ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ

    ลำดับตอนที่ #6 : The 06th Blessing

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 58


    ขอฝากพี่เต๋อ กับด้วงเอาไว้ในอ้อมใจด้วยนคะ เพราะทั้งสองนางนี้...น่ารัก

    และจะรักฟูมากในตอนท้ายแน่ๆค่ะ ^^

    อ่านตอนนี้แล้วรักชอบประการใด ชี้แจงแถลงไขได้นะคะ...

    ด้วยรักและขอบคุณเป็นอย่างสูงค่ะ เจอกันวันเสาร์นะคะ!!

     

    อ้อ! ลืมบอก... ตอนนี้ยาวอีกแล้วนะคะ ขอโทษทีค่ะ แฮ่ ^_^

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    The 06th Blessing

    เนื้อคู่ฟู...อยากรู้ว่าใคร???  

    เก่งกับหมา ด่ากะเทย ยืนเฉยๆยังดูกรัง สาบาน..ที่พูดมา ถูกคนใช่ไหม?

     

     

     

     

    07.45 น. | ห้อง 303 | หอพักชายของมหาวิทยาลัยตึกยี่สิบห้าเอ

     

     

    “ด้วงมึงงงงง...ตื่นยัง?”

     

     

    ฟูใช้ปลายนิ้วเท้าเขี่ยม้วนผ้าห่มผืนยาวใหญ่ลายคิตตี้สีชมพูบนเตียงชั้นล่างให้กลิ้งไปกระแทกข้างฝา

    ตราบใดที่ก้อนผ้านวมยังกลิ้งหลุนๆกลับมาหยุดยังจุดเริ่มต้น  ฝ่าเท้าของชายหนุ่มก็พร้อมจะทำแบบนี้ซ้ำๆอย่างไม่รู้เบื่อ

    เขาตั้งใจจะเตะม้วนผ้านี่จนกว่าที่ร่างซึ่งสอดไส้อยู่ภายในจะยอมตื่น... ให้มันรู้ไปสิว่าใครจะดื้นด้านกว่าใคร

     

    “ฮื่ออออออ....ฟู... ฟูมีอะไรเหรอ?” สุดท้าย ร่างที่นอนขดอยู่ในผ้าห่มก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งติดงัวเงียนิดๆ

     

    “ตื่นซะทีเหอะวะ!! ความรำคาญทำให้เขาเปลี่ยนมากระชากผืนผ้าออกจากร่างกายที่ใส่ชุดกระโปรงผ้าฝ้ายแขนยาวสีเขียวอ่อนลายดอกกระจุ๋มกระจิ๋ม  ซึ่งทันทีที่ความอบอุ่นห่างหายไป คนนอนก็เปลี่ยนท่าเป็นขดจนชายกระโปรงขลิบลูกไม้เลิกขึ้น เผยให้เห็นบ็อกเซอร์ลายเทเลทับบี้ลายดิพซี่สีเขียวแสบตา

     

    “อืออออ ขออีกสิบห้านาทีได้ไหมฟู...เดี๋ยวหน้าไม่ฉ่ำน้ำอ่ะ” ด้วงอ้อนทั้งที่ยังหลับตาหน้ายู่

     

    “ด้วง ถ้ามึงไม่อยากขี่มอไซค์ไปเรียนเองจนหนังหน้ามึงมอดไหม้...

    ...กูขอใช้อำนาจเจ้าของรถคันที่มึงนั่งอยู่ทุกวัน สั่งให้มึงตื่นเดี๋ยวนี้!!...

    .

    ...ลุกเร็วๆดิวะ...

    ...เดี๋ยวก็ไปไหว้ศาลตรงหลังมอก่อนไปเรียนไม่ทันกันพอดี”

     

     

    ดูเหมือนการเจาะจงสถานที่ต้นทางในเช้าวันนี้ จะมีผลต่อการรู้สึกตัวตื่นของคนขี้เซายิ่งกว่าการกระทำหยาบช้าใดๆ

    เพราะทันทีที่ด้วงได้ยินเรื่องศาลเจ้าพ่อแห่งเดียวภายในมหาวิทยาลัย เขาก็ยันตัวขึ้นนั่งราวกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

     

     

    “ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ? หรือฝันเห็นผี? ทำไมต้องไปไหว้เจ้าพ่อห่อไหล่ด้วย?” ฟูไม่ตกใจกับสีหน้าเป็นห่วงจนเกินเหตุของเพื่อนรักสักเท่าไร เนื่องจากด้วงมักจะแสดงออกถึงความเป็นห่วงซึ่งมีให้เขาอยู่ตลอดเวลาราวกับมารดาคนที่สอง ทว่าเจ้าของคำถามกลับดูกระอักกระอ่วนชอบกล

     

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เพราะเมื่อคืนกูไม่ได้ฝันห่าอะไรเลย...

    .

    ...แต่หลังจากตื่นนอนเมื่อเช้า กูรู้สึกว่ากูต้องไปไหว้ศาลเจ้าพ่อตรงนั้นก่อนไปเรียนให้ได้...

    ...แค่นั้นแหละ”  ฟูพูดพลางครุ่นคิดไปพลาง...เขาเองก็อยากจะรู้เหตุผลไม่ต่างจากด้วงเช่นกัน เพราะแม้จะเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งศักดิ์ทุกแห่ง แต่สำหรับศาลแห่งนี้ เขากลับไม่คิดจะย่างกรายเข้าใกล้ เพราะเรื่องสยองขวัญในมหาลัยกว่าครึ่ง ต่างใช้พื้นที่บริเวณโดยรอบศาลเจ้าพ่อห่อไหล่เป็นฉากหลังแทบทั้งสิ้น  

     

    “อย่างนั้นเองน่ะเหรอ?...อืมๆ ไปก็ได้” ด้วงค่อยๆบิดตัวด้วยท่วงท่าโยคะอันงดงามพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า - ออกช้าๆ

     

    “ไปก็ลุกเร็วซี่! กว่ามึงจะแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จอีก เดี๋ยวไปเรียนคาบแรกต่อไม่ทันพอดี” ฟูชักจะทนเพื่อนชายผู้มีจริตจก้านงดงามยิ่งกว่าหญิงสาวบางคนไม่ได้ เขากระชากแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น จนในที่สุด...คนที่ถูกยื้อยุดจากเตียงก็ยอมยุรยาตรไปยังตู้เสื้อผ้า

     

    “ขี้บ่นจริงๆเลยนะพ่อคุณ...กับสาวกับแส้อย่างเพื่อนก็ยังไม่ละเว้น” เสียงสัพยอกหยอกเย้าด้วยสำเนียงคล้ายๆการพูดการจาของผู้หญิงดังออกมาจากหลังบานประตูตู้ที่เปิดอ้าต่างม่านบังตา เพียงไม่นานชุดนอนผ้าฝ้ายสีเขียวอ่อน ตามด้วยบ็อกเซอร์ก็หล่นลงกองกับพื้น ทว่าคนใจร้อนที่ไม่อาจเห็นเวลาแต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าได้กลับส่งเสียงเร่งยกใหญ่

     

    “ด้วง...อย่าเยอะได้ไหมวะ มึงช่วยรีบเข้าห้องน้ำไปเร็วๆ...กูรำคาญ”

     

    “ใจเย็นๆสิจ๊ะสุดหล่อ... ถูกคนสวยต่อว่าแค่นี้ไม่เห็นต้องอารมณ์ขึ้นเลย...

    .

    ...อ้าว! แล้วเก็กไปไหนแต่เช้าล่ะเนี่ยะ?” ก่อนชายหนุ่มผู้นุ่งกระโจมอกด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จะนวยนาดเข้าห้องน้ำไป ด้วงก็มาหยุดยืนนิ่งๆ แล้วเหลียวมองไปรอบๆห้องเพื่อหาร่องรอยของน้องเมท พร้อมๆกับใช้สองมือจัดหมวกอาบน้ำให้คลุมผมตรงยาวสลวยที่ถูกหนีบเอาไว้จนทั่วทั้งหมด

     

    “ไม่รู้ว่ะ เห็นมันบอกว่าวันนี้มันจะออกไปซ้อมบอลแต่เช้า...

    ...ช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวไปที่คณะก็เจอกัน...

    .

    .

    ...ส่วนมึง อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง...

    ...เข้าไปอาบน้ำได้แล้ว อย่าให้กูต้องพูดซ้ำ!! ฟูดันแผ่นหลังเพื่อนให้เดินตรงไปยังห้องน้ำ... ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีกองไฟสุมอยู่ในใจ  บางอย่างบอกเขาว่า..ความรุ่มร้อนในอกจะสงบลงเมื่อได้สักการะกราบไหว้เจ้าพ่อห่อไหล่แล้วสถานเดียว

     

    “เจ้าค่าาาาาาา คุณพ่อ!” ชายหนุ่มในชุดกระโจมอกซึ่งจำต้องก้าวเท้าออกเดินตามแรงผลักจากด้านหลัง พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ทว่าใบหน้าหล่อเหลาชวนหลงใหลยามไร้เครื่องสำอางค์ของเขากลับยิ้มเริงร่าสดใสให้กับความใกล้ชิดทางกายของเขาและเพื่อนรัก

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    08.25 น. | ด้านหน้าหอพักชายประจำมหาวิทยาลัย ตึกยี่สิบ

     

     

    “ไง บ๊วย” ฌอนร้องทักเพื่อนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าอ่านบางอย่างบนหน้าจอมือถือระหว่างยืนรอเขาและพี่ชายฝาแฝดตรงจุดนัดพบภายในเขตหอชาย

     

    “พี่ฌาน ฌอน...เมื่อคืนนอนกี่โมง?” ชายหนุ่มตัวเล็กยิ้มรับแล้วรีบเก็บเครื่องมือสื่อสารลงกระเป๋ากางเกงสแล็คอย่างมีพิรุธ

     

    “ก็หลังบ๊วยกลับไปห้องนั่นแหละ...นอนเร็วเป็นประวัติการณ์เลยนะจะบอกให้” แฝดน้องตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าแอบส่งสายตาให้พี่ชายลอบสังเกตอาการของเพื่อนสนิทตัวน้อยไม่ให้ตกหล่น

     

    “ทำไมล่ะฌอน?”

