ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 เอาคืน

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 64




    ตอนที่ 2

    เอาคืน

     


    “เฮ้ย! มีเรื่องอะไรกันวะ ไอ้พีม ไอ้ภูมิ”


    ผมพยายามหันไปมองเจ้าของเสียง แต่เอี้ยวคอได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถูกมือใหญ่ ๆ กำรอบคอเอาไว้
    อย่างเหนียวแน่น แขนและข้อมือมึงแข็งแรงดีมาก ขอชื่นชม ถ้าเพิ่มแรงอีกนิด ลูกกระเดือกกูแตกแน่นอน


    ผมเห็นจากหางตาว่าไอ้แทนผู้ซึ่งเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวคนดีคนเดิมของวันนี้ กำลังวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา ส่วนอีกด้าน
    ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบร้อยชีวิตดาหน้าเข้ามาใกล้ผมเช่นกัน ถ้าให้เดาคงเป็นเพื่อนของไอ้ป๊อปอายพลังผักโขมนี่อย่างแน่นอน 

    แห่กันมาเยอะขนาดนี้ ศพเละแน่กู ขอเชิญพบและสัมผัสกับประสบการณ์เข่าอ่อน ขาเปลี้ยครั้งแรกในชีวิต
    ณ ข้างสนามฟุตบอลคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ ณ บัดนี้


    “มึงรู้จักไอ้เตี้ยนี่ด้วยเหรอแทน”


    นายคิดเหมือนเราเลยบีหนึ่ง ผมก็กำลังสงสัยเหมือนกัน เพราะเมื่อกี้ไอ้แทนเพิ่งจะเรียกชื่อไอ้เวรนี่ และไอ้เวรนี่ก็เพิ่งเรียกกูว่าเตี้ยอีกแล้ว


    “รู้จัก ๆ มันชื่อพีมเป็นเพื่อนสนิทกูเอง มึงปล่อยมันก่อนนะภูมิ” ซึ้งว่ะ อย่างน้อยก่อนตายก็ได้ยินไอ้แทนพูดว่าผมคือเพื่อนสนิท เพราะก่อนหน้านี้กูคิดมาตลอดว่ามึงเป็นกาฝาก อโหสิกรรมให้กูด้วยนะเพื่อน ถ้าชาติหน้ามีจริง เราคงจะได้เกิดมาต้มมาม่าแบ่งกันกินอีก


    ไอ้แทนทำสีหน้าเคร่งเครียด มันค่อย ๆ เดินย่องเข้ามาหาพวกผมช้า ๆ พร้อมกับชูมือไว้ระดับอก กูว่าเหตุการณ์
    แม่งคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นตามข่าวอาชญากรรม ตอนตำรวจกำลังเกลี้ยกล่อมคนเมายาที่คลุ้มคลั่งแล้วจับเมียเป็นตัวประกัน


    “กูขอร้องนะภูมินะ ใจเย็น ๆ ปล่อยไอ้พีมก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน” ชัดเลย ประโยคแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ เกลี้ยกล่อมแบบนี้ กูคือตัวประกันชัวร์ ส่วนไอ้เวรนี่ก็รับบทโจรอย่างไม่ต้องสงสัย                                                                                            

    แต่ผมแอบข้องใจอยู่เรื่องหนึ่ง คนอย่างไอ้แทนที่แม่งไม่เคยขอร้องมนุษย์ตนไหน ไอ้แทนผู้ซึ่งเป็นนักเลงเก่าเป็นหัวโจกยกพวกตีคนนั้นทีคนนี้ทีแทบจะสามเวลาหลังอาหาร แต่กลับมาขอร้องอ้อนวอนคนพรรค์นี้อะนะ ทั้งดูจะเกรงอกเกรงใจ พินอบพิเทาไอ้สวะนี่แบบแปลก ๆ มันเป็นอะไร มันยังไงฮึ! ต่อมเสือกอยากออกมาดิ้นอีกล้าวววว แต่ติดตรง
    โดนบีบคออยู่เลยออกมาไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่มึงจะปล่อยกูไอ้เหี้ย หายใจไม่ออกโว้ยยยยย


    “มันปารองเท้าใส่กู!!!


    “มะ มัน เรียกกู ว่า ว่าไอ้เตี้ย แค่ก ๆ !!” ผมไอค่อกแค่ก แต่ใจยังสู้ เอาซี้ มึงคิดว่าตัวเองขี้ฟ้องได้แค่คนเดียวเหรอ เดี๋ยวมึงเจอกู ทุกคนต้องรู้เรื่องนี้พอตเตอร์!! แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมว่าตัวเองก็อึดถึกทนใช่ย่อย จะตายไม่ว่า ขอให้ได้ปากหมาไว้ก่อน


    “ก็มึงเตี้ยจริง ๆ”


    “จริงหรือไม่จริงมึงก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ร่างกายกูโว้ยไอ้เหี้ย”


    “ไอ้เหี้ยเหรอ มึงเรียกกูว่าไอ้เหี้ยเหรอ”


    “เออ เรียกไอ้เหี้ยแล้วมันทำไม! ฮะ! ทำไม! ก็มึงเหี้ย”


    “มึง-


    “เออ กู ทำไม-


    “หยุด!!! พอ!!!


    “มึงจะเลือกใคร!” ทั้งผมและไอ้มือตุ๊กแกผีต่างหยุดสาดน้ำลายใส่กัน แล้วหันไปถามไอ้แทนอย่างพร้อมเพรียง
    คนถูกถามแบบไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้งโหยง มองสลับไปมาระหว่างผมสองคนด้วยสีหน้าลำบากใจคล้ายจะร้องไห้ออกมา
    มึงไม่ต้องลำบากใจเลยแทนเพื่อนรัก ไม่มีเหตุผลอะไรที่มึงต้องลังเล การเลือกครั้งนี้ง่ายนิดเดียว เพราะเราคือเพื่อนรักกัน
    กูเป็นคำตอบเดียวของมึงเท่านั้น พูดออกมาเลยแทน ง่าย ๆ แค่ปลายลิ้น
    จัสต์ เซย์ อิต


     “เอ่อคือ...”


    “แทน!! กูเป็นเพื่อนมึงนะ” แล้วยังตะโกนออกมาพร้อมกันอีกครั้งเสียด้วย ว่าแต่ไอ้นี่มันเป็นเพื่อนไอ้แทนอย่างนั้นเหรอ เพื่อนฝ่ายไหนวะ ทำไมผมไม่รู้จัก ผมคิดพลางออกแรงดิ้นให้หลุดจากมือของมัน แต่ก็ไม่เป็นผลสักเท่าไร ดิ้นเองเหนื่อยเองก็เลยหยุดเองก็ได้ ส่วนมันก็ยังจ้องหน้าผมในระยะที่นับเส้นขนตากันได้ พอเห็นว่าผมหยุดนิ่งมันก็หันไปมองไอ้แทน แล้วก็หันกลับมาจ้องหน้าผม แล้วก็หันไปหาไอ้แทนอีกรอบ มึงจะดูโหงวเฮ้งเหรอ


    “ภูมิ เรื่องแค่นี้เอง ค่อย ๆ คุยกันดีกว่า ไหน ๆ มันก็เป็นเพื่อนไอ้แทน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”


    ใครสักคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ไอ้แทนเอ่ยขึ้น ผมเห็นจากหางตา คอกูหันไม่ได้แล้วครับตอนนี้ โดนผีบ้าบีบจนระบมไปหมด และเมื่อผมได้ยลโฉมคนผู้นั้น แม้จะไม่แจ่มชัดนัก แต่ก็ชัดพอที่จะเห็นแสงนวลเรืองรองเปล่งออกมารอบตัว เหมือนมีออร่าผู้ดีมีชาติตระกูลลอยอยู่รอบ ๆ เห็นหน้าแล้วอยากใช้คำราชาศัพท์ อารมณ์นั้นเลย ที่สำคัญมันตัวสูงมาก มนุษย์ตัวสูงอีกแล้วเหรอ แถวนี้โคตรไม่น่าอยู่เลย อิจฉาโว้ย กูก็อยากสูงชะลูดตูดปอดยอดแฟชั่นแบบนี้บ้างเหมือนกันนะ จะได้ไม่มีใครปากหมามาตะโกนเรียกกูว่าเตี้ยกลางวันแสก ๆ (เรียกตอนกลางคืนก็ไม่ได้ ห้าม)


    “ช่าย ๆ คนมองกันใหญ่แล้วนะภูมิ มึงกล้าทำไอ้ตัวกะเปี๊ยกนี่ลงเหรอวะ”


    “สัด มึงว่าใครตัวกะเปี๊ยกวะฮะ!!!”


