คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The 04th Blessing
The 04th Blessing
หากกังฟู คือ พี่ชายผู้รักไทเก็กยิ่งกว่าสิ่งใด...
ไทรทองคงไม่ต่างอะไรกับทาสผู้ภักดีและรักห่อไหล่สุดหัวใจแน่เชียวจ๊ะ....หั่นหนี!
ณ ขั้นบันไดชั้นสามของหอพักชายภายในมหาวิทยาลัยตึกยี่สิบห้าเอ
ปรากฏเงาตะคุ่มๆของชายวัยกำดัดสามคนกำลังยืนซ้อนหลังลดหลั่นสูงต่ำเพื่อยื่นหน้าเพียงบางส่วนให้พ้นมุมตึก ระหว่างเฝ้าดูประตูห้องสามศูนย์สามตรงทางสามแพ่งแบบไม่ยอมให้คลาดสายตา
ทว่าความอดทนของชายหนุ่มกลุ่มนี้คงจะต่ำกว่ามาตรฐานปกติอยู่มากโข
ไม่อย่างนั้น...สองในสาม คงไม่ส่งเสียงพิลึกพิลั่นตอบโต้กันเพื่อฆ่าเวลาแบบปัญญาอ่อนและไม่ยั้งคิดได้ถึงเพียงนี้หรอก
“อับดุลเอ้ย / เอ้ย!! / เฮ่ออออออออ”
เสียงนุ่มๆทรงอำนาจที่เปิดประเด็นเป็นของฌาน
ตามด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยของสกลที่เจ้าตัวอุตส่าห์บีบจมูกเพื่อเพิ่มความสมจริงสมจัง
และปิดท้ายด้วยแฝดน้องฌอนที่ได้แต่ส่งเสียงถอนหายใจ สลับกับแสดงสีหน้าเหม็นเบื่ออยู่เงียบๆคนเดียว
“ถามอะไรตอบได้? / ตอบได้!!”
“ชายหญิงรู้จัก? / รรรรรรรรรรรรรรรรู้จัก!!”
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว? / ตีห้า อ้า อ้าา อ้าาาาา!! / เฮ่อออออออออออ”
“แล้วเรามาทำอะไรกันที่นี่? / ตีหม้อ!! / หึ!”
“เฮ่ยยยย! ไม่ใช่ / อ่ะ รรรรรรรรรร้อเร่น!!!! / หึ หึ หึ”
“อับดุลเอ้ย / เอ้ย! / จิ๊!”
“ไอ้ตัวที่เพิ่งเดินเกาไข่เข้าห้องน้ำไปนั่น...ใช่ไอ้เก็กหรือไม่?/ ใช่!!!! / มัวแต่เล่นกันอยู่ได้ เป้าหมายเคลื่อนไหวแล้ว!”
“เอ๊า...ถ้าใช่แล้วจะรออะไรล่ะอับดุล... ไปกันเลย สมุนเจ้าพ่อทั้งสาม!!!”
สิ้นเสียงสั่งของตัวหัวโจก...
สรรพเสียงแห่งความปัญญาอ่อนก็เงียบหายไปโดยไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีใครเคยยืนอยู่ตรงมุมนั้นมาก่อน
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
“ปล่อยผม!...พวกคุณพาผมมาที่นี่ทำไม?” หลังจากความรู้สึกงุนงงและงัวเงียประหลาดๆจางหายไป ธันวาก็เริ่มโวยวายเสียงดังทันที เสียงปนหอบจากเบื้องล่างดังขึ้นเพื่อทำให้อดีตเดือนมหาลัยรูปหล่อคลายความสงสัยในคำถามเมื่อครู่ของเขา
“...ไม่ต้อง...กลัว...ไปหรอกครับคุณ...ธันวา...
.
...พวกผม...เป็นคน....ดี...มีความตั้งใจ....จะให้คุณธัน...วา......ได้รับทราบข้อ......มูลสำคัญ...บางอย่าง...
...แฮ่ก....บางอย่างที่คุณ...ธันวา...ควรจะได้รับ...รู้มากที่สุด” สกลตอบพลางปาดเหงื่อเม็ดเป้งที่หน้าผากทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
“พวกคุณบอกผมเลยไม่ได้หรือไง?...
...ทำไมต้องบังคับผมให้ตามมาแบบนี้ด้วย?...
.
...พวกคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่?”
ธันวายังคงยืนกรานความต้องการของตนโดยไม่หวั่นไหว
ทว่าในสถานการณ์บังคับเช่นนี้ เขากลับไม่อาจทำอะไรได้ดีไปกว่าต่อรองด้วยวาจา และขยับตัวไปมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการกระทำอย่างหลัง ทำให้เสียงนุ่มๆมีอำนาจของฌานถึงกับร้องห้าม พร้อมปลอบโยนให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์
“ใจเย็นสหาย ไม่ต้องตื่นตูมไป...
.
...รับรองเลยว่า สิ่งที่นายกำลังจะได้รู้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จะเปิดโลกทัศน์ใหม่ทำให้มุมมองของนายเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว” เมื่อพูดจบ แฝดพี่ต้องกล้ำกลืนลมหายใจหอบก้อนใหญ่กลับเข้าคอหอยไปอย่างเร่งรีบเพื่อรักษามาดให้ดูนิ่งขรึมน่าเลื่อมใส แม้ข้างในจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็ตาม
“เอ่อ...พี่ฌาน...ครับ.....พี่ฌานชวน...เชื่อ...มากไปรึเปล่าครับ...
.
.
...ขนาด...พวกเรา...เป็นถึงเหล่าสมุน...เลว...ของเจ้าพ่อ....ห่อ...ไหล่แท้ๆ......
...แต่จนถึงตอนนี้...พวกเราก็ยังไม่รู้ว่า...เจ้าพ่อเรียกพวกเรา...กับ...คุณธัน...วา......มาทำอะไรที่หน้าศาล...ท่าน...ตั้งแต่เช้า...ตรู่...แบบนี้เลยนะครับ....แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก...” สกลขัดขึ้นแบบหืดขึ้นคอของแท้แน่นอน ยืนยันได้ด้วยอาการเหงื่อตกเป็นลิตรๆแบบเห็นได้ชัดผ่านเสื้อและกางเกงบอลที่ลู่ติดเนื้อตัว
“เหอะน่าสกล...ถ้าพี่ฌานไม่พูดแบบนี้ ไอ้เก็กมันจะยอมตามมาดีๆถึงหลังมอนี่หรือไง?” ฌานยังคงสร้างภาพไม่รู้จักจบสิ้น กระนั้น...ลึกๆแล้ว หากไม่ติดว่าต้องวางท่าให้ดูยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน แฝดพี่นึกอยากหารองเท้าสักข้างมาอุดปากสกลเอาไว้ให้เงียบเสียยิ่งกว่าอะไร
“หึ หึ...พี่ชายบอกว่าเก็กยอมตามพวกเรามาดีๆจริงๆเหรอครับ?...
.
...แล้วเชือกลูกเสือสามเส้นของสกล กับมนต์เป่าแล้วเปลี้ยของเจ้าพ่อที่เราใช้กับเก็กก่อนพาตัวมาที่นี่...คืออะไรเหรอครับ?” เสียงนิ่งๆฟังเพลียๆที่ดังอยู่ห่างออกไปพอสมควรของฌอนเชือดเฉือนและทำลายล้างทุกๆถ้อยคำสวยหรูของฌานเสียสิ้น
“เฮ่อออออ ขอเถอะน้องชาย...
.
...ขอให้พี่ได้เพ้อเจ้อบ้างพอเป็นกระสัยเถอะนะ...
...พี่จะได้มีแรงแบกไอ้ควายไบซันน้ำหนักสามตันเนี่ยไปส่งถึงหน้าศาลท่านเจ้าพ่อยังไงล่ะ” ฌานที่ได้หามส่วนหัวไหล่ของธันวาหลังจากใช้อำนาจของความเป็นพี่ใหญ่ข่มขู่ทุกคน จนไม่ต้องแบกส่วนปลายเท้าเหมือนฌอนเอ่ยแบบขอไปที แต่ก็ไม่วายเบี่ยงหน้าหันกลับไปจิกสกลที่กำลังกินแรงเพื่อนอย่างเห็นได้ชัด “สกล...อย่าอู้ดี้!!! อย่าปล่อยช่วงปล้องกลางตกท้องช้างแบบนั้นสิวะ พี่ฌานกับน้องชายหนักนะเฟ่ย!!!”
