ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ 20 เพื่อนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 54










     
    ตอนที่ 20
     



    การเป็นนักศึกษาที่ดีต้องรู้จักแบ่งเวลา เวลาเรียนก็ต้องตั้งใจเรียน เวลาเล่นก็ต้องตั้งใจเล่น เหมือนตอนนี้ไงครับ ที่พวกผมกำลังนั่งสุมหัวเอาตัวด้วงสู้กัน สร้างสรรค์มั้ยล่ะ
     

    ตอนอยู่เชียงใหม่ผมก็เคยจับมาเล่น แต่ไม่คิดว่าเด็กกรุงเทพฯออริจินัลอย่างพวกไอ้ชายไอ้หนึ่งจะรู้จัก ที่สำคัญมันไปเอามาจากไหนวะ แต่อย่าไปสนใจเลยว่ามันไปเอามาจากไหน
     


    เพราะเวลานี้พวกผมมันส์ยิ่งกว่าเชียร์ศึกเจ้ามวยไทยอีกครับ ด้วงตัวไหนเอียงทีพวกผมก็เฮที นี่ถ้านักอนุรักษ์สัตว์และแมลงมาเจอ พวกผมมีสิทธิ์ซวยได้นะ แต่ไอ้คิวกับไอ้โจมันอินมากลงไปนั่งเชียร์ ตบมืออยู่กับพื้น
     
    “เอ้อออ เอิ้ววว เอิ้ววว”เสียงเชียร์ เหมือนเชียร์สมจิต จงจอหอตอนโอลิมปิคก็ไม่ปาน
     
    “เอามันเลยลูก”
     
    “แย็บซ้าย ตั้งกาดร์ซิวะ แม่ง”
     
    “ฟันศอก นั่นแหละ เอ้อ แทงเข่า” ด้วงบ้านพ่อมึงมีศอกหรอหนึ่ง แล้วมันตั้งกาดร์ได้หรอคิว ถึงจะงงกับพวกมันแต่ผมก็นั่งยองๆแหกปากเชียร์อยู่ข้างๆไอ้คิวแหละครับ
     


    “พวกมึงเจ็ดแปดตัวที่สุมหัวกันอยู่ตรงนั้น จะเข้าประชุมสโมฯดีๆหรือจะแดกผ้าใบกูก่อน ห๊ะ!!!” เสียงแหลมๆสิบแปดหลอดดังขึ้น เกือบทำพวกผมวงแตก ผู้หญิงหน้าสวยมาดเซอร์ตามแบบฉบับเด็กศิลป์ กำลังยืนเท้าเอวมองมาที่พวกผมอย่างเอาเรื่อง
     


    “แม่มึงมาแล้วไง” ไอ้โจพำพึม พวกผมเลยเซ็งไปตามๆกัน ไอ้ชายรีบเก็บตัวด้วงของมันเข้ากล่อง ส่วนไอ้หนึ่งอารมณ์เสียกว่าใครเพื่อนเพราะมันกำลังจะชนะ
     

    “ประชุมสโมฯ แม่งนรกชัดๆ” ผมบ่นเบาๆ พวกนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ต้องรีบลุก ก่อนจะถูกอดีตเฟรชชี่สุดสวยของคณะแดกหัวเอา
     

    “มึงบ่นอะไรกู ไอ้พีม”



    “เปล๊า มึงหูไม่ดีแล้วฝ้าย” มึงหูดีเกินไปต่างหากครับคุณเพื่อน ไอ้ฝ้ายมองหน้าอาฆาตผม โอ้ เกือบไปแล้ว เกือบถูกสมุนในปากมันกัดซะแล้ว



    ฝ้ายมันเป็นอดีตเฟรชชี่ศิลปกรรม ตอนแรกผมก็หลงงมงายไปกับรูปร่างหน้าตามัน ก็มันสวยนิ อีกอย่างผมจบจากชายล้วน เข้ามหาลัยก็หวังใจเอาไว้ว่าคงได้เจอผู้หญิงสวยๆให้หัวใจได้ชุ่มชื่นบ้าง
     

    เทอมแรกทุกอย่างก็ปกติดีเป็นไปตามที่หวัง มีสาวๆให้มองเพียบ แต่พอนานๆเข้าผมก็เริ่มเกรงๆ จนมาปี2 พวกผมกลายเป็นโรคหวาดระแวงผู้หญิงคณะตัวเองขั้นโคม่า เพราะว่าเริ่มเห็นด้านมืดของผู้หญิงก็ตอนนี้แหละครับ




    โดยเฉพาะฝ้าย มันพลิกจากหน้ามือเป็น…..…. เอาเป็นว่าสุภาพบุรุษไม่ควรนินทาผู้หญิงครับ เห็นตัวอย่างจากไอ้ฝ้ายแล้ว ก็ตามที่เห็นนั่นแหละ ดูเอาเอง
     


    “ไอ้คิว มึงจะไปไหน ไม่ต้องคิดหนี วันนี้พวกมึงหนีกูไม่พ้นหรอก” ไอ้คิวที่แอบย่อง ทำเนียนจะหลบไปห้องน้ำ ต้องหยุด มันเต้นฟุตเวิร์คแบบไมเคิล แจ็กสันถอยหลังกลับมา
     


    “แล้วพวกมึงจะยืนมองหน้ากูอีกนานมั้ย ไปประชุมดิวะ แม่ง” เพราะไม่มีใครขยับขา ไอ้ฝ้ายมันเลยตะวาดอีกรอบ เหมือนไม่ได้ใช้แรงมากนะ แต่เสียงโคตรดังพวกผมนี่สะดุ้งกันเป็นแถบๆ