    ผมสะบัดคอกลับไปมองอีกทาง มองหาไอ้คนที่มันกล้าเรียกผมว่าเปี๊ยก เดี๋ยวเปี๊ยก เดี๋ยวเตี้ย พ่อกับแม่กูยังไม่เคยเรียกกูแบบนี้เลยนะไอ้พวกเวร

    ผมเตรียมจะกระโดดเข้างับคอไอ้หัวทองนั่น แต่ไอ้เวรนี่ดันปล่อยคอเสื้อผมกะทันหันจนผมเสียหลัก แล้วมันก็เอามือมายันหน้าผากผมเอาไว้แทน ผมเลยทำได้แค่ยืดแขนสั้น ๆ ออกไปหมายจะต่อยตี แต่ก็ทำได้แค่ดิ้นกระแด่ว ๆเหมือนปลากระดี่ขาดน้ำ เหมือนพวกโจรหน้าโง่ในละครหลังข่าว

                    ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะของพวกมันผมก็ยิ่งโมโห เสียงแม่งโคตรเยาะเย้ยอะ มันบาดลึกไปถึงหัวใจห้องซ้ายล่างของผมเลยนะ และผมคงจะไม่ปรอทแตกเลย ถ้าไม่ได้ยินเสียงไอ้แทนปนมากับไอ้พวกสวะนี่ด้วย กูไม่ใช่ตัวตลกของพวกมึงนะโว้ย


                    “เชี่ยแทน! มึงขำกูอ่อ” ผมกระแทกเสียงถาม ไอ้แทนรีบปิดปาก โบกไม้โบกมือปัดความผิดสุดตัวด้วยสีหน้าจ๋อย ๆ


                    “เปล่านะพีม เปล่า ๆ ๆ” ปากบอกเปล่า แต่หน้ากลั้นขำจนแก้มเขียวเลยนะ “ภูมิมึงเห็นไหมว่าไอ้พีมมันก็บ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้แหละ มันไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย มึงปล่อยเพื่อนกูเถอะ ถือว่ากูขอ แม่งมีเรื่องอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันดิวะ ก็เพื่อน ๆ กันทั้งนั้นอะ จริงไหมพวกมึง” มันหันไปขอความเห็นจากไอ้หัวทองและไอ้เทวดา รวมถึงบรรดาชายวิศวะที่พร้อมจะพุ่งเข้ามากระทืบผมได้ทุกเมื่อ คือกูงง ทำไมต้องพูดจาเหมือนกูผิด คนที่ผิดน่ะไอ้เหี้ยนั่นต่างหาก จะไปอ้อนวอนขอความเมตตาปรานีจากมันทำไมวะ


    คนตรงหน้าผมเหยียดยิ้มเยาะ ๆ ทันทีที่ไอ้แทนพูดจบ แล้วก็เริ่มขยุ้มคอเสื้อผมอีกหน โอ๊ยยยย มึงเป็นเหี้ยอะไรกับเสื้อกูมากปะเนี่ย หรืออยากได้ กูจะถอดให้ สาดด ปล่อยกู๊!!


    “กูไม่ปล่อย!!!/ไม่ต้องไปขอร้องมัน!!!”


    เสือกพูดพร้อมกันไปอีกกกก สามรอบนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วนะ พรหมลิขิตเหรอ หึ คราวเคราะห์                                          

    ผมจ้องตามันอย่างไม่ลดละ มันเองก็จ้องกลับมาอย่างไม่ยี่หระเช่นกัน หน้าแม่งโคตรใสเลยว่ะ ผิวเนียนละเอียดมาก สิวสักเม็ด ผดสักนิดก็ไม่มี ถ้าถามเคล็ดลับการดูแลผิวหน้าของมันตอนนี้จะผิดคิวไหมวะ


    “พวกมึงเห็นหรือยังว่ามันไม่ได้สำนึกเลยสักนิด”


    “หึ คนที่ควรจะพูดคำนั้นน่ะต้องเป็นกูนะ ไม่ใช่มึง”


    “อ้อ-เหรอ” เป็นเหรอที่กวนส้นตีนมาก ไอ้                                                                                                                    

    และระหว่างที่กำลังทำสงครามยุทธหัตเนตรกันอยู่นั้น (ไม่มีช้าง มีแค่สายตาเลยไม่ใช่ยุทธหัตถี) ไอ้มือตุ๊กแก
    ก็ใช้สายตาแปลก ๆ กวาดมองผมตั้งแต่หัวจดปลายเท้า แล้วค่อย ๆ เผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมทั้งพูดออกมาว่า


    “อืมมม ดู ๆ ไปมึงก็หน้าตาน่าเอ็นดูเหมือนกันนะ ถือว่าเห็นแก่ไอ้แทน กูจะปล่อยมึงไปก็ได้ แต่มึงต้องขอโทษกูก่อน”


    โอ้โฮ พ่อมึง


    “ละเมอเหรอไอ้สัด มึงเตะบอลมาโดนกู แถมยังเรียกกูแบบไร้มารยาท แล้วจะให้กูขอโทษอีก? มึงเพี้ยนปะกูถามจริง” รอไปเถอะ รอให้เกลือสินเธาว์หวานเท่าน้ำตาลมิตรผลก่อนเถอะ กูถึงจะยอมขอโทษมึง มันกัดฟันกรอดจนกรามขึ้นเป็นสันก่อนจะก้มตัวโน้มใบหน้าใส ๆ ลงมาพูดใกล้ ๆ กับหน้าผม


    “หึ ปากดีจริงนะ กูให้โอกาสขอโทษดี ๆ ไม่ทำ งั้น” มันเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพ่นคำคำหนึ่งออกมา คำที่ทำให้เลือดในร่างกายของผมร้อนฉ่าจนแทบจะปะทุออกมา


    “กราบตีนกูสิ แล้วกูจะปล่อย”


    ว้าวววววว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ผมถึงกับเป็นบ้าพูดไม่ออก ไปไม่เป็นเลยครับ  


    ผมรู้สึกได้เลยว่ากำลังโมโหจนข้างขมับเต้นตุบ ๆ เนื้อตัวสั่นเทา ลูกกะตาเบิกโตจนแทบจะถลนกระเด็นกระดอนออกมาเต้นระบำแซมบานอกเบ้า


    กราบ? เฮอะ มึงเป็นใครถึงจะให้กูกราบ คนเดียวที่กูจะกราบคือสิทธัตถะโว้ย แม่งโตมาแบบไหนถึงได้สันดานแย่ขนาดนี้วะ มารยาททรามหนึ่ง บ้าอำนาจหนึ่ง อินละครจักร ๆ วงศ์ ๆ อีกหนึ่ง


    และความอดทนทั้งหมดทั้งมวลของผมก็ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด มันหมดลงแล้วโดยสิ้นเชิง ตอนที่เห็น
    รอยยิ้มกวน ๆ ของมัน ไม่ต้องรอให้ศาลสั่งหรืออัยการส่งฟ้อง ผมก็ตัดสินความผิดของมันด้วยการ...


