ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #75 : ตอนที่ 65 ทางไหน........

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 36.41K
      158
      24 ม.ค. 55















    ตอนที่
    65 ทางไหน……..











     

    พรุ่งนี้เป็นวันกำหนดเส้นตายความสัมพันธ์ของผมกับภูมิวันที่เราต้องไปให้คำตอบกับพ่อ จะว่าไปเวลาสามวันนี่มันก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะครับผ่านไปเร็วมากจนผมกลัว

     




    ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับภูมิเหมือนเดิมเพียงแค่มีไอ้ฟ่างย้ายกลับมาอยู่ที่คอนโดเพิ่มอีกคน ฟ่างมันต้องห่างจากไอ้แทนเห็นแล้วก็น่าสงสารเพราะมันดูซึมๆไปเหมือนกันจะมีก็เพียงโทรศัพท์ที่ฟ่างไม่เคยให้ห่างตัว

     





    ตอนแรกผมก็คิดอยู่ว่าควรจะกลับไปอยู่บ้านตัวเองก่อนดีมั้ยเผื่อจะทำให้พ่อสบายใจบ้างแต่ยังไม่ทันจะได้ปรึกษากับภูมิมันก็ชิงห้ามผมซะก่อน มันไม่ยอมให้ผมไปไหนเด็ดขาดแต่ถึงภูมิไม่ห้ามผมก็ไม่อยากไปอยู่ดีบอกตรงๆนะครับตอนนี้ผมไม่อยากห่างภูมิไปไหนเลย อยากเห็นมันอยู่ในสายตาทุกนาทีเพราะผมกลัว กลัวว่าจะมีใครเอามันไปจากผม

     




    วันนี้พวกผมก็มาเรียนกันตามปกติเรามาเรียนพร้อมกันทั้งสามคน ผมเป็นคนขับมีไอ้ฟ่างนั่งคู่ส่วนภูมิก็นั่งหน้าโหดงอนพี่ชายอยู่เบาะหลัง เพราะเมื่อคืนไอ้ฟ่างกัดหูไอ้เสือน้อยของภูมิ มันตีกันไปรอบนึงแล้วแต่พอภูมิหลับไอ้ฟ่างก็กอดน้องชายของมันไว้แน่น

     



    ฟ่างอาจจะแค่อยากแกล้งให้ภูมิเลิกคิดมากเลิกทำหน้าซึมๆมันคงอยากให้น้องสบายขึ้น สามคืนที่ผ่านมาเลยมีผู้ชายตัวควายๆสามคนนอนเบียดกันมีภูมินอนตรงกลางขนาบข้างด้วยฟ่างกับผม มันอาจจะอึดอัดไปบ้างแต่ผมว่ามันก็อบอุ่นดีเพราะมีทั้งเพื่อน คนรัก พี่ชาย

     










    และเราจะไม่มีวันทิ้งกัน

     









    ผมมาที่คณะตัวเองก่อนส่วนฟ่างจะไปที่คณะวิศวะกับภูมิด้วยเพราะไอ้แทนรออยู่ ช่วงเช้าเป็นเวลาที่พวกมันได้เจอหน้ากัน ส่วนช่วงเย็นๆหลังเรียนเสร็จไอ้ฟ่างก็จะไปหาไอ้แทนที่สนามฟุตบอล พวกผมคุยกันและคิดว่าพ่อคงไม่ได้ให้คนตามฟ่างอย่างที่เรากลัว ท่านคงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในตัวลูกชายคนกลางเพราะถ้าไม่อย่างนั้นมันคงถูกพ่อเรียกไปคุยแล้ว








    ระดับคุณพ่อการสืบเรื่องอะไรซักอย่างคงใช้เวลาไม่ถึงวัน แต่วันนั้นพ่อแค่โทรหาฟ่างบอกให้พาน้องกลับบ้านแล้วก็ต่อว่าฟ่างที่ไม่ดูแลน้อง ฟ่างมันก็พูดอะไรไม่ได้เพราะคนนึงก็พ่ออีกคนก็น้องแล้วไหนจะเรื่องตัวเองอีก สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าลูกชายบ้านนี้ค่อนข้างจะ“เกรง”พ่อมากเหมือนกัน

     






    ตลอดคาบเช้าผมก็ตกอยู่ในสภาพกึ่งปลงกึ่งเครียดถึงขีดสุดเพราะผมต้องทนกับเสียงทวงตังค์ค่าหวยของไอ้หนึ่งกับไอ้โจ แล้วไหนจะเสียงไอ้คิวที่โทรไปแกล้งไอ้เต้ย มันเอาบีบีผมไปส่งข้อความทำเสียงหาไอ้เต้ย มันทำเสียงตุ๊งแช่ ตุ๊งแช่เหมือนเชิดสิงโตพอไอ้เต้ยโวยวายเชี่ยคิวก็หัวเราะมีความสุข

     





    จนไอ้เด็กแสบมันปิดเครื่องหนีไอ้คิวก็ยังไม่รามือโทรเข้าไอโฟนจนไอ้เต้ยปิดแม่งทั้งสองเครื่อง ป่านนี้มันคงงอนหนีเรียนกลับบ้านไปแล้วมั้ง ไอ้คิวมันเล่าให้ผมฟังว่าสาเหตุที่มันแกล้งไอ้เต้ยด้วยเสียงเชิดสิงโตเพราะเมื่อวานเป็นวันตรุษจีนแน่นอนว่าไอ้ตี๋เต้ยจอมซนมันก็ไปร่วมประเพณีกับตระกูลบรรพบุรุษของมันไอ้คิวก็ตอแหลตามไปด้วยเหมือนเป็นคนในครอบครัว

     





    พอไหว้เจ้าไหว้บรรพบุรุษเสร็จกำลังจะแจกแต๊ะเอียไอ้เต้ยก็หายตัวไปจากเครือญาติ จากนั้นมันก็กลับมาพร้อมหัวสิงโตเอามาเชิดกลางบ้าน เล่นเอาอาม่าอากงอาอี๊อาเจก อึ้งอ้าปากค้างกันเป็นแถบๆเพราะว่ามันผิดเทศกาล หึหึ ไอ้คิวเล่าไปก็หัวเราะไปมันทำให้ผมลืมเรื่องเครียดๆที่ค้างอยู่ในหัวและติดอยู่ในใจออกไปได้บ้าง

     




    เรียนเสร็จผมก็แยกกับไอ้คิวเพราะมันต้องไปตามล่าสิงโตพาสิงโตไปกินข้าว ส่วนผมก็รอภูมิมารับเพราะวันนี้พวกผมไม่มีเรียนบ่ายเราว่างตรงกัน ปกติภูมิจะมารับผมที่คณะแล้วพาไปดูมันซ้อมดนตรี ไม่ก็พาไปเดินเล่น ไปดูหนัง กินข้าว หรือบางครั้งมันก็ไปนั่งเฝ้าผมวาดรูปตามสถานที่ต่างๆตามแต่อารมณ์

     





    แต่วันนี้ผมรอมันตั้งแต่เที่ยงจนจะบ่ายโมงแล้วภูมิก็ยังไม่มาพอโทรหาก็ไม่รับสาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ไม่มีเรื่องพ่อผมคงจะด่าไม่ก็สาปแช่งมันไปแล้วโทษฐานที่ปล่อยให้ผมรอ แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมรู้สึกคือผมกังวลมากจนเริ่มนั่งไม่ติดผมกลัวและนึกเป็นห่วงมันไปสารพัดเลยตัดสินใจโทรหาไอ้มิคเผื่อบางทีมันอาจจะอยู่ด้วยกัน

     





    “ฮัลโหลมิค มึงอยู่ไหน”



    (อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมึงหรอก) ไอ้มิคพูดจบมันก็หัวเราะ

     


    “ห่า กูถามดีๆมึงอยู่ไหนวะแล้วไอ้ภูมิอยู่กับมึงมั้ย”

     



    (กูอยู่สยามกำลังจะแดกข้าวกับแฟนสาว ฮ่าฮ่า โอ๊ย แป้งฝุ่นพี่เจ็บนะ ตีทำไมเนี่ย) ผมได้ยินเสียงเล็กๆง็องแง็งของผู้หญิงและเสียงโอดโอยแบบไม่จริงจังของไอ้มิค ถ้ามิคมันอยู่กับแฟนก็แสดงว่าภูมิไม่ได้อยู่กับมันและนั่นเริ่มทำผมใจเสีย