    “ปากแบบนี้ไง มึงถึงหาผัวไม่ได้”


    “หาได้หรือไม่ได้ก็เรื่องของกู จู๋ประถมอย่างมึง อย่า เสือก” พวกผมพากันขำไอ้คิวกับไอ้ฝ้ายปะทะฝีปากกัน



    ก่อนจะถูกมันกวาดต้อน เข้ามาในห้องสโมฯโดยที่ไอ้ฝ้ายเดินคุมอยู่ท้ายแถว อย่างกับผู้คุมนักโทษ พี่ๆสโมฯทีมเก่าและเพื่อนๆทีมใหม่นั่งหน้าสลอนมองมาที่พวกผมด้วยความสังเวชใจ ต่างจากอีจีจี้กับเคที่และผองเพื่อนแก็งค์มัน ที่ดี๊ด๊าโบกไม้โบกมือให้ผมกับไอ้หนึ่ง
     


    “พี่ๆคะ ฝ้ายพานักโทษมาให้แล้วคะ เชิญเชือดได้ตามสบาย” มันเหยียดยิ้ม เดินไปนั่งข้างๆพี่เจตนายกสโมฯพวกผมก็จับจองที่นั่งที่ยังว่าง ไอ้จี้รีบแถย้ายที่เข้ามานั่งข้างผมทันที
     


    “อีกหน่อยพวกแกต้องมาทำหน้าที่ต่อจากพวกพี่ ช่วยสนใจงานหน่อยได้มั้ย คณะเราก็มีกันอยู่แค่นี้ หน้าตาดี สมองก็ต้องดีตาม” ดูเอาเถอะแม้แต่นายกสโมฯยังเป็นขนาดนี้ พี่เจตแกเข้มได้ไม่นานหรอก
     
    “โดยเฉพาะแก ไอ้ชาย พวกพี่จะวางมือแล้ว พวกแกต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ คุยงาน ประสานงานกันให้เป็น ไม่งั้นงานมันจะไม่เดิน”แกก็บ่นของแกไปครับ พวกผมก็ทำเหมือนตั้งใจฟัง
     
    พวกพี่เจตเป็นทีมสโมสรนักศึกษาชุดเก่า ชุดใหม่ก็คือพวกผมปี 2 เพิ่งเลือกตอนสิ้นปี แต่พี่ๆทีมเก่าก็ต้องทำงานต่อจนกว่า พวกผมจะขึ้นปี 3 ปีการศึกษาหน้านู่นถึงจะได้ทำงานกันจริงๆ
     


    ระหว่างนี้ก็ต้องเรียนรู้ ศึกษางาน ช่วยๆพี่เขาไปก่อน แต่ก็อย่างที่เห็นแหละครับ สนใจงานกันมาก รับผิดชอบกันม๊ากมาก รับรองว่าปีหน้ารุ่งแน่นอนศิลปกรรมเอ๋ย เหอๆ
     


    ส่วนนายกสโมฯก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไอ้ชายเพื่อนผมเอง คนเดียวกับที่เอาตัวด้วงสู้กันเมื่อกี้ และเป็นคนที่เดินเข้ามาคนสุดท้ายพร้อมกล่องตัวด้วง กูเริ่มเห็นแววล่มจมของคณะอยู่รำไรแล้วชายเอ๊ย อุปนายกสองคนมาจากภาคดุริยางกับนฤมิต แต่ละหน้าที่ แต่ละตำแหน่งก็กระจายๆกันไป
     
    แต่มีอยู่ตำแหน่งนึงที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ประธานฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ ได้แก่
    นายนิรันดร ยศวาทิน ไอ้คิวครับ กร๊ากกกก ตอนที่รู้ว่ามันถูกเลือก คือ กูฮามาก
     


    หัวข้อประชุมวันนี้ก็เรื่องหาอาสาสมัครไปช่วยงานกีฬามหาลัย ส่วนใหญ่พวกผู้หญิงรีบอาสาเพราะว่าจะได้เจอผู้ชายมหาลัยอื่น ไอ้ฝ้ายนี่แกนนำเลยมั้ง ระวังจะเสียดุลเพราะไม่รู้จักบริโภคของในชุมชนนะพวกมึง
     


    ต่อมาก็เรื่องออกค่ายสอนน้องเล่นสีที่ทำร่วมกับสถาปัตย์ ปีนี้จัดที่กาญจนบุรี น้องๆม ปลายที่สนใจสมัครมาจนครบแล้ว (พี่เตยเลขาสโมฯเพิ่งพูดไป จำได้ๆ) แต่ประเด็นคือสถาปัตย์ยังไม่ส่งรายชื่อพี่ค่าย เวรกรรม
     

    เรื่องสุดท้าย พี่ๆก็อบรมพวกผม พูดถึงการแบ่งงาน เตรียมงานสำหรับรับน้องในปีการศึกษาหน้า ให้เริ่มคุยกันได้แล้ว ซึ่งพวกผมก็ตั้งใจฟังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


    ยกเว้นไอ้คิวกับอีกรีนที่ปลุกปล้ำกัน (อีกรีนพยายามปล้ำไอ้คิว ไอ้คิวเป็นฝ่ายขัดขืน) จนพี่เจตต้องดุหลายครั้ง แต่จะว่าไปพวกผมก็เป็นการเป็นงานเหมือนกันนะเนี่ย ประชุมเสร็จห้องก็เริ่มวุ่นวาย เสียงดังมาก ไม่รู้ใครคุยอะไรกับใครบ้างล้งเล้งลั่นห้อง
     