    เตะผ่าหมากครับ!!!


    “โอ๊ยยยยย!!!!!! เชี่ยยยยย”


    ไอ้คนอัปรีย์ทรุดฮวบคุกเข่าลงไปกุมจูโมะโกะพร้อมกับแหกปากร้องลั่นแทบไม่เป็นภาษา เพราะว่าร้องได้แค่สองคำ
    ก็ร้องไม่ออกอีกเลย หน้ามันเปลี่ยนสีเป็นเฉด ๆ ประหนึ่งใช้
    เมย์เบลลีนนิวหยวก


    ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ฟาดหนักเสียด้วยสิ หูเขียวเลย บรรดาเพื่อน ๆ ของมันต่างพากันกรูเข้าไปดูอาการ พลางตะโกนโหวกเหวกโวยวาย จนฟังไม่ได้ศัพท์ หึ ไม่ต้องดูให้เสียเวลาหรอก รับรองว่าไม่มีทางชูคอขึ้นมาขันขยายพันธุ์ (แย่ ๆ) ไปอีกนานแสนนาน แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ไอ้ชั่วนั่นมันก็ยังไม่วายมองผมด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย พยายามจะยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าผม แต่มือสั่น ๆ ก็ตกลงข้างตัว ช่างน่าสมเพชเหลือเกินหำน้อย

     

    ผมยืนมองมันหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้นราว ๆ สองวินาที แล้วรีบวิ่งหนีออกมาโดยไม่สนใจเสียงขู่คำรามกัดฟันของมัน ไม่สนใจเสียงเรียกให้รอของไอ้แทน เมื่อออกมาห่างจากจุดเกิดเหตุได้ ผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเดินไปทิศทางไหน ความโกรธนี่แม่งน่ากลัวจริง ๆ หัวใจผมเต้นรัวเร็ว เสียงลมหายใจหอบดัง จนต้องบอกตัวเองว่าให้ค่อย ๆ หายใจเข้าออกช้าๆ ผมคลายมือที่เผลอกำแน่นอยู่ออก แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกำเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน ผมกลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอที่แห้งผาก หลับตาเพื่อหวังว่าจังหวะการหายใจจะผ่อนคลายขึ้น แต่ในวินาทีถัดมาผมก็ลืมตาเบิกค้าง แล้วตะโกนออกมาดัง ๆอย่างคับแค้นใจ


    ไอ้เหี้ยยย กูลืมเกิบบบบบบ

     



    ผ่านมาแล้วสามวันกับเหตุการณ์สุดระทึกขวัญสั่นประสาทที่สุดในชีวิตของหนุ่มน้อยหน้ามนคนดวงเหี้ยแห่งปี       ระยะเวลาสั้น ๆ แค่สามวันไม่อาจทำให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ก็จริง แต่คนโลกสวยอย่างผมก็พอจะแกล้ง ๆ ลืม ๆ เรื่องซวย ๆ ที่คว(า)ยมันมาสร้างไว้ให้ได้เป็นบางช่วง ก็ต้องขอขอบคุณไปยังผู้สนับสนุนหลักอย่างอาจารย์ทุก ๆ ท่าน
    ที่พร้อมใจกันสั่งงานให้นักศึกษาปั่น จนกูแทบไม่มีเวลาได้ลืมตามาเป็นทุกข์เรื่องอื่นในชีวิตเลย เพราะแค่เขียนรูป ปั้นดินปั้นปูนส่งก็ทุกข์ยิ่งกว่าพุทธองค์ตอนบำเพ็ญ
    ทุกรกิริยาเสียอีก ฮาเลลูยา


    ผมก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ (เผางานก่อนเดดไลน์เป็นปกติ) ทั้งที่ในใจลึก ๆ ก็แอบหวั่น ๆ ระแวงว่าไอ้ภูมิ (ล่าสุดคือจำชื่อคู่กรณีได้แล้วครับ จำขึ้นใจเลยตอนนี้ และคงจะไม่ลืมชื่อนี้ไปอีกนาน) มันจะโผล่มาเอาคืนเหมือนกันครับ แหะ ๆ                          

    เมื่อความโกรธที่บังตาค่อย ๆ หายไป สติก็เกิด จึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั้นมันก็ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยเลยชักจะเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันว่าไอ้ภูมิมันจะมาดักซุ่มตีหัวผมหรือเปล่า แค่มีเรื่องทะเลาะวิวาทก็ว่าน่าปวดหัวแล้วนะ สำหรับคนรักสงบและหลบเลี่ยงการปะทะอย่างผม แล้วนี่กูยังสาระแนแดะแด๋ไปมีเรื่องกับเด็กวิศวะอีก สุดยอดไปเลย                 

    ไม่รู้แม่งจะพากันยกพวกมารุมสวดอภิธรรมผมวันไหน คิดไปคิดมาก็ขาดสติอีกรอบ พานคิดโมโหไปยันไอ้แทนแม่งกระแดะอยากอวดเมียจนกูได้เรื่อง แต่จะโทษไอ้แทนก็คงไม่ถูกนัก เพราะคนที่ผิดเต็มๆผิดแบบทุกมาตราน่ะคือไอ้เวรภูมินั่นต่างหาก มันสมควรร่างจดหมายมาขอโทษผมด้วยซ้ำ ว่าไหมครับ                                                                                                                                 

      หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น ไอ้แทนก็มาเล่าความหลังร่ายกาพย์เรื่องราวสมัยขาสั้นคอซองให้ผมฟังว่าไอ้ภูมิเป็นเพื่อนซี้อีกคนของมัน รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมอปลาย เป็นความสัมพันธ์แบบ 2499 อันธพาลครองเมือง ชกต่อย แข่งรถ ดวลปืน ผู้หญิง อะไรเถือก ๆ นั้น ผมก็เลยถึงบางอ้อทันที คือว่าเมื่อก่อน ทั้งไอ้แทน ไอ้เชน ไอ้คิวเคยทำตัวเป็นเจ้าพ่อก่อตั้งแก๊งเด็กเหี้ยน่ะครับ ส่วนพวกไอ้ภูมิก็คงเหี้ยเหมือนกัน ต่างก็แค่คนละโรงเรียน          

                                                                                                               

     ไอ้แทนเล่าว่าไอ้ภูมิคือปีศาจในคราบมนุษย์ ก็ยังดีที่มันยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ แม่งนิยามเสียน่ากลัวจนกูนึกว่าพระเทวทัตกลับชาติมาเกิด ส่วนคนที่จะไม่ได้เกิดคือข้าพเจ้าเองโยม ลากพระลากเจ้ามายำเละเทะหมดแล้วกู


    พวกมันอยู่ในสถานะคู่อริ พาร์ตนี้ไอ้แทนเล่าไปขำไปว่าตอนนั้นยังไม่เคยเจอหน้า ไม่รู้จักกัน แต่แค่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามก็เหม็นแล้ว พวกมันเกลียดกันแต่ก็ตามติดความเป็นไปของอีกฝ่าย เดี๋ยวนะ กดพอสสักครู่ กูงง ถ้าเกลียดเขาแล้วจะไปตามดูชีวิตเขาทำไม แม่งไม่เสียสุขภาพจิตเหรอวะ ทำแล้วมันได้อะไรขึ้นมา พีมไม่เก็ตครับจารย์                                                 


    แต่พอมองย้อนกลับไป ไอ้แทนมันก็ยอมรับนะว่าตัวเองย้อนแย้งและประสาทแดกอยู่พอตัว (ไอ้แทนมันเล่ามาแบบนี้เลยครับ ผมเปล่าใส่ไฟ ผมถอดความเก็บมาทุกเม็ด ไม่มีตกหล่น เชื่อถือได้ เพราะผมคือเจ้าชายแห่งวงการนินทา)        ต่อมาพอว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ มันก็หาเรื่องต่อยตีกันขำ ๆ ขำมากมั้งตีกันปากแตก เลือดอาบเนี่ย ก็คึกคะนองกันตามประสาวัยรุ่นเลือดร้อนที่ไม่ถูกชะตากัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากจะฆ่าแกงใครให้ตาย