     


    “เชี่ยมิคตกลงว่าไอ้ภูมิอยู่กับมึงมั้ย”

     


    (ภูมิไหนฟระอ๋อ ภูมิที่รักของมึงใช่มั้ย)

     

     

    “มึงอย่าเพิ่งกวนตีนกูได้มั้ยวะ ไอ้ภูมิอยู่ไหน!!!!” ผมเผลอขึ้นเสียงกับไอ้มิคที่มันเอาแต่แกล้งล้อเล่นทั้งที่เป็นเรื่องปกติเป็นนิสัยของไอ้มิคแต่อารมณ์ผมตอนนี้มันไม่คงที่ ผมไม่เคยใช้อารมณ์กับเพื่อนผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่เมื้อกี้ผมก็ทำไปแล้ว



    (เอ่อ…..)ไอ้มิคมันคงตกใจที่อยู่ๆผมก็เสียงดังใส่มัน

     

    “มิคมึงรู้รึเปล่าว่าภูมิอยู่ที่ไหน” ไม่รู้ทำไมเสียงของผมถึงได้เบาและสั่นขนาดนี้

     

    (พีม มึงเป็นอะไรรึเปล่า) น้ำเสียงของมันเปลี่ยนเป็นจริงจังและเป็นห่วง

     

    “มิค ช่วยบอกกูทีว่าภูมิอยู่ไหน มันอยู่ไหน”

     

    (มันไม่ได้อยู่กับกูเมื่อเช้ามันพรีเซนต์งานเสร็จมันก็รีบออกไปเลย กูนึกว่าไปหามึงซะอีกแล้วตอนนี้มึงอยู่ไหนไม่มีรถกลับเหรอให้กูไปรับมั้ย )

     

    “ไม่เป็นไรกูขอโทษนะที่ขึ้นเสียงใส่มึง กูไม่ได้ตั้งใจงั้นแค่นี้ก่อนนะเว้ยมิคกู……

     

    (เดี๋ยวๆพีมอย่าเพิ่งวาง พวกมึงมีเรื่องอะไรกันรึเปล่าวะกูเห็นไอ้ภูมิแปลกๆไปสองสามวันมานี่แม่งซึมๆเหงาๆพวกมึงทะเลาะกันหรอ)

     

    “เปล่า กู เอ่อ มันพูดยากว่ะมึงไว้กูพร้อมเมื่อไรกูจะเล่าให้ฟังนะ”

     

    (เออๆถ้ามึงผิดสัญญาขอให้จูโมะง่อย) ผมขำกับสัญญาติงต๊องของไอ้มิคก่อนจะวางสายแล้วลองโทรหาภูมิอีกแต่ก็เหมือนเดิมคือมันไม่รับ ผมวางโทรศัพท์และนวดขมับตัวเอง ภูมิมึงอยู่ที่ไหนกูเป็นห่วงมากรู้บ้างมั้ย

     

    “อ้าวเพื่อนแคระมึงมานั่งอะไรตรงนี้กูนึกว่ามึงไปผุดไปเกิดกับเจ้าชีวิตมึงซะอีก” ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้คิวที่เดินมานั่งลงตรงข้ามผม มันหน้าบานอารมณ์ดีขนาดนี้คงได้อะไรดีๆจากไอ้เต้ยมาล่ะมั้ง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าผมมันเป็นแบบไหนแต่ไอ้คิวถึงกับยิ้มค้างเมื่อผมเงยหน้า “มึงเลิกทำหน้าอมทุกข์แบบนี้ซักทีได้มั้ยพีมกูรำคาญลูกตา มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกกูวะมึงแน่มากใช่มั้ยห๊ะที่เก็บปัญหาไว้คนเดียว มึงทะเลาะกับไอ้ภูมิเหรอ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ





    “พวกกูไม่ได้ทะเลาะกัน พวกกูยังรักกันดีแต่แค่ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”



    “หมายความว่าไงวะ”



    “คิวกูยืมรถหน่อย”

     

    “กุญแจอยู่กับไอ้เต้ย มึงจะไปไหนพีม” มันหรี่ตาขมวดคิ้วจ้องหน้าผมนิ่ง

     

    “ไปหาภูมิ คิวตอนบ่ายฝากบอกพวกไอ้โจด้วยนะว่ากูคงไม่ได้มาช่วยจัดเวที” ผมตะโกนบอกไอ้คิวก่อนจะวิ่งขึ้นแท็กซี่ที่ผ่านมาแถวหน้าคณะพอดี ที่ที่ผมคิดว่าภูมิน่าจะไปในช่วงเวลาแบบนี้คงมีที่เดียว

     






    บ้าน

     





     

    ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยให้พี่แท็กซี่ทั้งที่รถยังไม่จอดสนิทดีก่อนจะรีบลงจากรถโดยไม่รอรับเงินทอน ผมสวัสดีพี่จักร รปภ.แค่พอผ่านๆอาจจะเสียมารยาทแต่ผมไม่มีเวลามาใส่ใจ

     






    บ้านหลังนี้หรือจะเรียกให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดก็คงต้องเรียกว่าคฤหาสน์ตระกูลเจริญเกียรติวาณิชย์ที่ผมเคยมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จำได้ว่าครั้งแรกผมมาบ้านนี้ด้วยความรู้สึกกลัวและประหม่าแต่ครั้งต่อๆมาผมมาที่นี่พร้อมความรู้สึกอุ่นใจและมักจะได้รอยยิ้มกลับไปเสมอ ส่วนครั้งนี้ผมมายืนอยู่ที่นี่ด้วยความรู้สึกแบบไหนผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เจ็บปวด หน่วงๆหรือว่าทรมานจนชา






     

    จากที่ผมรีบวิ่งเข้ามาตอนแรกอยู่ๆก็กลายเป็นเดินช้าๆช้าจนแทบก้าวขาไม่ออก ช้าจนแทบจะกลายเป็นการยืนอยู่กับที่เพราะภาพที่เห็นตรงหน้า

     




    ภูมิกำลังคุกเข่าอยู่ลานหินอ่อนหน้าบ้านท่ามกลางแดดร้อนไม่ต่างจากเปลวไฟ ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้ภูมิมากเท่าไรหัวใจยิ่งเจ็บราวกับถูกบีบรัดจนปวดไปทั้งอก






    ผมพยายามควบคุมจังหวะการเดินและจังหวะการหายใจไม่ให้มันติดขัดมากไปกว่านี้ ผมค่อยๆเดินเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆภูมิ มันสะดุ้งตกใจที่หันมาเจอผม ข้างขมับมันมีเหงื่อไหลตามไรผมหน้าผากก็ไม่ต่างกัน เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกชุ่มเหงื่อทั่วแผ่นหลังบ่งบอกได้ว่ามันมานั่งอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว 1ชั่วโมง 2 ชั่วโมง หรือบางทีอาจจะเป็น3 4 ชั่วโมง

     





    และที่มันหน้าซีดก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจหรือเพราะร่างกายเริ่มไม่ไหวกันแน่ แล้วทำไมคนในบ้านถึงทนดูได้ ทำไมถึงใจร้ายกับคนรักของผมจัง ทำไมไม่เรียกมันเข้าไปข้างในบ้าน ทำไมไม่หาน้ำหาร่มมาให้มัน ทำไม

     





    “ภูมิทำไมมึงทำแบบนี้ละ” ผมก้มหน้ามองพื้นและเงาตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไง ผมเอ่ยถามภูมิเสียงสั่นหลังจากที่พยายามกลืนก้อนอะไรซักอย่างที่ดันขึ้นมาปิดอากาศตรงลำคอจนผมเกือบหายใจไม่ได้

     




    “กูมาขอโทษพ่อที่วันนั้นกูพูดไม่ดีกับพ่อแล้วก็จะมาขอร้องพ่อให้ช่วยเข้าใจความรักของเรา” เสียงของภูมิแหบเบาราวเสียงกระซิบเหมือนกับคนที่ใกล้จะหมดแรง