    “มึงติดสัดหรอห่ากรีน นั่งใกล้กูแล้วครางเนี่ย” ไอ้คิวบ่นไอ้กรีน กระเทยคนเดียวที่กล้าเข้าใกล้และใฝ่ปองในรสสวาทของเชี่ยคิว


    “ถ้าสัดอย่างคิว กรีนยอมติด” มันเกาะแข้งเกาะขาไอ้คิวและส่งเสียงครางต่อไป


    “เออ กูลืมนึกไปว่ามึงไม่สะเทินน้ำสะเทินบก ชอบเอากับสัตว์เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว”ไอ้คิวว่าพลางแกะมือตุ๊กแกไอ้กรีนออก


    “ปากมึงนี่ กระเทยอย่างกูยังอาย ขอให้มึงได้เมียเป็นผู้ชายทีเทิ้ดดด เจ้าประคู๊นนน” กรีนยกมือไหว้ท่วมหัวผมนั่งขำมันสองตัวที่กำลังจะสมสู่กัน ดีนะที่จี้มันไปคุยเรื่องงานกับพวกพี่ๆ ไม่งั้นผมคงมีสภาพเดียวกับไอ้คิว
     


    “ไอ้เตี้ย กูมีงานให้มึงช่วย” ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ฝ้ายที่มายืนหน้านิ่งต่อหน้าผม นรกมาเยือนกูแล้วไง อยากด่าสวนว่ามึงสูงนักหรอวะ แต่มันดันสูงมาตรฐานซะนี่

    “มีไร”ผมตอบห้วนๆ


    “ไปเอารายชื่อคนที่จะไปค่ายสอนน้อง ของพวกถาปัตย์ให้กูหน่อย”

    “เรื่องดิ ทำไมต้องเป็นกู”
     

    “เพราะมึงเป็นผู้ชายและผู้ช่วยกู อย่าปฏิเสธ” ไม่เกี่ยวว่าผมเป็นผู้ช่วยหรือเป็นผู้ชาย แต่เป็นเพราะไอ้ฝ้ายผมเลยต้องทำตาม


    มันยืนเท้าเอวมองผม สายตามันส่งสัญญานว่า ถ้ามึงไม่ทำตามคำสั่ง ตายแน่ แล้วสุภาพบุรุษอย่างผมจะกล้าปฏิเสธคำขอร้องของผู้หญิงหรอครับ
     

    “ไปเอาที่ไหน กับใคร”

    “ที่ห้องสโมฯถาปัต กูโทรไปบอกเค้าแล้ว ว่าจะให้คนไปเอา”

    “แม่งส่งแฟกซ์ ส่งเมลล์ไม่เป็นรึไงวะ”


    “แล้วแม่งเดินไปเอาให้กูมันจะตายมั้ยวะ”ผมจ้องตากับไอ้ฝ้ายได้ไม่นาน กลัวมันจะกินตับ ดุเหมือนหมาเลยเพื่อนกู


    “เออๆ เดี๋ยวเอามาให้”


    “ดีมากจ๊ะสุดหล่อ ขอให้ได้เมียสวยเหมือนกูนะ ฮ่าๆๆ” มันหัวเราะแบบตัวร้ายเดินเฉิดฉายไปหาพี่เจต สวยแบบมึงนะกูเอา แต่ถ้าปากแบบมึงกูขอผ่านวะฝ้าย


    “คิว ไปถาปัตเป็นเพื่อนหน่อยดิ” ผมสะกิดไอ้คิวที่เล่นเกมส์ในมือถือ มันเล่นตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว มันเงยหน้ามามองผม ก่อนจะขมวดคิ้ว เหมือนงง มันหันซ้ายหันขวา


    “คุณเป็นใครครับ เรารู้จักกันมาก่อนด้วยหรอ ผมว่าคุณคงจำคนผิดแล้วล่ะ บาย” มันเดินออกไปเฉยเลย ไอ้ เพื่อนทรพี แม่ง
     


    สุดท้ายผมก็ต้องเดินมาคณะสถาปัตคนเดียว แล้วห้องสโมฯมันอยู่ส่วนไหนละเนี่ย เออ โทรถามไอ้ฟ่างดีกว่า
     

    “เฮ้ นาย รอด้วย นาย” เสียงเรียกใครซักคนของใครซักคนดังมาจากข้างหลัง ผมหยุดเลื่อนหาเบอร์ไอ้ฟ่าง หันกลับไปทางต้นเสียง ผู้ชายตัวสูง เซอร์ๆเท่ห์ๆกำลังเดินแกมวิ่งมาทางผม ทรงผมแบบนี้ หล่อแบบนี้ เหมือนเคยเจอที่ไหน ผมมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีใคร หรือเมื่อกี้มันจะเรียกผมหว่า
     

    “เรียก กู
    ?” ผมชี้เข้าหาตัวเอง เมื่อมันมายื่นหอบแฮ่กๆอยู่ตรงหน้า กูต้องเงยหน้าพูดอีกแล้วใช่มั้ย พวกมึงไม่คิดจะเตี้ยเป็นเพื่อนกูบ้างหรอวะ



    “เออ มึงนั่นแหละ” เมื่อกี้มันยังเรียกนายอยู่เลย “จำกูได้มั้ย ที่เคยตบหัวมึงน่ะ” มันน่าจดจำมากเลยเนอะ ผมนึกอยู่ซักพัก หน้าคมๆหล่อๆที่เคยฟาดกบาลผมกลางโรงอาหารก็มายืนอยู่ตรงหน้าผม อ๋อ ไอ้คนนั้นนิโบกคืนให้หายแค้นดีมั้ยเนี่ย
     