“...แฮ่ก...แฮ่ก...ขอโทษครับพี่ฌาน...ผมไม่...ถนัดงาน...ใช้กำลัง...จริงๆ...” ถึงจะหอบ แต่สกลก็ยังแอบแลบลิ้นเผล่ใส่แผ่นหลังของแฝดพี่ที่เดินแบกร่างอดีตเดือนมหาลัยอยู่ข้างหน้าได้อยู่ดี เมื่อได้ยินถ้อยคำกวนประสาทของเพื่อนหน้าแว่นปากดี เสียงของเส้นความอดทนในใจฌานก็ขาดดังเปรี้ยะ
“สัดแว่น...มึ้งงงงง!!” โทสะปลุกปั่นให้แฝดพี่ส่งภาษาดอกไม้ให้เพื่อนรักอย่างลืมตัว
“พี่ชาย! เดี๋ยวมุสาแตกนะครับ...ไม่เอาครับ ไม่พูดหยาบ” ฌอนรีบเตือนสติฌานเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย ในขณะที่สกลแอบขำจนร่างของธันวาที่อยู่เหนือไหล่ของชายหนุ่มทั้งสามสั่นกระเพื่อม
“จิ๊!! เออๆ รู้แล้วล่ะน่า” แฝดพี่รับคำห้วนๆอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่เมื่อเห็นเส้นชัยอยู่แค่เอื้อมฌานก็ยิ้มร้ายออกมาทันที
“เอาล่ะเว้ยพวกเรา ในที่สุดก็ฝ่าฟันกันมาจนถึงเส้นชัยเสียที...
...แล้วจะรีรออะไรกันอยู่อีกล่ะสหาย...
.
.
...เตรียมพร้อมสละควายกันเล้ยยยย!!!...
...นึงงงงงงง...
...ส่อออออง...
...สั้ม!!!”
(โครม!)
“โอ๊ยยยยย!!” ธันวาร้องโอดโอยเมื่ออยู่ๆสามหนุ่มก็โยนร่างของเขาทิ้งลงบนลานหญ้าหน้าศาลเจ้าพ่อห่อไหล่อย่างไร้ความปรานี เวลานี้...ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงนอนขดตัวด้วยความเจ็บปวดอย่างไร้ทางสู้เท่านั้น
“อุ๊ยโทษที!!! เมื่อกี๊หลุดมือ” ฌานจีบปากจีบคอด้วยสีหน้าพอใจเป็นที่สุด หลังจากได้ระบายความเคียดแค้นที่สกลเป็นคนก่อกับตัวแทนอย่างอดีตเดือนมหาวิทยาลัยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้สำเร็จ
“เฮ่อออออออออออออออ.... ในที่สุดก็ถึงซะที” ตัวการสร้างเรื่องหน้าแว่นนอนแผ่สองสลึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
“พี่ฌาน ฌอน สกล...เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหม?...
.
.
...ผมขอโทษนะ ผมนี่ไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง” แม้บ๊วยจะเพิ่งมาถึง แต่ทันได้เห็นแหตุการณ์ก่อนหน้าบางส่วน ชายหนุ่มรู้สึกร้อนรน และเสียใจที่ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนอย่างที่ควรจะทำ เนื่องจากโดนทั้งสามห้ามปรามไว้ พร้อมๆกับไม่ลืมที่จะแอบเห็นใจชายหนุ่มต่างคณะที่ต้องประสบกับเรื่องไม่คาดฝันติดๆกันเป็นครั้งที่สี่
“อย่าคิดมากไปเลยบ๊วย เราสามคนก็แค่ทำในสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าเท่านั้นเอง...
.
...ไหนๆ เก็ก กับพวกเราก็มาถึงที่นี่ตามที่เจ้าพ่อบอก ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีกแล้วล่ะ...
...ที่เหลือก็แค่ ตั้งใจรอฟังว่า...เจ้าพ่อห่อไหล่ท่านอยากจะบอกอะไรกับพวกเราเท่านั้นเอง เนอะ!” ฌอนที่นั่งยืดขาและเอนหลังน้อยๆปลอบเพื่อนตัวเล็กขี้เกรงใจ
“‘ป็อบ!’เหล่าสมุนเลวทั้งหลายแห่งข้า ข้าภูมิใจในตัวของพวกเจ้ามากๆ...
.
...หึ หึ หึ ไม่เสียแรงจริงๆที่ข้าไว้ใจส่งให้พวกเจ้าไปทำงานนี้” ทันทีที่ปรากฏกายขึ้น เจ้าพ่อห่อไหล่ก็หยอดคำหวานใส่บรรดาลูกสมุนทันที
“อ่ะโห่ เจ้าพ่อครับ...
...สิ่งที่เจ้าพ่อพูดมานี่เข้าตำราลูบหลังต่อจากตบหัวพวกเรารัวๆเลยนะครับ...
.
.
...ผมรู้ดีครับว่า เจ้าพ่อคงอยากให้พวกเราเติบโต ได้เรียนรู้เรื่องราวอื่นๆนอกเหนือจากตำราบ้าง...
...แต่เจ้าพ่อไม่ต้องลำบากสอนพวกผมให้รู้หรอกนะครับว่า เส้นที่กั้นระหว่างสถานะนักศึกษา กับนักโทษคดีอาญามันเปราะบางแค่ไหน... ยอมรับแบบแมนๆเลยครับว่า เกรงใจ” ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแสนสาหัสทำให้สกลกล้าฉะไอดอลจากอีกมิติของตนได้เป็นฉากๆ
“เจ้าแว่น และพวกเจ้าทั้งหลาย...
...พวกเจ้าจะถือโทษโกรธข้าไปไย...
.
...ข้าทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวข้าเองไม่ได้...พวกเจ้าก็รู้” เจ้าพ่ออุทธรณ์ขอความเห็นใจ
“เจ้าพ่อไปเข้าฝันไอ้เก็กแล้วพาตัวมันมาที่นี่ ชีวิตพวกเราจะไม่ง่ายกว่านี้เหรอครับ?” แม้แต่ฌาน..หัวโจกของเหล่าสมุน ผู้รักษาฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนหยดสุดท้าย ก็อดสงสัยไม่ได้เช่นกัน
“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก...
.
...ฟังนะ...
...ข้ากับธันวาไม่ได้มีพันธะต่อกัน...
...ดังนั้น ข้าจะไม่มีสิทธิติดต่อ หรือ เข้าหาธันวาไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร...
...มากสุด ข้าก็ทำได้แค่เป่าหู หรือ ดลใจนิดๆหน่อยๆ เหมือนที่บอกให้เขาไปนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเจ้าเมื่อวานนี้แค่นั้นแหละ...
.
...นอกนั้น...
...ต่อให้ข้าพยายามสักแค่ไหน หรือจะใช้พระเวทบทใด...
...ข้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้พอๆกับบรรดาสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆที่ไม่เคยมีตัวตนในสายตานายธันวานั่นแหละ” เจ้าพ่อห่อไหล่อธิบาย ส่วนลูกสมุนทั้งสี่ต่างก็พยักหน้ารับด้วยความเข้าอกเข้าใจ
“พวกนายเป็นบ้าเหรอ? หรือกำลังถ่ายรายการล้อกันเล่นขำๆอะไรอยู่หรือเปล่า? แล้วนี่พวกนายกำลังคุยกับใคร? ทำไมต้องเอาผมไปเอี่ยวด้วย? ปล่อยผมไปเถอะนะ ผมขอร้อง” ธันวาที่เป็นแค่คนนอกวงสนทนาขัดขึ้น ด้วยเจ้าตัวไม่อาจมองเห็น หรือรับรู้ถึงถ้อยคำวิเศษทั้งหลายของเจ้าพ่อได้
ชายหนุ่มกำลังตระหนกถึงขีดสุด...
เป็นใครก็ต้องกลัว เมื่อตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองโดนชายแปลกหน้าหามขึ้นบ่าในสภาพที่ไม่อาจขัดขืนได้...
พอซักไซ้ผู้ชายกลุ่มนั้น...กลับมีเพียงคำพูดน่าสงสัย และการสุมหัวกันพูดจากับอากาศเป็นคำตอบ...
ธันวาจึงได้ข้อสรุปในใจว่า ไอ้คนพวกนี้ต้องสติไม่ดีแน่ๆ
แต่เพราะความแน่นหนาของปมเชือกที่มัดทั้งรอบข้อมือและข้อเท้าของเขาอยู่ ทำให้ชายหนุ่มจำต้องนอนตะแคงดูท่าทีของคนประหลาดกลุ่มนี้ไปพลางๆอย่างไม่มีทางเลือก
“เจ้าพ่อรีบทำอะไรซักอย่างสิครับ” บ๊วยที่หวั่นสายตาจับผิดของธันวาเร่ง
“รอข้าเดี๋ยวเดียวนะเจ้าหนุ่ม แล้วเจ้าจะรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกับสมุนของข้าทั้งสี่” เมื่อพูดจบ เทวบุตรก็ปิดเปลือกตาลงเพื่ออธิษฐานจิตทันที
เพียงอึดใจหลังจากนั้น...