     



    “แต่มึงทรมานตัวเองแบบนี้ กูเจ็บนะ เห็น มมึงเป็นแบบนี้หัวใจกูเจ็บไปหมดเลยภูมิ” น้ำตาไหลอีกแล้วว่ะแม่ง กัดฟันไปก็เท่านั้นแต่ควบคุมอะไรไม่ได้เลย ใจยังเจ็บ มือยังสั่น ผมเอื้อมมือไปกุมมือภูมิไว้ อุณหภูมิร่างกายมันร้อนกว่าปกติร้อนจนผมใจหาย มันบีบมือผมเบาๆและยิ้มบางๆให้ “ภูมิอย่าทำแบบนี้เลยนะกลับห้องเรากันเถอะ…..นะภูมิ” ผมเอนหัวซบลงกับไหล่ของภูมิ ผมเหนื่อยเหลือเกินหัวใจผมมันล้าเหลือเกิน

     





    “ไปอยู่ในร่มไปพีมตรงนี้แดดมันร้อนนะเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” มันยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ

     

    “ไม่เอา ถ้ามึงไม่ไปกูก็ไม่ไปจะนั่งอยู่ตรงนี้”

     

    “พีม”

     

    “ก็มึงบอกว่าทำเพื่อความรักของเราไม่ใช่หรอ ถ้าไม่มีกูจะเป็นความรักของเราได้ยังไง” ภูมิไม่ตอบอะไรมันแค่กอดผมไว้

     


    “งั้นก็พิงกูไว้กูจะบังแดดให้” เคยรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาดังๆ อยากระบายความรู้สึกทรมานออกจากใจมั้ยครับ ตอนนี้ผมอยากจะทำแบบนั้น อยากทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ภูมิไม่ต้องเป็นแบบนี้




    เราคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเกือบสิบนาที การที่ผมกับภูมิทำแบบนี้อาจจะดูงี่เง่าไร้ค่าในสายตาคนอื่นแต่มันไม่มีทางไหนแล้วที่จะทำให้พ่อรู้ว่าความรักของเราสองคนมันคือความรักที่แท้จริง ไม่ว่าจะยามทุกข์ยามสุขเราก็จะอยู่ข้างๆกันต่อให้ลำบากแค่ไหนเราก็จะไม่ทิ้งกัน และผมหวังว่าพ่อจะรับรู้ได้

     








    ได้โปรดเถอะครับ

     






    และในที่สุดคนที่ผมอยากเจอและไม่อยากเจอก็เดินออกมา พ่ออยู่ในชุดสูทดูภูมิฐานเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามเหมือนครั้งก่อนๆที่ผมเคยเห็นแต่ใบหน้าที่มีเค้าความหล่อของท่านดูซูบเซียวลงไปมาก ท่านมองมาที่เราสองคนและถ้าผมไม่ได้ตาฝาดผมเห็นความเจ็บปวดในสายตาคู่นั้นแต่ท่านก็ทำเหมือนจะเดินผ่านไปขึ้นรถที่คนขับรถมาจอดรอรับอยู่ “พ่อครับ” เสียงแผ่วๆของภูมิทำให้พ่อหยุด







    “ภูมิขอโทษครับที่วันนั้นพูดไม่ดีกับพ่อ ภูมิขอโทษ” เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่พ่อจะตอบกลับมา





    “พ่อจะไม่โกรธภูมิ ถ้าคำตอบที่พ่อได้รับไม่ใช่การเห็นภูมิมาทำเรื่องงี่เง่าในบ้านนี่แสดงว่าคำพูดของพ่อไม่มีความหมายแล้วใช่มั้ย ภูมิถึงยังเป็นแบบนี้”




    “พ่อลองเปิดใจให้ความรักของภูมิซักครั้งเถอะนะครับ ภูมิสัญญาว่าจะทำตัวดีๆไม่ทำให้ครอบครัวเราต้องเสื่อมเสีย” ภูมิยังจับมือผมแน่นไม่ต่างจากน้ำเสียงที่หนักแน่นเช่นกัน พ่อถอนหายใจเหมือนกำลังสะกดอารมณ์





    “เรื่องชื่อเสียงพ่อก็ห่วงแต่ที่พ่อห่วงมากกว่าคือตัวภูมิภูมิคิดว่าสิ่งที่ภูมิกำลังทำมันถูกต้องแล้วเหรอลูก ภูมิกับพีมยังเด็กลูกมองแค่วันนี้ตอนนี้แต่วันข้างหน้าล่ะอนาคตล่ะภูมิ ภูมิต้องทำงานสังคมของภูมิจะใหญ่ขึ้นไม่ใช่แค่กลุ่มเพื่อนในมหาลัยที่เข้าใจภูมิทุกอย่าง ภูมิต้องพบเจอคนอีกมากมาย ภูมิจะทนได้เหรอที่จะถูกมองเป็นอะไรซักอย่าง ภูมิจะไม่อึดอัดไม่เสียใจบ้างเหรอ ภูมิจะมีความสุขหรอกับชีวิตแบบนี้”

     




    ………ภูมิตอบพ่อไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงภูมิรู้แค่ตอนนี้ความสุขของภูมิก็คือพีม ภูมิอยากทำเรื่องดีๆก็เพราะพีม ภูมิอยากเป็นลูกที่ดีของพ่อเหมือนเมื่อก่อนก็เพราะพีมเป็นกำลังใจ พ่อครับ…..ให้ภูมิกับพีมรักกันเถอะนะครับ พ่อจะให้ภูมิทำอะไรภูมิก็ยอมทั้งนั้น ขอ ขอแค่ให้ภูมิได้อยู่กับพีมได้มั้ยครับ”





    ภูมิคลานเข่าเข้าเข้าไปกราบลงตรงเท้าคุณพ่อ ท่านเบือนหน้าหนีแววตาคู่นั้นของพ่อก็เจ็บไม่ต่างพวกเรา ท่านถอยออกไปเมื่อภูมิก้มลงกราบตรงปลายเท้า ป้าอรกับพี่นิ่มยืนร้องไห้เงียบๆอยู่ข้างหลัง ผมก็มองภาพนั้นไม่ชัดเท่าไรเพราะน้ำตามันไหลมาบัง รู้แค่ผมกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปกับฝ่ามือ ผมสงสารภูมิ

     



    “จะดื้อไปเพื่ออะไรภูมิ พ่อจะให้โอกาสภูมิอีกครั้งถ้าภูมิทำตามที่พ่อบอกภูมิก็ยังจะอยู่เมืองไทยแต่ถ้าภูมิยังดื้ออยู่แบบนี้ก็เตรียมตัวไปอิตาลีได้เลย!!!!

     



    เหมือนโดนกรีดที่ขั้วหัวใจ แขนขาร่างกายผมเหมือนถูกยึดเรี่ยวแรง ผมมองพ่อเดินจากไปอย่างไม่คิดจะหันกลับมามองภูมิที่มองตามเลยซักนิด นานหลายนาทีที่รถสีดำคันหรูแล่นออกจากบ้านนานหลายนาที่ที่ไม่มีใครขยับตัวไปไหน



    ผมเงยหน้ามองขึ้นไปบนบ้านตรงหน้าต่างบานใหญ่ผมเห็นคุณแม่ยืนปิดปากร้องไห้มองลงมาที่เราสองคน ใครๆก็เจ็บใครๆก็ร้องไห้ พวกเราผิดบาปมากรึไงถึงได้เจออะไรแบบนี้

     



    แล้วเมื่อกี้พ่อบอกว่าถ้าผมกับภูมิยังอยู่ด้วยกันพ่อจะส่งภูมิไปอิตาลีใช่มั้ย พ่อจะทำกับภูมิเหมือนที่เคยทำตอนที่มันยังเล็กใช่รึเปล่า พ่อจะส่งภูมิไปไกลจากผม  ภูมิจะต้องไปอยู่เหงาๆคนเดียวไม่ได้เจอแม่ไม่มีพี่ชายไม่มีเพื่อน
     