     

    “หึ หึ...ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยเราต้องไปขอบใจเก็กของบ๊วยล่ะมั้ง ที่เมื่อวานอุตส่าห์ยอมสละตัวเองให้พี่ชายแบกจนเหนื่อย พอกลับถึงห้องได้ก็หลับเป็นตายยิงยาวถึงเช้าโดยไม่ยอมตื่น คิดดูสิ...ขนาดนั่งทางในตอนตีห้าพี่ชายก็ไม่ได้ตื่นมาทำ เราเลยพลอยได้อานิสงส์เป็นการนอนเกินหกชั่วโมงตามไปด้วย”

     

     

    แฝดน้องสงสัยว่าเพื่อนสนิทคนนี้กับอดีตเดือนมหาวิทยาลัยน่าจะได้พูดจาตกลงอะไรกันบางอย่างตั้งแต่เมื่อวานเย็น

    เพราะนับแต่ตอนนั้น แม้ใครจะพูดถึงเก็กขึ้นมา เพื่อนรักร่างเล็กก็ดูจะควบคุมความประหม่าเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

     

    ที่สำคัญ... บ๊วยยังสามารถแยกแยะ และจัดลำดับความสำคัญของเรื่องอื่นๆที่คอขาดบาดตายยิ่งกว่าเรื่องของธันวาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ  เมื่อพวกเขาแซวบ๊วยด้วยหัวข้อเกี่ยวกับอดีตเดือนมหาลัยทีไร การตอบสนองของชายหนุ่มตัวเล็กเป็นต้องเออเร่อ ไม่ก็ดีเลย์ไปหลายนาทีแท้ๆ

     

     

    “พี่ฌาน...พี่ฌานโอเคใช่ไหม?” บ๊วยที่กำลังมีสีหน้าเหมือนกระต่ายตื่นตูมถามฝาแฝดอีกคนที่ยังยืนนิ่งๆ ทว่าฌานผู้ร่าเริงและชอบการอำผู้อื่นเป็นนิสัย กลับไม่โต้ตอบใดๆ จนคนถามใจเสีย

     

    “พี่ฌาน...พี่ฌานเป็นอะไรหรือเปล่า?...

    .

    ...ทำไมผมพูดด้วยแล้วพี่ฌานไม่ตอบผมล่ะฌอน?...

    ...แล้วทำไมเมื่อกี๊ พี่ฌานไม่เถียงฌอนซักคำ?...

    ...พี่ฌาน พี่ฌานป่วย...หรือกำลังไม่สบายใจเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า? พี่ฌานบอกผมได้ไหม?” บ๊วยกำลังวุ่นวายกับแฝดพี่อย่างเต็มกำลัง ทั้งเขย่งปลายเท้าเพื่อเอาหลังมือแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้ ทั้งจับมือจับไม้อีกฝ่ายแล้วบีบนวด จนแฝดน้องถึงกับคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดูเพื่อนตัวเล็กอย่างที่สุด

     

    “ใจเย็นบ๊วย พี่ชายแค่ปิดวาจาจนถึงเก้าโมงเช้าน่ะ...

    .

    ...พักนี้พี่ชายมุสาบ่อย พี่ชายเลยอยากสงบคำบ้าง...

    ...แต่เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าพี่ชายจะทำได้อย่างที่ตั้งใจไหม ถ้าได้เห็นหน้าสกลก่อนเวลาที่ตั้งใจเอาไว้...

    ...อ้าว! แล้วสกลไปไหนล่ะ?” ฌอนเพิ่งจะรู้ตัวและตกใจเอาตอนนี้

     

     

    บ๊วยอดสงสารสกลไม่ได้ที่กว่าฝาแฝดจะรู้ว่า สกลไม่อยู่...เวลาก็ล่วงไปนานหลายนาที...

    หากกลุ่มแตก...แล้วแต่ละคนต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง  นอกจากเขาแล้ว จะมีใครเอะใจถึงการหายตัวไปของเพื่อนหน้าแว่นบ้างไหมหนอ?

     

     

    “ยังไม่มาเลยฌอน...

    ...รับสายผมเมื่อห้านาทีที่แล้วนี่เอง.... เพิ่งตื่นน่ะ...

    ...สงสัยเมื่อวานจะเหนื่อยมากไปหน่อย” บ๊วยออกรับแทน

     

    “สกลนะสกล...ตัวเองเป็นคนนัดคนอื่นแท้ๆ แต่กลับมาสายซะได้...

    .

    ...เอ้อ แล้วเก็กล่ะ? บ๊วยบอกเก็กรึยังว่าพวกเราจะไปเจอสายหน่อย?” ฌอนอ่อนใจกับสกล ไปพร้อมๆกับนึกห่วงอีกคนที่พวกเขานัดให้ไปเจอที่หลังศาลเจ้าพ่อห่อไหล่เลยทีเดียว

     

    “อ๋อ...ผมไลน์บอกแล้วล่ะ” บ๊วยตอบเรื่อยๆ โดยไม่ได้แสดงอาการแปลกประหลาด ตกประหม่า หรือผิดปกติแต่อย่างใด

     

    “แหน่ะ! เดี๋ยวนี้มีลงมีไลน์ของไอ้เก็กมันด้วยเหรอ? ก้าวหน้านะเรา” เสียงนุ่มทุ้มหลอนที่ไม่ใช่เสียงของฌอนดังออกมาทันทีที่เพื่อนตัวเล็กพูดจบ ทั้งบ๊วยและฌอนหันขวับไปมองแฝดพี่ที่ยืนยิ้มเผล่โชว์ฟันขาวเรียงสวยด้วยสีหน้ากระดี๊กระด๊า

     

    “พี่ฌาน! พี่ฌานไม่ปิดวาจาแล้วเหรอ?!/ เฮ่อออออออ”

     

     

    สองหนุ่มเลือกแสดงปฏิกิริยาต่อการกระทำของฌานด้วยวิธีต่างกัน...

    คนแรกเป็นเดือดเป็นร้อนและเป็นกังวลแทน  ส่วนคนหลัง...แค่ฟังเสียงถอนหายใจก็บอกได้ว่า ระอาขนาดหนัก แต่มีหรือที่แฝดพี่จะสนใจ

     

     

    “เออว่ะ...พี่ฌานลืมตัวอ่ะ  ไม่เป็นไร...เปิดวาจาเลยก็แล้วกัน ไหนๆก็แตกแล้วหนิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

     

    “ทั้งปี!” ฌอนพึมพำเบาๆพลางกลอกตาขึ้นมองฟ้าอย่างหน่ายๆ

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    08.53 น. | ถนนหลังมหาวิทยาลัย เส้นติดกับท้ายตลาดฝั่งข้างรางรถไฟ

     

     

     (โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง)

     

     

     

    “ในมอแม่งมีหมาจรจัดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” ชายหนุ่มผิวสองสีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาไทยแบบคมจัดหนักเพราะเครือเคราและไรหนวดครึ้มสบถอย่างหัวเสียเมื่อต้องกดเบรคผ่อนความเร็ว สลับกับปั่นพวงมาลัยไปทางซ้ายที...ขวาที เขากำลังโดนสัตว์โลกสี่เท้าหลายตัวราวีอย่างไม่มีลดละ

     

    “ห่าเอ๊ยยยยย! แล้วทำไมแม่งต้องมาวิ่งไล่งับยางกูด้วยวะเนี่ยยยยยยย?!! เหยดดดดดด! พวกมึงสะใจใช่ไหมเนี่ยะ?”  

     

    เขาไม่ได้ตาฝาด...

    เจ้าตูบสองตัวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกกำลังแสยะยิ้มให้ ก่อนจะวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังนำขบวนลูกสมุนสี่ขาอีกหลายตัวให้กระจายกำลังไปรอบๆรถที่กำลังเคลื่อนที่จนชายหนุ่มไม่มีสมาธิจดจ่อกับหนทางข้างหน้าอีกต่อไป

     

     

    “ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะทูนหัว พี่ไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรมด้วยการขับรถชนหมา” ชายหนุ่มหักเลี้ยวซ้ายตรงแยกตัดเข้าถนนลูกรังข้างหน้าที่ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ปรายตาผ่าน  คิดง่ายๆแค่ว่า ทางวิบาก...หมาหมู่มากมักไม่โปรด ทว่าเขาคิดผิดไปถนัด

     

     (แฮ่ กรรรรรรรรรรรรรรร!!)

     

     

     “ไอ้หมาเหี้ย!!! ไม่ชอบให้เรียกว่าทูนหัวก็ไม่บอก....

    .

    .

    ...เหวออออออ อย่านะเว่ย อย่ามากัดยางลูกรักกู!!!!

     

     

    หมาจ่าฝูงวิ่งเอาเถิดเจ้าล่อกับยางวงสีดำข้างฝั่งคนขับ มันทำท่าราวกับอยากจะฝังคมเขี้ยวลงบนเนื้อยางเสียให้ได้

    ชายหนุ่มปัดป่ายพวงมาลัยพลางกดคันเร่งด้วยแรงที่มากขึ้นนิดหน่อย เผื่อว่าเสียงเครื่องยนต์คำรามจะช่วยขับไล่ให้หมาตกใจจนล่าถอยไปเอง

     

     

    “โอ๊ยยยยย!! วันนี้มันวันอะไรนักหนาวะ?”

     

     

    ชายหนุ่มสบถออกมาอีกครั้ง พลางขยี้หนังหัวตัวเองแรงๆหลายครั้งระหว่างการขับรถในภาวะกดดันสูงสุด...

    ถึงเขาจะดูเถื่อนสถุนสกุลกาและน่าถุยใส่มากแค่ไหน  แต่ถ้าได้ลองมองจนเห็นถึงเนื้อแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน...จะรับรู้ได้ว่า นิสัยของชายหนุ่มหาได้ใกล้เคียงกับท่าทางกักขฬะที่เคลือบเอาไว้ภายนอกแม้แต่นิดเดียว

     

    ฉะนั้น...เรื่องที่จะให้หลับหูหลับตาขับรถชนหมาเพื่อรักษาให้พาหนะคันโปรดอยู่รอดปลอดภัย...