    และแล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ถ้าเป็นหนังแอ็กชันก็คงจะเป็นตอนไคลแมกซ์สำคัญของเรื่องเลยแหละ พระเอกสองคนที่ห้ำหั่นกันมาตลอดเพราะอยู่คนละฝ่าย แต่แล้วก็ได้รู้ความจริงว่าถูกองค์กรลับของรัฐบาลหลอกใช้ เลยร่วมมือกันกำจัดองค์กรนั้นและอสูรร้ายที่คิดจะครองโลก เห็นไหม พล็อตหนังฮอลลีวูดใคร ๆ ก็เขียนได้ อันนี้ไอ้แทนไม่ได้เล่านะครับ ผมใส่สีตีไข่เองเพื่ออรรถรส


    ไอ้แทนไม่ได้ลงรายละเอียดตรงนี้เท่าไรด้วยซ้ำ มันบอกแค่ว่ามันเคยช่วยไอ้ภูมิกับเพื่อนอีกคนที่โดนเด็กอีกโรงเรียนรุม แม้จะรอดตายมาได้แต่ไอ้ภูมิก็ถึงขั้นต้องเข้าไอซียู ส่วนไอ้แทนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่เกือบเดือน จากนั้นศัตรูคู่แค้นก็เลยกลายมาเป็นเพื่อนแท้แสนรักจวบจนทุกวันนี้ นี่มันอัตชีวประวัติของแดง ไบเล่ กับ ปุ๊ ระเบิดขวด หรือเปล่าวะ ไปเปิดเสื้อดูแผ่นหลังมันซิ มีสักเสือเผ่นไหม


    พอได้ฟังไอ้แทนเล่าเรื่องราวเหล่านั้น ผมก็เลยนึกย้อนอดีตดูบ้าง พยายามควานหาไอ้ภูมิในบ่อความทรงจำแต่ก็ไม่เจอ ผมกับไอ้ภูมิไม่น่าจะเคยเจอกันมาก่อน แต่ไอ้แทน เดี๋ยวมึงเจอกู ก็ตอนนั้นที่ไอ้แทนเข้าโรงพยาบาล มันบอกผมว่ามันหักพวงมาลัยหลบลูกหมาที่วิ่งตัดหน้ารถ ก็เลยเสียหลักชนเสาไฟฟ้า ไอ้เหี้ย กูก็หลงชื่นชมว่าเพื่อนแม่งโคตรเท่ ยอมเอาชีวิตตัวเองแลกกับหมา ผมเลยวิ่งรอกเข้าออกโรงพยาบาลไปเยี่ยมมันอยู่เป็นเดือน ถ้ากูรู้ว่ามึงเข้าไปด้วยสาเหตุนี้นะ มึงจะได้พวงหรีดแทนนมถั่วเหลืองไอ้เวร ผมน่าจะปล่อยให้แม่งตาย ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขาจะไปกอดกับใครก็เชิญ ตายเลย ตายเลย ไม่น่าไปปรนนิบัติพัดวีมันเล้ยยย


    หลังจากฟังเรื่องเล่าจากไอ้แทนจบ ผมก็ค้นพบว่าไอ้ภูมิมันเข้าข่ายบุคคลอันตราย ห้ามเข้าใกล้ ห้ามให้อาหาร มันเรียนจบจากโรงเรียนเอกชนชายล้วนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมายาวนาน เป็นโรงเรียนคริสต์ที่บรรดาคุณหนูคุณชายผู้มีสตุ้งสตางค์ทั้งหลายเขานิยมเรียนกัน แต่เชี่ยนี่แม่งทำตัวสวนทางกับพันธกิจโรงเรียนทุกข้อ ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียนจบมาได้


    จากวีรกรรมและพฤติกรรมของไอ้ภูมิ ผมทำนายเลยว่ามันไม่น่าจะได้แก่ตาย ผมแปลกใจไม่น้อยที่มันยังมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ไม่ถูกโรงเรียนไล่ออก ไม่ถูกจับ ไม่โดนดักยิง แต่พอไอ้แทนกระซิบบอกว่าบ้านไอ้ภูมิเป็นเจ้าของกิจการอะไรบ้างในแผ่นดินไทย ผมก็เข้าใจทันที เงินน่ะมีไหมมมม ถ้ามีก็รอดจ้า เวลคัม ทู ไทยแลนด์

     


     ป้าบ!!


    “โอ๊ย! เชี่ย! เจ็บ” มือหนักแบบนี้มีคนเดียว ไอ้เหี้ยคิว


    เหม่อแต่เช้าเลยนะ”


    และก็ใช่มันจริง ๆ ด้วย ไอ้คิวยักคิ้วทักทายอย่างกวนตีน ก่อนจะวางโครงเฟรมไม้ไซซ์กลาง ๆ ลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางข้างตึกคณะศิลปกรรม อันเป็นสถานที่สิงสถิตในยามเช้า สาย บ่าย คํ่า ดึกดื่น เที่ยงคืนของพวกผม                   


    บริเวณนี้ถูกใช้เป็นแหล่งกบดานในเวลาที่เราคิดงานไม่ออกครับ แถมมีมหรสพมากมายให้เลือกสรร ดูถ่ายทอดสดมวยไทยเจ็ดสีบ้าง กรึ๊บเหล้าขาวบ้าง ถักผมเปียให้กันบ้าง หรือจะสูบบุหรี่ก็ได้ กัญชาก็มี รู้ว่าไม่ดี แต่บางทีการทำเรื่องไม่ดีเพื่อให้มีความสุขชั่วคราวมันก็ห้ามใจยาก ว่าไหมครับ


     พูดง่าย ๆ ก็คือที่นี่เป็นที่อยู่ของคนมีความรักในศิลปะ คนที่โหยหาแรงบันดาลใจ คนที่ฝันใฝ่อยากเป็นศิลปิน
    มีชื่อเสียงก้องโลก แต่วันนี้เป็นได้แค่คนที่มีงานค้างและมีโรคเครียด อ้อ โรคปวดหลังด้วย อย่าว่าแต่จะเป็นอาร์ทิสต์เลยครับ เป็นคนที่ได้นอนให้ได้ก่อนเถอะตอนนี้


    “ตั้งแต่ไปอ่อยเด็กวิศวะ กลับมาก็เชื่องขึ้นเยอะเลยนะมึง”


    “ปากหมา กูเคยไปอ่อยใครที่ไหนกัน”


    “ไอ้ภูมิไง มึงอ่อยกันท่าไหนวะถึงกับแอดมิตเลย”


    ไอ้คิวพูดไปหัวเราะไป ขำ ไอ้สัดขำ เห็นกูเป็นทุกข์แล้วขำใหญ่เลยนะ ผ่านมาสามวันแล้วยังไม่หยุดล้ออีก ผมละนึกอยากจะหยุดเหลาดินสอแล้วยื่นคัตเตอร์ไปเหลาหน้ามันสักแผลสองแผล

    ในทีแรกที่ไอ้คิวมันรู้ว่าผมมีเรื่องกับพวกเด็กวิศวะ แม่งก็แทบจะเหาะไปยำตีนสดให้ไอ้พวกนั้นได้รับประทาน แต่พอมันรู้ว่าคู่กรณีของผมเป็นใคร มันก็กลับลำ แล้วเอาแต่ถามซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่าภูมิไหน ใช่ภูมิที่มันคิดหรือเปล่า ถ้าใช่ แล้วทำไมผมถึงรอดมาได้ ผมบูชาเกจิอาจารย์วัดไหน ใครช่วยเหลือผมบ้าง หึ ไม่มีใครช่วยกูทั้งนั้นแหละ นอกจากลำแข้ง                 เพราะกูคือคนที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างแท้จริง


