่นน้องหน้าแว่นกำลังยืนทำหน้าแป้นแล้นใส่

     

    “ไอ้แว่น มึงมาไมเนี่ยะ?” เต๋อกระชากเสียงใส่ หากสกลหาได้เกรงใจไม่...

     

     

    ร่างผอมกะหร่องก๋องแก๋งเดินผ่านเจ้าของห้องเข้าด้านในแล้วออกสำรวจพื้นที่โดยรอบหน้าตาเฉย...

    สกลกำลังเก็บข้อมูลด้านความเป็นอยู่ของเนื้อคู่กังฟู และสืบดูว่าอีกฝ่ายแอบซุกซ่อนใครเอาไว้หรือไม่... แม้จะแน่ใจล้านเปอร์เซนต์ว่า กรังๆอย่างพี่รหัสของเพื่อนรัก...คงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดลักลอบตีหัวใครให้หลับ แล้วค่อยจับลากเข้าถ้ำก็เถอะ

     

     

    “พี่เต๋อเก็บของเลยคร๊าบ... วันนี้สกลจะพาไปเลี้ยงข้าวสุดหรูที่กรุงเทพคร๊าบ” หนุ่มหน้าแว่นพูดเรื่อยๆตามแผนการ โดยสี่ตาช่างสังเกตกำลังแอบส่องกองเสื้อผ้าที่รวบรวมไว้ในตะกร้าเพื่อรอซัก...  

     

     

    ห้องของพี่รหัสบ๊วยทำสกลแปลกใจได้ซ้ำๆ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะยกขโยงมาทำลายล้างห้องของเต๋อเมื่อไร...

    ที่นี่ก็จะอยู่ในสภาพเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน ราวกับพร้อมรับกองบอกอของนิตยสารตกแต่งบ้านอยู่เสมอ  

     

    ว่ากันตามจริง... สถานที่ที่โอปป้ากรังนำสไตล์อาศัยหลับนอน ควรจะแผ่รังสีความโสมมเข้าขั้นถล่มทลาย มากกว่าจะดูดิบๆ ฮิปๆ กึ่งอินดัสเทรียลลุคแบบนี้ จริงไหมนิ? หรือพี่เต๋อจะแอบซุกเมียงูดูเพลินเอาไว้เป็นสาวใช้ในบ้านกัน?!!

     

     

    “อะไรของมึงอีกวะแว่น? ว่างนักรึไง? มาตัดโมเดลกับกูเอาไหม?” เต๋อเดินตามมาผลักหัวเพื่อนสนิทน้องรหัสของตัวเองเบาๆ  เขานึกรำคาญไอ้เด็กหน้าแว่นนี่มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าไม่อาจกำจัดไปให้พ้นหูพ้นตาเนื่องจากมันมาเป็นแพ็คเดียวกับบ๊วยน้องรัก... แต่ไอ้เด็กกวนส้นตีนนี่กลับไม่ใช่ไอ้ตัวที่เขาหมั่นไส้ (และเกรงใจ) สูงสุด

     

    “โธ่...พี่เต๋อ โมเดลพี่น่ะ จะกลับมาตัดเมื่อไรก็ได้...แต่เรื่องกินฟรีนี่ ไม่ได้หาโอกาสกันง่ายๆนะครับ...

    .

    .

    ...พี่เต๋อ พี่เต๋ออย่าทำให้ผมผิดหวังดิครับ...

    ...ผมรึก็อุตส่าห์คิดว่า พี่แม่งโคตรเท่ห์ ที่ไม่เคยปฏิเสธการกินฟรีไม่ว่าจะที่ไหนๆก็ตาม”  หลังจากวอแวจบ สกลก็ทำหน้าเหยียดหยามกึ่งสมเพชพี่รหัสสุดเถื่อนของเพื่อนรัก  ทนฟังทนมองหน้าไอ้เด็กมาดมหาฯมาถึงตรงนี้...เขาคงไม่ต้องอธิบายแล้วใช่ไหม ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกคันฝ่าเท้าไปเสียทุกทีที่หายใจโดยใช้อากาศร่วมกันกับไอ้เด็กหน้าแว่นนี่

     

    “มึงมีแผนอะไรรึเปล่าเนี่ยะ? นึกครึ้มอะไรถึงอยากเลี้ยงข้าวกู?” เจ้าของห้องอดเคลือบแคลงระแวงใจกับท่าทีโอภาปราศรัย  กอปรกับท่าทางภูมิใจนำเสนออาหารฟรีมื้อนี้อย่างออกนอกหน้าของสกลไม่ได้

     

    “ยังไม่เสร็จกันอีกเหรอ?” เสียงเย็นๆที่ดังมาจากหน้าประตูที่เปิดค้างเอาไว้กลับทำให้ร่างหนาใหญ่เป็นกูปรีของเต๋อถึงกับสะท้าน... มัน! ไอ้ฌาน...ไอ้ตัวดูดพลังงานด้านบวก มันมาที่นี่ด้วยหรือ?!!  

     

    “พี่ฌาน...

    .

    ...พี่ฌานมาพอดีเลยครับ ดูซิเนี่ยะ พี่เต๋อยังไม่ยอมเก็บของเลยครับพี่ฌาน” สกลเดินไปอี๋อ๋อคลอแข้งคลอขากับแฝดพี่ทันที ถ้าฉี่ใส่เพื่อสร้างอาณาเขตได้ เต๋อเดาว่า...ไอ้หน้าแว่นมันคงทำไปแล้ว  แฝดพี่ปรายตามองยังร่างอึ้บอั้บของพี่รหัสเพื่อนรัก แล้วเอ่ยนิ่งๆ

     

    “พี่เต๋อครับ รถผมติดเครื่องอยู่...หรือพี่เต๋ออยากให้ผมต้องลำบากลงไปดับเครื่องกันครับ?” ... คำพูดน่ะไม่เท่าไร แต่ไอ้รังสีอำมหิตกดดันเกินร้อยน่ะมันอะไรกัน?!

     

     

    เต๋อถึงกับสำลักน้ำลายด้วยความเกรงใจ ทั้งที่ร้อยวันพันปี...ไม่มีเครื่องยนต์รถคันไหนทำให้เขารู้สึกผิดบาปได้มากเท่านี้...

    ชายหนุ่มนึกสาปส่งเจ้าของรถเกือบหมดโลกที่ติดเครื่องทิ้งขว้างให้บาดเจ็บล้มตายไปพร้อมๆกับตัวเขา

    .

    .

    .

    “มึงนำไปเลยไอ้แฝดนรกตัวพี่”

     

     

    ...ไอ้เด็กนี่แหละตัวบอส ไอ้ตัวเห้เจ้าของออร่ามืดมน ที่กำราบจนเขาจำยอมตกเป็นเบี้ยล่างทางอารมณ์อยู่เสมอ  

    จริงๆเขาเคยตั้งใจว่าจะหาโอกาสทำร้ายร่างกาย หรือจิตใจของมันจังจังดูสักครั้ง...

    แต่ความรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบอยู่ตลอดเวลากลับทำให้แผนของเต๋อต้องพังพาบไม่เป็นท่า

     

     

    “พี่เต๋อไม่เอาอะไรติดตัวไปหน่อยเหรอครับ...เผื่อว่าต้องค้งต้องค้างอะไรอย่างนี้...กางเกงในก็ยังดีนะครับ” เมื่อสกลเห็นช่อง ก็สอดขึ้นทันที

     

    “มึงกำลังหยามกูนะไอ้สกล” เต๋อชี้หน้าไอ้เด็กแว่นเพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย... ในเมื่อทำอะไรไอ้ตัวบอสไม่ได้ ก็ทำร้ายลูกกะจ๊อกของมันไปพลางๆก่อนแล้วกัน แต่สิ่งที่รุ่นพี่ทำ...กลับกลายเป็นการตอกย้ำความอ่อนด๋อยของตนเองให้แจ่มชัดไปกันใหญ่

     

    “ขอโทษครับ ผมลืมไปว่าแมนๆอย่างพี่ กางเกงในหน้าบีจนถึงหน้าอี...พี่ก็เคยเอากลับมารีไซเคิลใส่ซ้ำใหม่เสียจนกลิ่นหอมกำจายทั่วทั้งสตูฯมาแล้ว” สกลกวนตีนหน้านิ่งด้วยการแฉความจริงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงโหมส่งโปรเจคปลายเทอมที่แล้ว

     

    “สัดแว่น ปากดีนักนะมึง!! ขาที่สาวเข้าไปหมายจะทำร้ายไอ้เด็กแว่นของเต๋อต้องชะงักค้าง เมื่อแฝดพี่ปิดการขายโดยให้ท้ายเพื่อนสนิทตัวเอง

     

    “ไปกันเถอะครับพี่เต๋อ... อย่าต้องให้ผมพูดซ้ำ”

     

    “เอ๊า...มึงก็นำไปสิ ยืนบื้อกันอยู่ได้” เต๋อพยายามขู่แก้เก้อแล้วเดินเลี่ยงสายตาทับถมของสกลตามหลังฌานไปทันที

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    “ไหนพวกมึงบอกว่า มึงจะเลี้ยงข้าวกูยังไงล่ะ? แล้วพวกมึงพากูมาที่นี่ทำไม?” รุ่นพี่เพียงคนเดียวท้วงออกมาระหว่างแฝดพี่ถอยรถเข้าจอดตรงลานปูนหน้าบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ย่านสุขุมวิท   หลังจากงานฉลองวันเกิดของเจ้าบ้านทั้งสองเมื่อปีที่แล้ว...เต๋อก็รู้จักกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี... ออกจะดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ

     

    “แล้วมาที่นี่ แปลว่าผมไม่เลี้ยงข้าวพี่เต๋อตรงไหนอ่ะครับ?” ไอ้เด็กแว่นที่นั่งคร่อมอยู่หว่างกลางเบาะหลังยื่นหน้ามึนๆของมันมาตอบเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา

     

    “สกล... คนเล่นลิ้นกับกูไม่ตายดี” เต๋อกัดฟันกรอด อาการลอยหน้าลอยตาของไอ้เด็กแว่นนี่มันน่านัก!!