    ถ้าเขาเลือกได้ เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นเป็นอันขาด

     

    เมื่อสิ้นเสียงขู่และเห่าของเจ้าสัตว์หน้าขนสี่ขาทั้งหลาย ชายหนุ่มก็เพิ่งตระหนักได้ว่า รถของเขากำลังแล่นอยู่บนถนนเส้นหนึ่งภายในมหาวิทยาลัย แต่กลับไม่ใช่ทางที่เขาใช้สัญจรไปมาบ่อยนัก

     

     

    “ที่ไหนวะเนี่ยะ?...

    .

    ...จำได้ว่าเคยมาตอนรับน้องเมื่อปีที่แล้ว...

    ...แยกข้างหน้ามันทางไปอ่างเก็บน้ำนี่หว่า...

    ...กี่โมงแล้ววะ?...

    .

    ...อืม ยังมีเวลา แวะเข้าไปไหว้ศาลเจ้าพ่อห่อไหล่ก่อนไปเรียนก็ดี จะได้ไปขอให้ท่านช่วยจัดการไอ้หมาเหี้ยฝูงเมื่อกี๊ด้วย...

    ...เล่นกับใครไม่เล่น เสือกมาเล่นกับรถกู” ชายหนุ่มนึกชมตัวเองในใจที่ผ่านดงหมามาได้โดยที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งการสูญเสียเลือดเนื้อ

     

     

    หากคำพูดของชายหนุ่มจะทำให้พวกคุณเผลอเข้าใจไปว่า เขาเป็นคนชาติชั่วใจหมาแล้วล่ะก็...

    ขอได้โปรดย้อนกลับไปอ่านย่อหน้าบนๆเมื่อไม่นานมานี้อีกครั้ง แล้วกล่อมตัวเองว่า...ไอ้หนุ่มคนนี้ มันก็แค่ปากดีไปอย่างนั้น

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    08.55 น. | หลังต้นกรันเกราริมอ่างเก็บน้ำ ณ ศาลเจ้าพ่อห่อไหล่

     

     

    “ขอโทษนะเก็ก” บ๊วยเอ่ยทั้งที่ยังหอบหายใจสั้นๆ หลังจากปั่นจักรยานด้วยความไวแสงทิ้งห่างเพื่อนทั้งสาม แม้ทั้งหมดจะขี่ตามมาด้วยความเร็วระดับนักกีฬาโอลิมปิกก็เถอะ

     

    “ไม่เป็นไร ก็นายบอกเราแล้วหนิว่าเกิดอะไรขึ้น” อดีตเดือนมหาลัยช่วยลากจักรยานของคนตัวเล็กไปพิงเอาไว้กับจักรยานเสือภูเขาของตนเองที่พิงต้นกฐินณรงค์ต้นยักษ์ซึ่งถือเป็นมุมอับด้านหลังต้นกันเกรา

     

    “รอนานไหม?” บ๊วยยังรู้สึกผิดไม่หาย เลยไม่ทันได้สนใจเพื่อนอีกสามคนที่เพิ่งจูงจักรยานของตัวเองเดินตามเข้ามาจอดเอาไว้ข้างๆกัน

     

    “เรามาก่อนบ๊วยแป๊บเดียวเอง” เก็กโกหกหนุ่มตัวเล็กหน้าตาย  โดยไม่ตั้งใจ...ชายหนุ่มเผลอชำเลืองมองเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายตามกรอบหน้าของอีกฝ่าย แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมบ๊วยถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งที่อีกสามหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาสมทบกลับดูชิลๆ สิวๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     

    “แล้วมีใครมาหรือยัง?” คนตัวเล็กเบือนหน้าเพื่อทอดสายตามองยังถนนที่ว่างเปล่าตรงทางเข้าศาลเจ้าพ่อห่อไหล่ เก็กจึงอดมองตามไปเพื่อเช็คดูให้แน่ใจอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะย้ำสิ่งที่เขาเห็นกับตามาตลอดช่วงเวลาชั่วโมงกว่าที่นั่งอยู่ที่นี่... ใช่ หลังจากออกไปวิ่งตอนเช้ารอบๆสนามใหญ่ เขาก็มาถึงที่นี่ก่อนเวลาที่นัดกันไว้เป็นชั่วโมง

     

    “ยังนะ...

    .

    ...ตั้งแต่เรามา ก็ยังไม่เจอใครมาไหว้เจ้าพ่อที่ศาลซักคนเลยล่ะ” คำรับรองของอดีตเดือนมหาลัยทำให้บ๊วยยิ้มได้ และดูสบายใจขึ้นมาก... และรอยยิ้มของคนตัวเล็ก ก็ทำให้ชายหนุ่มตัวโตคลี่ยิ้มด้วยความเต็มอกเต็มใจด้วยเหมือนกัน  

     

    “เอ่อ...คุณธันวาครับ ได้ข่าวว่าเพื่อนสนิทบ๊วยทุกคนก็ยืนอยู่ตรงนี้นะครับ ใจคอจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับ?...

    ...หรือจะให้พวกผมกลับ แล้วคุณธันวากับบ๊วยก็หนุงหนิงกันสองคนดีไหม?” สกลปาดหน้าเค้กเสียเรียบแปล้ จนแฝดพี่ทนไม่ไหวต้องแฮ่ใส่ให้รู้สำนึก

     

    “สกล...มาสายแล้วยังจะกล้าขโมยซีนอีกนะ”

     

    “หวัดดีครับสกล พี่ฌาน ฌอน...วันนี้สบายดีไหมครับ?” เก็กหันไปทักสมุนเลวอีกสามคนด้วยสีหน้าราวกับเพิ่งเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรกของวันด้วยความตั้งใจจะกวนตีนสกลอย่างยิ่งยวด

     

     

    ยังไม่ทันที่สกลจะได้เปิดฉากฉะสุดหล่อจากอีกคณะ ฌอนก็ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ทุกคนเคลื่อนไหว

    ก่อนจะทำพยักหน้ารับรู้ และปรึกษาหารือกับบางสิ่งที่ไร้ตัวตน  

    เมื่อไม่ใช่คนคุ้นเคยกับภาพไร้คำบรรยายเช่นนี้  อดีตเดือนมหาลัยถึงกับไปไม่เป็น...

    หรือสิ่งที่แฝดกำลังคุยด้วย จะเป็นกิ่งกฐินณรงค์ที่สยายต่ำลงมาเคลียข้างแก้มเยี่ยงสายสมอลทอล์คกันนะ?!

     

     

    “มีคนมาแล้วครับ”

     

     

    ฌอนลดเสียงพูดเบาลงจนทุกคนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของสถานการณ์

    ชายหนุ่มทั้งห้าตั้งตามองไปยังลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้าพ่อห่อไหล่เป็นตาเดียว

    พวกเขาบอกได้ทันทีว่า รถยนต์สีดำคันหนึ่งที่กำลังวิ่งฝ่าดงฝุ่นละอองมุ่งหน้ามาทางศาลเจ้าพ่อห่อไหล่นั้น ต้องเป็นพาหนะของว่าที่แฟนเฮียกังฟูเป็นแน่

     

    แต่ยังไม่ทันที่เหล่าสมุนเลวทั้งห้าจะได้สังเกตสังการูปพรรณสัณฐานของรถและเจ้าของจากที่มั่น

    รถคันนั้นก็เลี้ยวเข้าไปจอดใต้ต้นก้ามปูใหญ่หลังพุ่มไม้หนาไม่ห่างจากศาลเจ้าพ่อมากนัก

    เพียงไม่ถึงนาที...คนขับก็ดับเครื่อง ทำให้เสียงกระหึ่มของท่อตัดและเครื่องยนต์ดัดแปลงสงบลง...

    นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่พวกเขาได้ยิน

     

     

    “ใครวะ?...อยากเห็นหน้าชะมัด” ฌานเปรย และสกลผู้สนใจในทุกสิ่งที่เพื่อนกระทำก็นำเสนอกิจกรรมยามว่างสร้างรายได้ทันที

     

    “ผมว่าเป็นคนในมอ...พี่ฌานเอาเท่าไร?” ...นี่หรือคำพูดของหนุ่มแว่นมาดมหาฯผู้ช่ำชองการทำบุญ และเดินสายปฏิบัติธรรมในยามว่าง?!!  ชะรอย...ประโยคที่ว่า ศาสนาช่วยกล่อมเกลาให้คนเป็นคนเต็มคนคงจะไม่เป็นจริง

    “ไม่เล่น!!” สุ้มเสียงเปี่ยมด้วยอำนาจปฏิเสธห้วนชวนให้คนฟังใจหาย......ได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นแฝดพี่ก็พูดต่อ

     

    “ถ้าไม่ตั้งที่หมื่นนึง และพี่ฌานเดาว่าเป็นพี่คณะเรา” จุดยิ้มมุมปากเพียงข้างเดียวของแฝดพี่ส่งเสริมให้เวลานี้ ชายหนุ่มดูเสื่อมเสียจนไม่ควรค่าต่อการศรัทธาเลื่อมใส

     

     “พี่ฌาน!!!!” บ๊วยแหวด้วยไม่อยากให้หนุ่มหล่อที่ยืนข้างๆเข้าใจผิดไปกันใหญ่

     

    “เออๆ ไม่เล่นก็ไม่เล่น...

    ...พูดแค่นี้ไม่เห็นต้องร้องเสียงดังเลย...

    .

    ...เดี๋ยวเนื้อคู่ของพี่ไอ้เก็กมันก็รู้ตัวหมดหรอก” ฌานแก้เก้อด้วยการเปลี่ยนเรื่อง ทั้งๆที่เสียดายโอกาสอันดีในการตอกย้ำความห่วยของสกล หลังจากต้องขอดเงินก้อนจากกระเป๋าตังค์เพื่อเอามาจ่ายให้เขาค่าที่แพ้พนันแบบหลุดรุ่ย

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    08.57 น. | หลังพุ่มชาดัดสูงท่วมหัว ใต้ร่มเงาของต้นก้ามปูใหญ่ ห่างจากศาลเจ้าพ่อห่อไหล่ไม่มากนัก

     

     

    เมื่อแน่ใจว่ารถของตัวเองจอดใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่จนพ้นจากการลามเลียของแดดเป็นที่เรียบร้อย

    ชายหนุ่มหน้าตาละม้ายมหาโจรก็ลงจากรถเพื่อมาตรวจสอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับของขวัญราคาแพงจากพ่อและแม่ค่าที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดชื่อดังแห่งนี้ได้สำเร็จ  ตลอดสามปีที่ผ่านมา...เขาเฝ้าถนอมและดูแลรถคันนี้ประดุจลูกน้อยในอุทร ไม่มีครั้งไหนเลยที่ชายหนุ่มจะปล่อยปละให้มดมอดเหลือบไรมาไต่ตอมลูกรักของเขาได้

     

     

    “ฮื๊ยยยยย!!! หมาตัวไหนแม่งเสือกทิ้งทุ่นเอาตรงนี้วะ? ดูดิ๊...ยางกูเปื้อนหมดแล้ว...