มีลมวูบใหญ่พัดกระโชกรุนแรงเข้าปะทะพื้นที่โดยรอบศาลเจ้าพ่อห่อไหล่จนต้นไม้ใบหญ้าลอยละลิ่วปลิวไสวโดยไร้ทิศทาง จนชายหนุ่มทั้งห้าต้องหลับตา หรือใช้อวัยวะส่วนต่างๆกำบังกายเพื่อไม่ให้วาตะกลายเป็นภัยทำร้ายตนเอง
ทันทีที่สายลมสงบลง ร่างขาวผ่องสูงใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัยสีตัดกันอย่างรุนแรงได้ปรากฏตัวขึ้นตรงกลางวงสนทนา ด้วยความไม่คาดฝัน และมาดอันเหลือร้ายของผู้มาใหม่ ทำให้หนุ่มๆทั้งสี่ถึงกับถอยผงะ ในขณะที่ธันวาผู้โชคร้ายทำได้ดีที่สุดแค่กระดึ๊บๆไปข้างหลัง ทั้งๆที่ปากยังอ้า ตายังเบิกค้างอย่างเสียอาการ
“โอ้ห่อไหล่ หั่นหนี! บันยังทองคนดีรายงานตัวแล้วครับ...
.
...หั่นหนีห่อไหล่มีอะไรให้บันยันทองรับใช้ แค่เพียงบอกมา บันยันทองก็พร้อมจัดให้เสมอ!!!” หลังจากกล่าวคำทักทายเจ้าพ่อห่อไหล่เสียยาวเหยียด เจ้าพ่อไทรทองก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง...ย่างสามขุมเข้าหาเทวบุตรเจ้าถิ่นผู้ซึ่งกำลังแสดงสีหน้าเหมือนลิงโดนกะปิ “แต่ก่อนอื่น......มามะ มาให้บันยันชื่นใจหน่อยซิครับ”
“หยู๊ดดดดด! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไทรทอง!...
.
.
...ใจคอคุณจะไม่ดูตาม้าตาเรือหน่อยหรือไง?!!” เจ้าพ่อห่อไหล่ร้องสั่งเสียงหลงพลางถอยหลังกรูด
“Oopsy Daisy!! ขออภัยด้วยนะครับหั่นหนีที่บันยันทำตัวรุ่มร่ามท่ามกลางวงล้อมของเหล่ามนุษย์มากมาย” เมื่อเห็นสายตาเกรี้ยวกราดของเทวบุตรเจ้าถิ่น กับใบหน้าตื่นตะลึงของชายหนุ่มอีกห้าคนที่ถอยร่นกันไปคนละทิศละทาง เจ้าพ่อไทรทองจึงแก้เก้อด้วยการเกาท้ายทอยของตนเบาๆ ก่อนจะเปรยต่อด้วยน้ำเสียงอบอุ่นทว่าเพี้ยนสูงด้วยอารามดีใจถึงขีดสุดของเจ้าตัว
“นานๆ บันยันถึงจะได้รับกระแสจิตเรียกจากหั่นหนีซักที...
...พอได้มาเจอหน้าหั่นหนีแบบนี้ บันยันเลยแทบอดใจไม่ไหว...
.
.
...เอ้อ...แล้วที่หั่นหนีเรียกบันยันมา หั่นหนีอยากให้บันยันช่วยอะไรหรือเปล่าครับ?...
...หั่นหนีบอกบันยันมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ...
...อะไรที่หั่นหนีต้องการ บันยันบันดาลให้ได้ทุกสิ่งเสมอนั่นแหละ” เจ้าพ่อไทรทองปิดท้ายคำพูดสุดป๋า แถมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นชวนให้ถวายตัวที่ส่งมาอย่างสาดเสียเทเสีย
แต่มีหรือที่ความอบอุ่นอวลด้วยประกายแห่งความรักฟรุ้งฟริ้ง จะสิงสู่บรรยากาศระหว่างเทพทั้งสององค์ได้นานนัก
หากในที่นั้น มีปัญญาชนนามว่า...สกล คนเห็นผีปะปนอยู่ด้วย
“ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่า เจ้าพ่อจะเรียกพวกเรามาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เพื่อโชว์พลอดรักกับแฟนให้ดูเป็นขวัญตา” สกลกระแนะกระแหนด้วยสีหน้าประหนึ่งตัวอิจฉาตอนเห็นหญิงย่าชื่นชมนางเอกออกสื่อ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าแว่น!! เจ้ากำลังเข้าใจผิด!!!” เจ้าพ่อห่อไหลแก้ตัวเป็นพัลวัน แล้วจึงหันไปเอาเรื่องตัวการก่อความเข้าใจผิดให้กับทุกฝักฝ่าย “โอย! คุณไทรทอง ผมขอร้องล่ะ...คุณเลิกเรียกผมว่าหั่นหนีซักทีจะได้ไหม...
.
...ดูซิเนี่ย...
...ใครต่อใครเข้าใจผิดกันหมดแล้วว่าผมกับคุณเป็นอะไรกัน”
“เดี๋ยวก่อนนะครับหั่นหนี...
.
...ขอบันยันทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้านี่นิดนึง” เจ้าพ่อไทรทองร้องท้วงด้วยสีหน้าอ้อนวอน เพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วมนุษย์เพศชายเหล่านี้...เกี่ยวข้องอะไรกับยอดรัก ยอดดวงหทัยของเขา
“ผมก็อยากทำความเข้าใจเหมือนกันครับ...
.
...พวกคุณเป็นใครกัน?...
...ทำไมอยู่ๆก็โผล่ออกมาจากอากาศแบบไม่มีที่มาที่ไป?...
...พวกคุณเป็นวิญญาณหรือเป็นตัวอะไรกันแน่?”
ชายหนุ่มทั้งสี่นึกชื่นชมธันวาในใจที่ไม่ตีโพยตีพายจนเสียอาการ
หารู้ไม่ว่า...เหตุที่อีกฝ่ายควบคุมสติได้เป็นอย่างดี แม้ต้องผจญกับเรื่องเหลือเชื่อมากมายก่อนหน้าครั้งนี้ เนื่องจากธันวาไม่อาจวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกลับไปนอนคลุมโปงสวดมนต์ที่หอได้อย่างใจนึกต่างหาก
“โอ๊ะ!! เจ้าหนุ่มนี่เห็นข้าด้วยรึ?... อะเมซิงสุดๆ” เจ้าพ่อไทรทองกล่าวกับธันวาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทว่าไม่แปลกใจนัก
“ไม่ใช่แค่ธันวาหรอกครับ พวกเราทุกคนก็เห็นท่านกันหมดน่ะแหละ” ฌานแทรก
“โอ้ มาย ลอร์ดเดอะ...
...เช้าวันนี้มีเรื่องน่าแปลกใจเกินขึ้นเยอะสิ้นดี!!...
...แป๊บนะหนุ่มๆทั้งหลาย ขอเวลาให้ข้าได้ค้นคว้าข้อมูลสักประเดี๋ยว” เจ้าพ่อไทรทองหลับตาลงแล้วตั้งจิตเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะพยักพเยิดพร้อมพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว “อา...เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้เองสินะ”
เมื่อเปลือกตาของเทวบุตรสุดชิคเบิกขึ้น... ท่าทีโดยรวมของเจ้าพ่อไทรทองก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าพ่อผู้มาเยือนเข้าใจสถานการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นได้เกือบทั้งหมด หลังจากรับฟังสรุปรายงานจากเลขา A.I. พกพาผู้มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันล่าสุดที่เจ้าพ่อเพิ่งได้มาทดแทนเทวธิดาเลขาองค์เดิมที่เพิ่งลาไปจุติ
“พวกเจ้าทั้งสามคนเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก จึงไม่แปลกหากจะมองเห็นสิ่งไม่มีชีวิตจากอีกมิติได้ทุกรูปแบบ” เจ้าพ่อไทรทองเอ่ยพลางส่งสีหน้าชื่นชมให้กับสกล และสุดหล่อฝาแฝด
“ส่วนเจ้า... เจ้าคือคนที่มีสัญญาร่วมกับห่อไหล่หั่นหนี เจ้าจึงพลอยมองเห็นข้าไปด้วย...