     

    “ผมไม่หวังตายดีหรอกครับพี่เต๋อ ขอแค่ไม่ตายตอนนี้ก็พอใจแล้ว” สกลยักไหล่ก่อนจะลงจากรถไปด้วยท่าทางเริงร่าเหมือนหมาน้อยถูกปล่อยออกนอกบ้าน...  

     

     

    แม้จะจำไม่ได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงเต้นตุบๆของเส้นเลือดข้างขมับยามสกัดกั้นความโกรธสุดๆเช่นเวลานี้คือเมื่อใด

    แต่เต๋อไม่เคยลืมเลือนสักนาทีว่า...ไอ้เด็กเวรเพื่อนสนิทน้องรหัสทั้งสามตัวนี่แหละ ที่เป็นตัวการสร้างเสริมความเครียดให้กับเขาได้เสมอ

     

     

    “พี่เต๋อเข้าบ้านครับ ผมเหนื่อย” คนขับหน้านิ่งส่งหางตามาแซะให้ก้นเขาเด้งดึ๋งออกจากเบาะรถคันงามแทบจะเดี๋ยวนั้น

     

     

    เต๋อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน...

    ทำไมหนอ?... ทำไมพวกมันถึงจ้องแต่จะทำให้เขากลายเป็นลูกไล่ให้พวกมันจูงจมูกไปมาอยู่ตลอดเวลาเลยวะ?!

    ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองในใจ...

    คราวหน้า เขาจะไม่พลาดง่ายๆเพราะพ่ายแพ้แก่อำนาจมืดของแฝดผู้พี่แบบครั้งนี้อีกเป็นอันขาด

     

     

    “นี่บ้านมึง มึงก็เดินนำไปสิ กูรู้ที่ทางดีนักหรือไง?” ชายหนุ่มรุ่นพี่อ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง  จริงอยู่...เขารู้สึกยำเกรงไอ้แฝดนรกตัวพี่นี่ไม่น้อย แต่นั่นเทียบกับความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อต้องอยู่ใต้ชายคาของบ้านหลังนี้ไม่ได้สักกระผีก

     

    “พี่เต๋อ พี่เต๋อรีบๆเข้าไปข้างในเถอะครับ พี่เต๋อก็รู้นี่ว่าบ้านพี่ฌานน่ะ เหมือนบ้านคนอื่นที่ไหนกัน” ...นั่นปะไร! ไอ้หน้าแว่นดันเสือกวิ่งกลับมาตอกย้ำความวังเวงวิเวกวิเหวโหวของบ้านนี้ให้เต๋อยิ่งต้องหวั่นไปกันใหญ่  พอสมใจ...มันก็วิ่งจู๊ดหายเข้าไปทางหลังบ้านโดยไม่คิดรั้งรอ... ช่างสมกับการเรียกมันว่าไอ้เด็กห่าเสียจริงๆ!!

     

    “ขู่กูจังนะไอ้สัดแว่น!... อย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงมีอะไรแอบแฝง” เต๋อที่กลายเป็นเสือกระดาษในสายตารุ่นน้องทั้งสองได้แต่พึมพำกับตัวเองระหว่างเดินตามแผ่นหลังแฝดพี่ไปห่างๆ  

     

     

    จังหวะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังจะเดินอ้อมพุ่มไม้ใหญ่ตัดสวนไปยังหลังบ้าน

    หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กๆดูคุ้นตาของคนเคยคุ้นในอดีต...

    .

    .

    ...ตัวเล็กๆ หุ่นบางๆ ผิวขาวโบ๊ะแบบนั้น ทำให้เขานึกถึงกังฟู คู่ปรับตลอดกาลขึ้นมาตงิดๆ...

    ...แต่จะเป็นไปได้อย่างไร  คนๆนั้น...ไม่มีทางมาเดินเล่นเพ่นพ่านอยู่ในบ้านของไอ้แฝดนรกคู่นี้ได้หรอก   

     

     

    ความคิดชั่ววูบถึงชายหนุ่มร่างเล็กกระเด็นหายไปในทันที เมื่อแรงกระแทกจากด้านหน้าทำให้เขาจุกจนต้องยืนค้อมตัว

    โอ๊ะ/ เฮ้ย!....อุ๊บบ!!” เสียงเข้มๆสองเสียงดังประสานกันโดยพร้อมเพรียง จากนั้นน้ำเสียงตกอกตกใจของผู้กระทำก็ตามมาติดๆ

     

    “ขอโทษครับ พอดีผมไม่ทันได้มองทาง  คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ด้วงเข้าไปช่วยพยุงชายร่างใหญ่ที่งอก่องอขิงจนมองไม่เห็นหน้า

     

    “เดินยังไงวะ? ตาบอดหรือไง...ทำไมถึงชนคนอื่นได้?” เต๋อเอาเรื่องคนซุ่มซ่ามตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เมื่อฝืนความเจ็บปวดยืดตัวตรงขึ้นได้สำเร็จ เขาก็ตั้งการ์ดสูงพร้อมต่อสู้ทันที “ฮี่โธ่! นึกว่าตัวผู้ที่ไหน...มึงเองเหรอกะเทย?”

     

    “เต๋อ?!!! เต๋อมาที่นี่ได้ไงอ่ะ?” ด้วงลนลานด้วยคิดถึงฟูที่น่าจะยังเดินเล่นอยู่แถวนี้ระหว่างรอเขา  ท่าทางผิดสังเกตอย่างเห็นได้ชัดของชายหนุ่มหน้าสวย ทำให้เต๋อมั่นใจว่า...คนตัวเล็กที่เพิ่งเห็นผ่านตาไปเมื่อครู่ต้องเป็นกังฟูแน่ๆ  เต๋อจึงแสร้งวางสีหน้าเรียบเฉย แล้วเล่นบทยียวนตามปกติเพื่อดูลาดเลา และเดาอาการของอีกฝ่ายโดยไม่รอช้า

     

    “พวกมึงสองคนนี่ก็แปลกว่ะ ชอบถามกูว่าไปไหนมาไหนได้ยังไง...

    .

    ...แถวบ้านพวกมึงแม่งกันดารจนไม่มีรถวิ่งผ่านเลยเหรอ?”

     

    “แล้วก่อนเข้ามานี่เต๋อเจอใครหรือเปล่า?”  แม้ด้วงจะเก็บซ่อนอาการหวั่นวิตกได้อย่างแนบเนียน แต่คำถามของเขากลับมัดตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ใครที่มึงว่านี่มันใครกันวะ? พูดจาไม่รู้เรื่องฉิบหาย!” เต๋อแกล้งหงุดหงิดแบบที่เขามักจะทำบังหน้าเวลาเจอทั้งด้วงและฟูโดยบังเอิญ   

     

     

    ท่าทางไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของเต๋อทำให้ด้วงเบาใจ

    แต่ด้วยนิสัยรอบคอบ...หนุ่มหน้าสวยจึงขอหยั่งเชิงอีกฝ่ายเพื่อให้มั่นใจขึ้นอีกหน่อย...

    เพราะสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดในเวลานี้ คือการพบหน้ากันของอริทั้งสอง

     

     

    “ก็... ก็พวกเพื่อนๆ หรือคนรู้จักที่มหาลัย อะไรทำนองนี้น่ะ” ด้วงแย็บเต๋ออีกครั้งโดยคราวนี้เจาะจงรายละเอียดให้มากขึ้น

     

    “ก็มึงไง...

    .

    .