    .

    .

    ...เหี้ยเอ๊ยยยยย!!! แม่งเสือกขี้สองกองให้กูต้องเผลอโง่เดินไปเหยียบอี๊กกกกกกกก...

    ...วันนี้มันวันอะไรของมึงวะไอ้เต๋อ...

    .

    .

    ...ดีนะที่เหยียบแม่งตรงอ่างเก็บน้ำ  ยังพอแวะไปล้างรองเท้าได้...

    ...ถ้าเหยียบมาตั้งแต่ตอนออกจากหอบ้านนี่ ไม่อยากจะนึกเลยว่าลูกกูจะเหม็นหึ่งงามไส้ได้มากขนาดไหน”

     

     

    ชายหนุ่มเดินทะลุพุ่มชาดัดอ้อมไปยังริมน้ำที่ตื้นพอจะเอื้อมมือลงไปล้างพื้นรองเท้าผ้าใบคู่ที่เขาใส่เป็นประจำ

    ระหว่างชำระล้างคราบซึ่งไม่พึงปรารถนา เขาก็อดบ่นกับลมกับฟ้าไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้

     

     

    “เดี๋ยวตอนกูขอพรเจ้าพ่อ......กูจะขอให้เวลาที่หมาในมอแต่ละตัวแม่งขี้นะ ให้ขี้แม่งล่องหนไปรวมกันตรงที่ทิ้งขยะให้หมดเลย  คนในมอแม่งจะได้ปลอดภัยจากขี้หมา จะได้ไม่ต้องมานั่งล้างรองเท้าเหยงๆเหมือนกับกูตอนนี้”

     

     

    ดูเอาเถิด...กระทั่งสิ่งที่ชายหนุ่มเปรยกับตนเองในยามไม่ได้คิดใคร่ไตร่ตรอง

    เขายังเผื่อแผ่ความเป็นห่วงไปยังผองเพื่อนนักศึกษาและชาวมหาลัยทั้งหลายเสียด้วย...

    หรือจริงๆแล้ว คนแบบนี้...อาจจะต้องการแค่โอกาสจากใครสักคนที่จะเดินเข้ามาทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขา  โดยมองข้ามเปลือกนอกที่ไม่น่าอภิรมย์ก็เป็นได้

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    09.01 น. | ถนนเส้นหลังมอก่อนทางแยกเข้าอ่างเก็บน้ำ

     

     

    “หน้าไม่เป๊ะนะ” ฟูทักเพื่อนชายกายเกือบสาวที่กำลังนั่งส่องเงาตัวเองในกระจกเป็นครั้งที่ร้อยได้

     

    “ฟู!!! อย่าทักซี่ เรายิ่งไม่ค่อยมั่นใจอยู่” ด้วงฟาดฝ่ามือลงต้นแขนของอีกฝ่ายที่แอบอมยิ้มระหว่างบังคับพวงมาลัยรถยนต์คู่ใจ ชายหนุ่มไม่ได้ติดใจกับท่าทางกระเง้ากระงอดแต่พองามของเพื่อนสนิท กลับยิ่งยั่วยุให้อีกฝ่ายไม่มั่นใจด้วยประโยคถัดมาของตัวเอง

     

    “วันนี้มึงอย่าได้เที่ยวไปยืนแถวสี่แยกที่ไหนล่ะ...เดี๋ยวรถจะได้หยุดกันหมด”

     

    “ทำไม?... เพราะความงามอันเลอเลิศของเพื่อนในชุดสายเดี่ยวกับกางเกงยีนส์นี่น่ะเหรอ?” คนขับยกยิ้มมุมปาก แล้วละสายตาจากถนนอันว่างเปล่าเพื่อชำเลืองมองเพื่อนรักตั้งแต่หัวจรดเท้า...เท้าจรดหัว ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดด้วยเสียงชัดเจนจนไม่ต้องแปล

     

    “เปล่า...เพราะสีเสื้อน่ะ...

    .

    ...แสบตาแป๊ดแปร๋แจ๋แจ๋นจนใช้แทนสัญญาณไฟจราจรได้เลยนะมึง...

    ...ถ้ารถคันไหนเห็นมึง รับรอง...แม่งต้องหยุดกันเกรียว...

    ...แต่ถ้ามึงอยากโฉบเฉี่ยวนะด้วง  มึงลองไปยืนเยี่ยวกลางแปลงนาเด็กเกษตรอ่ะ รับรอง...ควายพุ่งเข้าเสยมึงแน่ หึ หึ”

     

    “บ้า!!! ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ไม่ละเอียดอ่อนกับสาวน้อยเอาเสียเลย” ด้วงทำแก้มพองลมยื่นปากจู๋...เมื่อดูเผินๆ จะว่าน่ารักก็ใช่ แต่ก็บอกไม่ได้ว่า น่ารักเพราะท่าทาง หรือน่ารักเพราะหน้าตาของคนทำกันแน่

     

    “สาวน้อยเคมีสินะ” ฟูย้อนนิ่งๆโดยไม่คลายรอยยิ้มตรงมุมปาก

     

    “ใช่ค่ะฟู  เราเป็นสาวเคมี..และเคยังดีด้วยค่ะ ฟูอยากดูไหมคะ?” ด้วงประชด

     

    “ไม่ล่ะ มึงเก็บเอาไว้ฉี่เหอะ...เดี๋ยวเรียนจบก็ไม่มีแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฟูบอกปัดพลางผลักหัวเพื่อนสนิทเบาๆ...อีกหน่อย ด้วงคงจะกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว ไม่ต้องอึดอัดกับความครึ่งๆกลางๆทางกายภาพแบบนี้อีกต่อไป  แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ดูยินดียินร้ายกับความคิดนี้เท่าไรนัก

     

    “....อืม....ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้ง” ด้วงตอบด้วยเสียงเศร้าสร้อยจนฟูจับอาการได้

     

    “เป็นไร? แซวเรื่องไม่สวยแค่นี้ถึงกับเศร้าเลยเหรอ? โห! มึงอย่าตุ๊ดนักดิวะด้วง...กูขอโทษ  กูไม่ได้ตั้งใจ...

    .

    .

    .

    ...ดีกันเหอะนะ...

    ...นะ นะครับด้วงสุดสวย” ฟูลงทุนพูดเพราะผิดปกติเพื่อง้อเพื่อนรัก เพราะวิธีนี้...ทำให้ด้วงใจอ่อน และหายโกรธได้เสมอ

     

    “เราไม่ได้โกรธฟูหรอก เราแค่กำลังสงสัยว่าทำไมฟูต้องมาไหว้เจ้าพ่อห่อไหล่ด้วย?” ด้วงเฉไฉด้วยไม่อยากจะฟื้นฝอยเรื่องที่ไม่มีประโยชน์จะพูดถึง ในเมื่อยังไม่ถึงจังหวะอันเหมาะสม

     

    “ไม่รู้จริงๆว่ะ นี่ตั้งแต่ตื่นมา กูก็นั่งคิดตลอดเลยนะว่า...กูจะมาที่นี่ทำไม ทั้งๆที่กูก็ไม่ได้อยากให้เจ้าพ่อท่านช่วยอะไรซักหน่อย อีกอย่าง...ผีแถวนี้แม่งก็ดุฉิบหาย”

     

    “เหรอ?” แม้จะติดใจ แต่ด้วงกลับสนับสนุนความต้องการไร้เหตุผลสนับสนุนของเพื่อนรักอย่างเต็มที่ “แต่ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วเนอะ ลงไปไหว้ขอพรท่านให้ช่วยเรื่องที่ฝึกงานก็แล้วกัน...

    .

    ...เราอยากฝึกงานกับฟูอ่ะ...

    ...ดีมะ?” ด้วงขอความเห็น

     

    “เออ เอางั้นก็ได้...เห็นใครๆก็บอกว่าเจ้าพ่อห่อไหล่ศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะคนที่มาขอพรเรื่องการเรียน หรือการงาน” ฟูตบปากรับคำโดยไม่คิดอะไร ชายหนุ่มขับรถเข้าจอดใกล้กับลานหญ้าหน้าศาลเจ้าพ่อโดยไม่ทันได้สังเกตเงาตะคุ่มๆของรถยนต์คันสีดำที่จอดแอบใต้ต้นไม้ใหญ่ในกำแพงต้นไม้หนาทึบ

     

    “เฮ๊ยมึง...เดี๋ยวก่อน!” ฟูร้องทักเพื่อนที่กำลังจะก้าวลงจากรถ

     

    “ทำไมเหรอ? หรือฟูเปลี่ยนใจ ไม่อยากให้เราลงไปด้วย?” ด้วงถามหน้าเจื่อน

     

    “เปล่า...มึงใส่ช็อปทับสายเดี่ยวให้เรียบร้อยก่อน มันดูไม่สุภาพ เดี๋ยวเจ้าพ่อท่านจะโกรธเอา” ชายหนุ่มโยนเสื้อช็อปของอีกฝ่ายที่วางเอาไว้ตรงเบาะหลังให้เพื่อนแล้วถลึงตาใส่

     

    “ค่าาาาาาาา คุณพ่อ” ชายหนุ่มหน้าสวยภายใต้เครื่องสำอางค์หนาส่ายหน้าล้อเลียนเพื่อนรักที่ทำท่าฟึดฟัดไม่พอใจ

     

    “จะใส่ดีๆ หรือจะแก้ผ้าเดินลงไป?!” ฟูถกแขนเสื้อขึ้นพลางส่งสายตากำราบอีกคำรบ

     

    “ใส่ซี่...กำลังใส่อยู่เนี่ย ไม่เห็นเหรอ?!... ทำไมต้องดุเราด้วยก็ไม่รู้” ด้วงตอบเสียงอ่อยมือไม้พันกันไปหมด

     

    “ไป...ลงไปได้แล้ว” ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนกระตุ้นให้เพื่อนก้าวลงจากรถโดยเร็ว

     

    “เจ้าค่าพ่อเจ้าประคุณรุนช่อง” ด้วงยอมทำตามคำบอกของเพื่อนรักแต่โดยดี

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    09.07 น. | หลังต้นกรันเกราริมอ่างเก็บน้ำ ณ ศาลเจ้าพ่อห่อไหล่

     

     

    เมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนก้าวลงมาจากรถของพี่ชายตัวเอง อดีตเดือนมหาลัยก็เผลอพูดคนเดียวด้วยความสงสัย “ทำไมพี่ด้วงถึงมาที่นี่ได้วะ?”