    “มึงรู้ได้ไงว่ามันแอดมิต” ผมถาม


    “เมื่อวานไอ้แทนมันโทรมาเล่าให้กูฟัง ตลกฉิบหาย เรื่องนี้จะถูกเล่าขาน อำมึงได้จนถึงวันตาย” ปากสว่างอย่างไม่มีใครยอมใครจริง ๆ เพื่อนกูแต่ละคน “แล้วนี่พวกไอ้โจยังไม่มาอีกเหรอวะ” ไอ้คิวถาม พลางคว้าห่อข้าวเหนียวกับหมูปิ้งของผมไปกิน สภาพหิวโซขนาดนี้แสดงว่าเมื่อคืนมันไม่ได้กลับไปนอนบ้านแน่ ๆ เพราะถ้าไอ้คิวนอนที่บ้าน เด็จแม่มันต้อง
    หาข้าวหาปลาให้กินก่อนมาเรียน


    “มันคงไม่มากันแล้วมั้งวันนี้ ในชอปมีแค่พวกไอ้ฝ้ายกับไอ้แป้งนอนตายอยู่ ละมึงไม่ได้ไปแดกเหล้ากับพวกมันเหรอเมื่อคืน”


    “ไปไหวก็เทพเกินคนแล้วไอ้เหี้ย ส่งงานเสร็จกูน็อกเลยเมื่อวาน ดีนะที่ไม่ได้ขับรถมา ไม่งั้นวันนี้มึงได้อ่านข่าวหน้าหนึ่งแล้วแคระ สลด สังเวยการศึกษา ดับอีกหนึ่ง นิสิตชายหน้าตาดีขับรถพุ่งชนเสาไฟฟ้าดับคาที่ คาดสาเหตุมาจากอดนอนปั่นงานจนหลับใน”


    “น่าสงสารเสาไฟเนอะ” กูหมั่นไส้นัก จะตายแล้วยังห่วงชมโฉมตัวเองอีก “แล้วมึงไปนอนไหนมาเมื่อคืน”

     

                   “อะเสือก มึงเป็นเมียกูเหรอถึงได้มีสิทธิ์มาซักมาไซ้ว่ากูไปนอนที่ไหนมา เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนไหมจ๊ะ
    เดบิวต์สู่การทะเลาะวิวาทครั้งแรกก็ซ่าข้ามรุ่นไปตีกับเด็กวิศวะ แล้วในจำนวนเด็กวิศวะล้านคน มึงยังเสือกจั่วได้ไอ้ภูมิอีก
    กูประทับใจมาก ฮ่า ๆ ๆ” ไอ้คิวหัวเราะอ้าปากกว้างทั้งที่ยังมีข้าวอยู่เต็มปาก มันปรบมือช้า ๆ แบบกวนตีน “ดวงคนจะ
    ถึงฆาตอะเนาะ อะไรก็เป็นไปได้ ถ้าถึงคราวตาย ไม้จิ้มฟันทิ่มก็ตายได้ กูเชื่อแล้ว”


    “มึงไม่ต้องขู่กูหรอกคิว กูไม่กลัว เพราะกูรู้ว่ายังไงพวกมึงก็ต้องช่วยกูอยู่แล้ว” ผมยักไหล่ หยิบดินสออีอีแท่งใหม่มาเหลาต่อ ไอ้คิวครางเสียงต่ำ ๆ ในลำคอพลางส่ายหน้าปฏิเสธ                                                                                                                         

    “ใคร ใครเขาจะช่วยมึ้งงงง กูขอบายนะจ๊ะ เพราะคนสุดท้ายบนโลกที่กูอยากจะมีเรื่องด้วยก็คือไอ้ภูมิ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้กูไม่เกี่ยวจ้า ตัดกูออกเลยจ้า” สิ่งเดียวที่ผมอยากตัด ณ เวลานี้คือคอไอ้คิว มึงจะไซโคกูเพื่ออออ แค่นี้กูยังหลอนไม่พออีกเหรอ


    ถึงผมจะกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็มีบางแวบเหมือนกันที่เผลอคิดว่า ถ้าเกิดไอ้ภูมิมันอยากแก้แค้นผมขึ้นมาล่ะ ด้วยอำนาจบารมีเงินของมัน ผมก็คงเปรียบเหมือนลูกเป็ดตัวเล็ก ๆ จะบีบก็ตายจะค(ล)ายก็ตะขาบ น่ากลัวพอ ๆ กัน มันคงจะจัดการกับผมได้ไม่ยาก มันอาจจะสั่งให้คนมาดักสะกดรอยตามผม พอสบโอกาสก็ลักพาตัว จากนั้นมันก็คงจะทรมานแล้วฆ่าหั่นผมเป็นชิ้น ๆ ใช่ปะ ฮือออ กูไม่น่าดูหนังเยอะเกินไปจนต่อมจินตนาการทำงานดีขนาดนี้เลย


    “อะ ๆ ๆ เริ่มกลัวละสิมึง กลัวละซี่ ลองไปกราบมันสิเผื่อมันจะให้อภัย ไม่งั้นมึงได้หายไปแบบไร้ร่องรอยแน่”
    ไอ้คิวพูดจบก็หัวเราะเสียงดังอีกรอบ มันปั่นละผมว่า แกล้งอำให้กูกลัวชัวร์ ไอ้ภูมิมันก็แค่คนธรรมดาทั่วไปปะวะ มันจะมีอำนาจอะไรมาทำร้ายชีวิตคนอื่นเป็นผักเป็นปลาขนาดนั้น


    “เชี่ยคิวหยุดเห่าเถอะ กูไม่เชื่อ...โอ๊ย ใครแม่งตบหัวกูอีกวะ” ตบเข้าไป ตบให้สมองกูไหลเลยนะพวกมึง


    “ไงมึง ได้ข่าวว่าไปสร้างวีรกรรมกับเจ้าพ่อมาเหรอ จองวัดยังวะ” เสียงทุ้มนุ่มหวานอาบยาพิษแบบนี้
    จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้เชน


    “รอจองพร้อมมึงอะ ข่าวเร็วเชียวนะ” ผมหันไปมองเจ้าของรอยยิ้มเจิดจ้าและดวงตาที่เป็นประกายวิบวับ
    เหมือนเมาเนื้ออยู่ตลอดเวลา หนุ่มหล่อแห่งคณะทันตะโยนถุงของกินลงกลางโต๊ะก่อนจะนั่งลงอีกด้าน และเปรตที่รอ
    ส่วนบุญส่วนกุศลอย่างไอ้คิวก็พุ่งไปคว้าถุงนั้นเปิดถุงนี้ แล้วแหวกถุงรื้อของออกมากินทันที


    “ไอ้แทนมานอนห้องกูเมื่อคืน ตอนมันโทรหามึง” ไอ้เชนหันไปพูดกับไอ้คิว “กูก็นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ” เชี่ยแทน มึงนี่มันเหลือใครในระบบสุริยะจักรวาลที่ยังไม่รู้เรื่องผมกับไอ้ภูมิอีกไหมครับ ผมจะได้ให้ไอ้แทนออกจดหมายเวียนแจ้งข่าวทีเดียวเลย   “กูโคตรเซอร์ไพรส์เลยนะที่เห็นมึงยังมีชีวิตอยู่ นึกว่าจะได้เจอกันอีกทีในนรก”


    “เสียดายเนอะ กูก็ว่าจะลงไปสวัสดีพ่อมึงเหมือนกัน แต่ไม่เจอก็เลยรีบขึ้นมาก่อน” ไอ้เชนหัวเราะชอบใจ ผมเลยหัวเราะ เหอ ๆ ประชดมันบ้าง ที่จริงผมก็พอจะรู้นะว่าพวกมันรวมหัวกันปั่นเพื่อแกล้งให้ผมกลัว เรื่องนี้น่ะเข้าใจ แต่เรื่องที่ผมไม่พอใจคือการที่เพิ่งมารู้ว่าเพื่อนผมแม่งรู้จักไอ้ภูมิกันทุกคนนี่แหละ แล้วทำไมกูถึงไม่รู้จักมันวะ