    แค่นึกก็เจ็บเข้าไปถึงข้างในผมจะไม่ยอมให้ภูมิต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนั้นอีก ไม่ยอมเด็ดขาด ผมลุกไปประคองภูมิมันพยายามลุกขึ้นแล้วแต่กลับล้มลงคงเป็นเพราะมันคุกเข่านานเกินไป พี่นิ่มกับป้าอรรีบเข้ามาช่วยพยุงทั้งสองคนบอกทั้งที่ยังสะอื้นว่าน้องภูมิอย่าทำแบบนี้อีก อย่าทรมานตัวเองอีกภูมิยิ้มรับและเอ่ยขอบคุณป้าอรกับพี่นิ่มก่อนจะหันมาพูดกับผม

     


     

    “วันนี้พ่ออาจจะอารมณ์ไม่ดี ไว้เราค่อยมาใหม่พรุ่งนี้นะพีม” ผมกระพริบตาถี่ๆพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ภูมิ ทั้งที่มันเจ็บจนจะยืนไม่ไหวแต่ก็ยังจะห่วงผม ผมกัดฟันข่มเสียงสะอื้นข่มความเจ็บปวดไม่ให้กลั่นออกมาเป็นน้ำตามากกว่านี้

     


    ผมพาภูมิกลับมาที่คอนโดพอมาถึงห้องภูมิก็ไข้ขึ้นผมต้องคอยเช็ดตัวให้ทั้งคืนเพราะฟ่างไม่อยู่มันกลับไปอยู่กับไอ้แทนแล้ว หัวเข่าภูมิทั้งสองข้างเป็นแผลผมทายาทำแผลให้และเผลอทำน้ำตาเปื้อนแผลมันอีกโคตรไม่ได้เรื่องเอาซะเลยไอ้พีม แค่ทำแผลให้ภูมิผมยังร้องไห้ภูมิเช็ดน้ำตาให้ผมและกอดผมไว้

     



    คืนนี้ภูมิกับผมยังคงนอนกอดกันเหมือนเดิมอย่างเช่นทุกคืน เรานอนกอดกันใต้ผ้าห่มผืนใหญ่นุ่มๆ รอบๆตัวเรามีเหล่าเท็ดดี้แบร์ล้อมรอบและอ้อมกอดของภูมิยังอบอุ่นเสมอแม้ว่าร่างกายมันจะอ่อนแอลง ผมให้ภูมินอนซุกอกเหมือนที่เคยเป็นมาอย่างไม่กลัวจะติดไข้

     



    ภูมิหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยาแต่ว่าผมยังคงลืมตามองแสงของดาวเรืองแสงที่ค่อยๆลิบหรี่ลงเรื่อยๆ ผมลูบเส้นผมนิ่มๆของภูมิเล่น มันจะเป็นยังไงต่อไปถ้าเกิดว่าพ่อไม่ยอมรับและคนอย่างภูมิดื้อเกินกว่าจะยอมแพ้อะไรง่ายๆและถ้าเรายังจะสู้เพื่อความรักต่อไป ภูมิจะเจ็บกว่าตอนนี้รึเปล่า แล้วถ้าเรายอมล่ะภูมิจะเจ็บแค่ไหน ผมไม่อยากคิดแต่มันก็อดไม่ได้ บางทีผมก็รู้สึกเหมือนเป็นไอ้ขี้ขโมยที่ขโมยลูกชายเค้ามาถึงเวลาก็ต้องคืน ผมควรจะเลือกทางไหน

     

     

     

    “พีม” ผมสะดุ้งเมื่อเสียงแหบๆของภูมิดังขึ้นทำลายความคิดของผม

     



    “อื้ม ยังไม่หลับเหรอกูว่ามึงหลับไปแล้วซะอีก”

     


    ……………………………..

     



    “ปวดหัวรึเปล่า จะเช็ดตัวอีกมั้ย เดี๋ยวกูไป…….










     

    “อย่าทิ้งภูมินะ”







                                

    …………………” เสียงที่ติดจะอ้อนวอนขอร้องของภูมิทำให้ผมต้องกัดปากตัวเอง กล้ำกลืนก้อนแข็งๆที่ดันขึ้นมาจนแน่นหน้าอก ต้องข่มมันไว้เพื่อให้ภูมิเห็นว่าผมไม่เป็นไร ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันทิ้งภูมิไปไหน

     


    “สัญญาสิพีม” มันเพิ่มแรงกอดผมแน่นเพื่อเร่งเอาคำตอบ ผมก็กอดตอบภูมิ

     


    “อืม สัญญา”

     




    แต่ถ้าวันใดกูผิดสัญญาก็รู้ไว้นะว่า กูทำเพื่อมึง

     






    และภูมิก็ทำแบบนี้อยู่หลายวันถึงผมจะห้ามภูมิก็ไม่ฟังมันยังไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านกลางแดดร้อนและผมก็ไม่ปล่อยให้ภูมิต้องทำเพื่อผมอยู่ฝ่ายเดียว ผมยินดีจะไปกับภูมิทุกที่จะร่วมผ่านทุกเรื่องราวไม่ว่าร้ายหรือดีขอแค่ได้อยู่กับภูมิผมก็พร้อมที่จะทำ แต่เราก็ไม่เคยเจอพ่อเลย มีเพียงคุณแม่ที่ยืนร้องไห้มองเราอยู่ที่เดิม จนวันนี้ฟ่างโทรมาบอกกลางดึกว่าแม่เข้าโรงพยายาบาล

     




    ผมกับภูมิรีบมาที่โรงพยาบาลทันทีตลอดทางภูมิไม่ได้ร้องไห้หรือพร่ำเพ้ออะไรนอกจากนั่งเงียบ เงียบเสียจนบรรยากาศรอบตัวผมหนาวเหน็บ เราขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ฟ่างบอก ระหว่างอยู่ในลิฟต์ภูมิก็ดึงมือผมไปจับ




    “พีม”

     

    “หื้ม”

     

    “อย่าปล่อยมือกูนะ ไม่ว่าจะยังไงก็อย่าปล่อยมือกูเด็ดขาด ที่แม่ป่วยอาจจะเพราะอากาศเปลี่ยนไม่ได้เกี่ยวกับมึง อย่ายอมแพ้รู้มั้ย” ผมพยักหน้าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสาเหตุที่แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลมันมาจากเราสองคน

     


    “อื้ม แล้วมึงล่ะยังไหวรึเปล่า” จะทนเห็นแม่เจ็บ จะทนเห็นแม่เสียใจได้อีกนานแค่ไหนภูมิ เหมือนเส้นทางที่เราอยากจะเดินด้วยกันมันค่อยๆถูกปิดไปทีล่ะนิด เหมือนเราถูกบีบให้ไร้หนทางจะไป หันไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออกที่ดีสำหรับเราเลย

     


    “ไหวสิ แค่มึงอย่าทิ้งกูก็พอ”

     


    “ไอ้บ้ากูจะทิ้งมึงได้ไง หาใหม่ได้ที่ไหนโหดๆแบบมึง ฮึก ภูมิ กูกลัว” สุดท้ายก็จบที่ร้องไห้ สุดท้ายก็จบที่กอดกันเสียน้ำตา ทำไมเรากอดกันแล้วถึงรู้สึกเจ็บขนาดนี้

     



    พอขึ้นมาถึงภูมิก็ให้ผมนั่งรอที่หน้าห้องส่วนมันกลับลงไปซื้อน้ำมาให้ผมล้างหน้าล้างตาก่อนจะเข้าไปเยี่ยมคุณแม่ ภูมิเปิดประตูอย่างเบามือแต่มันก็ยังทำให้ฟ่างที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงรู้สึกตัวตื่น มันงัวเงียมองมาที่พวกผม ตามันแดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งร้องไห้มาอย่างหนักก่อนจะลุกมากอดภูมิไว้ ตัวฟ่างสั่นแม้ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นแต่ผมรู้ว่ามันกำลังร้องไห้ ภูมิเป็นฝ่ายกอดและลูบหัวพี่ชายฟ่างซุกหน้าลงกับไหล่ภูมิ

     


    “พี่ขอโทษที่ช่วยอะไรภูมิไม่ได้ ขอโทษที่ปล่อยให้ภูมิเจ็บอยู่คนเดียว”

     


    “อย่าพูดแบบนั้นสิฟ่าง ฟ่างเป็นพี่ชายที่แสนดีของภูมิเสมอนะ แล้วแม่เป็นไงบ้าง”

     




    “ก็ไม่เป็นไรแล้ว เพิ่งหลับไปเมื่อกี้” ภูมิผละออกจากอ้อมกอดพี่ชายก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงมันยกมือแม่ขึ้นมากุมไว้และจูบมือขาวซีดของแม่แผ่วเบา ฟ่างหันมามองหน้าผมมันส่งยิ้มให้และเดินมากอดผมไว้ ผมเลยตบหลังมันกลับไปเบาๆ

     

    “หึ เพิ่งเคยกอดมึง มิน่าภูมิถึงชอบเพราะกอดได้ทั้งตัว”

     

    “เออ อย่าให้กูสูงบ้างนะเว้ย” ผมสูงแค่ปลายคางฟ่างมันเลยได้ทีกดหัวผมลงซบกับอกมัน

     

    “ขอบคุณที่อยู่ข้างๆน้องภูมิ ขอบคุณมึงมากนะเพื่อน” ฟ่างกระซิบบอก

     


    “อื้ม” กูจะอยู่เพื่อภูมิจนกว่า………….