    ...แล้วมึงถามเซ้าซี้ทำไม? อยากให้กูเจอใครเหรอ?” เต๋อตีหน้ามึนตอบส่งๆ ด้วงจึงลอบยิ้มด้วยความสบายใจ ก่อนขอตัวไปตามหาเพื่อนรัก...ป่านนี้จะเดินใจลอยข้ามจังหวัดไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้

     

    “เปล่า ไม่เจอก็ดีแล้ว งั้นเราไปก่อนนะ”

     

     

    ปฏิกิริยาของหนุ่มหน้าสวยทำให้เต๋อติดใจสงสัยถึงสาเหตุที่ทำให้ทั้งกังฟูและด้วงมาที่บ้านหลังนี้

    เท่าที่เขารู้... ลำพังเพื่อนในคณะ สองคนนั้นยังไม่มี เพราะดีแต่คบกันอยู่แค่สองคน

    เพราะฉะนั้น...การมาเที่ยวบ้านรุ่นน้องคณะไม้เบื่อไม้เมา ยิ่งไม่ใช่ธรรมชาติของผู้ไม่สุงสิงกับใครอย่างสองคนนั้นไปกันใหญ่...

     

    พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่?

    กังฟูมาราวีหรือหาเรื่องใครหรือเปล่า?!!

     

     

     

     

     

     

    ความคิดเต๋อสะดุดลงอีกครั้งเมื่อเท้าทั้งสองข้างพาเขามาหยุดตรงระเบียงซึ่งยื่นล้ำเหนือสระบัวหลวงสระใหญ่ตรงหลังบ้าน

    กลิ่นละมุดฉุนกึ๊กลอยมากระทบนาสิกทันทีที่เขาย่างกรายเข้าใกล้แผ่นหลังสองหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    ทั้งฌานและสกล กำลังจ้องมองอะไรบางอย่างตรงขอบระเบียงกั้นที่ทำเป็นม้านั่งตัวยาวอย่างไม่ละสายตา...

    .

    .

    ว่าแต่ อะไรล่ะ?

     

     

    “นี่พวกมึงตั้งวงแดกเหล้ากันตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินเลยเหรอวะ?” ร่างที่นอนหงายอ้าปากพะงาบๆรับแสงแดดยามบ่ายแก่ๆโดยไม่แคร์ว่าจะถูกแผดเผาของน้องรหัสเขา คือสิ่งที่ไอ้เด็กทั้งสองคนกำลังยืนไว้อาลัยให้อย่างสงบ  ใบหน้าของบ๊วยน้องรักกำลังขึ้นสีแดงเป็นกวนอู ไอ้เด็กน้อยตัวผอมนี่แหละ...คือต้นละมุดเคลื่อนที่ซึ่งแพร่กลิ่นหึ่งไปทั่วระเบียงไม้หลังบ้าน

     

    “โห่ พี่เต๋อ...จะให้พวกผมทำอะไรได้ล่ะครับ ก็บ๊วยมันอยากเมานี่ครับ” สกลตอบด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าเต๋อ นั่นจึงทำให้รุ่นพี่ร่างใหญ่อดรนทนไม่ได้ ต้องถามไถ่ถึงสาเหตุของอาการเมามายไม่ได้สติของน้องรักตัวเองอย่างทันควัน

     

    “น้องรหัสกูเป็นอะไร? ทำไมอยู่ๆถึงเกิดอยากเมาเป็นหมาแบบนี้?” เต๋อยืนเวทนาสภาพดูไม่ได้ของบ๊วยที่นอนเอาแผ่นหลังพาดราวระเบียงซึ่งเป็นพนักพิงไปในตัวอยู่นานสองนาน จนเมื่อฝ่ามือหนักๆของแฝดพี่ตบเบาๆตรงหัวไหล่...ชายหนุ่มจึงทรุดลงนั่งข้างๆน้องรหัสตัวเองอย่างรู้หน้าที่  

     

    “พี่เต๋อลองคุยกับบ๊วยดูหน่อยสิครับ เผื่อจะช่วยบ๊วยให้มีสติขึ้นมาบ้าง” แฝดขอร้องรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงหนักใจ

     

     

    เต๋อจ้องหน้าชายหนุ่มผู้ยังมีสติครบถ้วนทั้งสองสลับกันไปมา แล้วใช้สายตาดุดันคาดคั้นทั้งฌานและสกล

    การสามัคคีส่ายหน้าแรงๆของทั้งสองหนุ่มบอกให้เข้าใจได้ทันทีว่า ได้ลองห้ามปรามน้องตนอย่างเต็มกำลังแล้ว...

    แต่ต่อให้ทัดทานอย่างไร  บ๊วยกลับไม่ฟัง

     

     

    “บ๊วย มึงเป็นอะไร? บอกกูได้ไหม? ใครทำมึง?” เต๋อประคองร่างอ่อนปวกเปียกของน้องรหัสอย่างเบามือ อาการเมาไม่รู้เรื่องของน้องรหัสทำให้เขาใจคอไม่ค่อยดีนัก  ตลอดสองปีที่รู้จักกันมา...แม้เจ้าเด็กหน้าตาธรรมดาๆคนนี้จะไม่ใช่จุดสนใจ แต่บ๊วยก็เป็นเด็กดีของพี่ๆน้องๆทุกคน  นิสัยเรียบร้อย น่ารัก แถมยังสุภาพอ่อนโยนผิดจากเด็กสถาปัตย์ทั่วๆไปแบบลิบลับ ที่สำคัญ...เจ้าเด็กน้อยนี่ไม่ใช่คอร่ำสุรา หรือขาปาร์ตี้แต่อย่างใด

     

    “ครายยยย... นั่นครายยยยยย?” บ๊วยถามเสียงอ้อแอ้

     

    “หึ! กู...พี่รหัสมึงไงไอ้เด็กเอ๋อ” เต๋อลูบผมเผ้าที่บังหน้าบังตาของน้องรหัสไปทัดหูเอาไว้ ไอ้ตัวเล็กหยีตามองเขาแล้วส่งยิ้มหวานน่ามอง

     

    “พี่เต๋อ...

    .

    .

    ...โฮฮฮฮฮ พี่เต๋อของบ๊วย พี่เต๋อมาแล้ว พี่เต๋อมาหาบ๊วยแล้วววว” สองแขนเซียวๆของร่างที่ไหลเผละอยู่ตรงหน้าอกเต๋อพยายามคว้าแก้ม หยิกคางของเขาเป็นพัลวัน จนชายหนุ่มรุ่นพี่ต้องรวบข้อมือเล็กๆทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน ก่อนจะหันไปถามอีกสองหนุ่มที่ยืนดูอาการของเพื่อนอยู่ใกล้ๆ

     

    “เพื่อนมึงเป็นอะไรวะ?”  จนถึงตอนนี้ ไอ้สองตัวตรงหน้าก็ยังคงส่ายหน้าโดยไม่พูดไม่จาอะไร ในเมื่อคนมีสติไม่ปริปาก...เต๋อจึงจำใจสอบปากคำคนเมาอีกคำรบ  “บ๊วย... บ๊วยฟังกูนะ มึงตั้งสติก่อน... มึงเป็นอะไร? ไหนลองเล่าให้กูฟังซิ”

     

    “พี่เต๋อ... พี่เต๋ออยู่คนเดียว พี่เต๋อไม่เหงาเหรอ?” เสียงอ้อแอ้แทบฟังไม่ได้ความถามสวนออกมาอย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม

     

    “ถามอะไรของมึงเนี่ย? มึงเมาจนพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะบ๊วย”

     

    “พี่เต๋อ....เอิ๊กกกก.... พี่เต๋อไม่อยากมีแฟนกับเค้ามั่งเหรอ?” เจ้าของเสียงยานคางยังคงถามไม่หยุดปาก เด็กน้อยที่เมาจนน่าเอ็นดู ทำให้พี่รหัสใจอ่อนและยอมเล่นตามน้ำไปในที่สุด

     

    “ทำไม มึงจะหาให้กูเหรอ? เฮอะ!... หาให้ตัวเองก่อนดีไหมไอ้ขี้เมาเอ๊ย” เต๋อผลักหัวเหม่งของบ๊วยเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว

     

    “บ๊วยหาเจอแล้ววว บ๊วยหาคนของบ๊วยเจอแล้ว.....

    .

    .

    .

    ...แต่บ๊วย...ฮึก...

    ...บ๊วยโดนคุณพี่กีดกัน ฮืออออออ” บ๊วยร้องไห้โฮแล้วฝังหน้าซุกเข้ากับอกกว้างๆของเต๋อราวกับไม่อยากให้เห็นน้ำตา หนุ่มรุ่นพี่ไม่คิดเลยว่าคำตอบของประโยคประชดประชันที่เขาเอ่ยเล่นๆจะออกมาในรูปนี้  

     

    “เพ้อเจ้ออะไรของมึงวะบ๊วย? ใคร... ใครกีดกันมึง? แล้วคนของมึงเป็นใคร?” เต๋อจับร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ ก่อนจะซักไซ้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจ้าเด็กขี้เมาก็กลั้นสะอื้นแล้วตอบเขาด้วยน้ำเสียงขึงขังไม่แพ้กัน

     

    “บ๊วยชอบเก็ก... เก็กก็ชอบบ๊วย แต่เฮียฟูไม่ชอบบ๊วย... เฮียฟูไม่อยากให้บ๊วยอยู่กับเก็ก โฮฮฮฮฮฮฮ” บ๊วยปิดประโยคด้วยการร้องไห้โฮยาวอีกระลอก ก่อนจะหงายหลังตึงปิดเครื่องหนีเจ้าหนี้ทันที

     

    “อ้าวเฮ่ย?!! บ๊วย บ๊วย...บ๊วย!!! นี่มึงเมาจนหลับไปเลยเหรอวะเนี่ยะ?” ทั้งเต๋อและอีกสองหนุ่มต่างโผเข้าไปหาร่างเล็กที่ทิ้งดิ่งท่อนบนให้แผ่ราบไปกับชานนั่งพักริมระเบียง และแล้วก็เป็นฌานที่แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วไม่ต่างจากทุกที

     

    “เดี๋ยวผมพาบ๊วยไปนอนเองครับ พี่เต๋อนั่งกินเหล้ากับสกลเถอะครับ...