.
...เพราะจวบจนวันสุดท้ายของสัญญาที่ร้อยรัดเจ้ากับห่อไหล่ของข้าเอาไว้...
...ซึ่งหากหั่นหนีอนุญาตให้เจ้ามองเห็นสิ่งวิเศษสิ่งใดแล้วล่ะก็...
...เจ้าพึงจะ ได้เห็นสิ่งๆนั้นราวกับใช้สายตาร่วมกันกับหั่นหนีของข้าทีเดียวเชียว” นั่นคือข้อความที่เจ้าพ่อไทรทองเอ่ยกับบ๊วยเพื่อกลบเกลื่อนการลอบวางสายตาชื่นชมความงดงามไร้ที่ติไปทุกส่วนสัดของเทวบุตรเจ้าถิ่นในระหว่างนั้น
เมื่อจบจากบ๊วย...องค์เทวบุตรสุดชิคก็วาดปลายนิ้วเป็นวงกลมในอากาศไปยังทิศทางที่ธันวานอนอยู่
ร่างซึ่งนอนตะแคงคู้เป็นวาฬเกยเนินทรายในน้ำตื้นของอดีตเดือนมหาลัย ก็กลับผันมาอยู่ในท่านั่งสบายๆไม่ต่างกับสมุนเลวของเจ้าพ่อห่อไหล่ทั้งสี่ อีกทั้งยังไร้ซึ่งพันธนาการใดๆตามตัวอีกด้วย
“และเจ้า...
.
...เจ้าชื่อธันวา อริยะตรัยใช่ไหม?” ธันวาพยักหน้าทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายขานชื่อและนามสกุลของตัวเองอย่างถูกต้อง จากนั้นเจ้าพ่อไทรทองจึงเอ่ยต่อ “ในที่สุดเราก็ได้เจอหน้ากันเสียทีนะ...
.
.
...เคสของเจ้า เนื่องจากเจ้าไม่ได้เป็นคนขอพรจากข้าโดยตรง...
...ข้าจึงทำได้แค่บันดาลพรตามคำขอให้สมน้ำสมเนื้อกับความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ของเครื่องเซ่นไหว้ กับจิตใจอันศรัทธาหาใดเปรียบของพี่ชายเจ้า แต่ข้ากลับไม่เคยไปเห็นหน้าค่าตาของเจ้าแบบตัวเป็นๆเลยสักที”
“เดี๋ยวนะครับ...
.
...คุณพูดอะไรของคุณเนี่ยะ ผมงงไปหมดแล้ว” แม้ธันวาเกือบจะผันตัวมาเป็นกรุ๊ปปี้ผู้เลื่อมใสคนใหม่แห่งเจ้าพ่อไทรทองหลังจากเวทมนตร์เมื่อครู่ แต่เสียงในใจของชายหนุ่มกลับสั่งให้ต่อต้านด้วยไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับเป็นทุน
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันธันวา...
.
...ข้าจะสรุปให้เจ้าฟังอย่างสั้นๆเอง” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยกับอดีตเดือนมหาลัยโดยเฉพาะ แล้วจึงค่อยหันไปหาเจ้าของเคสผู้มีสิทธิเต็มที่กับเรื่องของธันวา “ผมพูดได้ใช่ไหมครับคุณไทรทอง?”
“เชิญเลยครับหั่นหนี... เพราะอีกหน่อย เราก็จะกลายเป็นเทพตนเดียวกันอยู่แล้ว” เจ้าพ่อไทรทองขยิบตาให้กับองค์เทพที่ตนเฝ้ารักและบูชามาตลอดหลายพันปี ในขณะที่เจ้าพ่อห่อไหล่กลับกลอกตา พร้อมทำหน้าคว่ำ แล้วจึงหันไปใส่ใจกับการอธิบายเรื่องราวให้ธันวาฟังอย่างช้าๆแทน
“ธันวา เจ้าฟังข้าให้ดีๆนะ...
.
...เมื่อปลายปีที่แล้ว พี่ชายของเจ้าได้ไปขอพรที่ศาลแห่งหนึ่งซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก...
...พรข้อนั้น จึงสัมฤทธิ์ผลทันตาด้วยบารมีและความเมตตาของเจ้าพ่อไทรทององค์นี้นี่แหละ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ? ทำไมผมต้องมาที่นี่ด้วย?” ธันวายังคงไม่กระจ่าง
“ก็เพราะว่าพรที่พี่ชายเจ้าขอ...
.
...ดันมาขัดกับพรที่พ่อหนุ่มคนนี้ขอจากข้าน่ะสิ ข้าเลยต้องให้สมุนทั้งสี่ของข้าไปพาตัวเจ้ามาในวันนี้” เจ้าพ่อห่อไหล่เผยพลางชี้นิ้วไปที่บ๊วยซึ่งรีบก้มหน้าก้มตาหลบทันที
“เพื่ออะไรล่ะครับ? เท่าที่ฟังมา ผมก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกับผมซักอย่างเดียว”
“เกี่ยวสิ... ทุกอย่างมันพัวพันกับเจ้ามากกว่าที่เจ้าเข้าใจ...
.
...เพราะพรที่พี่ชายของเจ้าขอจากข้า ก็คือ...
...ห้ามนายธันวา อริยะตรัยมีความรักกับผู้ชายคนไหนเป็นอันขาด” เจ้าพ่อไทรทองให้รายละเอียดปิดท้าย
“ห๊ะ!!!!” ห้าหนุ่มร้องตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว...
แน่ล่ะ...
ใครล่ะจะนึกว่าพี่ชายจะทำอะไรแบบนี้กับน้องชายตนเองได้ลงคอ
ข้อมูลจากปากเจ้าพ่อทั้งสอง ทำให้ชายหนุ่มแต่ละคนคิดเห็นในใจไปต่างกัน
สุดท้าย...
ธันวาผู้ที่ยังไม่อาจรับมือกับเรื่องที่เพิ่งรับฟังได้ดีนัก เอ่ยถามเจ้าพ่อทั้งสองอีกครั้งด้วยท่าทางคล้ายคนสติฟั่นเฟือนไปชั่วขณะ
“เมื่อกี๊ท่านว่าอะไรนะครับ?...
...พี่ชายผมไปขอพรไม่ให้ผมรักกับผู้ชายคนไหนเหรอ?...
...แล้วพรของท่านก็สำเร็จแล้วด้วย...
...อย่างนั้นเหรอครับ?”
“ใช่แล้วครับคุณธันวา...
...ที่คุณพูดมา ถูกต้องทุกประการโดยไม่มีประเด็นใดผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่กระบิเดียวครับ...
.
...แต่ถ้าคุณไม่เกรงใจคนอื่นที่กำลังอยากรู้รายละเอียดของเรื่องนี้เพิ่มเติมจนเนื้อเต้น...
...จะให้ผมทบทวนข้อความของเจ้าพ่อทั้งสองให้อีกซักสิบรอบ แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นนอนให้หนอนไชเล่นระหว่างถ่างตารอก็ได้นะครับ” ด้วยดีกรีความเผือกระดับเง็กเซียน สกลจึงพูดแดกอดีตเดือนมหาลัยแบบเนียนๆโดยไม่หวั่นหากต้องเอาฟันหน้ารับบาทาเบอร์สี่สิบห้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้เพื่อนสนิททั้งสามต้องร้องปรามออกมาทันที
“สกล!!!”
“แล้ว....แล้วกับท่านล่ะครับ ผมไปเกี่ยวอะไรด้วย?” ธันวาหันไปถามเจ้าพ่อห่อไหล่โดยเลือกไม่ใส่ใจคำของหนุ่มหน้าแว่น ทว่าเทวบุตรกลับเสไปมองชายกลางของกลุ่มสมุนเพื่ออธิบายตนเอง
“บ๊วย...ข้าจำเป็นต้องพูด เจ้าเข้าใจนะ”
“ครับ เชิญเจ้าพ่อเถอะครับ... ผมโอเค” บ๊วยจำใจยินยอม เพราะตระหนักว่า เรื่องของธันวาหนักหนากว่าความต้องการส่วนตัวของเขาหลายเท่านัก
“ที่ข้าต้องให้เจ้ามาวันนี้ ก็เพราะเจ้าหนุ่มที่ชื่อบ๊วยคนนี้นี่แหละ...
.
...เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้มาขอพรกับข้าเพื่อทำให้เขากับเจ้าได้ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า...