     


    “น้องภูมิ” ผมกับฟ่างหันไปมองตามเสียงแผ่วๆ แม่ตื่นแล้วและพยายามจะลุกมากอดภูมิน้ำตาท่านไหลทันทีที่ลืมตาตื่น

     



    “แม่เป็นไงบ้างครับ” ภูมิไปนั่งบนเตียงข้างๆแม่

     


    “แม่ไม่เป็นไรลูก แค่พักผ่อนน้อยเพราะช่วงนี้งานเยอะน้องภูมิล่ะเป็นไงบ้าง ฮึก แม่ขอโทษ แม่ขอโทษนะลูกที่ช่วยอะไรภูมิไม่ได้” แม่ลูบใบหน้าของลูกชายอย่างถนอม



    “แม่ครับเพราะภูมิใช่มั้ยครับที่แม่ป่วยเป็นเพราะภูมิใช่มั้ย”

     


    “ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับน้องภูมินะลูก” ใบหน้าที่เคยสวยสดใจวันนี้กลับดูซีดเซียว ดวงตาของแม่บวมช้ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ระหว่างนั้นประตูก็ถูกกระชากเปิดพร้อมกับการปรากฏตัวของคุณพ่อที่ดูน่ากลัวกว่าครั้งไหนๆ

     


    “ภูมิตามพ่ออกมาข้างนอก”

     



    “คุณคะคุยกับลูกดีๆนะคะ อย่าทำอะไรภูมินะฉันขอร้องอย่าทำให้ภูมิเจ็บนะคะ”คุณแม่เอ่ยขอร้องพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด เสียงของแม่ไร้ความหมายเมื่อพ่อไม่คิดจะฟังท่านมองมาที่ภูมิก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

     


    “พ่อไม่ทำอะไรภูมิหรอกครับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พีมอยู่คุยกับแม่นะเดี๋ยวกูมา” มันบอกแม่และหันมาลูบแก้มผมเบาๆแล้วเดินตามพ่ออกไป ผมหันรีหันขวางอยู่กลางห้องอย่างไม่รู้จะทำยังไง นับวันสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปทุกที ผมเดินเข้าไปหาแม่และกราบลงตรงแขนแม่รับไหว้พยักหน้าให้ ฟ่างเดินมาลูบหัวผมก่อนจะบอก

     


    “ตามภูมิไปสิ มึงต้องอยู่ข้างๆน้องกูทุกเวลานะ” ผมยิ้มให้ฟ่างและไหว้แม่อีกครั้งก่อนจะรีบออกมาและวิ่งตามหาภูมิ ผมกำลังจะเลี้ยวไปอีกด้าน แต่เสียงที่ก้องสะท้อนมาจากอีกฝั่งทำให้ขาผมชะงักและค่อยๆเดินตามเสียงนั้นไป

     



    “ภูมิเห็นรึยังเห็นสิ่งที่ภูมิทำรึยัง สะใจมั้ยที่แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะพักผ่อนไม่พอ สมใจภูมิแล้วใช่มั้ยที่แม่เครียดจนช็อคหรือต้องให้พ่อเป็นไปอีกคนภูมิถึงจะฟัง!!!!

     



    “ภูมิขอโทษครับ”

     


    “ภูมิก็เลิกสิ ทำไมภูมิไม่เลิกกับพีม”

     

    “ภูมิทำไม่ได้”

     



    “ภูมิ!!!!

     





    และเสียงของทั้งคู่ก็เงียบลงไป ผมยืนพิงผนังไม่กล้าเข้าไปเพราะน้ำเสียงของพ่อทั้งเกี้ยวกราดและน่ากลัว

     



    “ภูมิจะไม่เลิกกับพีมใช่มั้ย”

     



    “ครับ”




     

    “ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่วันนี้ภูมิก็ไม่ต้องมาให้พ่อเห็นหน้า ไม่ต้องมาเรียกพ่อว่าพ่อ เจริญเกียรติวาณิชย์จะไม่มีทายาทที่ชื่อภูมิ ภูมินทร์อีกต่อไป”





    สิ้นเสียงคุณพ่อน้ำตาผมก็ไหลจนยากที่จะห้าม นี่น่ะเหรอสิ่งที่ผมกับภูมิควรได้รับ ผลของการพยายามทำเพื่อความรักของเราคือการถูกตัดพ่อตัดลูกงั้นเหรอ การที่พวกเรารักกันมันผิดจนไม่น่าให้อภัยเลยใช่มั้ย ผมสูดลมหายใจก่อนจะเดินไปหาภูมิทั้งที่ตาพร่ามัว ผู้ชายตรงหน้าผมยืนนิ่งเหมือนคนไร้วิญญาณ ผมรวบปลายนิ้วของภูมิมากุมไว้

     



    มันก้มลงสบตากับผมทั้งที่ตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตา ภูมิใช้ปลายนิ้วอีกข้างเช็ดน้ำตาให้ผมและยิ้มให้ผมมันเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดที่สุดที่ผมเคยเห็น

     


    “ตอนนี้กูไม่มีพ่อ เป็นคนที่ไม่มีอะไรแล้วนะ มึงยังอยากอยู่ด้วยกันมั้ย”

     



    “ต่อให้มึงพิการ ตาบอด หูหนวกกู ฮึก กูก็จะอยู่กับมึง แต่มึงจะทนได้เหรอ นั่นพ่อนะ ฮึกเรา เราไปขอโทษท่านกันนะไปขอ ฮือออ ขอโทษให้พ่อยกโทษให้มึงไง”

     


    “อย่าร้องไห้สิพีม อย่าร้อง” มันบอกผมแต่ตัวมันเองกลับร้องเสียเอง ผมโถมตัวเข้ากอดภูมิผมร้องไห้สะอื้นแทบขาดใจอยู่กับอกมัน ผมสงสารภูมิ ผมลองคิดในทางกลับกันว่าถ้าเป็นพ่อแม่ผมที่เป็นฝ่ายรู้เรื่องนี้ และพ่อสั่งตัดพ่อตัดลูกกับผมจะเป็นยังไง ถ้าเป็นผมผมคงเจ็บจนทนไม่ไหวและตอนนี้ภูมิก็คงรู้สึกแบบนี้อยู่

     





    สองวันมานี้ภูมิไม่ยอมกินอะไรเลย ใบหน้าที่เคยสดใสของมันกลายเป็นสีขาวซีดเหมือนคนไม่สบายมาแรมปี มันนอนซมเหม่อลอยผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง

     


    พอช่วงสายๆไอ้เบียร์มันแวะมาหาภูมิ ผมเลยฝากเบียร์ดูแลไอ้ภูมิให้ก่อนเพราะผมอยากกลับมาบ้าน อยากกลับมาคิดอะไรเงียบๆ มาเติมพลังที่บ้านให้ได้มีแรงที่จะสู้ต่อ ตอนแรกภูมิไม่ให้ผมไปมันกลัวผมจะไม่กลับมา ผมต้องโกหกมันว่าอาปุ้ยมีธุระจะคุยด้วยแต่ความจริงคือผมจะไปคุยกับอาต่างหาก

     