    .

    ...พี่อยากรู้อะไร พี่ก็ถามสกลไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน”  แฝดหนุ่มรูปหล่อสั่งการ จากนั้นจึงช้อนร่างเพื่อนตัวเล็กขึ้นอุ้มแนบอก ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป ปล่อยให้เต๋องุนงงกับคำใบ้ของน้องรหัสที่ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังคุ้นหูอย่างไรชอบกล...

    .

    .

    ...ฟู...

    ...เก็ก...

    ...สองชื่อนี้ ต้องเคยผ่านหูของเขามาก่อนแน่ๆ

     

     

     

     

     

    เมื่อประตูห้องพักสำหรับรับรองแขกปิดสนิท ร่างเล็กๆในอ้อมแขนแข็งแกร่งของแฝดหนุ่มก็กระดุกกระดิกเพื่อบอกให้เพื่อนปล่อยตัวของเขาลงกับพื้น

     

     

    “ฌอน...พี่เต๋อเชื่อรึเปล่า?” บ๊วยขอความเห็นเพื่อนรักหลังจากละครฉากเมื่อครู่จบลงตามแผน  แฝดน้องผู้สวมรอยเป็นคนพี่ยิ้มหวานให้เพื่อนตัวเล็กกว่า พร้อมกับลูบหัวบ๊วยเบาๆพลางชื่นชมอีกฝ่ายจากใจจริง

     

    “วางใจเถอะ...

    ...บ๊วยเล่นได้สมบทบาทขนาดนี้ พี่เต๋อดูไม่ออกหรอก...

    .

    ...เรากับสกลลุ้นแทบตายแน่ะ กลัวบ๊วยยจะหลุดเขินตอนพูดว่าเก็กชอบบ๊วยน่ะ” ฌอนถือโอกาสแซวเพื่อนรักที่ทุ่มทุนสร้าง  ด้วยการหักห้ามความอายแบบที่เจ้าตัวไม่คิดจะทำมาก่อนในชีวิต  ใครกันจะนึกว่า...เพื่อนตัวเล็กที่ร้องโอดโอยเมื่อได้ฟังแผนการของแฝดพี่กับเจ้าพ่อทั้งสองเป็นครั้งแรก  จะเล่นใหญ่จนดูน่าเชื่อถือได้มากขนาดนี้

     

    “ก็นิดนึง เรากระดากปากน่ะ” บ๊วยเขินจนทั้งหน้าทั้งหูแดงเห่อไปหมด

     

    “บ๊วยไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือ...เรากับสกลจัดการเอง...

    ...อ้อ! อย่าออกมาเพ่นพ่านล่ะ...หลับยาวถึงเย็นไปเลยยิ่งดี...

    .

    .

    ...แล้วก็อย่าเอาแต่ไลน์คุยกับเก็กล่ะ เผื่อพี่เต๋อมันแอบเข้าไปดูอาการ มันจะสงสัยเอาได้” ฌอนกำชับ

     

    “ฮื่อ... ไม่เล่นเยอะหรอกน่า ไม่ต้องห่วง” เมื่อเพื่อนตัวเล็กรับปาก แฝดน้องที่รับบทเป็นแฝดพี่มาตั้งแต่เช้าระหว่างที่ฌานออกพบลูกศิษย์ก็เดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังริมสระที่ตนเพิ่งจากมา เพราะเขากับสกลยังเหลือหน้าที่มอมเหล้าพี่รหัสเพื่อนเป็นรายการบันเทิงขั้นสุดท้ายก่อนที่แผนการทั้งหมดของวันจะสิ้นสุดลง

     

     

     

     

     

     

     

    ทันทีที่แฝดเจ้าของบ้านอุ้มร่างน้องรหัสของตัวเองขึ้นบันไดไปชั้นสองเป็นที่เรียบร้อย เต๋อก็เปิดการไต่สวนที่มาที่ไปของคดีเมาพับหลับเละของน้องรหัสตนเองกับพยานหน้าแว่นทันที  

     

     

    “ไอ้แว่น มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้นกับบ๊วย?” พี่รหัสหน้าโหดถามสกลเสียงกร้าว เสียงเข้มๆประหนึ่งฟ้าคำรามข้างๆหู ทำให้หนุ่มหน้าแว่นลนจนเผลอหลุดปาก

     

    “ก็นี่แหละครับพี่เต๋อ สาเหตุที่ผมกับฌอนต้องลากพี่เต๋อมาถึงนี่” สกลยกมือขึ้นปิดปากทันที ซึ่งท่าทางแบบนั้น...เท่ากับการยอมรับความผิดกลายๆ

     

     

    จริงๆเต๋อควรดีใจ เมื่อความพยายามข่มขู่อีกฝ่าย ก็ได้ผลกับคนจิตแข็งอย่างสกลในที่สุด

    แต่ความดีใจนั้นกลายเป็นแค่เรื่องขี้ผง เมื่อความจริงที่สกลเพิ่งเฉลยให้ฟัง ยืนยันว่าเขาถูกไอ้เด็กพวกนี้ถอนหงอกเข้าจริงๆ  

     

     

    “เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ?”

     

     

    สำหรับสกลแล้ว...เสียงเต๋อในเวลานี้ชวนให้รู้สึกสยดสยองยิ่งกว่าเถียงแพ้แฝดพี่เป็นไหนๆ  

    แต่เมื่อไพล่คิดไปถึงพี่ฌานแกนนำแห่งเหล่าสมุนเลวขึ้นมา ค่าที่กลัวแฝดพี่มากกว่า...หนุ่มหน้าแว่นจึงรีบเอาตัวรอดจากวันโลกาวินาศอุกาบาตชนโลกทันที

     

     

    “แหม พี่เต๋อล่ะก็...

    ...แกล้งทำเป็นหูตึงล้อผมเล่นตลอดศก เห็นสกลเป็นคนตลกพร่ำเพรื่อหรือไงครับ?...

    .

    ...ไม่เอานะ ไม่เล่นนะครับพี่เต๋อ...

    ...เรื่องบ๊วยนี่เครียดนะครับพี่  ผมว่า... ตอนนี้ เราพุ่งเป้าไปที่เนื้อหาหลักแล้วพักเรื่องล้อเล่นหยอกเอินเอาไว้ก่อนแล้วกันเนอะ อะเหอ เหอ เหอ”  สกลรีบกลบเกลื่อนแบบกากๆ เพราะหวังอยู่ลึกๆว่ารุ่นพี่จะไม่ทันฟังสิ่งที่เขาพลั้งพลาดบอกออกไป

     

    “มึงอย่ามามึนเปลี่ยนเรื่อง! ไอ้แฝดนรกหน้านิ่งที่ขู่เข็ญกูตลอดทางมานี่ ไม่ใช่ไอ้แฝดพี่ใช่ไหม?...
    ...หนอย
    ! พวกมึงนี่มันแผนสูงนักนะ” เต๋อชี้หน้าไอ้เด็กแว่นที่ไม่เหลือแววตาแสล๋นแจ๋นอย่างที่เคย

     

    “พี่เต๋อครับ สกลกราบล่ะ... พี่เต๋อไม่อยากช่วยบ๊วยมันเหรอครับ?” สกลอ้อนวอนขอชีวิตจากยมทูตในร่างพี่รหัสของเพื่อนสนิท

     

    “ช่วยน้องรหัสกูนั่นก็เรื่องนึง ส่วนเรื่องที่พวกมึงบังอาจรวมหัวกันหลอกกู... พวกมึงก็ต้องโดนสั่งสอน...

    .

    ...ถ้ามึงยอมเล่าความจริงทั้งหมดให้กูฟัง กูจะยอมไว้ชีวิตมึง... 