    “อือ จำได้ แล้วเรียกกูทำไม”


    “ก็ไม่ทำไม เห็นคุ้นๆเลยเรียก แล้วมาทำอะไรที่คณะกู”


    “มึงเรียนถาปัตหรอวะ” มันยิ้มหล่อพยักหน้า “กูมาเอารายชื่อ คนที่จะเข้าค่ายศิลปะ”


    “ต้องมาเองเลยหรอ”


    “เออสิ คณะมึงไม่ส่งไปซักที ทวงแล้วทวงอีก แม่งส่งเมลล์ไม่เป็นมั้ง” ไอ้เซอร์นั่นยิ้มขำ นี่กูด่าบุคลากรคณะมึงนะ ยิ้มทำซากไรวะ แต่เจอมันก็ดีจะได้ไม่ต้องโทรถามไอ้ฟ่าง “ห้องสโมฯคณะมึงอยู่ตรงไหนวะ”


    “เลี้ยวซ้าย ตรงไป แล้วซ้ายอีก ก็ถึง” ผมกำลังมึนๆ กูไม่ได้เรียนถาปัตนะถึงจะนึกภาพอาคารก่อสร้างได้เป็นฉากๆจากคำบอกเล่าเนี่ย “ให้กูพาไปมั้ย” เออ แบบนี้ค่อยน่าฟัง เข้าใจง่ายหน่อย

    “ก็ดี ถือเป็นการไถ่โทษที่มึงตบหัวกู”

    “อย่ามาซุย กูจ่ายค่าข้าวให้มึงแล้วไง แม่งอยู่ดีๆต้องเสียเงินฟรี”

    “เออ กูอยู่ดีๆก็ถูกตบหัวฟรีเหมือนกัน” มันหัวเราะ เอื้อมมือมาผลักหัวผม “เชี่ย ลามปามนะมึง”

    “อะไร แค่นี้ทำหวง มึงชื่อไรวะ กูคลื่น” ผมหันไปขมวดคิ้วให้มัน คนอะไรชื่อคลื่น หึ

    “พีม”

    “มึงเรียนศิลกรรมหรอ หน้าไม่ให้เลยวะ” มันคุยไประหว่างพาผมเดินไปห้องสโมฯ


    “อ้าว แล้วหน้าอย่างกูต้องเรียนอะไร”


    “ก็เรียนหมอไม่ก็เภสัช พวกหน้าอ่อนๆชอบเรียน”


    “ขอบใจที่ชม หน้าแก่ๆอย่างมึงเรียนถาปัตก็เหมาะแล้ววะ” ไอ้คลื่นมันยิ้มเก่ง ผมพูดอะไรมันก็ยิ้ม ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน แถมครั้งแรกที่เจอยังทำร้ายร่างกายผมอีก แต่ตอนนี้มันกลับคุยจ้อเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานซักสามชาติ


    พี่เลขาสโมฯ ขอโทษผมใหญ่ที่ลืมส่งรายชื่อให้จนต้องเดินมาเอง แต่พี่เค้าสวย ผมไม่โกรธครับ ผมให้อภัยผู้หญิงเสมอ ผมเปล่าหน้าม่อนะ อย่างน้อยก็มีไอ้ฝ้ายคนนึงล่ะที่ผมไม่ให้อภัย
     
    “ขอบใจนะเว้ย” ผมเอ่ยขอบคุณไอ้คลื่น เมื่อเดินออกมาถึงหน้าคณะ
     
    “อืมไม่เป็นไร แทนคำขอโทษที่เคยตบหัวมึง เอ่อ พีม มึงไปเข้าค่ายครั้งนี้มั้ย”
     
    “ไม่รู้วะ กูอยากไป แต่เพื่อนกูมันไม่ไป”
     

    “หรอ งั้นกูขอเบอร์มึงหน่อยดิ เผื่อไป จะได้ถามรายละเอียด” ผมให้เบอร์กับไอ้คลื่น และย้ำว่าให้มันรีบตัดสินใจเพราะจะไปค่ายต้นเดือนหน้าแล้ว มันก็รับปากว่าจะรีบคิดให้เร็วทีสุด
     




    “พีม คืนนี้กูโทรหานะ”


    ไอ้คลื่นตะโกนตามหลัง ผมหันกลับไปพยักหน้าให้มัน ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มึง
     
     
     

                                       ……………………………………………
     

     

    วันนี้ไอ้ภูมิมารับผมเร็วกว่าปกติ เพราะคืนนี้จะมีเทศกาลเมาที่ห้องมัน เลยต้องรีบกลับไปเตรียมของ


    เราแวะซื้อเสบียงก่อนกลับคอนโด กลับมาถึงยังไม่ทันที่ผมจะจัดของเสร็จมันก็ลากผมเข้าห้อง ไปเปลี่ยนชุด แหนะๆ คิดอะไรกันเนี่ย
    ^^
     

    “เฮ้ยภูมิ มึงสักลายด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ มองภูมิที่หันหลังให้ มันถอดเสื้อนักศึกษาและกำลังรื้อหาเสื้อใส่ ทั้งที่แม่บ้านเค้าจัดไว้เป็นระเบียบเรียงตามสี มันก็รื้อซะเละเทะ ภูมิหันมามองผมที่นอนดูทีวีอยู่บนเตียง มันขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง
     