     

    “พี่ด้วงเป็นใครเหรอเก็ก? แล้วพี่ชายของเก็กคือคนไหนเหรอ?” บ๊วยที่ยืนอยู่ใกล้ๆอดซักไซ้ไม่ได้ หากแต่เรื่องโชว์ภูมิแบบนี้ ขอแค่มีสกล...บุคคลต้นเรื่องจะกลายเป็นหมาหัวเน่าในทันใด

     

    “โธ่บ๊วย เรื่องแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องลำบากคุณธันวาต้องมาเหนื่อยตอบเลย...

    ...ถามเรานี่  เราจะชี้ทางสว่างให้นายเอง...

    .

    .

    ...นายเห็นคนตัวใหญ่ๆผมยาวๆที่ใส่ช็อปเดินทำตาขวางๆคนนั้นหรือเปล่า?..

    ...นั่นน่ะ คุณกรกฏ หรือเฮียฟูพี่ชายของคุณธันวายังไงล่ะ...

    .

    ...เพราะฉะนั้น อีกคนก็ต้องชื่อด้วงไปโดยปริยาย...

    ...เหตุผลซึ่งสนับสนุนข้อเท็จจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คือ...คุณกรกฏพี่ชายคุณธันวาน่ะ มีเพื่อนรักเป็นกะเทยหน้าตาสวยจัดอยู่คนนึง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องเป็นคนตัวเล็กๆขาวๆปากแดงๆ ที่ดูยังไงก็ไม่แมนแถมยังอ้อนแอ้นแขนอ่อนซะเหลือเกินคนนั้นแน่ๆ” สกลสรุป

     

    “ใช่แน่เหรอสกล?...

    ...พี่ฌานว่า ไอ้หนุ่มผมยาวนั่นมันหน้าลอยๆ ตาคมๆ ปากวาวๆแลตุ๊ดๆยังไงก็ไม่รู้ว่ะ” ฌานออกความเห็น แต่แล้วก็เป็นอดีตเดือนมหาลัยที่ช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกคน

     

    “สกล... คนที่นายบอกว่าเป็นกะเทยน่ะ...

    ...คือ เฮียฟู...

    .

    ...ส่วนคนตัวใหญ่ๆ ที่เดินข้างๆกัน คือ..พี่ด้วง...

    ...เป็นเพื่อนสนิทของเฮียฟู แล้วก็เป็นพี่ห้องของเราอีกคน...

    ...แล้วที่นายบอกว่าตาของพี่ด้วงขวางๆ อาจเป็นเพราะพี่ด้วงชอบแต่งหน้าแล้วเขียนตาดำๆยังไงล่ะ”

     

    “อะเหอ เหอ เหอ...แหม คุณธันวาล่ะก็ อย่าเพิ่งทำหน้าไม่เบื่อหน่ายผมขนาดนั้นสิครับ...

    ...คุณธันวาต้องเข้าใจผมด้วยนะครับว่า ทฤษฎีที่ผมเพิ่งบอกไปมันก็มีความเป็นไปได้...

    .

    .

    ...ลองถ้าใครได้ฟังเฉพาะกิตติศัพท์ของคุณกรกฏแบบที่คุณธันวาเล่าเด๊ะๆโดยไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเหมือนผม...

    ...ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเข้าใจว่า เฮียฟูที่คุณธันวาพูดถึง คือ ชายหนุ่มมาดแมนแฮนซั่มล่ำประมาณหมี  ไม่ก็ต้องมีกายวิภาคไม่ต่างจากคุณธันวาราวฟ้ากับเหวแบบนี้หรอกครับ...

    .

    ...ถ้าคุณธันวาไม่เชื่อ  ลองถามคนอื่นในที่นี้ดูก็ได้ครับ...

    ...ถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมบอก  คุณธันวาอมขี้หมามาบ้วนใส่หน้าพี่ฌานได้เลยครับ” สกลแถจนเพื่อนอีกสามคนทำหน้าเอือมระอาอย่างเห็นได้ชัด

     

    “กวนตีนจังครับสกล... ถ้าไม่เป็นการรบกวน สกลช่วยเงียบปากเพื่อให้พี่ฌานได้ใช้สมองคิดอะไรสักครู่ก็จะดีนะครับ”

     

    “อูยยยย! ชอบจัง...เวลาพี่ฌานพูดเพราะๆแบบนี้” หนุ่มหน้าแว่นตอบโต้ด้วยสายตาวาววับกับสีหน้าระริกระรี้ “เห็นแก่พี่ฌานขอร้องดีๆ ผมเลยจะยอมเงียบให้ก็แล้วกันครับ” กระทั่งประโยคกวนประสาทปิดท้ายของสกล...ก็ยังแรงดีไม่มีตก

     

    “สกลช่างประพฤติตัวได้สมกับที่เป็น สัตว์  ประเสิรฐดีเหลือเกินครับ” หลักจากแดกเพื่อนจบ แฝดพี่ก็หันไปอีกทางเพื่อคุยกับเหล่าสมุนที่เหลือด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “พี่ฌานคุ้นหน้าพี่ชายเก็กมากเลยว่ะ   เฮียฟูนี่ต้องเคยมาหาพี่ฌานที่ตำหนักแล้วแน่ๆ”

     

    “พี่ฌานแน่ใจเหรอ?”

     

    “เชื่อเถอะบ๊วย น้องพลายคอนเฟิร์มแล้ว”

     

     

    ฌอนสำทับด้วยท่าทางน่าเชื่อถือเสียจนทำให้เก็กถึงกับงง

    แน่ล่ะ... ก็เขายังเข้าไม่ถึงตรรกะของแฝดน้องผู้กล้ารับรองเรื่องนี้  ทั้งที่ไม่เคยเจอพี่ชายคนเดียวของเขามาก่อนแม้สักครั้ง

    บ๊วยจึงรีบขยิบตาให้หนุ่มวิศวะเพื่อให้สัญญาณว่า เขาจะได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับความเหนือของบรรดาสมุนอีกสามคนแน่ๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

     

     

    เก็กจึงยอมปล่อยให้ข้อสงสัยตกไปชั่วคราว

    แล้วเสริมข้อมูลส่วนตัวของกังฟูเพื่อทำให้ข้อสันนิษฐานของฌานฟังดูหนักแน่นขึ้น

     

     

    “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ...เพราะเฮียฟูค่อนข้างจะนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับอีกมิติมากถึงมากที่สุด”

     

    “เอ่อ สมุนผู้เป็นสหายทั้งหลายครับ...ตอนนี้ได้เวลารึยังอ่ะครับ? ทำไมเนื้อคู่ของคุณกรกฏถึงยังไม่มาเสียที?”

     

    “เก้าโมงเก้านาทีแล้วล่ะสกล” ฌอนตอบ

     

    “หรือที่เจ้าพ่อไทรทองบอกไว้ มันจะไม่ใช่เรื่องจริงกันครับ?” สกลเมาท์เจ้าพ่อทั้งสองที่ยังไม่ปรากฏกายให้เห็นแม้จะถึงเวลานัดแล้วก็ตาม

     

     เฮ่ลโหล่ว โหม่วโต๊ว!!!’  ใจคอพวกเจ้าจะเผาข้าทั้งสองตนให้กลายเป็นตอตะโกเลยหรืออย่างไร?”

     

    “อุ๊ย! เจ้าพ่อไทรทอง...สวัสดีครับ” ทักษะในการแปรพักตร์ของสกลช่างสูงส่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความสามารถพิเศษที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตและการเรียนข้ออื่นๆของเขา

     

    “ทำไมเนื้อคู่ของเฮียฟูถึงยังไม่มาอีกล่ะครับเจ้าพ่อ?” เก็กถามเจ้าพ่อไทรทองด้วยความร้อนรน เพราะจนตอนนี้...ยังไม่เห็นวี่แววของผู้ชายคนไหนนอกไปจากเพื่อนสาวคนสนิทของพี่ชายตนเอง

     

    “ใครบอกว่ายังไม่มา... โน่นไง เดินเป็นกาคาบพริกมาโน่นแล้ว” เจ้าพ่อไทรทองวาดนิ้วไปยังอีกด้านของศาลเจ้าพ่อ ทว่าสายตาของเทวบุตรสุดชิคกลับจับจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ข้างๆกังฟูไม่วาง

     

     

    เมื่อมองตามปลายนิ้วขององค์เทวบุตรไป  เหล่าสมุนเลวทั้งหลายก็เห็นชายฉกรรจ์เถื่อนล่ำ ผิวดำมะเมื่อม ตัวเท่างูเหลือมกินตึก แถมยังไว้หนวดไว้เคราจนมองไม่เห็นเครื่องหน้าส่วนอื่นๆกำลังเดินเท้าเปล่าขึ้นมาจากริมตลิ่ง สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นดูน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หาใช่รูปกายภายนอกที่ดูน่ากลัวราวกับมหาโจร ทว่าเป็นเสื้อยืดแขนสั้นสีแดงที่ตัดกับผิวเข้มๆของเขาจนทำให้เจ้าตัวยิ่งดูคล้ำไปกันใหญ่

     

     

    “อ่ะโห...เนื้อคู่คุณกรกฏนี่ดูผึ่งผายสมเป็นชายชาตรีแท้ๆเลยนะครับ...