    “แล้วมึงไม่มีเรียนหรือไงไอ้หมอ ถ่อมาหาพวกกูแต่เช้าเนี่ย” ไอ้คิวถามขึ้นในตอนที่มีปาท่องโก๋ครึ่งตัวคาอยู่ในปาก


    “มี แต่อาจารย์ยกคลาสไปสิบโมง กูเลยแวะมาสืบข่าวคราวเพื่อนพีมก่อนว่ายังหายใจอยู่ไหม”


    “ไม่จบ ไอ้สัด ยังไม่จบบบ” ผมพูดเนือย ๆ พวกมันสองตัวหัวเราะคิกคัก จากนั้นเราก็เปลี่ยนประเด็นพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย สารพัดสารเพ สุดแท้แต่จะนึกได้ ไอ้เชนมักจะแวะเวียนมาหา มาเล่นกับพวกผมบางครั้งบางคราว มาทีไรก็จะมีขนมมีของกินติดไม้ติดมือมาฝากตลอด มันมานั่งชมนกชมไม้ เดินดูงานศิลปะดูภาพเขียน สิบยี่สิบนาทีแล้วก็ไป มันบอกว่ามันชอบบรรยากาศ ชอบผู้คนคณะผม เพราะแปลก ๆ ดี เห็นแล้วสบายใจ


    “คิว”


    “ว่า”


    “เมื่อวานมึงไปทำไรที่คณะกู” จบคำถามของไอ้เชน ผมก็ชะงักมือที่จับมีดอยู่ทันที ส่วนคนถูกถามถึงกับสำลักน้ำเต้าหู้ ไอ้คิวมุ่นคิ้วมองไอ้เชนเหมือนฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ทำหน้างง ๆ แกล้งชี้มือชี้ไม้คุยเป็นภาษามือ เหมือนไม่เข้าใจประโยคคำถามง่าย ๆ นั่นแน่ กูว่าแล้วไง มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ ๆ ตอนกลางวันก็หายหัว แถมชิ่งไม่ไปกินเหล้ากับเพื่อนอีก บ้านก็ไม่ได้กลับ                                                                                                                                                                                                                


    “อย่า อย่าปฏิเสเพราะ-กู-เห็น” ไอ้เชนพูดดักคออย่างช้า ๆ ชัด ๆ เน้นทีละคำ ผมแทบตีปีกพึ่บพั่บ ได้เวลาสนุกแล้วซี ได้เวลาสนุกแล้วซี ลาล่า โพ ตีกัน ๆ


    “เห็น? เห็นไร จำคนผิดเปล๊า” มีเสียงอะไรที่ผันได้สูงกว่าเสียงวรรณยุกต์ตรีอีกไหม เอามาให้ไอ้คิวยืมหน่อยครับผมหัวเราะด้วยความสะใจ ไม่คิดเลยว่าจะได้เอาคืนไวขนาดนี้ เวรกรรมมันติดจรวดดด กูเชื่อแล้วววว                                                     

    ไอ้คิวทำสายตาเลิ่กลั่ก กลอกไปมาซ้ายทีขวาที พิรุธชัดขนาดนี้มึงไม่ต้องสอบสวนแล้ว จับมันไปประหารเลยเชน
    ไอ้เชนมันเป็นลูกครึ่งคนกับหมาครับ เป็นพวกกัดไม่ปล่อย อยากรู้ ต้องได้รู้ นั่นเป็นข้อดีของมัน แต่ก็เป็นข้อควรระวังของพวกผมเช่นกันว่าถ้าทำอะไรผิดก็อย่าเผลอ


    “มึงจะไม่ยอมรับ?


    “ไอ้สัดเอ๊ยยยย แม่งเห็นได้ไงวะ” ในที่สุดเชี่ยคิวก็ยอมจำนน ผมกับไอ้เชนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน “มึงไม่ได้เรียนแล็บ
    ที่ตึกแพทย์เหรอเมื่อวาน กูอุตส่าห์สืบตารางเรียนมึงเพื่อกันเสือกแล้วนะ”


    “ละตกลงมึงไปทำไรที่คณะกู” ไอ้นี่ก็จี้มันจัง มึงเป็นโจรปะเนี่ยเชน จี้เก่งละเกิน


    ไอ้คิวไปทำอะไรที่นั่นก็น่าสนใจอยู่หรอกครับ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือทำไมเขาถึงยอมให้มันเข้าตึกคณะทันตแพทย์ คือว่าสภาพไอ้เหี้ยคิวเนี่ย ดูยังไงก็โจรอะ ถึงมันจะเป็นขวัญใจใครหลายคนด้วยลุคหนุ่มหล่อเซอร์ ติสต์ ๆ แต่พี่รปภ.ก็ไม่น่าจะหวั่นไหวไปกับมันอย่างแน่นอน ว่ากันง่าย ๆ คือ ไอ้คิวแม่งแต่งตัวผิดระเบียบตั้งแต่หัวจดตีนแบบนี้ มันเข้าคณะทันตะได้เยี่ยงไร


    “กูไปกินข้าว”


    “ปกติมึงก็หาแดกแถวนี้”


    “กูอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”


    “สัด ตอแหล แล้วทีกูชวนมึงไปกินที่คณะไอ้แทนอะ ทำไมไม่ไป” ผมช่วยไอ้เชนทำการง้างปากเหี้ยครับ อีกอย่าง
    ถ้าวันนั้นมันไปกับผม เรื่องแย่ ๆ ซวย ๆ ก็คงไม่เกิดกับกูแน่นอน อันนี้แค้นส่วนตัว


    “เออ ๆ ๆ กูไปกินข้าวกับน้องมิ้ง พอใจพวกมึงยัง แม่ง!!!


    “มิ้ง? มิ้งไหนวะ แฟนมึงไม่ได้ชื่อเจนเหรอ” เจอคำถามของผมเข้าไป ไอ้คิวจากที่หน้าเซ็งอยู่แล้วก็ยิ่งดูเบื่อหน่ายหนักกว่าเดิม


    “ใช่น้องมิ้งที่เป็นลีดปีหนึ่งหรือเปล่า” ไอ้คิวพยักหน้า สีหน้าคนละเรื่องกับตอนที่ได้ยินชื่อพี่เจน


    “แล้วน้องเขารู้หรือเปล่าว่าคนเหี้ย ๆ ที่น้องไปกินข้าวด้วยน่ะมีแฟนแล้ว”


    “โห แคระ ก็ถ้าจะพูดขนาดนี้ มึงด่าแม่กูเลยก็ได้นะ”


    “อ้าว ได้นะนฤมล” ไอ้คิวขำพรืดเมื่อผมล้อชื่อแม่มัน ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันอีกสักยก แต่ไอ้เชนยกมือห้ามไว้เสียก่อน


    “มึงจีบน้องมิ้งเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกกู เผื่อกูช่วย” แต่สีหน้ามึงกำลังฟ้องว่าเสียดายอะเชน


    “ถุย ช่วยคาบไปแดกเองละสิมึง”


    “เปล่าาาา มึงก็พูดไป แฟนเก่ากับน้องสาวเพื่อน เราสัญญากันว่าจะไม่ยุ่ง กูจำได้น่า คนที่เพื่อนจีบก็ด้วย” ไอ้เชนพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะหยิบตับปิ้งมากัดอย่างสบาย ๆ ท่าทางมึงไม่เหมือนคนที่รักษาสัญญาเท่าไรเลยเชนตอนนี้ 