    ...แต่ถ้าไม่...มึงได้ตายตกตามไอ้แฝดน้องไปแน่ๆ” เต๋อยื่นคำขาด คนฟังยืดตัวขึ้นเต็มความสูงเพื่อมองหน้ารุ่นพี่โดยไม่คิดหลบตา ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด ด้วยท่าทางองอาจมาดหมายราวกับชายชาติทหาร

     

    “ไม่!! ต่อให้ผมต้องโดนทรมานจนถึงแก่ความตาย ก็จะไม่มีวันที่ผมทำร้ายเพื่อนตัวเองได้ลงคอ” หนุ่มหน้าแว่นทำท่าผยองพองขนจนคนดูอดหมั่นไส้ไม่ได้

     

    “กูให้โอกาสมึงคิดอีกที... คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” เต๋อเอ่ยช้าๆแบบเน้นๆทุกๆตัวอักษร พลางแกว่งเหล้าขาวทั้งขวดไปมาตรงหน้าสกล

     

     

    โดยไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม...

    เด็กหน้าแว่นก็รู้ได้ทันทีว่า จุดจบของจอมอหังการที่หาญกล้าประมือกับพี่เต๋อในเวลานี้ คงจะไม่ดีนัก

    เพราะฉะนั้น...เลือกข้างใหม่ตอนนี้ เห็นทีจะยังไม่สาย

    ชายหนุ่มจึงรีบยอมรับกับอีกฝ่ายเร็วจี๋

     

     

    “คืออย่างนี้ครับพี่เต๋อ...

    ...พี่ฌานเป็นต้นคิดให้ฌอนปลอมตัวเป็นพี่ฌานเพื่อไปพาพี่เต๋อมาที่นี่ พี่เต๋อจะได้มาช่วยพูดให้บ๊วยมันหายบ้า...

    ...แต่ที่ผมสมยอมให้ความร่วมมือหลอกลวงพี่เต๋อ ทั้งๆที่ผมไม่เต็มใจแม้แต่น้อย ฮึก ฮึก...

    .

    ...เพราะผมอยากให้พี่เต๋อมาเห็นสภาพของเพื่อนรักด้วยตาของพี่เต๋อเอง  เพื่อที่พี่เต๋อจะได้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง...

    ...ที่สำคัญ พี่เต๋อคงพอช่วยชี้ทางสว่างให้เพื่อนผมได้หลุดพ้นจากพิษของบ่วงรักได้เสียที...

    ...เพราะในบรรดาคนใกล้ตัวของบ๊วย ผมก็มองไม่เห็นใครที่จะมีความสามารถเท่าพี่เต๋ออีกแล้วล่ะครับ”...ถ้าเลียแข้งเลียขาเต๋อได้ สกลคงทำไปแล้ว

     

    “เหนื่อยไหมแว่น?” เต๋อถามนิ่งๆ

     

    “เหนื่อยสิครับ...

    .

    ...ผมเหนื่อยสายใจแทบขาดที่ต้องโกหกพี่เต๋อผู้แสนดี...

    ...แถมยังต้องฝืนใจหลอกลวงพี่เต๋อตามคำสั่งของพวกเพื่อนใจร้าย ทั้งๆที่ข้างใน...สุดจะชีช้ำจนแทบทำต่อไม่ไหว” สกลเล่นบทโศกราวกับนางเอกกะเทยหัวโปกโดนแม่ผัวโขกสับ

     

    “เปล่า กูถามว่าเป็นนกสองหัวนี่เหนื่อยไหม?” พี่รหัสหน้าโหดของบ๊วยย้อนเข้าให้

     

    “พี่เต๋อครับ!! พี่เต๋อช่างพูดจาทำร้ายน้ำใจของผมได้อย่างร้ายกาจเหลือเกิน...

    .

    ..โธ่ สกล นายมันเป็นคนบุญน้อยจริงๆ” สกลกำลังตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างเต็มความสามารถ จนเต๋อไม่ทนอีกต่อไป

     

    “พอ!! พอเลยมึง  กูจะไม่ถือสามึงด้วยเรื่องขี้หมาเท่านี้ก็ได้ แต่มึงต้องทำอะไรให้กูอย่างนึง” ความเจ้าเล่ห์ฉายชัดอยู่ทั่วใบหน้าของพี่รหัสบ๊วย

     

    “พี่เต๋ออยากให้ผมทำอะไร... พี่เต๋อบัญชาผมมาได้เลยครับ” สกลตะเบ๊ะพลางรับคำแข็งขัน

     

    “หึ หึ หึ... กูอยากให้มึงมอมไอ้เหี้ยฌอนให้เมาปลิ้น มึงทำได้ใช่ไหม?” คำสั่งของเต๋อทำให้สกลลังเลอย่างเห็นได้ชัด

     

    “เอ่อ...... ไม่ดีมั้งครับพี่เต๋อ...

    .

    ...พี่เต๋อก็รู้นี่ครับ...ว่าพี่ฌานสั่งห้ามไม่ให้ใครมอมเหล้าฌอน... 

    ...ผมไม่กล้าหือกับพี่ฌานหรอกครับ” สกลแอบชั่งน้ำหนักเลือกข้างใหม่อีกครั้งในใจ... ระหว่างพี่ฌาน กับพี่เต๋อ...เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ใครหนอ...ที่ดูน่ากลัวกว่ากัน?

     

    “งั้นมึงเลือกเอา ว่ามึง หรือ ไอ้ฌอน...ที่จะเมาเป็นเพื่อนไอ้บ๊วยมัน” ในที่สุดประโยคนี้ของเต๋อก็ทำให้สกลตัดสินใจได้ แต่ยังไม่ทันได้บอกความประสงค์ของตนเองให้รุ่นพี่ได้รับรู้ แฝดน้องในคราบของแฝดพี่ก็กลับเข้ามาสมทบกับพวกเขาพอดี

     

    “คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ?  ท่าทางดูน่าสนุก” ถ้าสกลมองไม่ผิด...เขารู้สึกเหมือนว่า รอยยิ้มของฌอนดูแปลกๆ... หรือน้องพลายจะบอกความจริงทั้งหมดกับแฝดน้องเรียบร้อยแล้ว?!!

     

    “หึ หึ... ก็สนุกแหละ มึงมาก็ดีแล้ว ไหนเล่าให้กูฟังซิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับน้องรหัสกู?” เต๋อเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางปกติ แต่ไม่ลืมขยิบตาให้สกลเป็นระยะๆ

     

    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่บ๊วยกับเก็กชอบพอกัน แต่พี่ชายคนเดียวของเก็กไม่พอใจ เลยหาทางกันเพื่อนผมออกห่างจากน้องชายตัวเอง บ๊วยก็เลยกินเหล้าต่างน้ำมาตั้งแต่เมื่อเช้าน่ะครับ?” ฌอนอธิบายเรียบๆ

     

    “ไอ้คนที่ชื่อเก็กที่มึงว่าเนี่ยะ เก็กไหนวะ?” เต๋อซัก...

     

     

    อาจเป็นเพราะอคติที่มีต่อไอ้เด็กหน้าแว่น ทำให้เต๋ออดใจรอให้แฝดกลับมาเป็นผู้เล่ารายละเอียดของเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

    เพราะแม้จะเป็นคำพูดเดียวกัน แต่เมื่อหลุดออกจากปากของสกล...ความน่าเชื่อถือกลับน้อยกว่าของอีกคนไปเสียฉิบ

     

     

    “ก็เก็กที่เป็นอดีตเดือนมหาลัย กับอดีตเดือนวิศวะเมื่อปีที่แล้ว... คนที่มีพี่ชายชื่อกังฟู อยู่วิศวะคอมฯปีสามน่ะครับ” 

     

     

    หึ! เข้าใจแล้ว...นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้กังฟูกับด้วงบุกเข้ามาถึงบ้านหลอนของไอ้แฝด

    คนที่กังฟูมาราวี ก็คือน้องรหัสแสนดีของเขานี่เอง...

    นับวัน กังฟูก็ชักจะเอาแต่ใจจนล้ำเส้นเกินไปแล้ว!!

     

     

    “หึ! ที่แท้ก็ไอ้เก็ก... น้องไอ้เตี้ยตะแมะแคะนี่เอง...

    ...เมื่อกี๊พวกมึงบอกว่า ไอ้เหี้ยฟูมันห้ามไม่ได้น้องกูได้กับน้องมัน ทั้งๆที่สองคนนั้นชอบกันเนี่ยะนะ?” เต๋อถามย้ำเพื่อความมั่นใจ แม้สิ่งที่เพิ่งจะได้ยินดูจะเข้าเค้ากับนิสัยของกังฟูอย่างที่สุด

     

    “ครับ... ก็พี่ฟูเขาไม่ชอบเกย์ เลยไม่อยากให้น้องชายตัวเองเป็นเกย์ไปด้วย... 