    ...สงสัยเมื่อกี๊พี่เขาคงเพลิดเพลินอยู่กับการลากของสดลงไปกินเป็นอาหารเช้าอยู่แน่ๆเลย ถึงได้เพิ่งเดินขึ้นจากริมน้ำเอาสายป่านนี้” สกลชื่นชมคนมาใหม่ออกหน้าไมค์ อาจเป็นเพราะความถูกชะตา...หรือความคุ้นเคยกับมาดดุดันของอีกฝ่ายที่ปลุกวิญญาณเสือร้ายที่หลับไหลในใจของหนุ่มหน้าแว่นตื่นขึ้นก็เป็นได้

     

     

    ทุกคนหันไปมองหนุ่มหน้าแว่นแสนเกรียนเป็นตาเดียว

    เก็กนึกขอบคุณชะตากรรมที่ทำให้ได้สกลมาเป็นพวกด้วย...

    ไม่อย่างนั้น เขาคงซวยยิ่งกว่านี้ ที่ต้องกลายเป็นขี้ปากของสกลเหมือนที่เนื้อคู่ของเฮียฟูกำลังประสบอยู่

     

     

    “เอ! ไม่รู้ทุกคนจะคิดเหมือนผมไหม...

    ...ทำไมผมถึงรู้สึกว่า เนื้อคู่คุณกรกฏดูคุ้นๆตาเหมือนเพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่วันก่อนชอบกลนะครับ” สกลเสริม

     

    “มะ มะ....ไม่ใช่แค่คุ้นตานายคนเดียวหรอกสกล...แต่นั่นน่ะ พี่เต๋อตัวเป็นๆเลยแหละ” บ๊วยเฉลยเสียงสั่น ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองทำสีหน้าหวาดกลัวราวกับเห็นผีห้อยหัวลงมาจากขื่อหลอกหลอนอยู่ตรงหน้าขณะที่พูดประโยคนี้

     

    ห๊ะ?!! เมื่อกี๊นายว่าไงนะ? สกลร้องเสียงหลง เป็นครั้งแรกที่เก็กได้เห็นหนุ่มหน้าแว่นหน้าซีดเป็นไก่ที่โดนลากไปกินในน้ำเสียเอง

     

    “ผ...ผ...ผู้ชายเสื้อแดงคนนั้น คือพี่เต๋อ...พี่รหัสเราไง” บ๊วยย้ำ...ยิ่งร่างหนาล่ำของชายหนุ่มที่ชื่อเต๋อเดินเข้ามาใกล้ศาลเจ้าพ่อห่อไหล่มากขึ้นเท่าไร ชายหนุ่มร่างเล็กก็ยิ่งดูไม่เป็นผู้เป็นคนมากขึ้นเท่านั้น

     

    “ไม่จริง...ไม่จริงใช่ไหมบ๊วย?!!!” เก็กเฝ้ามองชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังพายเรือในอ่างแบบไม่สนใจใครด้วยความฉงน ในขณะที่สองแฝดกลับทำได้แค่ยืนกลั้นยิ้มแทบเป็นแทบตาย

     

    “สกล...นายเป็นอะไรของนาย?”

     

    “หึ หึ หึ...คุณธันวารอดูเองเถอะครับ นั่นน่ะ...กรังนำสไตล์ตัวพ่อในตำนานของคณะผมเลยทีเดียว” สกลตอบด้วยสีหน้าเหมือนคนที่กำลังเฝ้าดูโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้า

     

    “มาแล้ว...มาจริงด้วย!! เห็นไหมครับเบ๊บ ไทรทองทำได้อย่างที่คุยกับเบ๊บไว้จริงๆ”

     

     

    เจ้าพ่อไทรทองผู้ไม่สนใจความสับสนทางอารมณ์ของเหล่าสหายเลวกำลังพูดจาเอาดีเข้าตัวเพื่อสร้างความประทับใจให้เจ้าถิ่นที่แอบเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในออฟฟิศส่วนตัว  แต่เมื่อได้ยินเทวบุตรสุดชิคพาดพิงถึงนามของเขา โฮลี่ฮิปสเตอร์จึงจำใจปรากฏกายต่อหน้าองค์เทพผู้หมายบ่อนทำลายความมั่นคงทางกายและใจของตนเองอย่างเสียไม่ได้

     

     

     ป็อบ!’  อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลยคุณ รอดูไปก่อนเถอะว่า สุดท้ายแล้ว...ผลงานของคุณจะสำเร็จหรือเปล่า” เจ้าพ่อห่อไหล่ปรามาสเทวบุตรสุดชิคที่กำลังยิ้มจนตาปิดด้วยความดีใจที่หลอกล่อให้องค์เทพเจ้าถิ่นยอมปรากฏกายได้สำเร็จ

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    09.09 น. | ลานหญ้าหน้าศาลเจ้าพ่อห่อไหล่

     

     

    “สัดเอ๊ยยยย! นั่นงะ...

    .

    ...กูว่าแล้ว  ทำไมวันนี้กูถึงซวยแต่เช้า” เต๋อโยนรองเท้าผ้าใบทั้งสองข้างลงกับพื้นเสียงดัง

     

    “ไอ้เหี้ยเต๋อ! มึงมาที่นี่ได้ไง?” ฟูขู่ฟ่อ

     

    “กูคงเดินมาหรอกมั้ง ไกลขนาดนี้...มีสมองไว้ขึ้นรูปหัวอย่างเดียวรึไงไอ้เหี้ยเตี้ย?” เต๋อยียวนตามประสา...

     

     

    จริงๆกับคนอื่น เขาก็ไม่เถื่อนเท่านี้

    แต่พอเป็นคู่กรณีที่มีเรื่องหมางใจกันมาตั้งแต่เด็กอย่างฟู...

    ชายหนุ่มก็พร้อมจะถูมือรอกวนประสาทให้เส้นเลือดในสมองอีกฝ่ายแตกได้เสมอ

     

     

    “พ่อมึงตาย!!!!

     

     

    คำบริภาษที่ออกจากปากฟู ถูกใบหน้าน่ารักราวเคะราชินีบดบังจนฟังดูไร้ความศักดิ์สิทธิ์...

    สำหรับคนอื่นแล้ว ต่อให้ฟูด่าพ่อล่อแม่ด้วยคำพูดแย่ๆขนาดไหน พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่จะไม่สนใจ เพราะต่างก็หลงใหลได้ปลื้มกับรูปกายน่ารักหาใดเปรียบของเจ้าตัวไปเป็นที่เรียบร้อย แต่นั่นกลับไม่เคยใช้ได้ผลกับคนกรังๆอย่างเต๋อแม้สักครั้ง

     

     

    “ฟู..ใจเย็นๆ อย่ามีเรื่องกันเลยนะ” ด้วงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

     

    “โอ๊ะ โอ...กูไม่นึกเลยว่ากะเทยร่างหนาจะพาหมากระเป๋ามาเด้าหญ้าถึงอ่างเก็บน้ำนี่” เต๋อยังไม่คิดลดราวาศอก

     

    “ไอ้เหี้ยเต๋อ...ไอ้สัด!... ปากดีๆอย่างมึงนี่ต้องเจอตีนกู!!” ฟูกำลังจะกระโดดเทคตัวขาคู่ใส่หนุ่มปากหมาร่างหนาเป็นตึก ทว่าสองเท้าเล็กๆกลับลอยต่องแต่งค้างอยู่กลางอากาศหลังจากเพื่อนสาวร่างสูสีกับเต๋อสอดแขนรั้งร่างเล็กๆนั่นเอาไว้แน่น

     

    “กระโดดเตะให้พ้นยอดหญ้าก่อนเหอะมึง แล้วถึงค่อยคิดถีบกู....ดู๊ ดู ขาสั้นเท่าด้ามปากกา ยังมีหน้ามาปีนอนุสาวรีย์ชัยฯ” ฟูยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่ออีกฝ่ายทำสีหน้าแสยะยิ้มหยามๆส่งมาให้

     

    “ด้วง! ปล่อยกู!!! กูจะไปเอาเลือดเหี้ยมาล้างตีน!!!! ต่อให้ใช้ความพยายามมากแค่ไหน แต่ฟูกลับทำได้แค่แกว่างขาไปมาเท่านั้น ส่วนด้วงผู้ทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวยก็เพียรเฝ้าขอร้องอย่างใจเย็น

     

    “ฟู...เราขอล่ะ เราไม่อยากมีเรื่อง”

     

    “นี่ มึงอ่ะ ปล่อยเพื่อนมึงก็ได้นะ ไม่ต้องกลัวกูทำอะไรแม่งหรอก...กูไม่นิยมรังแกสัตว์เล็กว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เต๋อยังคงยั่วยุคนตัวเล็กกว่าอย่างไม่หยุดยั้ง เขาชอบเหลือเกินเวลาที่เห็นฟูชักสีหน้า หรือออกอาการเดือดร้อนเพราะเขา...และนี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มหน้ามหาโจรขยันทำมาโดยตลอดนับตั้งแต่ชั้นอนุบาลสาม

     

    “ด้วง...ถ้ามึงไปปล่อยกูเดี๋ยวนี้ กูจะเล่นมึงก่อนไอ้เหี้ยนั่นแน่ๆ...

    .

    .

    ...ว่าไง จะปล่อยหรือไม่ปล่อย?” ฟูยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกฉาบด้วยเครื่องสำอางค์จนกลายเป็นสวยจนน่าหลงใหล เขาหวังจะข่มขู่เพื่อนสนิทให้ยอมโอนอ่อนและปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระดั่งใจ  ซึ่งหากลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่า...ใบหน้าของเพื่อนรักทั้งสองขึ้นสีแดงพอๆกัน หากแต่ด้วยสาเหตุต่างกันลิบลับ  กังฟู...หน้าแดงเพราะกำลังโกรธจัด  ส่วนด้วงนั้น...คงเป็นเพราะความใกล้ชิดจนน่าตกใจ

     

    “ฟู...อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ เจอกันทีไรก็มีเรื่องกันตลอด...

    .