    ผมไม่รู้จริงๆว่าจะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ยังไงอย่างน้อยตอนนี้ผมต้องการแค่ใครซักคนที่จะรับฟังผมได้ ต้องพูดกับภูมิอยู่นานกว่ามันจะยอม

     

    ผมถอนหายใจยาวเมื่อมายืนอยู่หน้าบ้าน ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวัน ต้นไม้สีเขียว ดอกไม้สวยๆที่ส่งกลิ่นหอม เสียงนกร้อง กลิ่นหอมของกาแฟ สิ่งเหล่านี้ที่ผมคุ้นเคยและผูกพันธ์มันทำให้ผมอุ่นใจเสมอ ถึงจะเจอเรื่องหนักใจมาแค่ไหนแค่ได้กลับบ้านผมก็เหมือนได้ที่เติมพลัง



    แล้วภูมิล่ะตอนนี้ภูมิไม่มีใคร ไม่มีบ้านแล้วมันจะเจ็บปวดแค่ไหนนะ ผมสะบัดหัวพยายามเรียกรอยยิ้มกลับมา

    ผมเดินเข้าบ้านมาก็ได้ยินเสียงทีวี พอเดินมาที่ห้องรับแขกก็เห็นอานั่งดูหนังอยู่เป็นเรื่องสุดโปรดในดวงใจของอาเลยล่ะ



    “หวัดดีครับมีคนอยู่มั้ย” ผมแกล้งส่งเสียงทักทายและทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ อากดหยุดภาพบนหน้าจอและหันมาเบ้ปากใส่ผมแถมยังแกล้งทำหน้าเหมือนไม่รู้จักผมอีก



    “ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะเพราะหลานบ้านนี้ทิ้งอาไปหาแฟน ไม่ทราบว่าหนูมาหาใครหรอจ๊ะ”


    “หึหึ มาหาอาปุ้ยครับคิดถึงงงงงงงงง” ผมกอดอาแน่นๆและพูดอู้อี้อยู่กับอกอาปุ้ย “ดูครบร้อยรอบรึยังไอ้รักแห่งสยามเนี่ย”


    “เกินร้อยแล้วย๊ะ แล้วทำไมคราวนี้มาคนเดียว แกมาคนเดียวทีไรแสดงว่ามีเรื่องทุกที”

    “โห แม่นเนอะ แม่หมอสำนักไหนเนี่ย”

     

    “ทำนายชีวิตแกไม่ต้องเป็นแม่หมอหรอกย๊ะ ตกลงมีเรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้ หลานภูมิสุดหล่อหนีไปส่งสาวที่ไหนอีกล่ะจ๊ะหลานพีม” อาจีบปากจีบคอก่อนจะกดเพลย์ ภาพที่ฉายอยู่ในทีวีขนาดเท่าผนังบ้านคือตอนที่มิวกำลังร้องเพลงที่บ้านของโต้ง ผมล่ะสายตาจากจอภาพตรงหน้ามามองอาปุ้ยที่กำลังรอฟังคำตอบ

     

    “อาครับ ถ้าอาเป็นมิวอาจะทำยังไง จะเลิกกับโต้งมั้ย” อาปุ้ยเลิกคิ้วเหมือนงงกับคำถามอาหันไปมองทีวีและหันมายิ้มให้ผม

     

    “จะพูดว่าเลิกก็คงไม่ถูกเพราะยังไม่ได้คบกัน แต่อาก็อาจจะยอมถอยเหมือนที่มิวทำก็ได้เพียงแต่อาจะลองพูดกับพ่อแม่ของโต้งก่อน ลองทำอะไรเพื่อความรักก่อนมันจะได้หรือไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน” เหมือนอามานั่งอยู่ในใจผมเลย

     



    “อา…..ตอนนี้พีมกำลังเจอปัญหาแบบนี้ พีมไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับ”

     


    “หมายความว่าไง พ่อแม่น้องภูมิรู้เรื่องแล้วหรอ” อาปุ้ยดูจะตกใจไม่น้อย อารีบจับแก้มจับหน้าผม “มิน่าหลานชั้นดูซูบๆไป ว่าไงลูกพ่อกับแม่น้องภูมิรู้เรื่องแล้วใช่มั้ย”

     

    “ครับ” ผมพยักหน้าและเล่าเรื่องทุกอย่างให้อาฟัง ฟังจบอาถึงกับน้ำตาซึมอาปุ้ยกอดปลอบผม ผมก็กอดอาแน่น

     


    “พีมควรจะทำยังไงดีครับ จะรักกันต่อไปหรือควรจะยอมปล่อยมือ พีมน่ะไม่เท่าไรแต่ภูมิ พีมสงสารมันมันทำเพื่อความรักแต่คนที่มันสู้ด้วยคือพ่อกับแม่ จะพูดยังไงจะทำยังไงเลือกทางไหนมันก็เจ็บ พีมไม่อยากเห็นภูมิเจ็บไม่อยากให้พ่อส่งมันไปเมืองนอก

     





    ไม่อยากเห็นภูมิเหงาอีกแล้ว กว่ามันจะยิ้มได้แบบนี้แล้วมันยากมากนะครับแล้วพวกเขาจะทำลายมันได้ลงคอเหรออา ภูมิของพีมต้องมีความสุขสิ ฮึก อาครับ ฮึก ช่วยพีมด้วย ช่วยทำให้พวกเขาเข้าใจพวกเราที” ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำตัวให้ร่าเริง ทำตัวปกติเหมือนเดิมเพื่ออาจะได้สบายใจแต่พอมาเจอหน้าอาปุ้ยจริงๆผมก็ทำไมได้ มันอยากระบายถึงความอัดอั้นที่อยู่ในใจ ผมเหมือนคนเสียสติ ผมดึงชายเสื้ออาปุ้ยให้ลุกขึ้น จะให้อาไปคุยกับพ่อภูมิ ผมเหมือนคนบ้าไปแล้ว ร้องไห้จนปวดตาไปหมดแล้ว

     




    “พีมใจเย็นๆ ฟังอานะ พีม …..พีมเคยเล่นหลับตาเดินมั้ยลูก” ผมพยักหน้าก่อนจะเช็ดน้ำตา เมื่อก่อนผมชอบเล่นบางครั้งยืนอยู่กลางสนาม ยืนอยู่กลางถนนผมก็จะมองไปข้างหน้ากำหนดจุดหมายจากนั้นก็หลับตาแล้วพยายามเดินไปให้ถึงที่ๆผมคิดเอาไว้ “แล้วพอพีมลืมตาล่ะ” อาปุ้ยถามต่อ “จากที่คิดว่าตัวเองกำลังเดินตรงไปที่ที่เราคิดว่าถูกแน่ๆแต่พอลืมตามันกลับไม่ใช่ พีมเดินเฉไปไหนก็ไม่รู้ เข้าป่า เข้ารั้วออกจากเส้นทาง

     




    ตอนนี้ก็เหมือนกันพีมกับภูมิเหมือนจับมือกันแล้วหลับตาโลกของพีมสวยงาม เต็มไปด้วยความรักคนที่เข้าใจและยอมรับก็มองว่าโลกของพีมน่าอยู่ แต่พ่อแม่ที่ยืนมองมาสิ่งที่พวกเขาเห็นคือพีมกำลังเดินผิดลู่ผิดทาง เพราะเขาไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้เขาไม่เข้าใจ

     



    คนเราคิดต่างกัน ของสิ่งเดียวกันยังมองต่างกันเลย แต่อาอยากให้พีมรู้ว่าชีวิตพีมพีมมีสิทธิ์เลือกเองได้แค่การเลือกของพีมครั้งนี้มันเจ็บทั้งสองทางเพียงแค่ทางไหนจะมีคนเจ็บน้อยกว่า” ผมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิดแต่ผมขอแค่โอกาสแค่นั้นเอง

     



    อาลูบหัวปลอบใจผมก่อนจะบอกให้ขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้านอนพักผ่อน อาจะแวะไปดูที่ร้านแล้วจะเอาเค้กกับลาเต้มาให้ ผมขึ้นมาอาบน้ำตามที่อาปุ้ยบอกที่จริงเวลาหกโมงไม่ใช่เวลานอนเพราะถ้านอนตอนเย็นตื่นมาผมจะปวดหัว แต่เพราะผมไม่ค่อยได้นอนมาหลายวันพอหัวแตะหมอนบวกกับยาแก้ปวดที่ผมกินก็ทำให้ผมหลับได้ไม่ยาก