...ซึ่งข้าเอง ก็เป็นบุตรแห่งเทพผู้ซื่อตรงต่อสัญญาที่ข้าได้ให้ไว้กับเจ้าหนุ่มผู้นั้นไม่ผิดแผกไปจากเจ้าพ่อองค์ไหนๆ...
...ดังนั้น ข้าจึงต้องหาทางทำให้เจ้ารักกับเขาให้ได้”
“เฮ่ย!!!!” ธันวาตกใจจนเสียอาการเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้
“เรื่องพรของบ๊วยน่ะ เจ้าไม่ต้องตกใจไปหรอก...
...มันเป็นเรื่องของข้าที่ข้าต้องจัดการในอนาคต ไม่ได้คอขาดบาดตายเท่ากับคำขอของพี่ชายเจ้าอีกแล้ว...
.
.
...เจ้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” เจ้าพ่อห่อไหล่หยั่งเชิงอีกฝ่ายเพื่อดูลู่ทางของความร่วมมือจากฝ่ายของธันวา
“ครับ... ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่ากับพรที่พี่ชายผมขอหรอกครับ...
...ถึงว่าสิ อยู่ดีๆผมก็บอกเลิกแฟนเก่าโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น...เราสองคนก็ยังรักกันอยู่แท้ๆ” สมุนทั้งสามหันไปมองบ๊วยเป็นตาเดียว คำพูดจากปากของอดีตเดือนมหาลัยรูปหล่อทำให้บ๊วยห่อเหี่ยวจนตัวหดเล็กกระจิ๋วหลิวไปกันใหญ่
“นั่นแหละ คือ ผลที่มาจากพรของข้าเอง...
.
.
...เจ้าจะรักผู้ชายคนไหนไม่ได้ กระทั่งรู้สึกดีๆด้วย ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” เจ้าพ่อสุดล้ำเพิ่มเติมข้อมูลด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจชายหนุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากพรข้อนี้ไปเต็มๆ
“แล้วถ้าไอ้เก็กมันเผลอทำ เผลอใจ หรือเผลอรู้สึกล่ะครับท่าน...ผลมันจะเป็นยังไง?” ฌานถามด้วยความสนอกสนใจ
“ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก นอกไปจากจะเกิดสถานการณ์บางอย่างซึ่งทำให้คนที่สนใจในตัวนายธันวา กลายเป็นฝ่ายล่าถอยไปเองน่ะ” เจ้าพ่อไทรทองตอบอย่างไม่เจาะจงนัก
“อ่ะโห!! เจ้าพ่อไทรทองนี่ปราดเปรื่องที่สุดไปเลยครับ...
.
...ในเมื่อเรื่องหัวใจ หรือความรักมันห้ามกันไม่ได้...
...เจ้าพ่อเลยใช้วิธีไล่คนที่เป็นไปได้ ให้หายหน้าไปจากชีวิตของคุณธันวาเสียเหี้ยนเลย” สกลตบมือเปาะแปะให้กับเจ้าพ่อไทรทอง พลางจ้องมององค์เทพด้วยสายตาชื่นชมแบบสุดๆ ชายหนุ่มรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูที่ได้สังคมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับแนวหน้าโดยไม่คาดฝันถึงสององค์ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“อ้าว! แล้วถ้าคนที่เข้ามาเป็นพวกทนทายาดล่ะครับ...
...แบบว่า กดน้ำราด สาดน้ำใส่ก็ยังไม่ยอมไป ไม่ก็พอร้องยี้ไล่แล้วยังจะบินใส่เหมือนแมลงสาบมาดากัสการ์...
...อย่างนี้การแก้ปัญหาของเจ้าพ่อก็ไม่ครอบคลุมสิครับ” ฌานยังไม่เลิกสงสัย
“หึ! พ่อฌาน...คิดหรือว่าข้าอ่อนด้อยถึงปานนั้น...
...พ่อฌานคงลืมไปสินะว่า ข้ากับพ่อฌานเกิดห่างกันกี่ปีแสง...
...เอาเถอะ สำหรับเรื่องที่เจ้าสงสัย ข้าจะบอกเป็นวิทยาทานแก่พวกเจ้าทั้งหลายก็แล้วกัน...
.
.
...ถ้าคนเหล่านั้นยังขืนดื้อดึง หรือฝ่าฟันเรื่องที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้...
...สุดท้าย ธันวาเองนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายถอยห่างออกไปโดยไม่มีข้อแม้”
“ยังไงเหรอครับ?” สกลถามแทนบ๊วย เพราะแน่ใจว่านี่คงเป็นสิ่งที่เพื่อนรักอยากรู้มากที่สุด
“ไม่เห็นต้องสงสัยเลย... ทุกอย่างมันก็เป็นอย่างที่เจ้าพ่อท่านว่ามาน่ะแหละนายแว่น” ธันวารีบปิดประเด็นก่อนจะมีใครคิดจะขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มแอบชำเลืองสบตากับเจ้าพ่อไทรทองคล้ายกับจะอ้อนวอนขอความร่วมมือเพื่อให้องค์เทพไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยสิ...ได้ไหม? นายธันวา” เจ้าพ่อห่อไหล่รีบฉวยโอกาสเมื่อเห็นว่ามีแนวโน้มที่ธันวาจะยอมร่วมมือกับข้อเสนอขององค์เทวบุตรได้โดยไม่ยากเย็นนัก ชายหนุ่มพยักหน้าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยของเขาแทนคำตอบรับ
“เจ้าอยากจะหายจากอาการแปลกๆเหล่านั้น เพื่อจะได้กลับไปมีความรักเหมือนคนปกติอีกครั้งหรือไม่?”
“อยากสิครับเจ้าพ่อ...
...ที่ผ่านมาผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงคบใครไม่ได้เลย ทั้งที่มีคนทำท่าสนใจ หรือเข้าหาผมอยู่ตลอด..
.
...อีกอย่าง ผมอยากจะกลับไปหาแฟนเก่า เพราะเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลยสักนิด..
...ผมมั่นใจว่า ถ้าผมกลับมารักใครได้ใหม่ ผมก็คงจะกลับไปใช้ชีวิตกับแฟนเก่าคนนั้นอย่างมีความสุขแน่ๆครับ” ธันวาตอบด้วยท่าทางสำรวม ในขณะที่หน้าของบ๊วยหดด้วยความสลดเหลือเล็กกว่าสองนิ้ว
“ถ้าอย่างนั้น... เรามาร่วมมือกันทำให้พรของพี่ชายเจ้ากลายเป็นโมฆะดีไหมล่ะ?” เจ้าพ่อห่อไหล่หย่อนเบ็ดลงน้ำพร้อมเหยื่อล่อตาชิ้นใหญ่...หวังจะให้ปลาตัวโตๆที่ชื่อว่าธันวาติดปลายเบ็ดขึ้นมาโดยไม่ต้องเปลืองแรงเย่อ
“มันจะเป็นไปได้เหรอครับเจ้าพ่อ? ก็พรของเจ้าพ่อไทรทองสำเร็จและสิ้นสุดไปแล้วนี่ครับ... หรือเหล่าเทวดา กลับคำไปมากันบ่อยๆ?” ฌอนสงสัยติดหมัด
“หึ หึ หึ...หั่นหนี บอกผมหน่อยสิว่าคุณไปหาสมุนปากดีเหล่านี้มากจากที่ไหน?” เจ้าพ่อไทรทองหรี่ตามองแฝดน้องผู้ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยสายตาคมราวกับเหยี่ยว จนเจ้าพ่อห่อไหล่ต้องรีบเข้ามาแทรกแซงด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเหล่าสมุนเลวทั้งสี่
“คุณไทรทอง คุณใจเย็นๆก่อน... เจ้าแฝดน้องไม่ได้มีเจตนาลบหลู่คุณหรอก”
ด้วยความลืมตัว... เจ้าพ่อห่อไหล่เผลอวางฝ่ามือลงบนต้นแขนแสนล่ำของเทวบุตรสุดชิคแล้วบีบนวดเบาๆ ราวกับต้องการใช้สัมผัสปลอบอีกฝ่ายให้สงบลง โดยที่เจ้าพ่อฮิปสเตอร์ไม่อาจรู้เท่าทันว่า ท่าทางไม่สบอารมณ์ของเจ้าพ่อไทรทองเมื่อครู่ เป็นเพียงการแสดงหน้าม่านเพื่อหยั่งท่าทีของเทวบุตรเจ้าถิ่นเท่านั้น
ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติอย่างทันท่วงทีของเจ้าพ่อห่อไหล่ บ่งบอกถึงความเป็นห่วงชายหนุ่มทั้งสี่ไม่น้อย...