    ...แล้วคนที่เจ็บตัวมากกว่าก็เป็นฟูทุกทีไม่ใช่เหรอ?” ด้วงยังไม่ปล่อย และยังคงให้เหตุผลเพราะหวังว่าฟูจะเปลี่ยนใจ

     

    “ด้วง!!! กูจะนับถึงสิบ...มึงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากูนับสิบแล้วมึงยังไม่ปล่อยกู” สายตาขึงขังและไม่ยอมใครของฟูทำให้ด้วงต้องเปลี่ยนกุศโลบายอย่างฉับพลัน

     

    “นายกลับไปก่อนเถอะนะ เราขอล่ะ...อย่ามีเรื่องมีราวกันเลย” หนุ่มร่างสาวขอร้องเต๋อ...อดีตคนรู้จักตั้งแต่ครั้งเรียนอนุบาล

     

    “.....สี่..............................ห้า................................

     

    “เต๋อ...เราขอล่ะ” ด้วงวิงวอน  เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลพอ ที่สำคัญ...เต๋อไม่ใช่คนไร้น้ำใจอย่างที่ใครตัดสินเขาจากหน้าตา

     

    “วันนี้มึงโชคดีนะไอ้เตี้ยที่ไอ้ตุ๊ดมันขอชีวิตมึงกับกูเอาไว้ ไม่งั้นมึงได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่ๆ” เต๋อส่งท้ายด้วยการตอกย้ำความจริงที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่เสือทั้งสองตัวบังเอิญมาเจอกัน

     

    “.................เจ็ด.แปด.เก้า....ด้วง!!!! มึงทำอย่างนี้กับกูได้ไงวะ? ไอ้เหี้ยนั่นมันเป็นพ่อมึงรึไง...ทำไมต้องไปขอร้องมันด้วย?”  ฟูด่าเพื่อนอย่างลืมตัวหลังจากเป็นอิสระอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์

     

    “ฟู...ฟังเราก่อน ฟูมาที่นี่เพราะจะมาไหว้ศาลเจ้าพ่อ ไม่ได้มามีเรื่องกับใครไม่ใช่เหรอ? ถ้างั้น...เราไปไหว้เจ้าพ่อห่อไหล่กันดีกว่า เดี๋ยวไปเรียนสายนะ”

     

    “กูไม่หว้งไม่ไหว้อแม่งละ อารมณ์เสียสัด!!” พี่ชายตัวเล็กของนายธันวาพาลพาโล

     

    “อ่ะ อ่ะ...งั้นก็ไปกินข้าวเช้าที่คณะแล้วกัน เอากุญแจรถมา...เดี๋ยวเราขับเอง”

     

    “กูไม่ให้!

     

    “อย่าทำอย่างนี้สิฟู ฟูก็รู้ว่าเราหวังดี อีกอย่าง...เวลาฟูโมโห ฟูชอบขับรถเร็วน่าหวาดเสียวทุกที...

    .

    ...นะ นะ ให้เราขับให้เถอะนะ...

    ...เรายังไม่อยากตายก่อนได้เฉาะ และถูกเฉาะน่ะ” หากกังฟูมีวิธีง้อให้ด้วงหายงอนได้ง่ายๆ แน่นอนว่า ผู้ชายหน้าสวยคนนี้ย่อมต้องมีวิธีทำให้ชายหนุ่มเลือดร้อนในร่างกะทัดรัดเย็นลงได้ทันตาเหมือนกันนั่นแหละ

     

    “.......แม่งงงงงงงง!!!!........” ฟูเดินกระทืบเท้าเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถหลังจากโยนกุญแจให้กับเพื่อนรักแม้เจ้าตัวจะไม่ชอบใจนักก็เถอะ

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    09.14 น. | หลังต้นกรันเกราริมอ่างเก็บน้ำ ณ ศาลเจ้าพ่อห่อไหล่

     

     

    “เป็นยังไงกันบ้างพวกเจ้า...เนื้อคู่ของนายกังฟูพี่ชายนายเก็ก เข้าทีไหม?” เจ้าพ่อไทรทองถามทั้งห้าหนุ่มด้วยน้ำเสียงร่าเริงไม่เข้ากับสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่งสิ้นสุดลงไปหมาดๆอีกด้านของต้นกันเกรา

     

     “เจ้าพ่อไทรทองมั่นใจใช่ไหมครับว่า คนๆนี้คือว่าที่แฟนของเฮียฟูจริงๆ?” แฝดพี่ออกอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

     

    Oh, dear!! ธธธธธธธโธ่ เจ้ามนุษย์เบาปัญญาเอ๋ย!!...

    .

    ...ก่อนจะเริ่มภารกิจในครั้งนี้ ข้าย่อมต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว...

    ...อย่าให้ความกังขา และความสิ้นหวังมาบั่นทอนความเชื่อมั่นในชายหนุ่มที่ข้าพามาแสดงตัวสิ เขากับพี่ชายของนายเก็กน่ะ ทำบุญร่วมกันมา แต่เพราะกรรมบังตา...พวกเขาจึงยังไม่ได้คบหาดูใจกันเสียที...

    .

    .

    ...พวกเจ้าทั้งหมดจงฟังข้านะ...

    ...หากพวกเราสามารถล้างพรข้อนี้ของนายกังฟูได้สำเร็จ  นอกจากนายเก็กจะได้มีโอกาสลิ้มลองรสชาติหอมหวานของความรักอีกครั้งแล้ว ยังเป็นการร่วมทำบุญกันอีกทางหนึ่ง เพราะพวกเรากำลังจะช่วยทำให้คนรักที่พลัดพราก ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที” เจ้าพ่อไทรทองอธิบายยืดยาว

     

    “โห...เจ้าพ่อเล่นออกตัวพูดปิดทางทำมาหากินของพวกเราเสียแบบนี้  สงสัยพวกเราคงจะไม่มีทางเลือกอื่นที่น่าจะดีกว่าแล้วใช่ไหมครับ?” ฌอนเริ่มจะทำใจยอมรับความจริงอันโหดร้ายที่กำลังรอพวกเขาอยู่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

      

    “วินาทีนี้  สกล...ตะเตือนไตมาก เพราะงานนี้พวกเราต้องลำบากแน่ๆ...

    ...ทำให้พี่เต๋อ จีบคุณกรกฏให้ติด น่าจะสิ้นคิดยิ่งกว่าเปิดหนังโป๊แพนด้าให้ช่วงช่วงช่วยตัวเองอีกครับ” สกลเสริมด้วยสีหน้าหมดกำลังใจไม่แพ้กัน

     

    “นั่นสิคุณ...ผมไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะปรองดองกันสักเท่าไรเลยนะ” เจ้าพ่อห่อไหล่เองก็อดเห็นด้วยกับเหล่าสมุนเลวรุ่นดั้งเดิมไม่ได้

     

    “แต่มันก็ต้องมีทางนะครับเบ๊บ... อย่างไรเสีย พี่ชายนายเก็กก็ได้พบกับเนื้อคู่ที่แท้จริงของเขาแล้วล่ะ” เจ้าพ่อไทรทองถือโอกาสที่เจ้าพ่อห่อไหล่เผลอ โอบไหล่อีกฝ่ายแล้วลูบต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆเพื่อให้คลายกังวล เทวบุตรสุดชิคแอบตั้งจิตสั้งให้ เลขา A.I. รีบจดบันทึกช่วงเวลาที่สามารถแตะต้องร่างกายของเจ้าพ่อห่อไหล่ได้อย่างเนียนๆเอาไว้ทันที  

     

    “แล้วพวกเราควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ?” เก็กเองก็โดนอุปาทานหดหู่หมู่เล่นงานไปเหมือนกัน...เขาไม่ยักรู้ว่า ไอ้พี่เต๋อตัวตึกคู่ปรับตลอดกาลของเฮียฟูจะเรียนอยู่ที่เดียวกันกับพวกเขา และที่สำคัญ...พี่เต๋อยังเป็นพี่รหัสของบ๊วยอีกต่างหาก

     

    “นี่แค่เห็นหน้า ก็ยังจะแทบฆ่ากันจนล้มตาย แล้วจะหวังอะไรกับการทำให้สองคนนั่นหันมารักกันได้อีก...เฮ่อ!!” บ๊วยชักไม่แน่ใจจนเริ่มจะมองไม่เห็นความสำเร็จตรงปลายทางของแผนการลบล้างคำสาปให้เก็กตามสมุนทั้งสาม กับเจ้าพ่อห่อไหล่ไปอีกคน

     

     

    กระนั้นท่ามกลางความหมดหวัง...

    หากเรายังไม่เลิกล้มความตั้งใจไปเสียอย่าง

    ก็ย่อมจะมีแสงสว่างแม้ใกล้ริบหรี่ที่สามารถช่วยนำทางให้มนุษย์เราก้าวต่อไปได้เสมอ

    แสงสว่างของพวกเขา มาพร้อมกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของแฝดพี่ที่ดูไม่น่าไว้ใจและหลอนสัดๆในเวลาเดียวกัน

     

     

    “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกบ๊วย... หึ หึ หึ” ฌานหัวเราะในอกอย่างแรงจนฟังคล้ายกับกำลังสำลัก

     

    “พี่ฌานครับ...

    ...มันใช่เวลาทำตัวมีลับลมคมแฝกที่ไหนครับ? ไม่เห็นเหรอครับว่า คนอื่นๆกำลังเคร่งเครียดกับสถานการณ์กันแค่ไหน...

    ...พี่ฌานไม่มีหัวใจ พี่ฌานไม่มีไขข้อ!!” เมื่อรับรู้ถึงความมั่นใจของพี่ฌานผู้เป็นเสาหลักของกลุ่ม สกลก็เริ่มจะใจชื้นจนกลับมาลามปามเป็นขี้กลากอีกครั้ง ซึ่งนั่นนับเป็นสัญญาณที่ดี

     

    “พี่ฌานไม่ต้องไปสนใจสกลหรอก... พี่ฌานบอกพวกเรามาเถอะว่าพี่ฌานคิดอะไรอยู่ในใจ?” เก็กโพล่งคำถามออกมาเพราะอดใจรอให้แฝดพี่แย้มพรายไม่ไหว แต่มีหรือที่ฌานจะยอมลงให้คนที่จัดว่าหล่อสูสีกับตัวเองง่ายๆ

     

    “พี่ฌานว่า เก็บเอาไว้คุยกันเย็นนี้...สองคนนั่นยังคงไม่หนีไปที่ไหนหรอก”

     

    “แต่เย็นนี้ผมเลิกเรียนช้านะพี่ฌาน” เก็กตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

     

    “ถ้างั้น...คงถึงคราวสถาปัตย์ยกพลขึ้นบกวิศวะมั่งแล้วล่ะ วะฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า” ฌานหัวเราะอย่างบ้าคลั่งปิดท้ายก่อนที่วงจะแตกเพราะบรรดาหนุ่มๆต่างต้องรีบแยกย้ายกันไปเรียน

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

    18.37 น. | โรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์

     

     

    “เอาอย่างนี้นะ...พวกเรามาแบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจนเลยดีกว่า...