    “เพิ่งเห็นหรอ”มันถามเสียงนิ่งๆ
     
    “อืม” งอนอะไรอีกละเนี่ย หรือ ไม่ชอบให้คนทักเรื่องรอยสัก
     
    “ตอนที่มีอะไรกัน มึงไม่ได้ดูกูเลยเหรอ” สาดดดดดดดดดดดดด ถามห่านไรเนี่ย
     
    “ก็….. ก็… ตอนนั้นมันมืด กูมองไม่เห็น” มันถอนหายใจส่ายหัว กลับไปรื้อตู้ต่อ สรุปว่าน้อยใจกูที่ไม่สังเกตมึงว่างั้น ก็…โว๊ะ ใครจะมีสติไปจำอะไรได้วะ


    ผมมองหลังขาวๆเนียนๆของมันที่มีรอยสักที่สะบัก เท่ห์ดีวะ ผมเคยคิดที่จะสักเหมือนกัน แต่กลัวพ่อจะตัดออกจากกองมรดกเลยไม่กล้าทำ ไอ้ภูมิแม่งเท่ห์เกินคำบรรยายจริงๆ
     

    “ขอดูใกล้ๆหน่อยสิ” มันหันมองหน้าผม มือที่กำลังจะสวมเสื้อก็หยุดค้าง และเดินมานั่งที่ขอบเตียง ผมกระเถิบไปดูใกล้ๆ อดที่จะลูบไล้ไม่ได้ นกอินทรีย์กำลังกางปีก ไม่ใช่ลายสักแบบไทย แต่เป็นกราฟฟิก ที่ดู มีพลัง  มีอำนาจ
     
    “สักนานรึยัง”

    “ม
    .6”

    “ไม่เสียดายหรอ ผิวมึงสวยมากเลยนะ  เฮ้ย
    !!!” อยู่ๆแม่งก็ผลักผมลงกับเตียง อีกนิดเดียวหัวผมฟาดหัวเตียงแน่นอน แล้วมันก็ตามมาคล่อมผมไว้ พร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
     

    “ผิวมึงสวยกว่ากูอีกพีม มีตำหนิไม่กี่ที่เองมั้ง หึหึ” เกลียดเสียงหัวเราะแบบจิ้งจอกของมันจริงๆ
     
    “สัด ลุก” ผมทั้งหนักทั้งอาย ใครจะไม่อายล่ะ ภูมิมันยังไม่ใส่เสื้อ ตัวมันก็มาแนบอยู่บนตัวผม ตาคมคู่นั้นมันจงใจทำให้หวานกว่าปกติ
     
    “กูก็รุกแล้วไง”
     

    “หมาภูมิ กูหมายถึงลุกออกไปจากตัวกู แล้วตำหนิเชี่ยไรวะ แม่ง กูหนัก” ผมดิ้นอยู่ใต้ร่างไอ้ภูมิ มันทับมาทั้งตัวแบบนี้ คิดว่าผมจะหนักมั้ยครับ
     

    “หึ กูจำได้หมด ว่ามึงมีไฝอยู่ตรงไหนบ้าง ให้กูบอกมั้ย” มันยิ้มมุมปาก ใช้ตาคมๆ เจ้าชู้ของมันมองผม
     

    “ไม่ต้อง สัด กูหนัก ลุกกกกกกกก” มันหัวเราะและยอมลุกออกไปใส่เสื้อ ผมมองมันด้วยความอาฆาต หอบหายใจ แต่ยังไม่ทันที่จะอ้าปากด่ามันก็กระโดดขึ้นมาทับผมบนเตียงอีกครั้ง ผมเตรียมจะโวยวาย แต่มันเอามือมาแตะหน้าผากซะก่อน อารมณ์แปรปรวนง่ายนะมึง
     

    “ปวดหัวมั้ย” ผมส่ายหัวเมื่อภูมิใช้หลังมือวัดไข้ให้ มันไร้วี่แววการแกล้งหรือกวนตีน ผมเลยได้แต่นอนนิ่งๆให้มันกอด รอดูสถานการณ์ไปก่อนครับ ยังไม่ไว้ใจมันหรอก
     

    “ขยับไปดิ กูอึดอัด เดี๋ยวติดไข้นะมึง” เสียงผมคงฟังดูงึมงำ เพราะถูกกดหน้าให้แนบกับอกของภูมิ กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม หอมอ่อนๆทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
     
    “ติดก็ติดสิ ถ้ามึงไม่เป็นไข้ รู้มั้ยว่ากูจะทำอะไร” มันถาม แต่ปากก็มาป้วนเปี้ยนแถวๆแก้มกับหน้าผากของผม แขนนี่ก็รัดแน่นได้อีก เป็นงูเหลือมรึไงวะ

     
    “กูพอจะเดาออก” หน้าอย่างมันก็คิดอยู่เรื่องเดียวแหละ
     

    “รู้ก็ดี งั้นก็รีบๆหาย เพราะกูคิดถึง” มันยกหัวมาจูบผมทันทีที่พูดจบ ทำเอาตัวกับใจผมอ่อนไปถึงไหนต่อไหน

     
    กูมีภูมิคุ้มกันมึงต่ำมากรู้ตัวมั้ยภูมิ
     
     

    เสียงโวยวายทำให้ผมตื่น ไอ้พวกนั้นคงมาแล้ว แต่ไอ้คนที่มันกอดผมแน่นจนผมหลับคาอก มันหายหัวไปไหนวะ ผมเดินสลึมสลือแบบเบลอๆ นอนตอนหัวค่ำนี่ทำเอามึนหัวเลยแฮะ ออกมาพวกมันก็ตั้งวงกันเรียบร้อยแล้ว
     

    “เขาว่าผู้หญิงที่เสียบริสุทธ์ จะดูมีทรวดทรงขึ้น ดูดีขึ้น สวยขึ้น พวกมึงว่าทฤษฎีนี้ใช้กับผู้ชายได้มั้ย” ทันทีที่ไอ้ปันมันเห็นหน้าผม มันก็รีบพูดเสียงดังลั่นห้อง