    ...พอห้ามน้องตัวเองไม่ได้... เลยมาล็อบบี้ฝั่งบ๊วยแทนน่ะครับ”

     

    “สงสัยไอ้เหี้ยเตี้ยมันจะยังไม่รู้ว่ามันกำลังยื่นหน้าเข้ามาเสือกเรื่องรักของใคร... เห็นทีกูจะปล่อยมันเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว”

     

     

    เขาต้องขอบใจแฝดน้องกับสกลให้หนักๆ เพราะถ้าไอ้เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปลากเขาออกมาจากห้องเมื่อตอนสาย

    เต๋อคงไม่ได้มาพบเจอความจริงที่น่าตกใจด้วยสองตาของตัวเองแน่ๆ  

     

    ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจเข้ามาก่อกวนความสุขของบ๊วย...เขาคงจะวางตัวเป็นกลางในเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป

    เต๋อบอกกับตัวเองว่า...เขาจะขัดขวางไอ้พี่ใหญ่ร่างเล็กตัวร้าย ไม่ให้มีโอกาสเงื้อมือเข้ามายุ่งย่ามในความรักของน้องรหัสกับไอ้เก็กด้วยตัวเขาเอง

     

     

    “พี่เต๋อจะทำอะไรเหรอครับ?” สกลถามรุ่นพี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามนิสัย

     

    “กูจะทำให้ไอ้บ๊วย น้องรหัสกูได้สมหวังดั่งใจนึกกับน้องไอ้ฟูมันเอง” เมื่อคำกับปฏิญาณตนเองต่อหน้าสักขีพยานทั้งสองของเต๋อสิ้นสุด ร่างใหญ่ก็หันไปพยักหน้าให้กับเด็กผอมหน้าแว่นให้รู้จังหวะ

     

    “ไอ้แว่น!!...ลงมือได้!!!” เต๋อร้องสั่งหลังจากยึดแขนทั้งสองของฌอนไพล่เอาไว้ด้านหลัง  ก่อนเจาะยางจนแฝดน้องนั่งพับลงกับพื้น ตามด้วยใช้มืออีกข้างบีบคางจนปากของฌอนอ้ากว้าง สกลฉวยขวดเหล้าขาวที่เปิดรอท่า แล้ววิ่งเข้าหาเพื่อนสนิทผู้ยอมศิโรราบแบบง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อ

     

    “พี่ฌาน ฌอน... ผมขอโทษ ผมโดนบังคับ ผมไม่ได้ตั้งใจ!!!” สกลกรอกเหล้าใส่ปากฌอนตามคำบัญชาและสายตาบีบบังคับของรุ่นพี่แต่โดยดี ทว่าแฝดน้องกลับไม่มีทีท่าตื่นตกใจอย่างที่ควรจะเป็น

     

    หลังจากน้ำใสๆในขวดสีชาไหลลงคอของแฝดน้องแบบเกลี้ยงเกลาทุกหยาดหยด ฌอนก็สลบเหมือดในทันใด...

    ทว่าทั้งสกลและเต๋อต่างก็ไม่เคยรู้ว่า การหมดสติของฌอนด้วยวิธีนี้...กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    GEG

     

     

    เก็ก... READ 17.10 PM

     

    GEG:

    ว่าไง? READ 17.11 PM

     

     

    ไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่าแผนการทางนี้เรียบร้อยดี READ 17.12 PM

     

     

    GEG:

    อืม เฮียฟูโทรมาหาแล้วล่ะ...รอเฮียฟูกับพี่ด้วงมารับไปกินข้าวอยู่ READ 17.13 PM

     

     

    เก็กโอเคกับแผนนี้จริงๆใช่ป่ะ? READ 17.13 PM

     

     

    GEG:

    โอเคดิ

    บ๊วยไม่ต้องห่วงเราหรอก...

    เพื่อล้างพรของเฮียฟู เราทำได้ทุกอย่างน่ะแหละ READ 17.16 PM

     

    งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ READ 17.17 PM

     

     

     

     

    ป็อบ!’ / เฮ่ลโหล่ว โหม่วโต๊ว!!!’

     

     

    “เจ้าพ่อครับ... มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ด้วยอารามตกใจราวกับแอบกินขนมในห้องเรียนทำให้บ๊วยถามเจ้าพ่อทั้งสองที่ปรากฏกายตรงหน้าตนเสียงตื่น

     

     

    เขาหวังลึกๆว่าเทวบุตรทั้งสององค์จะไม่ทันเห็นข้อความในไลน์ที่เขาโต้ตอบกับอดีตเดือนมหาลัยเมื่อครู่นี้...

    เปล่า... เขาไม่ได้เขินอาย หากแต่เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ติดต่ออีกฝ่ายโดยอาศัยเรื่องงานบังหน้า ทั้งๆที่แทบไม่มีประเด็นอะไรให้ยกขึ้นมาพูดคุยกับเก็กได้ด้วยซ้ำ

     

     

    “เพื่อนเจ้ากำลังแย่หนัก โดยเฉพาะเจ้าแฝดน้อง” สีหน้าไม่สู้ดีและน้ำเสียงกระอักกระอ่วนของเจ้าพ่อห่อไหล่ทำให้บ๊วยเริ่มวิตก

     

    “ห๊ะ?!! เกิดอะไรขึ้นเหรอครับเจ้าพ่อห่อไหล่... เจ้าพ่อไทรทอง?” บ๊วยนึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสองที่รับบทหนักตลอดทั้งบ่าย ในขณะที่เขากลับได้นั่งเล่นสบายๆอยู่ในห้องแอร์                                                                                                          

     

    “เจ้ารีบออกไปดูเถอะ” อาการไม่นิ่งของเจ้าพ่อไทรทองยืนยันได้ว่าเรื่องฝั่งสกลกับฌอนน่าจะร้ายแรงพอดู กระนั้น...เพื่อความสมบูรณ์ของแผนการ เขากลับลังเลจนต้องขอความเห็นจากเทวบุตรทั้งสองอีกครั้ง

     

    “แต่... แต่ตามบทแล้ว ผมควรจะเมาหลับอยู่ในห้องนะครับ”

     

    “ช่างเถอะ ตอนนี้คงไม่มีใครสนใจอะไรแล้วล่ะ เพราะพวกนั้นคงจะเมาจนจำอะไรไม่ได้กันหมดแล้ว” เจ้าพ่อไทรทองยืนกรานมั่นแม่น  “ถ้าขืนเจ้ายังหมกตัวอยู่ในห้องนี้ ข้าว่าเจ้าแฝดน้องต้องมอมเหล้าเจ้าหน้าแว่นกับนายเต๋อจนร่อแร่แน่ๆ”

     

    “ครับๆ ขอบคุณนะครับเจ้าพ่อ”  เมื่อเรื่องทั้งหมดผิดไปจากสิ่งที่บ๊วยคาดคิด เขาจึงกุลีกุจอวิ่งหน้าตั้งออกจากห้อง แต่แล้วชายหนุ่มก็ชะงักนิดหนึ่งเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “แล้วเจ้าพ่อล่ะครับ... จะมาด้วยกันไหม?” แน่นอน หากเจ้าพ่อทั้งสองเข้าไปช่วยด้วยอีกสองแรง ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้น

     

    “ไม่ล่ะ ข้าสองตนมีเรื่องต้องปรึกษากันเยอะแยะไปหมด...

    .

    ...เจ้ารีบไปเถอะ ข้าล่ะเป็นห่วงเพื่อนของเจ้ายิ่งนัก” เจ้าพ่อไทรทองบอกปัดแทนเจ้าพ่อห่อไหล่ที่ใบ้กินชั่วคราว  บ๊วยจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

     

    “ทำไมคุณบอกบ๊วยไปแบบนั้นล่ะ... เราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกันสักหน่อย” เจ้าพ่อห่อไหล่ทุบต้นแขนของเทวบุตรสุดชิคเบาๆอย่างลืมองค์

     

    “แหม เบ๊บครับ... วันนี้ทั้งวัน เรายังไม่มีเวลาอยู่กันสองต่อสองเลยนะครับเบ๊บ..

    .

    ...เบ๊บไม่สงสารบันยันสักหน่อยเหรอครับ?...

    ...เทวบุตรอะไรใจร้ายจริง ทรมานจิตใจของบันยันได้อย่างร้ายกาจ” เจ้าพ่อไทรทองอาศัยช่วงชุลมุนคว้ากำปั้นเล็กๆของเทวบุตรอีกองค์มาประคองไว้ราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่าหาใดเปรียบ

     

    “นี่คุณประสาทกลับไปแล้วเหรอ? ก็เห็นอยู่ว่าเราต้องช่วยเหล่าสมุนดำเนินแผนการ.. คุณยังจะหวังอะไรจากผมอีก?” เจ้าพ่อห่อไหล่ต่อว่า เมื่ออารมณ์ของโฮลี่ฮิปสเตอร์พุ่งทะยาน...กำปั้นน่าทนุถนอมนั้นก็หลุดลอยออกจากการเกาะกุมตามอารมณ์ไปติดๆ เจ้าพ่อไทรทองได้แต่ยืนมองด้วยความเสียดาย แต่ก็ไม่วายออดอ้อน

     

    “ขอให้บันยันได้กอดเบ๊บให้หายคิดถึงสักครั้งได้ไหมครับ?”

     

    “ผมไปนะ” เจ้าพ่อห่อไหล่หันหลังให้ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง

     

    “ดะ ดะ ดะ เดี๋ยวก่อนครับ... เหลือแค่จับมือก็ได้...

    .