    “เรื่องมิ้งเอาไว้ก่อน กูอยากรู้เรื่องพี่เจนว่ามึงจะเอายังไง มึงทำแบบนี้แม่งก็เหี้ยอยู่นะคิว จะไปจีบ ไปเดตกับใคร ทำไมไม่เคลียร์กับพี่เขาให้จบ ๆ ก่อน”


    “เอาจริง ๆ กูว่าพี่เจนแม่งก็รู้เถอะ เขาไม่ได้โง่นะ เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำตัวเหี้ย ๆ ซะทีวะคิว ปล่อยให้ไอ้เชนมันเหี้ยไปคนเดียวก็พอแล้ว”


    “อ้าว” ไอ้เชนที่เพิ่งเทศนาเพื่อนไปเมื่อครู่ถึงกับสำลักอากาศ หันมายกมือไหว้ผมท่วมหัว ส่วนไอ้คิวนั่งหน้าแห้ง
    แดกอะไรไม่ลง มันถอนหายใจ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาชันเข่าบนเก้าอี้


    “ก่อนจะคบกัน กูก็บอกเจนแล้วว่าสันดานกูเป็นยังไง”


    เรื่องนี้ขอออกตัวแทนเพื่อนหน่อยนะครับว่าจริง ถึงไอ้คิวมันจะเหี้ยแค่ไหน แต่ว่าก่อนที่มันจะคบกับใคร
    มันก็บอกหมดนะว่ามันเป็นคนยังไง และมันจะไม่เปลี่ยน รับได้ไหม ถ้าใครรับได้ก็คบ ทนไม่ไหวก็จบ


    ซึ่งทฤษฎีที่ว่ามนุษย์เราชอบความท้าทายอาจจะจริงก็ได้มั้งครับ คนดี ๆ เสือกไม่รัก ไอ้พวกความสัมพันธ์แย่ ๆ
    ชวนเสียสุขภาพจิตนี่ชอบกันนัก แฟนที่ผ่าน ๆ มาของไอ้คิวก็เหมือนกัน หลายคนคงเคยคิดที่จะเปลี่ยนมัน คงคิดว่า
    จะหยุดมันได้ แต่เท่าที่เห็นก็พิสูจน์แล้วว่าไม่เคยมีใครคิดถูก


    ในมุมมองของคนที่ไม่เคยมีความรักอย่างผม ผมว่าความรักแม่งซับซ้อนเข้าใจยากเหมือนกันนะ มันยากเกินกว่า
    จะอธิบายว่าทำไมบางครั้งหัวใจคนเราถึงปฏิเสธความรู้สึกดี ๆ จากคนดี ๆ แล้วไปเลือกคนที่รู้สึกว่าใช่ แม้จะไม่ค่อยดีเท่าไร
    ก็ตาม ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวันเพื่อนของผม ทั้งไอ้เชน ไอ้คิว ไอ้แทน จะเจอกับใครสักคนที่ใช่ แล้วไม่ไปสร้างบาดแผลให้ใคร
    รวมถึงตัวพวกมันเองด้วย


    “กูว่ากูไม่ได้รักเจนว่ะ” 


    “อ้าว” ผมกับไอ้เชนอุทานขึ้นมาพร้อมกัน


    “คือไอ้เหี้ย ทำไมกูต้องมาพูดเรื่องนี้ด้วยวะ" ไอ้คิวก้มหน้าเหมือนพูดกับไม้หมูปิ้งในมือ มีเสียงแจ๊บๆเหมือนมันกำลังใช้ลิ้นดุนดันหาเศษอะไรสักอย่างในซอกฟัน อุบาท 

    "คือกูไม่รู้ว่าอะไรคือรัก มึงเก็ตปะ”


    “ไม่เก็ต" ผมตอบกลับทันควัน "พวกมึงรักกันเลยเป็นแฟนกัน คนเป็นแฟนกันก็ต้องรักกัน ไม่ใช่แบบนี้เหรอวะ” 


    “ไม่รู้ว่ะ” ไอ้คิวถอนหายใจ “เป็นแฟนกันมันก็เหมือนเป็นแค่ข้อตกลงว่าเราจะได้ทำอะไรดี ๆ ด้วยกัน เอากัน
    แต่กูไม่รู้ว่ามันคือรักหรือเปล่า แต่ชอบน่ะชอบแน่ๆ กูชอบเจน เจนชอบกู เดตกันแล้วโอเค ก็เลยคบ แต่กูไม่รู้ว่าไอ้ที่คนแม่งเรียกว่ารักเนี่ย
    คือพาร์ตไหน”


    “ไปบอกเลิกเถอะ เชื่อกู จะได้ไม่มีใครต้องเสียเวลา ทั้งมึงทั้งพี่เจน”


    ไอ้เชนคิดเหมือนผมเด๊ะ ถ้าไปต่อไม่ไหวแล้วทำไมไม่เลิก พี่เจนก็จะได้ไม่เสียเวลา ไม่เสียใจ ไม่เสียน้ำตา คือพี่เจน
    เป็นคนน่ารักมากครับ น่ารักทั้งนิสัยและหน้าตา ที่สำคัญคือพี่เจนเป็นคนที่คบกับไอ้คิวได้นานที่สุดในบรรดาแฟนที่มัน
    เคยคบมา


    “ไม่รู้ว่ะ เอาจริงกูจับได้ว่าเจนแม่งก็กลับไปคุยกับแฟนเก่าน่ะ เลยทะเลาะกัน แล้วก็ห่าง ๆ กัน กูเลยนั่นแหละ
    ไปกินข้าวกับมิ้ง”


    “สรุปคือเหี้ยทั้งคู่ว่างั้น”


    “ก็เปล่า กูเนี่ยเหี้ยเอง เจนอะดี ดีมากด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่ะ กูอยากให้เจนเป็นคนขอเลิกมากกว่า อย่างน้อยก็จะได้พูดได้ ว่าเป็นฝ่ายทิ้งกู” อื้อฮือ แมนสัด ๆ แมนโคตร ๆ เป็นคนดีจริงจริ๊ง อยากถ่มถุยใส่หน้าแม่งสักทีกับตรรกะแบบนี้ของมัน ใครจะเป็นฝ่ายพูดแต่ผลลัพธ์แม่งก็เลิกกันอยู่ดีปะวะ ทุกคนฟังไว้เป็นอุทาหรณ์นะครับ บอกแล้วว่าความรักแม่งซับซ้อน
    อย่าริไปคบกับพวกที่มีดีแค่หล่อ


    “กูก็เข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องของมึง แต่ที่พูดก็เพราะเป็นห่วง โต ๆ กันแล้ว จะทำอะไรก็คิดดี ๆ แล้วกัน” บาทหลวงเชนพูดดีนะมึงแต่


    “ก่อนที่มึงจะสั่งสอนคนอื่น ช่วยรบกวนชะโงกดูเงาตัวเองด้วยครับเพื่อนเชนครับ” ผมหันไปเอาเรื่องไอ้เชนบ้าง
    เราจะไม่ปล่อยให้ใครลอยนวล การแว้งกัดอย่างทั่วถึงคือคุณสมบัติของกลุ่มเรา


    “เพื่อนเชนก็เป็นคนดีอยู่แล้วนี่ครับ มีอะไรต้องดูอีกเหรอครับเพื่อนพีม”


    “ขากกกกกก” ฮ่า ๆ ๆ ไอ้คิวได้ทีขากเสลดเสียงดังลั่นเลย


    “คนดีของมึงคือการเอากับคนไม่ซ้ำหน้าเหรอวะ” พวกมันสองตัวหลุดขำก๊าก


    “เชี่ยพีมมึงก็ถามตรงเกิ๊น”


    “เออ กูไปไม่เป็นเลยเนี่ย” ไอ้เชนหัวเราะ พูดแทบไม่เป็นภาษา “แล้วเซ็กซ์ไม่ดีตรงไหนวะเพื่อนพีม เซ็กซ์เป็น
    เรื่องธรรมชาติ พวกเราเกิดมาจากเซ็กซ์ จริงไหม” ไอ้เชนพูดยิ้ม ๆ ด้วยท่าทีสบาย ๆ ตามสไตล์ของมัน