และนั่นเปรียบเสมือนแสงสว่างซึ่งสาดส่องให้เจ้าพ่อไทรทองเห็นหนทางในการไขว่คว้าหัวใจของเจ้าพ่อห่อไหล่มาเก็บไว้คู่กับดวงใจของตนได้ในที่สุด
“ก็ได้ครับหั่นหนี... นี่ถ้าไม่ใช่เพราะหั่นหนีขอไว้ บันยันไม่ยอมจริงๆนะครับ” เจ้าพ่อไทรทองทำท่าฮึดฮัดพอเป็นพิธีเพื่อหลอกให้เจ้าพ่อห่อไหล่ตายใจ ก่อนปรับท่าทางสู่โหมดเป็นการเป็นงาน แล้วพูดช้าๆชัดๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเมื่อกี๊ไม่มีเรื่องชวนหมางใจใดๆเกิดขึ้น
“จริงอยู่ เมื่อพรใด...ได้รับการประสิทธิ์ประสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ควรจะถอดถอนหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้...
...แต่พวกเจ้าต้องอย่าลืมสิว่า หากคนขอพร ปรารถนาที่จะยกเลิกพรข้อนั้นเสียเอง นั่นย่อมทำให้เรื่องเป็นไปไม่ได้กลายเป็นเรื่องง่ายดายภายในพริบตา...
.
.
...ในกรณีของเจ้านะธันวา...
...เจ้าก็แค่เปลี่ยนใจพี่ชายของเจ้าให้เขายอมกลับไปหาข้าที่ศาล...
...บอกเขาให้ตั้งจิต ก่อนจะขอให้พรข้อเดิมนั้นเสื่อมไป...
.
...เพียงเท่านี้ พรเกี่ยวกับความรักของเจ้าก็จะถูกลบล้างไปในพริบตา”
สายตาของทุกคนในที่นั้นถูกแต่งแต้มด้วยประกายแห่งความหวังขึ้นทันทีเมื่อได้ยินทางออกที่เจ้าพ่อไทรทองแย้มพราย
แต่ชายหนุ่มผู้ถูกสาปด้วยพรของพี่ชายตนเองกลับทำลายความหวังของเหล่าสมุนเลวด้วยการปฏิเสธแบบทันควัน
“ผมว่า นั่นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ...
.
...ดีไม่ดี ผมว่ายากกว่าให้ผมทำใจว่า ผมจะมีความรักไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิตอีกครับเจ้าพ่อ”
“ทำไมล่ะ?” เจ้าพ่อห่อไหล่ไต่ถาม
“ก็เพราะผมเข้าใจเหตุผลของพี่ชายตัวเองดีน่ะสิครับ...
...ผมรู้ดีเลยล่ะ ว่าทำไมพี่ชายผมถึงไปขอพรกับเจ้าพ่อแบบนั้น...
...ชีวิตนี้ สิ่งที่พี่ชายผมกลัวมากที่สุดคือ ผี...
...ส่วนสิ่งที่พี่ชายผมเกลียด คือ คนโกหก...
.
.
...แต่เจ้าพ่อรู้ไหมครับ...
...พี่ผมทั้งเกลียดและกลัว พวกเกย์มากกว่าจับเอาผี และคนโกหกทั้งโลกมาขังรวมไว้ในห้องเดียวกันกับพี่เสียอีกนะครับ” ทั้งเจ้าพ่อสององค์ และเหล่าสมุนทั้งสี่ต่างตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่ธันวาเล่าด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มจึงเผยความอาภัพของตนอย่างต่อเนื่อง
“ทั้งที่ผมรู้อยู่เต็มอกว่า เฮียฟูทั้งเกลียด ทั้งกลัวเกย์มากแค่ไหน แต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้รัก หรือสนใจผู้ชายไม่ได้จริงๆ...
...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต่อให้ผมไม่เคยยอมรับกับเฮียฟูซึ่งซึ่งหน้า...
.
...แต่ผมก็รู้อยู่เต็มอกนะครับว่า พี่ชายผมเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ว่าผมมีความชอบทางเพศแบบไหน...
...ส่วนผม ผมก็เอาแต่คอยปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จนกว่าเฮียฟูจะจับได้ไล่ทันเท่านั้นเอง”
“อ้าว...แล้วทำไมอยู่ๆพี่ชายของเจ้าถึงได้มาขอพรกับข้าได้ล่ะ?”
“คืออย่างนี้ครับเจ้าพ่อไทรทอง...
...ตอนผมคบกับแฟนเก่าแรกๆ ผมอาศัยความที่เราเป็นรูมเมทกันตอนเรียนกินนอนมาบังหน้า...
...แต่พอย้ายมาอยู่มหาลัย พอใครๆได้เห็นผมกับแฟนเก่าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน เรื่องที่ผมเป็นเกย์เลยรู้ไปถึงหูของเฮียฟูผมจนได้...
.
...จริงๆตอนนั้น ผมก็อดประหลาดใจไม่ได้เหมือนกันนะครับ ที่ไม่เห็นเฮียฟูตามราวีผมกับแฟนให้แตกกันไปทันทีที่รู้เรื่อง...
...แต่พอได้มารู้ถึงคำขอของเฮียฟูจากปากเจ้าพ่อเมื่อครู่ ผมเลยเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ไม่ยากยังไงล่ะครับ”
“อ้าว... อย่างนี้เพื่อนผมก็กินแห้วน่ะสิครับ” ฌานโพล่งออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงขัดใจ จนแฝดน้องต้องเอื้อมมือไปแตะบ่าแฝดคนโตเพื่อสะกดความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ของผู้เป็นพี่
“ถ้าเป็นเจ้าพ่อองค์อื่นอาจจะทำไม่ได้ หรืออาจจะไม่อยากทำ...
.
...แต่ถ้านี่เป็นคำขอร้องของห่อไหล่มายหั่นหนีแล้วล่ะก็...
...ไทรทองสามารถช่วยลบล้างคำขอข้อนี้ได้โดยไม่ต้องให้พี่ชายของธันวาช่วยเลยก็ได้นะ” เจ้าพ่อไทรทองทำหน้าตากรุ้มกริ่มดูไม่น่าไว้ใจส่งให้เจ้าพ่อผู้เป็นตัวแปรสำคัญของการแก้ไขเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมดที่ต้นตอ
“แล้วพวกเราต้องทำยังไงเหรอครับเจ้าพ่อ???!!!” สกลร้องถามออกมาทันที... ไม่มีเรื่องใดที่สกลไม่อยากรู้ ที่นั่งเงียบอยู่มาจนตอนนี้ได้ เป็นเพราะหนุ่มหน้าแว่นเอาแต่เก็บข้อมูล และประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอยู่นั่นเอง
“จะไปยากอาไร้...
.
...แค่ใครเคยขอพรอะไรไว้ เราก็แค่ทำให้ด้านตรงข้ามของพรข้อนั้น บังเกิดกับผู้ที่ขอพรบ้างยังไงล่ะ” เจ้าพ่อไทรทองแถลงอย่างร่าเริง
“ห๊ะ????!!!... ทำให้พี่ชายธันวารักกับผู้ชายให้ได้เนี่ยะนะ...
...บ้าเหรอ ใครมันจะไปทำได้???!!!!” สกลกับแฝดพี่ถึงกับลืมตัวตะโกนเสียงดังจนน้ำลายสาดกระจาย
“โอ้ว...ข้านี่อะเมซิงในความซิงโครไนซ์ของพวกเจ้ามากๆ ถามจริง...นี่พวกเจ้าสองคนนัดกันมาก่อนรึเปล่า?”
“โห่ เจ้าพ่อไทรทอง...อย่าเพิ่งร่าเริงสิครับ...
...ไม่มีทางอื่นนอกจากวิธีนี้จริงๆหรือครับ? แบบว่า เจ้าพ่อเป็นคนยกเลิกพรให้...อะไรทำนองนั้นน่ะครับ” ฌานพยายามตะล่อมขอวิธีการที่ง่ายยิ่งกว่านั้น เพราะแฝดพี่สังหรณ์ในใจว่า การทำให้คนเกลียดเกย์ขึ้นสมองกลายเป็นเกย์นั้น ยากพอๆกับเปลี่ยนน้ำทั้งมหาสมุทรให้กลายเป็นน้ำจืดเลยทีเดียว
“ไม่มีหรอก...นี่พรของข้า ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะว่ามันควรจะแก้ด้วยวิธีไหน...
