ตอนที่ 17 : บทที่ 8 คำสัญญา (2)
ภาพสองสามีภรรยาเดินจับมือกันไปตามทาง เรียกความสนใจของเหล่าผู้พบเห็น โดยเฉพาะพนักงานขาเมาท์ทั้งหลายที่ต่างรู้ตรงกันว่าทั้งคู่อยู่ในสถานะสามีภรรยาที่รอวันหย่า แต่ภาพที่เห็นวันนี้ดูเหมือนจะไม่ตรงกับความเข้าใจที่ผ่านมา หรือว่ามีใครเข้าใจอะไรผิดไป
ถึงแม้จะยืนยันหนักแน่นว่าไม่อยากไปไหนต่อ แต่สุดท้ายคนที่ใจแข็งมาตลอดกลับต้องยอมแพ้ให้แววตาเศร้าสร้อยของเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
“เป็นอะไร”
นิชาภัทรขยับตัวเล็กน้อย พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เปล่าค่ะ เพลงดูเหมือนเป็นอะไรเหรอคะ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมต้องทำหน้าเศร้าด้วย” มือบังคับพวงมาลัย แต่ตาคอยหันมามองคู่สนทนาอยู่เป็นระยะ
คนหน้าเศร้ามองมือตัวเองที่ประสานกันแน่น บีบสลับคลายอย่างคนใช้ความคิด จะให้บอกได้อย่างไรว่าหล่อนฝันถึงโอกาสที่จะได้มีช่วงเวลาดีๆ กับเหนือตะวันบ้าง ไปเดินเที่ยว กินข้าว ดูหนังอย่างคู่รักคู่อื่น ถึงแม้ว่าหล่อนกับเขาจะไม่เหมือนคู่รักเลยก็ตาม
“เพลงกำลังคิดว่า งานฉลองกรุงครบสองร้อยสามสิบสามปีที่ถนนราชดำเนินนอกจะมีเครื่องชามเบญจรงค์หรือของโบราณอะไรขายบ้างหรือเปล่า เพลงอยากซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยน่ะค่ะ”
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้ม เหนือตะวันทำทีเป็นหันไปมองทางอื่นเพื่อไม่ให้หล่อนเห็นรอยยิ้มของเขา ไม่นึกเลยว่านิชาภัทรจะใช้เหตุผลแบบนี้มาเป็นข้ออ้างที่จะไปนั่นไปนี่...เหมือนเด็กไม่มีผิด
“ไม่น่ามีนะ” เหนือตะวันแสร้งทำน้ำเสียงจริงจัง
“มีสิคะ” คนเสียงหวานรีบแย้ง “ก็...วันนี้เพลงเห็นโฆษณาในไอจีบอกว่ามีข้าวของเครื่องใช้โบราณขายเยอะมาก ของกินโบราณ ของเล่น เสื้อผ้า การแสดง ทุกอย่างย้อนยุคทั้งหมดเลยนะคะ”
“หึๆ” เหนือตะวันหลุดหัวเราะออกมาจนได้เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่จริงจังเกินเหตุของหล่อน ใบหน้าหวานที่ทำเป็นขึงขังยิ่งดูตลกมากไปอีกเมื่อดวงตากลมใสแฝงแววไม่เข้าใจ
“หัวเราะอะไรคะ”
“เปล่า! ฉันกำลังคิดอยู่ว่าถนนราชดำเนินนอกนี่ไปทางไหนจะถึงเร็วที่สุด”
คำตอบของเหนือตะวันทำให้เด็กน้อยยิ้มกว้างอย่างยินดี ท่าทีเซื่องซึมในตอนแรกเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นทันใด
“เดี๋ยวเพลงบอกทางให้นะคะ”
ระยะเวลาไม่ถึงสามสิบนาที เหนือตะวันกับนิชาภัทรก็เดินทางมาถึงงานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปีนี้ครบสองร้อยสามสิบสามปี บรรยากาศภายในงานจัดแบบย้อนยุคตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ร้านรวงมีแต่ของโบราณมาจำหน่าย ของบางอย่างแทบไม่มีให้เห็นแล้วในสมัยนี้ พ่อค้าแม่ขายและประชาชนที่มาเที่ยวต่างแต่งชุดไทย บรรยากาศในงานจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ
เครื่องชามเบญจรงค์ถูกลืมไปเลยเมื่อคนที่ตั้งใจมาซื้อเอาแต่เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ซึ่งทุกร้านขายของกิน เหนือตะวันไม่อยากทักท้วงเพราะเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังตื่นเต้นและเป็นสุขกับการชิมนั่นที กินนี่ที
“เพลงหิวแล้วค่ะ มื้อเย็นเราทานขนมจีนน้ำยากันนะคะ” นิชาภัทรพูดขณะที่มือสองข้างถือของกินอยู่เต็ม ข้างหนึ่งเป็นสายไหมก้อนโต อีกข้างหนึ่งมีถุงขนมหลายถุงที่ห้อยอยู่ตามนิ้ว ทั้งขนมครก ขนมเบื้อง และอีกหลายอย่างจนไม่รู้ว่าจะกินเข้าไปหมดได้อย่างไร
“เธอยังหิวอีกเหรอ กินไปตั้งเยอะตั้งแยะ”
“แหม...ก็นี่มันขนมนี่คะ ไม่ใช่ข้าวสักหน่อย” คนถูกกล่าวหาว่ากินจุแก้ตัวเสียงเบา
“เอาเถอะ ฉันมองเธอกินจนหิวแล้วเหมือนกัน ไปกินขนมจีนก็ได้ ไม่ได้กินมานานแล้ว”
เหนือตะวันเดินนำหน้าไป คนตัวเล็กรีบก้าวเท้าตามเร็วๆ จนเกือบเป็นวิ่ง แม้ไม่ได้เดินเคียงข้างกันแต่หล่อนก็ยังดีใจ การได้มองแผ่นหลังแข็งแกร่งในระยะห่างแค่เอื้อมเป็นความสุขอย่างหนึ่ง และถ้าได้กอดไว้ทุกวัน ก็คงจะเป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต...