    ...นะ...นะครับเบ๊บ ไม่งั้นบันยันต้องไม่มีเรี่ยวแรงไปทำงานต่อแน่ๆเลย” เทวบุตรสุดชิคพยายามต่อรองแม้จะรู้ว่าอาจจะคว้าน้ำเหลว

     

    “ไม่!! องค์เทพสายบุ๋นยังยืนกรานคำมั่น

     

    “อ่ะ ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นแค่ยิ้มสวยๆให้บันยันชื่นใจสักครั้งจะได้ไหมครับ? นะ... นี่ลดให้สุดตัวเลยนะ...

    ...นะครับเบ๊บ” เจ้าพ่อไทรทองหายตัวแว่บไปมาล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าพ่อห่อไหล่ที่สะบัดหน้าหนีซ้ายที ขวาทีอยู่ตลอด... จนเทวบุตรสุดชิคอดรู้สึกถึงอารมณ์พ่อแง่แม่งอนเหมือนในละครของพวกมนุษย์ขึ้นมาไม่ได้

     

    “........” เจ้าพ่อห่อไหล่อาศัยความเงียบแทนการปฏิเสธ ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมรามือไปในที่สุด

     

     

    ทว่า...ตราบใดที่ เหนือฟ้ายังมีฟ้า

    แน่นอนว่า...เหนือเทวดาสุดใจแข็งอย่างโฮลี่ฮิปสเตอร์ ก็ย่อมจะมีเทวบุตรผู้ดื้อแพ่งอย่างเจ้าพ่อไทรทองเช่นกัน

     

     

    “เหล่าสมุนเลวนี่โชคดียิ่งกว่าบันยันอีกนะครับ ที่ได้เห็นรอยยิ้มของเบ๊บอยู่ตลอดเวลา...

    ...แต่กับบันยัน  เบ๊บเอาแต่ทำปั้นปึงขึงขังใส่ ทั้งที่บันยันรัก บันยันภักดีกับเบ๊บยิ่งกว่าใครๆในไตรภูมิเสียอีก...

    .

    .

    ...บันยันเหนื่อย บันยันล้าเหลือเกินครับเบ๊บ...

    ...บันยันคิดว่า บันยันอาจจะอยู่ช่วยเบ๊บจนสำเร็จไม่ไหว หากบันยันไร้ซึ่งกำลังใจแบบนี้” เจ้าพ่อไทรทองเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “ทำไมคุณถึงท้อแท้ง่ายแบบนี้ล่ะ?...

    ...เทพองค์ใดกันบอกผมว่า ถ้าผมยินยอมให้ความร่วมมือ เขาก็พร้อมจะช่วยล้างพรของนายฟูอย่างเต็มที่?...

    ...เทพองค์ใดกัน ทำให้สมุนเลวพวกนั้นเข้าใจว่า จะมีทั้งผม...และเทพองค์นั้นอยู่เคียงข้าง คอยเป็นกำลังให้พวกเขา?...

    ...เทพองค์ใดกัน ทำให้เรื่องยากที่สุดอย่างการหาเนื้อคู่ของนายฟูให้เจอเป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ?...

    ...เทพองค์ใดกัน ที่หวังจะใช้ช่วงเวลาสุดแสนชุลมุนนี้ เอาชนะใจผมให้ได้?” เจ้าพ่อห่อไหล่พูดทั้งๆที่ยังหันหลังให้กับเทวบุตรอีกองค์ ด้วยตั้งใจจะเก็บงำสีหน้าของตนยามพูดปลุกปลอบอีกฝ่ายเสียยืดยาวแบบนั้นเอาไว้กับตัว

     

    “นี่เบ๊บรู้เหรอครับ?!!!” โชคยังดีที่เจ้าพ่อไทรทองปรากฏกายมาตรงหน้าเจ้าพ่อห่อไหล่ภายหลังจากที่เจ้าตัวปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว

     

    “ใช่! ผมรู้ดี...

    .

    ...และถ้าคุณรู้จักเทพองค์นั้น ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ผมไม่ชอบเทพเหลาะแหละไม่เป็นโล้เป็นพาย...

    ...ถ้าคิดจะเป็นเทพตนเดียวกับผมแล้วล่ะก็ เทพองค์นั้นก็จะต้องอยู่เคียงข้างกับผมได้อย่างสมภาคภูมิในทุกๆด้าน ไม่ใช่ดีแต่ปากเพียงอย่างเดียว” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยโดยเสตามองไปทางอื่น

     

    “โอ้ มาย ลอร์ดเดอะ! เบ๊บของบันยันเก่งที่สุดเลย!!!

    .

    .

    .

    .

    “อ้อ! ทุกครั้งที่คุณแอบแตะตัวผมน่ะ ผมมีสติระลึกรู้ทุกอย่างอยู่ตลอดนะ” ทันทีที่สิ้นประโยค ก็ไม่เหลือร่องรอยกระแสจิตของเจ้าพ่อห่อไหล่หลงเหลืออยู่ในห้องนั้นอีกต่อไป

     

    “เบ๊บ!! เบ๊บ... ไปซะแล้ว...

    ...ที่บอกว่ารู้ตัวตอนโดนเราสัมผัส แต่ก็ยังยอมให้จับ ก็แสดงว่าจับได้น่ะสิ!!...

    ...เมื่อกี๊มันสุดยอดกว่าจับมือ หรือกอดเป็นล้านเท่าเลยนี่หน่า!!!...

    .

    ...เบ๊บรอบันยันด้วยครับ เมื่อกี๊บันยันแค่ล้อเล่นเองครับเบ๊บ...

    ...บันยันไม่เคยถอดใจจากเบ๊บเลยน้าาาาาาา!!” เจ้าพ่อไทรทองหลับตาเพียงครู่หนึ่งเพื่อแกะรอยกระแสจิตของเทวบุตรผู้เป็นที่รัก ก่อนจะหายตัวตามไปยังที่ๆหัวใจของเขาแอบล่วงหน้าไปหลบซ่อนตัว

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    “อ้าวบ๊วย?!” ฌานร้องทักบ๊วยที่เพิ่งวิ่งลงบันไดมาจากชั้นสอง ในขณะที่เขาเพิ่งกลับจากหน้าบ้านหลังเดินไปส่งลูกศิษย์อาวุโสซึ่งเป็นแขกคนสุดท้ายของวัน

     

    “พี่ฌาน?!! เจ้าพ่อไปบอกพี่ฌานเหมือนกันเหรอ?”

     

    “ใช่... สงสัยน้องพลายจะอาละวาดอยู่ละมั้งงานนี้” แฝดพี่คาดการณ์จากคำบอกเล่าคร่าวๆของเจ้าพ่อทั้งสอง

     

    “น้องพลาย? น้องพลายที่เป็นกุมารของฌอนน่ะเหรอครับ?” ถึงบ๊วยจะรับรู้ถึงการอยู่ร่วมกันของน้องพลายกับฌอนมาตั้งแต่แรกทำความรู้จักกับสองหนุ่ม ถึงอย่างนั้น..สิ่งที่แฝดพี่เพิ่งยอมรับกลับทำให้ชายกลางของกลุ่มตระหนกขึ้นอีกหลายเท่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พี่ฌานเอ่ยถึงการออกหน้าแสดงตนของกุมารทอง

     

    “ถูกต้อง พี่ฌานน่าจะเอะใจตั้งแต่น้องพลายหายไปทันทีที่ฌอนมาถึงบ้านแล้ว...

    .

    ...ไม่รู้ป่านนี้พี่เต๋อกับสกลจะยับเยินกันขนาดไหน” แฝดพี่เอ่ยเรียบๆเหมือนไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด ทว่านั้นกลับทำให้บ๊วยสังหรณ์ใจแปลกๆ

     

    “มันคอขาดบาดตายถึงขั้นนั้นเลยเหรอครับ?”

     

    “บ๊วยอยากเห็นใช่ไหม?... งั้นก็วิ่งตามพี่ฌานมาให้ทันแล้วกัน” ฌานไม่รอฟังคำเพื่อน เขาวิ่งนำหน้าบ๊วยด้วยความรวดเร็ว จนชายหนุ่มร่างเล็กต้องกระหืดกระหอบตามหลังอีกฝ่ายไปติดๆเพราะไม่อยากพลาดเหตุการณ์ตรงหลังบ้านสักวินาที

     

     

     

     

     

    ระเบียงริมน้ำถูกอุปโลกน์ให้เป็นเวที

    บนนั้น...มีลิงยักษ์กับลิงรูปร่างจ๋องๆนั่งยองๆทำหน้าก้ำกึ่งระหว่างลิงกับคนสิ้นคิด 

    ทั้งสองหันหน้าเข้าหาร่างสูงใหญ่ของแฝดน้อง ซึ่งกำลังถือหวายก้านเรียวแบบที่หมอผีใช้หวดไล่วิญญาณชี้หน้าเจ้าจ๋อคู่คล้ายจะกำราบ  หวายไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ลิงสกลกับลิงเต๋อซึ่งดูจะเมามายใกล้สลบเชื่องได้ขนาดนี้ หากแต่เป็นเพราะปลอกคอที่ทำด้วยเชือกฟางสีแดงซึ่งจะรัดแน่นขึ้นทุกครั้งที่ทั้งสองพยายามวิ่งหนีต่างหาก 

     

     

    เสียงเล็กๆเหมือนเสียงเด็กดังออกมาจากร่างของฌอนที่ยืนหันหลังให้บ๊วยกับแฝดพี่ เจ้าตัวอบรมเจ้าจ๋อเทียมทั้งสองอย่างขมักเขม้น  “เอ้า! เจ้าคิงคอง เจ้าทำท่าตามเพลงซี่!!! (ขวับบบ!)” น้องพลายลงหวายตรงสีข้างของพี่เต๋อที่เมาจนไม่เหลือสภาพ ร่างยักษ์สะดุ้งผางจนแทบตกจากเวที

     

    “อู๊ยยยย! น้องฌอนขอรับ อย่าตีพี่เต๋อเลยขอรับ!!” เต๋ออ้อนวอนพลางยกมือพนมท่วมหัวท่วมหู

     

    “ใครน้องฌอน เราชื่อพลาย เรียกเราว่าพี่พลายเดี๋ยวนี้นะ!!...