    “ทำไมวะ” ไอ้เชนก็รีบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนเกินจำเป็น ทั้งที่มันกำลังมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มชั่วๆ
     

    “กูว่าไอ้พีมมันดูมีน้ำมีนวลกว่าเดิม ดูเปล่งปลั่ง มันน่ารักขึ้นวะ”
     

    “เชี่ยปัน แม่งพูดห่าไรวะ” ผมเดินเข้าไปตบหัวมันที่นอนเหยียดยาวบนโซฟา มีถุงเลย์วางอยู่บนพุง และแก้วเหล้าอยู่บนพื้น อภิสิทธิ์ชนจริงๆ คนอื่นเค้านั่งกินบนพื้น ห่านี่นอนแดกบนโซฟา
     

    “หรือมึงจะเถียง” มันรีบกลืนขนมและรีบลุกขึ้นนั่ง “แม่งถ่อไปไกลถึงหัวหิน พวกมึงคงไม่ไปก่อเจดีย์ทรายเฉยๆหรอกมั้ง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง กูจะพาไอ้ภูมิไปบวช ฮ่าๆ”
     

    “เอาเต็มที่เลยปัน เมื่อวานพวกกูเล่นมันแล้ว” ไอ้แทนออกปากอนุญาต พวกมันพากันหัวเราะ แล้วหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างผมจะทำอะไรได้นอกจากหาตัวช่วย ผมเดินไปหาภูมิที่นั่งยิ้มจิบเหล้าอยู่ มันขยับและดึงมือผมให้นั่งลงข้างกัน
     

     “ไอ้คิวละ” ผมถามถึงไอ้ตัวดี ที่ไม่มีแม้เงา
     

    “มันมีแฟนก็ต้องไปอยู่กับแฟนสิ จะมาอยู่กับหนุ่มโสดอย่างเราทำไม” ไอ้เชนตอบ เลยถูกไอ้ฟ่างด่าสวนกลับมาว่า โสดเฉพาะตอนลงจากเตียงล่ะสิมึง เรียกเสียงหัวเราะจากพวกผม ไอ้เชนมันยิ้มรับคำสรรเสริญพร้อมยื่นแก้วให้ผม
     
    “เอามั้ยมึง”

    “ไม่วะ เจ็บคอ กลัวเป็นไข้อีกรอบ”

    “ดี งั้นมาชงเหล้าให้พวกกู”  โห กูก็นึกว่าจะเป็นห่วง ส่วนไอ้คิวนี่ก็ไวจริงๆ เมื่อเช้าเพิ่งพามาเปิดตัวที่คณะยังบอกว่าเพื่อน ตกเย็นมาเป็นแฟนกันซะแล้ว แต่เด็กมันสวยจริง ผมยังเผลอมองจนไอ้คิวมันด่า
     

    “แล้วไอ้เต้ยกับไอ้แมทมันมารถจักรยานรึไงวะ แทนโทรตามน้องดิ”ไอ้ฟ่างสั่งแฟนมัน

    “แม่งใช้กู”


    “จะโทรไม่โทร” มีหรือที่แทนจะขัดฟ่างได้ ระหว่างที่ไอ้แทนโทรถามไอ้เต้ยว่าอยู่ไหน ไอ้ปันก็ลากคอไอ้มิคไปใกล้ๆ ทำท่าจะกระซิบแต่เสียงดังมาก
     
    “ไอ้แทนเป็นโรคเกลียมัว”


    “โรคเกลียมัวคืออะไรวะ มึงอธิบายซิสหาย” เออเว้ย คนไม่เต็มคุยกัน มันก็ดูดีไปอีกแบบ


    “โรคเกลียมัวมันก็คล้ายๆโรคลูคิเมียแหละ แต่อาการหนักว่า มันดื้อยาแต่ไม่ดื้อกับเมีย รักษาไม่หาย อาจตายได้ถ้าดื้อมากๆ” แล้วมันก็หัวเราะกันคิกคักสองคน เลยโดนไอ้ฟ่างตบหัวไปคนละฉาด พวกผมก็พากันขำ สงสัยไอ้แทนจะเป็นโรคเกลียมัวระยะสุดท้ายวะ หึหึ
     



    รอไม่นาน เสียงเคาะประตูรัวๆแบบกวนตีนก็ดังขึ้น กริ่งมีทำไมไม่กดวะ แบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ไอ้เบียร์ลุกไปเปิดประตู ไอ้แมทยิ้มหน้าบานหอบถุงของกินมาเต็มมือ ต่างจากไอ้เต้ยที่หน้าบึ้งเหมือนไปกัดกับหมามา
     
    “โทษทีๆพี่ รถติดน่ะ” ไอ้แมทนั่งลงข้างๆผม มันคงว๊อนมากคว้าแก้วเหล้าไปกระดกรวดเดียว หมดแก้ว ไปอดอยากมาจากไหนไอ้น้อง
     
    “ติดไรวะ กูมาถนนยังโล่งอยู่เลย”ไอ้ฟ่างถาม
     
    “ติดไฟแดงไงพี่ ฮ่าๆ”
     
    “ไปตายซะ” ไอ้ฟ่างถีบไอ้แมท แต่มันหลบทัน
     
    “แล้วไอ้ตัวนี้เป็นอะไร ซึมอะไรมึง” ไอ้เต้ยนั่งลงข้างๆไอ้เชน มันเอนหัวพิงไอ้เชน
     
    “เต้ยจะเมา” พวกผมส่ายหัวกับนิสัยเด็กๆของไอ้เต้ย ดีนะที่ไอ้คิวไม่มา ไม่งั้นไอ้เต้ยคงประสาทเสียกว่านี้
     