ร้านขนมจีนตั้งอยู่อย่างแออัดตามลักษณะของร้านอาหารที่จัดขึ้นชั่วคราวเมื่อมีงานเทศกาล หน้าร้านมีตัวหนังสือสีแดงเขียนด้วยลายมือ ‘ขนมจีน 30 บาท’ เหนือตะวันไม่ได้เข้าร้านอาหารริมทางตั้งแต่จบมัธยมปลาย ยอมรับว่ารู้สึกแปลกนิดหน่อย
“ร้านแบบนี้แหละค่ะอร่อย เพลงเคยทานในห้างนะ จืดชืดจะตาย ยายนุชนี่บ่นจนหูชา แพงก็แพงแถมรสชาติไม่ได้เรื่อง”
เหตุผลของนิชาภัทรทำให้เหนือตะวันจำยอม นาทีนี้จะขัดใจหล่อนก็คงไม่ทันแล้ว
แม้จะบอกว่าสนใจเหนือตะวันมากที่สุด แต่นิชาภัทรกลับก้มหน้าก้มตากิน ไม่เงยหน้ามองคนร่วมโต๊ะเลยสักนิด เป็นเหนือตะวันเสียเองที่มองภาพหญิงสาวตรงหน้าเพลินจนลืมกิน
“ไม่อร่อยเหรอคะ” นิชาภัทรถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอาหารในจานของคนที่นั่งตรงข้ามไม่พร่องลงเลย
“อร่อย แต่ดูเธอกินน่าอร่อยกว่า”
ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงได้หน้าแดง ยิ่งเห็นนัยน์ตาที่เคยแข็งกร้าวมาเสมอมีแววระยิบระยับก็ยิ่งทำให้หวั่นไหว ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของมันเลยด้วยซ้ำ
เหนือตะวันมองใบหน้าหวานที่เอาแต่ก้มหน้า เกิดคำถามในใจหลายข้อทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจอยากรู้
“สงสัยอะไรหรือเปล่าคะ” นิชาภัทรทนไม่ไหวที่คนตรงหน้าเอาแต่จับจ้องไม่วางตา
“สงสัย” เขายอมรับตามตรง “สงสัยว่าพ่อฉันยักยอกเงินเธอหรือเปล่า”
“ยังไงคะ” นิชาภัทรมีท่าทีหวาดระแวงขึ้นมาทันที แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็มั่นใจว่าชาครไม่โกงหล่อนแน่
“ก็ดูจากอาหารที่เธอกิน ถ้าพ่อฉันไม่โกงจนเธอไม่มีเงินกินของดีๆ ก็แสดงว่าเธอต้องงกมากๆ”
“ไม่ใช่ทั้งสองเหตุผลค่ะ ของแพงเพลงก็กิน แต่อาหารพวกนี้อร่อยกว่าจริงๆ นี่คะ พี่เหนือไม่ชอบเหรอ”
คำตอบของเหนือตะวันเป็นเพียงการยักไหล่หนึ่งที ก่อนที่เขาจะตักขนมจีนคำโตใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
“ตอนที่เสียพ่อกับแม่ไป เพลงยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ต้องเริ่มทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ใช่คุณพ่อของพี่เหนือไม่ดูแลเพลงนะคะ ท่านดูแลเพลงดีมาก แต่เป็นการดูแลอย่างให้เกียรติ ให้เสรีภาพในการตัดสินใจ เพลงเลือกสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับตัวเองในความคิดของเด็กคนหนึ่ง มารู้ตัวอีกที เพลงก็เดินออกมาจากวงสังคมไฮโซไกลมากจนไม่มีเพื่อนในแวดวงนี้เลยสักคน แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร ลำบากอยู่ข้อเดียวตรงที่ไม่เพื่อนคุยเวลาออกงาน น้ำลายแทบบูดแน่ะ”
รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าหวานสะกดให้เหนือตะวันนิ่งมอง เป็น ‘รอยยิ้ม’ ที่เขาคุ้นเคย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน แค่มองนิ่งๆ สักนาทีก็เดาได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังคิดอะไร โกหกหรือพูดความจริง นิชาภัทรเป็นผู้หญิงที่อ่านง่าย แต่เวลานี้ไม่ใช่ นิชาภัทรที่เขาคิดว่ารู้จักดีเหมือนสิ่งแปลกใหม่ที่อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้ตัวตนที่แท้จริง บางครั้งหล่อนก็เหมือนสายน้ำนิ่งสงบ บางครั้งก็กลายเป็นทะเลฤดูมรสุมที่ปรวนแปรและมีคลื่นลมรุนแรง