    .

    ...เจ้าค่างแว่นนี่ก็เหมือนกัน...

    ...แค่ให้เล่นเป็นนางเอกก็ยังเล่นไม่ได้ ให้ปีนต้นไม้ก็ปีนไม่ไหว...

    ...เจ้าเป็นลิงประสาอะไรกัน?”  พูดจบ น้องพลายก็ฝากรอยหวายลงบนหลังของสกลอีกครั้งเพื่อความเท่าเทียม

     

    “พี่พลายก๊าบบบ พี่พลายปล่อยพี่สกลไปเถอะก๊าบบบบ พี่สกลขอโทษ...พี่สกลผิดไปแล้ว!!” ไม่แปลก หากสกลจะทำท่าเดียวกับที่เต๋อเพิ่งทำไปแหม็บๆ

     

    “ไม่เอา พี่พลายจะเล่น พี่พลายจะเล่น!!!” กุมารทองในร่างของฌอนกระทืบเท้าตึงตังไม่ต่างจากเด็กน้อยยามไม่พอใจ และก่อนที่ใครจะโดนฝีหวายของน้องพลายอีกครั้ง เสียงทรงอำนาจก็เปล่งดังเพื่อระงับการละเล่นของเด็กวิเศษในทันที

     

    พ่อพลาย!!

     

    พ่อฌาน?!!!” น้องพลายรีบหันหลังกลับมาหาฌานกับบ๊วยโดยไม่ลืมแอบหวายเอาไว้ข้างหลัง ส่วนลิงทั้งสองก็ล้มพับดับคาที่ราวกับรู้ว่าบทของทาสในเรือนเบี้ยของตนได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

     

    “พ่อพลายปล่อยเพื่อนพ่อเถอะนะครับ พ่อขอร้อง” ฌานต่อรองด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม


    “พี่พลายยังสนุกอยู่เลยขอรับ ขอให้พี่พลายได้เล่นสนุกต่ออีกสักพักไม่ได้หรือกระไรขอรับ?” น้องพลายยู่ปากจู๋ พลางกอดอกฮึดฮัดเพราะไม่ได้ดั่งใจ  

     

     

    การได้มาเห็นฌอนที่นิ่งยิ่งกว่าก้อนหินทำท่าปั้นปึ่ง... ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ราวกับได้ค้นพบทวีปที่แปดของโลก

    ฌอนในโหมดน้องพลายฟาดงวงฟาดงา ทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว

    และตอนนี้...บ๊วยกำลังลุ้นว่า พี่ฌานจะล่อลวงน้องพลายให้ยอมคืนร่างให้ฌอนได้อย่างไร

     

     

    “แต่พ่อพลายกำลังทำบาปอยู่นะครับ พ่อพลายบังคับให้เพื่อนพ่อดื่มเหล้า  หนำซ้ำพ่อพลายยังทำร้ายพวกเขา...

    ...แล้วอย่างนี้ พ่อจะปล่อยพ่อพลายให้เล่นสนุกอยู่ได้ยังไงกันครับ?” เด็กน้อยในร่างแฝดน้องฟังไปก็แอบกัดปากล่างของฌอนจนจมเขี้ยว

     

    “แต่พี่พลายเบื่อนี่ขอรับ นานๆพี่พลายจะได้ออกมาเล่นเสียที...

    .

    ...อีกอย่าง ถ้าพี่พลายไม่เข้าร่างพ่อฌอนตอนไม่ได้สติ กับตอนที่พ่อฌอนอารมณ์ไม่มั่นคง เดี๋ยวก็พ่อฌอนก็เสียกายหยาบให้วิญญาณอื่นกันพอดี  เรื่องนี้...พ่อฌานบอกพี่พลายเองไม่ใช่เหรอขอรับ?” น้องพลายพยายามให้เหตุผล

     

    “ใช่ครับ พ่อพลายพูดถูกทุกอย่างเลย และพ่อพลายทำดีมากครับ... แต่พ่อมีเรื่องสนุกเรื่องอื่นจะให้พ่อพลายทำนะครับ พ่อพลายสนใจไหม?” ฌานหยอดแล้วหยุดทันที

     

    “พ่อฌานมีกิจ มีการใดให้อยากพี่พลายช่วยเหรอขอรับ?” น้องพลายหูตาวาวทันทีที่ได้ยินข้อเสนอของอีกฝ่าย... ไม่ว่าจะวิเศษหรือมีอิทธิฤทธิ์กล้าแกร่งสักเพียงไหน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ

     

    “พ่ออยากให้พ่อพลายไปเข้าฝันใครบางคนน่ะครับ”รอยยิ้มร้ายกาจของฌานเผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง และนั่นหมายความว่า คืนนี้...ต้องมีผู้โชคร้ายที่จำต้องเปิดประตูห้องแห่งความฝันของตนให้น้องพลายเข้าไปเล่นซุกซนเป็นแน่

     

    “ผู้ใดหรือขอรับ?” น้องพลายวิ่งเข้าไปเกาะแขนแฝดพี่ด้วยความกระตือรือล้น

     

    “พ่อพลายพาฌอนไปนั่งก่อนเถอะครับ แล้วค่อยตามไปคุยกับพ่อที่ห้องทำงานดีไหม?” ฌานบุ้ยใบ้ให้น้องพลายไปนั่ง เพื่อให้ร่างของฌอนกลับเป็นอิสระอีกครั้งโดยไม่ล้มหัวฟาด

     

    “แล้วพ่อฌอนล่ะขอรับ?” น้องพลายถามทันทีที่เปลี่ยนท่าเป็นนั่งเอนหลังพิงเข้ากับพนัก

     

    “ฌอนหลับแล้วครับ พอพ่อพลายออกจากร่างฌอน...พ่อจะพาฌอนไปนอนที่ห้องพระครับ” ฌานเตรียมความพร้อมด้วยการกุมสร้อยพระเอาไว้ในมือ

     

    “ถ้าอย่างนั้น พี่พลายล่วงหน้าไปรอพ่อฌานที่ห้องทำงานเลยแล้วกันนะขอรับ” ฌานเดินเข้าไปคล้องพระใส่คอฌอนในจังหวะเดียวกันกับที่ร่างนั้นหลับตาลง แฝดพี่พยุงร่างไม่ได้สติของน้องชายสวนกับบ๊วยที่ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

     

    “บ๊วย พี่ฌานฝากดูสกลกับพี่เต๋อด้วยนะ เดี๋ยวพี่ฌานจะกลับมาช่วยแบกสองคนนั้นไปนอนอีกที” แฝดพี่สั่งความ

     

    “พี่ฌานรีบไปเถอะ เดี๋ยวน้องพลายจะรอนาน” บ๊วยพยักหน้ารับคำ แล้วเดินไปดูพี่รหัสกับเพื่อนสนิทที่นอนหลับเป็นตายคาระเบียงริมน้ำในท่าแปลกประหลาดเกินคาดเดา แต่ยังไม่ทันจะได้จัดท่านอนให้ทั้งสองคน หลังมือของพี่รหัสบ๊วยก็ลอยสูงขึ้น ก่อนจะถูกปล่อยให้ตกลงบนหน้าท้องของสกลที่นอนเมาอยู่ข้างๆดังอั้ก 

     

     

     

     

    แม้จะช็อคกับภาพที่ไม่อาจอธิบายด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใดๆไปจะจะ

    แต่บ๊วยก็มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าตนเองหูไม่ฝาด และไม่ได้เมาหรือง่วงจนฟั่นเฟือน..

    เสียงซึ่งดังขึ้นทันทีที่เพื่อนสนิทหน้าแว่นแสดงสีหน้าเจ็บปวดแม้ไม่ปริปากร้องสักแอะนั้น คือเสียงหัวเราะอย่างสดใสของเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบเป็นแน่แท้

     

     

     

     

    Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×