    ผู้ชายกับเหล้าคงเป็นมิตรแท้ต่อกัน ส่วนผมได้แต่นั่งเฝ้าพวกมัน ไม่ใช่ไม่อยากกิน แต่ไอ้ภูมิมันไม่ยอมให้แก้วเหล้าเฉียดเข้าใกล้ผมเลย เลยได้แต่นั่งชงให้พวกมัน น้ำลายผมคงหยดลงในแก้วหลายใบ เป็นโรคสุนัขบ้าแน่พวกมึง โดยเฉพาะไอ้เต้ย ผมชงให้แทบไม่ทัน
     
    “มันต้องลองสถานที่ใหม่ๆเว้ยมึง เร้าใจค่อดๆ” ประเด็นตอนนี้คือสถานที่เมคเลิฟ ผู้เสนอไอเดียไม่พ้นไอ้ปัน
     
    “ไอ้แทนกับไอ้ฟ่างแม่งทุกมุมห้องมั้งกูว่า” ไอ้เบียร์พูดบ้าง ผมหันไปมองหน้าไอ้ฟ่าง เพราะถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆไอ้เบียร์มันไม่พูดหรอก แต่แทนที่ไอ้ฟ่างมันจะอาย แม่งยักคิ้วยิ้มเลว ส่วนไอ้แทนยืดตัว ตบอกตัวเองเหมือนคิงคอง พวกมึงภูมิใจอะไรกันวะ
     
    “เหลือแค่หลังตู้กับหลังทีวีที่ยังไม่เคยใช่มั้ยพี่” ไอ้น้องแมทออกความเห็น
     
    “นั่นมันจิ้งจกแล้วสัด”
     
    “แต่กูว่าน่าลองนะฟ่าง” ไอ้แทนนี่ก็บ้ายุทำตาหวานซบหน้าลงกับบ่าข้าวฟ่าง
     

    “เชิญมึงไปลองคนเดียวเหอะ กว่าจะปีนขึ้นหลังตู้ได้กูหมดอารมณ์พอดี ดีไม่ดีตกลงมาคอหักตาย”
     


    “นี่พวกมึงกะเอาจริง”ผมถามมันสองตัวผัวเมีย พวกมันพากันหัวเราะ ยิ่งดึกพวกมันก็เริ่มรั่วหนัก คนเมานี่ก็ตลก ชอบทำอะไรเพี้ยนๆ ไอ้ปันมันยืนคุยอะไรไม่รู้กับผนังห้องน้ำ ผมที่สติยังครบสมบูรณ์ต้องไปลากมันออกมา
     

    ตอนนี้มันสลบไปแล้ว ไอ้แทนตามไปติดๆ ไอ้มิคก็อีกราย นอกนั้นยังสู้ได้อยู่ แต่ที่น่าเป็นห่วงสุดคือไอ้เต้ย ปกติมันไม่ดื่มหนักขนาดนี้ วันนี้มันไม่ค่อยยิ้ม
    ไม่ค่อยกวนตีนเหมือนทุกครั้ง


    ถามว่าเป็นอะไรมันก็บอกว่าเปล่า และนับครั้งได้ที่ไอ้เต้ยจะสูบบุหรี่ แต่ตอนนี้มันไปนั่งสูบที่ระเบียงไม่รู้หมดไปกี่มวนแล้ว ไอ้เต้ยโหมดนี้ไม่ค่อยได้เห็นหรอกและพวกผมก็ไม่อยากเห็นมันเป็นแบบนี้ด้วย
     


    “ฟ่าง กูว่าน้องมึงแปลกๆวะ” ผมมองไปที่ไอ้เต้ย ไอ้ฟ่างพยักหน้าเห็นด้วย


    “มันอกหักหรอวะ” ไอ้เบียร์เดา


    “อย่างมันหรอจะอกหัก เจ้าชู้น้องๆไอ้เชน ไม่มีทางอกหัก” ไอ้ฟ่างโยนขี้ให้ไอ้เชน


    “อ้าว ทำไมมึงพูดแมวๆวะเชี่ยฟ่าง เออ  ใครมันจะรักเดียวเสียวไม่เลือกอย่างมึงละครับ”


    “พวกมึงอย่าเพิ่งกัดกันดิวะ ไอ้ภูมิถามไอ้แมทดิ ว่าเพื่อนมันเป็นอะไร” ไอ้เบียร์บอก ภูมิมันสะกิดไอ้แมทที่นั่งสัปหงกอยู่
     
    “แมท ไอ้แมท”

    “คร้าบเพ่” ไอ้แมทเสียงอ้อแอ้เต็มที่ จะไหวมั้ยวะ

    “ทำไมไอ้เต้ยมันซึมๆ มันเป็นอะไร มึงรู้มั้ย” ภูมิล่อลวงถามไอ้แมทที่เมาไม่รู้เรื่อง มันสะอึกมองหน้าพวกผม และเริ่มชี้นิ้วมั่วๆ
     

    “จะไม่ให้มันซึมได้ไงเพ่ คนมันเจ็บปวด เพื่อนผมมันเจบบบ”

    “มึงพูดเบาๆสิแมท ไอ้เต้ยเจ็บเรื่องอะไร” ผมบอก เพราะเดี๋ยวไอ้เต้ยได้ยิน

    “นี่พวกพี่แกล้งโง่ หรือโง่จริงๆห๊า”

    “อ้าว ไอ้เชี่ยแมท”