หญิงสาวร่างเล็กนอนซบอยู่บนแผงอกแข็งแกร่ง ดวงตากลมโตยังคงสุกใสแม้จะเป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว นิชาภัทรหลับไม่ลง กลัวว่าตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝัน
“นอนได้แล้วนะ”
เหนือตะวันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น พร้อมกันนั้นก็ก้มลงจุมพิตหน้าผากมน วันนี้ร่างกายแข็งแรงเหนื่อยล้าเหลือเกิน นอกจากลงภาคสนามตั้งแต่เช้ามืด เขายังสวมบทผู้ใหญ่ใจดีพาเด็กน้อยไปเที่ยวเล่นเสียจนเมื่อยขา กระนั้นร่างกายที่อ่อนล้ากลับมีแรงขึ้นมาเมื่อได้อยู่ตามลำพังกับคนข้างกาย
เขาบรรเลงเพลงรักร่วมกับหล่อนถึงสามหนเหมือนคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ขณะนี้ก็ยังมีความต้องการ แต่ร่างกายประท้วงว่าควรพักผ่อนเสียที
“เพลงยังไม่ง่วงเลยค่ะ”
“เธอพูดแบบนี้หมายความว่าเธออยากจะทำอย่างอื่นนอกจากนอนอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะคะ” นิชาภัทรรีบแย้งเสียงสูง “เพลงแค่ไม่อยากหลับตา กลัวตื่นขึ้นมาแล้วพี่เหนือหายไป”
“ฉันหนีจากเธอไปไม่ได้หรอกน่า”
เหนือตะวันพูดตามความจริง ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไรก็ดูเหมือนเป็นไปไม่เลยที่เขากับหล่อนจะหายไปจากกัน ตราบใดที่นิชาภัทรยังรักเขาอยู่ และเขาก็มั่นใจว่าหล่อนไม่มีวันเลิกรักเขาได้แน่นอน
“เพราะอะไรคะ”
“เพราะเธอเป็นยายโรคจิตไง ฉันอยู่ที่ไหนเธอก็ตามฉันไปทุกที่”
คนถูกกล่าวหาว่า ‘โรคจิต’ ทำหน้าไม่ถูก เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงความไม่พอใจ แต่คนฟังก็ยังรู้สึกผิด ที่ผ่านมาพฤติกรรมของหล่อนคงสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย ผิดที่หล่อนไม่อาจเก็บความรู้สึกได้ เรียกง่ายๆ ว่าไม่มีวิธีการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอย รักมากเท่าไรก็แสดงออกไปทั้งหมด
“เพลงขอโทษนะคะ”
“ฉันไม่รับคำขอโทษจากเธอ”
คราวนี้ใบหน้าหวานแหงนมองคนตัวโตอย่างตระหนก เมื่อเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลายังมีรอยยิ้มจางๆ หล่อนจึงเบาใจขึ้น
“เธอต้องทำให้ฉันดู” เหนือตะวันมองดวงตากลมใส เขาให้ความไว้ใจแก่หล่อนอีกครั้ง “ฉันพูดกับเธอไปแล้วเมื่อตอนกลางวัน”
นิชาภัทรจำได้ หล่อนท่องมันจนขึ้นใจ ‘ถ้าเธอไม่พอใจอะไรต้องคุยด้วยเหตุผล’
“พี่เหนือรู้ไหมคะ เพลงทำได้มากกว่าที่พี่เหนือขอเสียอีก ถ้ามันจะทำให้พี่เหนือใจดีแบบนี้ตลอดไป”
“แค่ข้อเดียว”
เสียงทุ้มเริ่มแผ่วลง ไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ผ่อนยาวสม่ำเสมอ เหนือตะวันหลับไปแล้ว หล่อนมีคำถามในใจมากมายแต่ไม่กล้าถาม กลัวว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำอาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป หล่อนยอมไร้ศักดิ์ศรีหากการแต่งงานครั้งนี้จะยืนยาวออกไปอีกแม้เพียงแค่วันเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
E-book วางขายใน MEB แล้วค่ะ ^^ ใครอยากตบ เอ้ย! อยากอ่าน ตามไปได้เลยจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เด็กขี้เหงา ไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก ตัวคนเดียวในโลก มี ขอนไม้ใหญ่ลอยมา ก็ต้องเกาะไว้ รักเจ้าขอนไม้ท่อนนี้ แม้มันพร้อมจะหลุดลอยไปตลอดกาลก็ตาม