...จริงๆไม่เห็นต้องหนักใจเลย ในเมื่อพวกเจ้ามีกันตั้งห้าคน แถมยังมีเจ้าพ่อห่อไหล่กับข้าเป็นกองหนุนฝั่งเทพอีกตังหาก...
.
.
...เว้นเสียแต่ว่า....” เจ้าพ่อไทรทองทิ้งท้ายแบบค้างๆคาๆ
“แต่ว่าอะไรครับ?” บ๊วยหลุดปากทั้งที่ตั้งใจจะไม่พูด ไม่ซักถามอะไรเพื่อให้กลายเป็นจุดสนใจแล้วเชียว
“ถ้าเจ้าพ่อห่อไหล่ของพวกเจ้ารังเกียจข้าเสียจนไม่อยากจะร่วมมือด้วย นั่นแหละปัญหาใหญ่...
...เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเองก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้...
.
...เอาไว้ถึงตอนนั้น...พวกเจ้าจะหนักใจกันจนไม่เป็นอันทำอะไร ก็ยังไม่สายหรอกนะ...
.
.
.
...จริงไหมครับหั่นหนี?” เมื่อนั้น...เจ้าพ่อห่อไหล่ก็รู้ในทันทีว่า ไพ่ดีที่สุดที่สามารถพลิกเกมและล้มเจ้าได้ ถูกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของเทวบุตรสุดชิคเสียแล้ว
“เจ้าพ่อครับ...
...เจ้าพ่อต้องยอมร่วมมือกับคุณธันวานะครับ ไม่อย่างนั้น.....” สกลอ้อนวอนไม่ทันจบเพราะมัวแต่เบือนหน้าไปมองบ๊วยที่เริ่มจะเป่าปี่แบบไม่มีเสียงอยู่ตรงโคนต้นกันเกรา พลอยทำให้ลูกสมุนอีกสองหน่อที่เหลือต้องหันมองตามไปด้วยความเวทนา สภาพของบ๊วยในตอนนี้ ทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่ใจเสียได้ไม่น้อย
“เฮ่อออออ... ก็ได้ ก็ได้...ข้าจะถือว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินภารกิจอำนวยพรของข้าด้วยก็แล้วกัน”
เจ้าพ่อห่อไหล่กลั้นใจตอบ ทั้งที่รู้ดีว่า...จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา
หากปล่อยให้เทวบุตรชื่อก้องที่กำลังยั่วเย้าผ่านรอยยิ้มยวนตาองค์นั้นมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆได้อย่างเต็มที่
เจ้าพ่อฮิปสเตอร์ได้แต่ปลอบใจตัวเอง ด้วยการระลึกถึงอำนาจและบารมีที่ตนเฝ้าสั่งสมมาตลอดหลายหมื่นปี...
เอาเถอะ.. บุญญาธิการบานเบอะของเขาคงช่วยทัดทานเสน่ห์อันล้นเหลือของอีกฝ่าย..
ในขณะที่สติปัญญาอันหลักแหลม คงพอช่วยเกื้อหนุนให้เขาตามทันความเจ้าเล่ห์ของเจ้าพ่อผู้กว้างขวางแห่งพระนครได้อย่างแน่นอน
“เย่!!!! บ๊วย...เจ้าพ่อห่อไหล่ยอมช่วยคุณธันวาแล้วนะ” สกลลุกขึ้นไปอุ้มบ๊วยขึ้นมาเขย่าไปมาด้วยความดีใจแทนเพื่อนซี้ จนอีกฝ่ายอดขำทั้งน้ำตาไม่ได้
“เยี่ยมมมมมมม!!!” เจ้าพ่อไทรทองเปล่งเสียงร้องด้วยอย่างสมใจกับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่... ในที่สุด เขาก็จะได้ใช้เวลากับเทพที่ตนเองเฝ้าหมายปองมานานหลายสิบชั่วอายุขัยมนุษย์
“คุณไทรทอง... ผมว่าคุณจะดีใจออกนอกหน้าไปไหมครับ?... ไม่คิดจะสำรวมอาการให้เหล่าสมุนของผมได้ชื่นชมบารมีอันแก่กล้าผ่านการวางตัวดีๆเสียหน่อยเหรอ?” เจ้าพ่อห่อไหล่กระซิบกระซาบลับหลังเหล่าสมุนหนุ่มทั้งสี่ ที่ตั้งวงแจกแจงรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆซึ่งยังตกหล่นให้ธันวาได้รับฟัง
“ไม่ต้องหรอกครับ... บันยันว่า ความเป็นกันเองคือพื้นฐานของการมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทีมนะครับ...
.
...จริงไหมครับ หั่นหนีคู่หู?!!!” เจ้าพ่อห่อไหล่เริ่มจะวิตกถึงมาตรการที่ควรนำมาใช้เพื่อรับมือกับสายตา และท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ยแบบทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
“ประสาท!!! แล้วก็เลิกเรียกผมว่าหั่นหนงหั่นหนีได้แล้ว ได้ยินแล้วขนลุก!!”
“ได้ครับเบ๊บ... เดี๋ยวบันยันจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกเบ๊บทุกวันที่เราเจอกันเลยดีไหม?...
.
...แต่เบ๊บต้องเรียกผมว่าบันยันก่อน... แลกกัน...
...นะครับนะ” เจ้าพ่อไทรทองออดอ้อน พลางรุกคืบกระชับพื้นที่เข้าใกล้เจ้าพ่อห่อไหล่แบบเนียนๆ
“นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องช่วยบ๊วย ผมไม่คงไม่ต้องมาซวยที่ต้องเจอคุณแบบนี้หรอก” เจ้าพ่อห่อไหล่ฟึดฟัดโดยไม่ทันได้สังเกตว่า มือของเทวบุตรสุดชิคค่อยๆไต่ขึ้นมาถึงต้นแขนของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย และคาดว่า อีกไม่นาน...คงจะลามไปถึงผิวกายละเอียดตรงต้นคอเป็นแน่
“โธ่เบ๊บครับ!..
...เบ๊บไม่เคยได้ยินที่องค์กามเทพเปรยอยู่บ่อยๆเหรอครับว่า คู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน...
...ไม่ว่าดูยังไง เราสองตนก็เข้าตำรานั้นเปี๊ยบเลยนะครับ...
.
...ยิ่งพอหลังจากเกิดเรื่องร้อนแรงเมื่อคืนนั้น ต่อให้เบ๊บอมเขาพระสุเมรุมาทั้งลูก บันยันก็ไม่เชื่อหรอกว่าเบ๊บแค่เผลอใจ”
“พอเลย!!! ถ้าคุณยังไม่หยุดพูด ผมจะไม่ยอมเจอหน้าคุณตลอดภารกิจล้างพรของพี่ชายนายธันวาเลย...คอยดูสิ!!” เจ้าพ่อห่อไหล่ข่มขู่ เพราะทนฟังความจริงที่อีกฝ่ายรื้อฟื้นไม่ได้
“โอเคครับ โอเค...บันยันไม่พูดถึงเรื่องเก่าๆแล้วก็ได้...
...รับรองเลยว่า บันยันจะรูดซิปปากไม่แตะต้องขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆของเราแม้แต่นิดเดียว...
.
...ทีนี้เบ๊บก็ทำใจให้สบาย แล้วให้ความช่วยเหลือเหล่าสมุนของเราทั้งสองอย่างมีความสุขด้วยกันนะครับ” เจ้าพ่อไทรทองเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เรื่องอะไรที่เขาจะต้องยอมเสียโอกาสแห่งความสุขในอนาคตไปเพราะเรื่องที่พ้นผ่านตั้งแต่อดีตกาลด้วยล่ะ
“คุณสัญญาแล้วนะ ทำให้ได้ตามที่สัญญาด้วยล่ะ” เทวบุตรเจ้าถิ่นผู้เพลี่ยงพล้ำกับเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าพ่อสุดล้ำประจำเมืองหลวงไปเสียทุกครั้งย้ำชัดด้วยสีหน้าขวางๆ
สำหรับเจ้าพ่อไทรทองแล้ว...
สายตาที่อาจดูดุดันในมุมมองของมนุษย์ หรือเทพองค์อื่นๆของเจ้าพ่อห่อไหล่ในยามนี้
กลับดูคล้ายสัญลักษณ์แห่งความพยศอย่างน่ารักน่าใคร่ ชวนให้เทวบุตรสุดชิครู้สึกคันไม้คันมือเสียจนอยากจะกำราบให้เจ้าของดวงตาดุราวแม่เสือดาวหวงลูกอ่อนสยบแทบเท้าตนให้จงได้... เพียงแค่ต้องอดใจรออีกสักหน่อยเท่านั้น
“ครับ...สัญญาด้วยหัวใจบันยันเลยครับเบ๊บ” เจ้าพ่อไทรทองรับปากด้วยคำสัตย์ โดยไม่ลืมส่งสายตาวิ๊งๆ พร้อมกับรอยยิ้มกระตุ้นการเต้นของหัวใจไปให้เทวบุตรที่ตนรักและบูชาอย่างที่สุด
“เอาล่ะ...ก่อนเราจะแยกย้ายกันไปทำธุระตามหน้าที่ แล้วค่อยกลับมาประชุมแผนงานกันเย็นนี้...