    “ไอ่ฟ่าง น้องมันเมา โง่อะไรหรอแมท บอกพี่หน่อย” ไอ้เชนเกลี่ยกล่อม


    “ก็เจ็บที่เห็นพี่คิวควงสาวววว มางายย” พวกผมงงเป็นไก่ตาแตก มองหน้ากันเลิ่กลัก ไอ้คิวมากับแฟน แล้วทำไมไอ้เต้ยต้องเจ็บ ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันตรงไหนนี่หว่า
     
    “กูงง แล้วไอ้คิวมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ” ไอ้เชนถามได้โดนใจกูมาก ไอ้แมทขมวดคิ้วใส่พวกผมหนักกว่าเดิม
     
     
     
     
    “ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็ไอ้เต้ยมันรักพี่คิว”
     
    OoO
     
    >o<
     
    UoU
     

    “ห๊า!!!!” พวกผมแหกปากลั่นคอนโด ไอ้ปันที่หลับไปแล้วยังสะดุ้งตื่น ผมมองออกไปที่ระเบียงไอ้เต้ยยังคงเหม่ออยู่เหมือนเดิม
     
     
     


    ไอ้เต้ย รัก ไอ้คิว เป็นไปได้ยังไง
     
     
     







    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     
     





    ……………………………………………….
     
     
     
    กรี๊ดดดดดดดดด น้องเต้ยรักไอ้พี่คิวหรือนี่ แอร๊ยยย แต่ที่น่ากรี๊ดกว่า คือ มีผู้อ่านใจดีเปิดซิงตาล เอ๊ย เปิดซิงเขียนคำวิจารณ์ให้ด้วยคะ คือ คุณลายเมฆนั่นเอง แอร๊ยยย ปลื้มๆๆๆๆ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ตอนแรกเปิดมาหน้านิยายตัวเอง ตกใจว่าใครมาเขียนรายงานวิชาการอะไรเนี่ย นึกว่าเข้าผิดเว็บ กร๊ากกก เปิดมาใหม่ ว้าววว มีคนมาเขียนวิจารณ์ให้นี่เองแถมยาวมากๆด้วย ซึ้งงงงงงงงงงงงง
     
    คุณลายเมฆไม่ต้องกังวลว่าตาลจะโกรธหรืออะไรใดๆทั้งสิ้นคะ ตรงกันข้ามตาลต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ที่ให้ตาลได้รู้ว่ายังมีตรงไหนที่ควรปรับ แก้ไข แต่ละข้อที่แนะนำมาก็ตรงมาก ฮ่าๆๆ ยิ่งเรื่องอธิบายเวิ่นนี่ใช่เลย กรั่กๆ แล้วก็ได้รู้มุมมองของผู้ชายด้วย วันหลังเอามาบอกอีกก็ได้นะคะ จะเก็บข้อมูล ฮา
     
    อ่อ เห็นสงสัยเรื่องฐานะทางบ้านน้องพีมใช่มั้ยคะ พีมมันก็ค่อนข้างมีฐานะ(ฐานะยากจน กร๊ากกก) จริงๆพ่อน้องพีมเป็นลูกนักธุรกิจคะ ญาติๆฝั่งพ่อก็มีกิจการเป็นของตัวเอง มีตอนนึงที่พูดถึงพ่อพีมว่าเป็นลูกเจ้าของโรงงานแล้วก็มาเจอกับแม่ของพีม
     
    ส่วนอาปุ้ยที่พีมอยู่ด้วยตอนนี้ก็เปิดร้านกาแฟแล้วก็เป็นอาจารย์สอนในมหาลัยเอกชน บ้านน้องพีมก็ไม่เล็กไม่ใหญ่แต่น่าอยู่มวากคะ อาปุ้ยชอบความเป็นส่วนตัวเลยไม่จ้างแม่บ้าน^^ พ่อน้องพีมเป็นตำรวจยศ พ..อ (พันตำรวจเอก)เป็นรองผู้บังคับการอยู่เชียงใหม่นู่นคะ (ตายแน่ภูมิเอ้ย อิอิ)
     
    ส่วนเรื่องปริ้นอ่านนั้น ตามสบายเลยคะ ใครใคร่ทำอะไรทำได้ตามสะดวกจ้า อ่านในคอมมากๆก็เสียสายตาเนอะ แต่ถ้าใครจะเอาไปแปะบอร์ดอื่นก็ช่วยแก้คำผิดให้ด้วยนะคะ กร๊ากกกกก (แอบใช้งาน)

    เห็นคุณลายเมฆบอกว่าถูกแฟนบังคับให้อ่าน ฮา (น่าสงสาร คึคึ) เพราะอยากให้เป็นเหมือนภูมิ งั้นฝากขอบคุณแฟนด้วยนะคร๊า ที่ชอบเรื่องนี้ แล้วถ้าจะไปสวีทกันที่ไหนก็กระซิบบอกตาลบ้างนะคะ จะได้แอบตามไปเก็บความหวานมาเป็นพลอตให้นิยาย เขิลลลลล
     
    ไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นหรือคำวิจารณ์ก็เป็นกำลังใจที่มีค่ามากๆสำหรับคนเขียนทุกคนเนอะ รวมถึงตาลด้วย ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ ที่ชอบนิยายเรื่องนี้ งื้ออออออ เค้าซึ้งงงงงงงง ไปแระๆๆๆ เดี๋ยวตอบคอมเม้นตอนหน้านะคะ^__^

    ปล เห็นมั้ยว่าคลื่นไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด ก็แค่เพื่อนใหม่แค่นั้นเองคะ คึ
     



    ส่วนอันนี้คือลายสักของภูมิคะ

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×