     






    ผมตื่นมาอีกทีตอนทุ่มกว่าๆเพราะอามาเรียกให้ไปกินข้าว ข้าวเย็นมื้อนี้ทำเอาผมต้องหัวเราะเพราะมันเยอะมากไม่รู้กินสองคนหรือจะเลี้ยงคนทั้งโรงงาน พอผมหัวเราะอาปุ้ยก็เชิดใส่ บอกว่าก็เห็นหลานผอมลงเลยจะขุนให้อ้วน อายังบอกอีกว่าถ้ากินไม่หมดจะตัดลิ้นทิ้ง

     






    ระหว่างทานข้าวอาก็ชวนคุยหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าส่วนมากจะนินทาพ่อผมนี่แหละ สองพี่น้องนี้เขาคู่กัด ผมก็เลยพอยิ้มพอหัวเราะได้ ทานข้าวเสร็จผมก็อาสาล้างจานเอง ส่วนอาก็ไปเปิดทีวีรอดูพระเอกละคร ล้างเสร็จผมขึ้นมาหยิบมือถือบนห้องก่อนจะลงมานั่งดูทีวีเป็นเพื่อนอาปุ้ย ซักพักเสียงกริ่งหน้าบ้านดัง ผมกับอามองหน้ากันเพราะนี่จะสามทุ่มแล้ว ใครมาหาดึกขนาดนี้

     





    อาหรี่ตาและขยิบตาใส่ผมเหมือนจะบอกว่าแกน่ะแหละออกไปดูชั้นกำลังดูบอย ปกรณ์ ผมเลยแกล้งไปยืนบังจอทีวี อาถึงกับกรี๊ด ผมหัวเราะร่าก่อนจะรีบวิ่งหนีของที่อาจะเขวี้ยงใส่

     





    “มาแล้วครับ มาแล้วๆ ……แม่” รอยยิ้มค่อยๆจางหายไปจากใบหน้าของผม เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือคนที่ผมเพิ่งไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวันก่อน สองแก้มของท่านเปื้อนคราบน้ำตา ใบหน้าดูอิดโรยซีดเซียวแต่ยังคงยิ้มใจดีมาให้ผมเช่นทุกครั้ง

     




    “แม่ทำไมมาดึกๆล่ะครับ” ผมรีบเปิดประตูรั้วและเข้าไปพยุงแม่ทั้งที่ความกลัวพาจิตใจผมไปไกล

     


    “พีม แม่ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”

     



    “ครับได้แต่แม่เข้าบ้านก่อนนะครับ” ผมพาแม่เข้ามาที่ห้องรับแขก แม่สวัสดีอาปุ้ยผมแนะนำทั้งสองคน พออารู้ว่านี่คือแม่ของภูมิอาก็มองผมและยิ้มพยักหน้าให้ อาบอกคุณแม่ว่าเชิญตามสบายแล้วอาก็แยกออกไป ในห้องเงียบลงทันทีเมื่อไร้อาปุ้ยและเสียงของทีวีและเป็นผมที่ทำลายความเงียบที่เยียบเย็น

     


    “แม่ดื่มอะไรอุ่นๆมั้ยครับ”

     


    “ไม่เป็นไรลูก พีมมาใกล้ๆแม่หน่อยสิจ๊ะ” ผมขยับเข้าไปใกล้แม่ตามที่ท่านบอก

     


    “แม่ไม่สบายอยู่นะออกมาข้างนอกแบบนี้อาการจะยิ่งแย่นะครับ” แม่มองหน้าผมและยิ้มให้ผมดวงตาสวยๆเริ่มคลอด้วยน้ำใสๆ ท่านยื่นมือมาลูบแก้มผมอย่างเอ็นดู

     




     “เพราะพีมน่ารักแบบนี้สินะภูมิถึงได้รัก ที่ผ่านมาแม่ก็เคยสงสัยนะว่าทำไมภูมิถึงพาพีมมาหาแม่บ่อยๆเล่าเรื่องพีมให้แม่ฟังบ่อยๆ แม่ก็คิดว่าภูมิอาจจะแค่ชื่นชมเพื่อน แม่รู้สึกถูกชะตากับพีมมากเลยรู้มั้ย แม่ยังเคยคิดเล่นๆเลยว่าอยากได้พีมมาเป็นลูกชาย คงจะเลี้ยงง่ายไม่ดื้อเหมือนพี่ฟ่างกับน้องภูมิ” ผมยิ้มแม้ว่าจะเริ่มแน่นหน้าอกยิ่งแม่รักและเอ็นดูผมมากเท่าไรความรู้สึกผิดยิ่งถาโถมมาใส่หัวใจผมมากเท่านั้น

     




    “แต่พอ……คุณพ่อมาบอกว่าภูมิกับพีม…..รักกันแม่ตกใจมากแม่ไม่ได้รังเกียจนะลูกแต่แม่ไม่คิดว่าลูกชายของแม่จะมีความรักแบบนี้เพราะน้องภูมิก็คบผู้หญิงมาตลอดแล้วพีมก็ดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง”

     




    “พีมขอโทษครับ”

     



    “แม่ไม่เคยอยากได้คำขอโทษจากพีมหรือจากภูมิเลยเพราะแม่ได้ได้โกรธ แต่แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไง แม่ไม่รู้จริงๆพีม แม่ทรมานเหมือนใจจะขาดตอนที่น้องภูมิมาคุกเข่าอยู่หน้าบ้าน หัวอกของคนเป็นแม่แค่ลูกเจ็บนิดเดียวแม่ก็อยากเจ็บแทน แม่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะเลวร้ายขนาดนี้ จนถึงขั้นตัดพ่อตัดลูกกัน ภูมิคือทุกสิ่งทุกอย่างของแม่……พีม”

     



    “ครับ”

     




    “เป็นแค่เพื่อนกับภูมิได้มั้ย ฮึก ได้มั้ยลูก ให้ภูมิกลับมาหาพ่อกับแม่ได้มั้ย” คำขอร้องของแม่คือสิ่งที่ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใช่มั้ย “แม่ไม่อยากให้คุณพ่อกับภูมิทะเลาะกันไปมากกว่านี้ พีม แม่ขอโทษ นะ ฮึก ขอโทษที่เห็นแก่ตัว”

     




    “ครับ ไม่เป็นไรครับแม่ พีมเข้าใจ” ผมพูดออกมาทั้งๆที่ร่างกายไม่รับรู้อะไรแล้ว บางทีคนเราก็ไม่สามารถทำทุกอย่างตามที่ใจเราต้องการ บางครั้งมันก็มีข้อจำกัดและบางครั้งผมก็ไม่อยากจะหายใจแล้ว ผมขยับเข้าไปกอดแม่ ผมรักและเคารพท่านเสมอ ผมไม่อยากให้ผู้หญิงที่แสนใจดีคนนี้ต้องร้องไห้อีกและผมก็จะเลือกทางที่จะมีคนเจ็บน้อยที่สุด

     

     




    ถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือกันแล้วสินะ

     




    “พีมอย่าเกลียดแม่นะ มาเป็นลูกชายของแม่อีกคนพีมเรียกแม่อีกซักครั้งได้มั้ยลูก” ผมเม้มปากแน่นสายตาก็พร่ามัว ผมไม่โกรธและไม่คิดจะเกลียดแม่เลย ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยหรืออาจจะเป็นเพราะผมกำลังจะไร้ความรู้สึกในอีกไม่ช้า




    “ครับแม่”



     

    “ฮึก ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ”




     

    “ไม่เป็นไรครับ” แม่ยังร้องไห้ในอ้อมกอดเล็กๆของผมและพร่ำบอกแต่คำขอโทษซึ่งผมก็ไม่ได้อยากได้จากแม่เลย ถ้าผมจะขอแม่ซักอย่าง อย่างเดียวที่ผมอยากจะขอ

     




    “แม่ครับฝากดูแลหัวใจพีมด้วยนะครับ”

     