.
...ผมว่า พวกเรามาสรุปข้อตกลงกันอีกสักทีดีไหมครับ?” ในเมื่อหลวมตัวเข้ามาเป็นสมุนเลวคนล่าสุด ธันวาจึงพยายามทำให้ทุกคน และเทพทั้งสององค์อยู่กับร่องกับรอยให้ได้ในเร็ววัน
“บ๊วย.. ทวนกฎของนายกับเจ้าพ่อห่อไหล่ก่อนซิ... มีอะไรบ้าง?” สกลพยายามชงให้เพื่อนได้มีโอกาสเจิดจรัสในสายตาของอดีตเดือนมหาลัย กระทั่งด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนนี้ก็ไม่มีปล่อยผ่าน
เมื่อเห็นสายตาเชียร์แบบออกนอกหน้าของเพื่อนรักทั้งสาม กับเจ้าพ่อห่อไหล่ที่ส่งยิ้มให้คล้ายจะปลอบ
บ๊วยจึงหายประหม่าแล้วยอมเจรจาในที่สุด
“ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงแรกซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่สำคัญที่สุดสำหรับสมุนเลวทั้งห้าคนครึ่งโดยเฉพาะ นั่นคือ...
...ห้ามใครแพร่งพรายเรื่องการลบล้างพร หรือเรื่องของเจ้าพ่อทั้งสองให้แก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องคนอื่นๆเป็นอันขาด...
.
...มิฉะนั้น...
...ความพยายามทั้งหมดที่พวกเราทำร่วมกัน จะถือเป็นโมฆะ และพรที่ต้องการทำลาย ก็จะยังคงอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์” ชายหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือพยักหน้าหงึกหงักรับทราบเงื่อนไขโดยไม่มีข้อสงสัย หรือคำถาม
“ข้อสอง...
.
...เอ่อ... ข้อนี้เฉพาะที่ผมตกลงกับเจ้าพ่อห่อไหล่แล้วเท่านั้นนะครับ...
...ซึ่งก็คือ ทุกครั้งที่เจ้าพ่อจะปรากฏกาย หรือ จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เสียง ‘ป็อบ!’ จะเป็นเหมือนสัญลักษณ์พิเศษที่บอกให้คนธรรมดาไม่มีตาทิพย์อย่างผมได้รู้ว่า ท่านจะมา หรือ จะไปเมื่อไร” บ๊วยดูดปากเลียนเสียงปรากฏกายของเจ้าพ่อห่อไหล่ให้สมุนเลวทั้งหมดฟัง เมื่อเจ้าพ่อไทรทองได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ
“เบ๊บมีเสียงเรียกเข้าส่วนตัวด้วยเหรอ?...
...งั้นบันยันเอามั่ง!!...
.
...พวกเจ้าทั้งห้าจงจำเสียงเรียกเข้าของข้าให้ขึ้นใจเลยนะ...
...นี่ล่ะ เสียงที่จะบอกถึงการมา และการลาจากของข้าในทุกๆครั้งที่ข้าปรากกฏกาย...
... ‘เฮ่ลโหล่ว โหม่วโต๊ว!!!’ ...
.
...อาห์... ฟังกี่ทีๆก็คลาสสิค!!” เจ้าพ่อไทรทองพูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกาของไอ้สมุนเลวทั้งห้าที่ตั้งป้อมเมาท์เผาขากางเกงสีแสดแปดหลอดของเทวบุตรสุดชิคแทบจะทันใดที่ได้ยินเสียงจิงเกิ้ลตัวอย่างแบบเต็มๆสองรูหู
“โห!.. โคตรเก่า” ธันวางุบงิบ แต่สกลกลับส่ายหัวไม่เห็นด้วยอย่างแรงจนแว่นแทบไหลออกจากเบ้าหน้า แล้วแย้งเสียงเบาพอให้ได้ยินกันแค่ห้าคน
“ไม่เก่านะครับ... ผมยังเคยได้ยินเลย...
.
...ใช่ตอนที่มือถือมีขนาดกว้างใหญ่เท่ากับกระติกน้ำแข็งสี่คนหามสามคนแห่หรือเปล่าครับ?” สิ้นเสียงเมาท์เบาไม่กี่เดซิเบลของสกล แฝดพี่ผู้มีดีกรีอำสะเด็ดเจ็ดย่านน้ำก็เบ้ปากพร้อมกับส่งสายตาเหยียดหยามให้เพื่อนหน้าแว่น ก่อนจะจัดการล้มล้างทฤษฎีของสกลด้วยการผิดศีลข้อมุสาทันที
“จะบ้าเหรอสกล...
.
...เสียงนี้มันเป็นเสียงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่สองโดยกองกำลังทหารญี่ปุ่น เพื่อใช้เปิดระหว่างพิธีไว้อาลัยให้กับหัวหน้ากองฝูงบินกามิกาเซ่ถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์ที่ชื่อ ‘เฮนิโระ โมโตะ’ โดยเฉพาะต่างหาก พอพวกฝรั่งมาได้ยินก็ชอบใจ เลยเอาไปใช้เป็นเสียงเรียกเข้ามือถือยังไงล่ะ...
.
...ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกจะดัง สกลนี่ไม่รู้หนังสือหรือไง? ใช้ไม่ได้เลยนะ!!” ฌานข่มแกมตำหนิด้วยลมปากแผ่วๆ แต่แล้วก็ต้องหลีกทางให้แฝดน้องที่นึกครึ้มหลังจากเสียงเรียกเข้าสุดเก๋าได้เข้าไปหลอกหลอนวิญญาณจนยากจะลบออกจากหน่วยความจำในสมอง
“แล้วหัวหน้ากองฝูงบินกามิกาเซ่ถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์คนนั้นก็มีน้องชายที่เป็นเจ้าของความอูมามิที่ชื่อ ‘อายิโนะ โมโตะ’ ด้วยใช่ไหมครับพี่ชาย?” ฌอนเล่นมุกหน้านิ่งเป็นสิงโตอับเฉาเฝ้าประตูวัด
“เฮ่อ! เลิกเพ้อเจ้อแล้วเตรียมตัวไปเรียนกันเถอะครับ... สายแล้ว” บ๊วยฆ่าตัดตอนทุกคนเสียดื้อๆ โดยไม่สนเสียง ‘ง่อววว!’ เบาๆที่ดังแทนการตัดพ้อจากสหายหน้าแว่นแต่อย่างใด
ไม่อยากจะนึกเลยว่า ถ้าไม่ได้บ๊วยช่วยเอาไว้
ป่านนี้น่านน้ำทะเลแห่งมหาสมุทรใด จะเป็นที่หมายของบทเกทับแล้วบลัฟแหลกอันเพ้อเจ้อของชายฉกรรจ์กลุ่มนี้กัน?
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
ตอนนี้นอกจากจะได้เจอพระเอกแบบเต็มๆแล้ว
เรายังจะได้พบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกองค์ที่เจ้าพ่อห่อไหล่ไม่อยากจะเกี่ยวดองด้วยที่สุดแล้วล่ะค่ะ
พร้อมๆกับได้รับรู้ว่า ใครกันหนา...เป็นคนใจร้ายกับเก็ก จนกระเทือนมาถึงบ๊วยได้เพียงนี้
อย่าเพิ่งงงกับตัวละครไปเสียก่อนนะคะ...
เพราะอีกตอนสอนตอนข้างหน้า
เราจะพาตัวละครใหม่มาให้เจอกันอีกค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า...
แบบว่าเรื่องนี้ตัวละครเยอะ และจะมีหลายคู่เลยค่ะ
รักชอบ หรืออยากดุว่าประการใด บอกกันตรงๆหน้าไมค์ได้เลยนะคะ
เพราะทุกๆความเห็นจากคนอ่าน คือกำลังใจที่ดีที่สุดของเหล่าคนเขียนนิยายทุกคนค่ะ
รักคนอ่านทุกท่าน และขอบคุณอีกล้านครั้งเลยค่า ^ ^
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
ความคิดเห็น