    .

    ...พี่ฌานขอแต่งตั้งให้ที่เจ้าพ่อทั้งสองของเรา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ ผู้อำนวยการใหญ่ของหน่วยข่าวกรอง พร้อมควบอีกหนึ่งตำแหน่ง นั่นคือ...ผู้ช่วยด้านเทคนิคในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะลำพังเราทั้งห้า คงไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลง หรือบังคับความเป็นไปอื่นๆตามครรลองของโลกได้...มีใครจะแย้งอะไรไหม?”

     

     

    เมื่อเปิดประเด็นแรกจบ แฝดพี่ก็ขอมติรวมจากทุกคนทันที

    ถึงเขาจะมั่นใจว่าทุกๆคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ น่าจะเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะที่ผ่านการปรึกษาหารือกับเจ้าพ่อทั้งสองในใจมาแล้วเป็นอย่างดี แต่ลำแขนขี้ก้างที่แกว่งไกวในอากาศของสกล ก็ทำให้แฝดพี่ชักจะเขว

     

     

    “อู้ อู้!!! พี่ฌาน...ผมครับพี่ฌาน!!!” สกลตบอกไก่ของตัวเองอย่างระริกระรี้อีกครั้ง...

     

     

    เป็นโชคของสกลเหลือเกินที่เขาไม่ใช่หญิงสาว

    ไม่อย่างนั้น...การกระแทกกระทั้นฝ่ามือลงหน้าอกหน้าใจด้วยความรุนแรงซ้ำๆ อาจส่งผลให้ทรวงอกงอนจนไหลย้อนกลับเข้าไปเก็บตัวอยู่ข้างในโดยไม่ยอมออกมาข้างนอกอีกเลยก็เป็นได้

     

     

    “เจ้ามีอะไรอีกล่ะสกล? ยกมือแบบนี้...เจ้าอยากพูดอะไร?” เจ้าพ่อห่อไหล่กลายเป็นผู้ถามเสียเอง

     

    “ผมขออาสาเป็นสมุนเลวประจำหน่วยข่าวกรองเองครับ ผมมั่นใจว่า...ผมสามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี...

    .

    ...ที่สำคัญ...คงไม่มีงานไหนที่จะได้ใกล้ชิดกับไอดอลทั้งสององค์ได้มากขนาดนี้แน่ๆ...

    ...ยินดีต้อนรับเข้าทีมหน่วยข่าวกรองของเรานะครับเจ้าพ่อห่อไหล่ เจ้าพ่อไทรทอง...

    ...หากพวกท่านขาดเหลืออะไร...บอกสกลได้ทุกอย่างเลยครับพ้มมมม!!” สกลพูดเองเออเองเสร็จสรรพ

     

    “เอาเป็นว่าทุกคนตกลงตามนั้นนะ” ฌานรีบสรุปเพราะกลัวคนอื่นเปลี่ยนใจ การกำจัดสกลให้พ้นทางไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถือเป็นกำไรของวันเสียจริงๆ ทว่าภายในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกเห็นใจเจ้าพ่อทั้งสองไม่ได้...อะไรจะโชคร้ายปานนี้ก็ไม่รู้

     

    “เย่!! ดีใจจัง...ในที่สุดความฝันของสกลที่จะได้รับบทสายลับสองหน้าก็จะเป็นจริงเสียที”

     

    “สายลับที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า หน้าตาของพี่ชายเก็กเป็นยังไงน่ะเหรอ?” ฌอนกระหยิ่มพลางย้อนสกลเข้าให้ แต่สกลกลับไม่สนใจ เพราะมัวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจดหน้าที่ใหม่ของตัวเองลงในสมุดโน๊ตประจำตัวอย่างขมีขมัน  และถ้าเขาดูไม่ผิด หนุ่มหน้าแว่นน่าจะกำลังวาดรูปเครื่องแบบสำหรับการปฏิบัติหน้าที่อยู่...แต่นั่น มันใช่เหรอ?!!

     

    “ทีนี้มาถึงไอ้หล่อ กับบ๊วย...ทั้งสองคนมีหน้าที่สำคัญในการประกบเป้าหมายทั้งสองฝ่ายอย่างใกล้ชิด...

    .

    ...นายสองคนจะต้องติดต่อประสานงานกันตลอดเวลา เพื่อหาทางทำให้พี่ชาย และพี่รหัสบังเอิญมาเจอกันให้ได้บ่อยครั้งที่สุดตามแผนที่พวกเราได้วางเอาไว้”

     

    “จะดีเหรอพี่ฌาน... ผมไม่แน่ใจว่าพี่เต๋อจะว่าง่ายเหมือนลูกหมาขนาดนั้นหรอกนะ”

     

    “เออหน่ะ...ไม่ต้องเป็นห่วงไป...

    ...เพราะหน้าที่สนับสนุนเหตุการณ์ทั้งหลาย ก็จะเป็นส่วนที่พี่ฌาน น้องชาย และไอ้หมา...เอ๊ย!! มหาฯสกลจะทำเอง”

     

    “ซึ่งข้าขอรับรองว่า ข้ากับเบ๊บจะคอยให้ความช่วยเหลือพวกเจ้าอีกทอดหนึ่ง” เจ้าพ่อไทรทองสำทับด้วยการรับคำในส่วนของเจ้าพ่อห่อไหล่ไปพร้อมกันเลย

     

    “ครับ...เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ...

    .

    ...แล้วเก็กล่ะ...

    ...โอเคไหม?”

     

    “ฮื่อออออ สบายมากกกก....ล่ะมั้งนะ หึ หึ หึ”

     

     

    อดีตเดือนมหาลัยดูไม่ค่อยแน่ใจกับหน้าที่นี้สักเท่าไร แต่เขารู้ดี...เขาไม่มีทางเลือกมากนัก

    เฮียฟู...เป็นพวกชอบเก็บตัว ไม่ชอบออกหน้า ไม่เอาใคร และไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนแม้แต่รายเดียว

     

    ถ้าใครเข้าหาโดยที่เฮียไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เฮียจะตีตัวออกห่างทันที

    นั่นจึงเป็นเหตุผลอธิบายว่า ทำไมจึงไม่ค่อยมีใครรู้จักกับพี่ชายผู้มีหน้าตาโดดเด่นของเขาอย่างที่ควรจะเป็น

     

     

    “นอกจากนี้...พวกเราทั้งหมดยังมีหน้าที่อีกอย่างที่สำคัญ...

    .

    ...นั่นคือการรวมหัวกันเพื่อคิดแผนการในการทำให้เฮียฟู กับ พี่เต๋อสุดกรังเป็นฝั่งเป็นฝากันให้ได้เสียที” แฝดพี่สรุปใจความสำคัญของการประชุมย่อยครั้งนี้อีกหน

     

    “แล้วเราควรจะเริ่มจากตรงไหนล่ะพี่ชาย?”ฌอนถามเปิดประเด็นเพราะเห็นสายตาแวววาวของแฝดพี่ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

     

    “ของอย่างนี้มันต้องใช้จุดอ่อนของพี่ไอ้เก็กให้เป็นประโยชน์ หึ หึ” ฌานตอบด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ เขาไม่ต้องเสียเวลาอธิบายรายละเอียดให้เจ้าพ่อทั้งสององค์ฟัง เนื่องจากทั้งเจ้าพ่อไทรทองและเจ้าพ่อห่อไหล่ต่างสามารถอ่านความคิดและสนทนาในใจกับเขาได้ จะเหลือก็แต่บรรดาผองเพื่อนทั้งหลายที่ยังนั่งทำหน้างงใส่เขาอยู่นี่แหละ

    “ความเตี้ยน่ะเหรอครับพี่ฌาน?” สกลกวนตีนแบบท็อปฟอร์มอีกครั้ง

     

    “เก็ก...ถ้านายอยากโบกหัวไอ้แว่นนี่ ขอให้ทำเต็มที่...และทำเผื่อพี่ฌานอีกสักสามนัดนะ” ฌานเอ่ยกับอดีตเดือนมหาลัยด้วยรอยยิ้มเหี้ยม ในใจได้แต่หวังว่าเก็กจะทำให้เสียงสนับสนุนของเขากลายเป็นรูปธรรมลูบคลำได้ดูสักครั้ง

     

    “หึ หึ” หนุ่มหล่อที่สุดในมหาลัยเมื่อปีที่แล้วยิ้มเหี้ยมพอๆกันกลับไปให้แฝดนรกผู้พี่ เมื่อมองจากสายตาของสองหนุ่มในยามนี้...ก็ส่อแววออกมาทันทีว่า สกลน่าจะได้รับการแสดงความรักอย่างรุนแรงจากเหล่าผองเพื่อนในไม่ช้า

     

     

     

     

     

     

     

    ด้านหลังเสาซึ่งไม่ห่างจากโต๊ะของห้าหนุ่มเท่าไร มีเงาสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งในเสื้อช็อปกำลังยืนทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาหมาดๆอย่างขมักเขม้น... ความไม่ครบถ้วนของบทสนทนาไม่มีผลกับใจความหลักของเนื้อหามากนัก

     

    เขานึกขอบใจตัวเองเหลือเกินที่เผลอเรอหลงลืมกระเป๋าสตางค์ทิ้งไว้ในห้องเรียนเมื่อตอนเรียนคาบสุดท้ายของวัน  ทำให้เขาได้โอกาสย้อนกลับมาที่คณะ จนบังเอิญผ่านมาได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มทั้งห้าพูดคุยกัน

     

     

    “ไม่ต้องห่วงนะฟู เราจะไม่ยอมให้เต๋อเข้าใกล้ฟูง่ายๆแน่” ชายหนุ่มหน้าสวยตั้งปณิธานกับตัวเองอย่างแน่วแน่

     

     

     

     

    Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×