    ผมเดินออกมาส่งแม่ที่หน้าบ้านเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วแต่ตอนนี้ผมก็ยังนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนกลางสวน ผมนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน จิตใจที่อ่อนแอพาผมไปทุกทิศทุกทาง ผมอยากจับมือภูมิไว้แต่ทำไมมันต้องแลกด้วยน้ำตาของหลายคนจัง

     

    แต่ถ้าผมปล่อยมือจากภูมิผมจะอยู่ได้เหรอไม่เท่ากับเป็นการทิ้งลมหายใจตัวเองรึไง ผมกับภูมิก็คงเหมือนนกที่เพิ่งจะเริ่มหัดบิน แม้จะพยายามประคองกันแค่ไหน จะพยายามพยุงกันสักเท่าไรแต่สุดท้าย เราก็ทำได้แค่นี้



    มือถือของผมสั่นครืดๆอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องดูก็รู้ได้จากเสียงเพลงเรียกเข้าว่าใครโทรมา ผมก้มมองหน้าจอที่โชว์รูปของผมกับภูมิ รูปที่ภูมิถ่ายเองกับมือมันบังคับผมให้หอมแก้ม ผมยิ้มทั้งน้ำตามองชื่อที่ภูมิเมมเองว่า “แฟนมึง” ผมมองอยู่นานก่อนจะกดรับสายด้วยน้ำเสียงที่ผมบังคับมันให้เป็นปกติอย่างสุดความสามารถ

     




    “ว่าไง โทรมาดึกเลยมึง”

     

    (รับช้า ทำอะไรอยู่) )เสียงของภูมิขึ้นจมูกและแหบเหมือนคนเป็นหวัดแสดงว่าไข้มันยังไม่หาย

     

    “อยู่ในครัวน่ะ ไม่ได้ยิน”

     

    (มึงโกหก ไหนบอกจะกลับมาไง ทำไมทิ้งกูไว้คนเดียวล่ะ) ผมเบื่อที่จะเช็ดน้ำตาได้แต่ปล่อยให้มันไหลไป

     

    “อาปุ้ยอยากให้ค้างน่ะ ขอโทษนะ”

     

    (งั้นเหรอ ฝากบอกอาปุ้ยด้วยคิดถึง แล้วมึงทำอะไรอยู่)

     

    “เพิ่งคุยกับอาปุ้ยเสร็จก็นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน”

     

    (เหรอ ยุงไม่กัดรึไง เข้าบ้านได้แล้วไปเดี๋ยวโดนน้ำค้าง) ความห่วงใยที่ส่งผ่านเสียงของภูมิทำให้ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้ ผมจะต้องทำร้ายคนรักของผมจริงๆใช่มั้ย


    “ภูมิ”


    “ครับ”


    “เราหนีกันมั้ย”



    (……….หึ จะหนีไปที่ไหน) มันเงียบไปซักพักก่อนจะตอบ




    “ไปไหนก็ได้ มีแค่กูกับมึง นะภูมิเราหนีกันเถอะ” เสียงผมติดๆขัดๆต้องหายใจทางปากเพราะผมหายใจไม่ออกตอนนี้ผมไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว



    (ถ้าหนีเราต้องหนีทั้งชีวิตเลยนะพีม กูไม่อยากให้มึงลำบาก มึงจะอยู่ได้เหรอไม่ได้เจอเพื่อน ไม่มีครอบครัวจะทนได้เหรอ)

     


     

    “ฮะๆ นั่นสิเนอะ กูนี่ก็คิดอะไรบ้าๆ ขอโทษนะ”


    (ไม่เป็นไรเพราะกูก็เคยคิด เตี้ยมึงรีบกลับมานะ พรุ่งนี้เราไปหัวหินกัน) ผมต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างเพื่อปิดปากร้องไห้ ผมใช้อีกมือขยุ้มเสื้อตรงตำแหน่งหัวใจ ทำไมถึงทรมานขนาดนี้ ภูมิกูขอโทษ กูรักมึง

     

    “ป่วยอยู่จะไปทะเลได้ไง”


    (งั้นก็รีบกลับมาดูแลกูสิกูจะได้หาย มึงไม่อยู่ก็เหงารู้มั้ย)



    “อื้ม จะ….กลับไป จะกลับไปหานะภูมิ”


    (จะรอ รีบกลับมานะมาเช้าๆเลยนะ)


    “ได้ งั้นมึงไปนอนเถอะเดี๋ยวจะไข้ขึ้นอีก” ผมกำลังจะทนไม่ไหว ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นไม่ไหวแล้ว




    (ก็ได้ ฝันดีนะพีมรักมึงนะ)



    “อื้ม รัก รักมึงเหมือนกัน ฝันดีภูมิ”




    ภูมิวางสายไปแล้วแต่ผมยังกำโทรศัพท์แนบหูไว้เช่นเดิม ทุกอย่างที่อยู่ในกรอบสายตาของผมพร่ามัว ความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกมันเล่นงานผมอีกแล้ว




    “ภูมิ อยากฟังเพลงมั้ย กูอยากร้องเพลงให้มึงฟังจะได้หลับฝันดี” ผมพูดราวกับคนที่วางสายไปแล้วจะได้ยิน ผมกลืนก้อนที่มันจุกอยู่ตรงหน้าอกก่อนจะค่อยๆเปล่งเสียงสั่นๆและขาดห้วงเอื้อนเอ่ยทำนองเพลงพร้อมน้ำตา




















     

     

     

    อยากต่อว่าฟ้าดินที่ให้เราพบเจอ แต่ไม่ยอมจับเราคู่กัน
    ฟ้าดินจงใจแกล้งเรา เธอว่าหรือเปล่า







    ทำไมนะต้องห้ามรักกัน ความเหมาะสมน่ะหรือที่ยืนยาว
    ถึงในใจมันค้าน สุดท้ายต้องยอมจำนน






    ก่อนถนนของเราแยกกัน ก่อนความฝันของเราสิ้นลง
    แค่อยากพบกับเธอสักหนสบตาอีกครั้ง






    แค่ให้ฉันได้บอกเธอซักคำ พูดในวันที่จำต้องจาก
    อยากให้รู้ว่ารักเธอมาก และจะรักรักตลอดไป






    เกิดชาตินี้แค่ได้พบเจอเกิดชาติหน้าค่อยฝันกันใหม่
    วันนี้ใจสลาย ยอมจำนนให้ฟ้าดินแยกเราไกลกัน






    พอใจแล้วใช่ไหมฟ้าดิน ที่ได้เห็นว่าคนต้อยต่ำ
    มันต้องเจ็บต้องช้ำ ต้องน้ำตาตก






    โลกใบนี้มีคนมากมาย ทำไมต้องเป็นเราสองคน
    ยอมจำนนให้แล้วหวังว่าคงพอใจ





    ก่อนถนนของเราแยกกัน ก่อนความฝันของเราสิ้นลง
    แค่อยากพบกับเธอสักหนสบตาอีกครั้ง






    แค่ให้ฉันได้บอกเธอซักคำ พูดในวันที่จำต้องจาก
    อยากให้รู้ว่ารักเธอมาก และจะรักรักตลอดไป






    เกิดชาตินี้แค่ได้พบเจอ เกิดชาติหน้าค่อยฝันกันใหม่
    วันนี้ใจสลาย ยอมจำนนให้ฟ้าดินแยกเราไกลกัน

    คนรักกันใยฟ้าดินถึงไม่เข้าใจ……….

     

     










    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>




    …………………………………





    -          คนชอบพูดกันว่าชีวิตจริงมันยิ่งกว่านิยาย ตาลก็เห็นด้วยนะคะ อ่านจากหลายๆคอมเม้นบอกว่าเคยเจอปัญหาคล้ายๆภูมิกับพีมทั้งที่พบเจอด้วยตัวเอง ของพี่ ของเพื่อ ของญาติหรือคนใกล้ตัว ตาลก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นมันไปได้นะคะขอให้ทุกคนเข้มแข็งนะ ลองสู้เพื่อความรักของเราซักครั้งและไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงแต่อย่างน้อยเราก็จะได้ไม่เสียใจเพราะเคยพยายามทำแล้ว ตาลเอาใจช่วยทุกคนนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×