    “แต่มันไม่ดี คนดี ๆ ที่ไหนเขาทำกัน”

    “อะไรดีหรืออะไรไม่ดี ใครจะตอบได้ มันเป็นอภิปรัชญา" ผมกับไอ้คิวหันมองสบตากันทันทีที่ไอ้เชนอ้าปากพูด สีหน้าเอือมระอากับการกรอกตามองบนของเราเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไอ้เชนหัวเราะลั่นแต่ก็ยังพูดต่อ "ยิ่งไอ้คำว่าคนดีเนี่ย มึงเอาอะไรเป็นตัววัด เกณฑ์ตัดสินของมึงคืออะไร การที่กูไม่เชื่อเรื่องผัวเดียวเมียเดียว แปลว่ากูไม่ใช่คนดีเหรอ ทั้ง ๆ ที่บางสังคมการมีหลายผัวหลายเมียถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา มึงจะเอาความคิด เอาความเชื่อของตัวเองมาตัดสินวิถีชีวิตของกูที่แค่เชื่อแตกต่างจากมึง ว่ากูเป็นคนเลว
    มันก็ไม่ค่อยแฟร์หรือเปล่า”


    “มึงอย่ามาเล่นลิ้นกับกูนะไอ้ชาละวัน” ผมหรี่ตา กรีดนิ้วชี้หน้าไอ้เชน มันขำจนสำลักข้าวต้มมัด


    “กูไม่ได้เล่นลิ้นนน กูแค่จะบอกมึงว่ากรณีของกู คือกูยังไม่มีแฟนไง แล้วก็ไม่ได้อยากมีความรักความผูกพันกับใคร เพราะงั้นก็ไม่ผิดปะที่จะไปไหนกับใครก็ได้ที่เขาเต็มใจและโอเคกับข้อเสนอของกู ก็วินวินทั้งคู่” พอไอ้เชนพูดจบ ไอ้คิวก็วางตับปิ้งลงแล้วยืนขึ้นปรบมือให้ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย 


    อันที่จริงผมรู้ว่าไอ้เชนมีมุมมองความรักความสัมพันธ์ยังไง ก็แค่แกล้งอำกันไปขำ ๆ และมันเองก็รู้ เพราะการอำกันเป็นเรื่องสนุกที่สุดของพวกเรา 



    “พีมมมม!!!”



    ผมสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ผมหันไปกะจะด่ามัน
    สักหน่อยที่ทำตัวเป็นศูนย์กระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์ เผยแพร่เรื่องราวข่าวสารของผมอย่างทั่วถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ไร้จรรยาบรรณเกินกว่าจะให้อภัยได้ ว่าแต่บุคคลที่เดินหน้าโหดตามหลังไอ้แทนมานั่นใครวะ ผมเพ่งมอง แม่งหน้าคุ้น ๆ ตัวสูง ๆแบบนี้ ทรงผมอันเดอร์คัตแบบนี้ หน้าใส ๆ แบบนี้ เชี่ย! ฉิบหายแล้ว!!



    ไอ้ภูมิ!!!



    ผมอ้าปากค้างแทบจะลืมหายใจ ไอ้ภูมิตัวเป็น ๆ เดินย่างสามขุมเข้ามาในคณะด้วยสีหน้าถมึงทึง ราวกับเพิ่งไปแดกบุฟเฟต์รังแตนมาหยก ๆ และยังไม่ทันที่สมองของผมจะได้สั่งการหาทางหนีทีไล่ มันก็เข้ามาประชิดถึงตัวพร้อมคว้าคอเสื้อผมเอาไว้เสียก่อน ตกลงมึงจริงจังกับคอเสื้อกูแน่ ๆ แล้วใช่ไหมเนี่ย เพื่อนผมทั้งสองคนลุกพรึ่บขึ้นยืนอย่างพร้อมสู้ ส่วนไอ้แทนรีบวิ่งไปหลบข้างหลังไอ้เชน ผมหันไปถลึงตามองไอ้เพื่อนทรยศด้วยความอาฆาต มันทำหน้าราวกับจะร้องไห้ อย่ามาสำออยไอ้เวร


    มึง-พา-มัน-มา-ทำไมมมมมมมมม!!!!


    “ทำกูไว้แสบมากนะมึง”



    ไอ้ภูมิก้มลงกระซิบเสียงลอดไรฟัน ด้วยน้ำเสียงชวนเสียวสันหลัง แถมมันยังกัดกรามกรอด ๆอย่างกับลูกหมาที่คันฟัน ตายกู กูตายแน่ ๆ และในชั่วพริบตา มันก็กระชากคอเสื้อผมแล้วลากให้เดินตามไป ผมที่ไม่ทันได้ตั้งหลักก็แทบล้มหัวคะมำ ก้าวขาเดินตามมันหัวซุกหัวซุน แต่เดชะบุญที่ไอ้คิวคว้าแขนผมไว้ได้ทัน


    “มึงจะพามันไปไหน มีปัญหาอะไรก็คุยกันให้จบ ๆ ที่นี่เลยก็ได้มั้ง” ไอ้คิวเอ่ยเสียงแข็งไม่แพ้กัน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเพื่อนที่ด่าผมเหมือนหมูเหมือนหมามาหลายปี แม่งจะออกโรงปกป้องและรักผมมากขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนบ่อน้ำตาลึกนี่กูสะอื้นแล้วนะ ซึ้งกว่าดูบันทึกน้ำตาหนึ่งลิตรอีกครับ



    ไอ้นรกภูมิ อรูปภูมิมันตวัดตาดุ ๆ กวาดมองไอ้สามคนที่เหลือ แล้วปล่อยมือออกจากคอเสื้อเพื่อไปจับแขนอีกข้าง
    ของผมไว้แทน สภาพตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมอยู่ตรงกลางระหว่างยักษิณีสองตน ที่พร้อมจะยื้อยุดฉุดกระชากร่างผมออกเป็น
    สองท่อน ท่านมโหสถบัณฑิตช่วยลูกช้างด้วยครับ



    “กูไม่ได้จะทำอะไรเพื่อนมึง แค่มีเรื่องจะคุยกับมันนิดหน่อย พวกมึงไม่ต้องห่วงและไม่ต้องยุ่ง ถ้าอยากให้เรื่องนี้จบดี”



    นี่ควรจะนับว่าเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมครับ คำว่าดีของแต่ละคนไม่เหมือนกันอย่างที่เชนว่าจริง ๆ สินะ เพราะกูคิดว่านี่ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ดีสำหรับผม มันบอกว่าจะไม่ทำอะไร แค่อยากจะคุยด้วย ช่างเป็นนักเลงสายสุขนิยมอะไรเช่นนี้ มีจรรยาบรรณความเป็นคนกว่าไอ้แทนอีก เออ ไม่ทำร้ายกูก็ถือว่าเป็นเรี่องที่ดี จะใช้กำลังกันไปทำไมเนอะ ไม่คุ้มหรอก อนาคตชายหนุ่มอย่างพวกเรายังอีกยาวไกล รักกันไว้ดีกว่า



    “ตั้งแต่รู้จักกันมา กูเพิ่งเคยได้ยินมึงพูดประโยคยาว ๆ ขนาดนี้” ไอ้เชนเอ่ยขำ ๆ เอ่อคือมันใช่เวลามาชื่นชมทักษะการพูดของไอ้ห่านี่เหรอเชน กูถามจริงเชน ซีเรียสลี้? ไอ้คิวหันไปสบตากับไอ้เชน เหมือนกำลังสื่อสารด้วยพลังงานทางจิตพอไอ้เชนพยักหน้าเบา ๆ ไอ้คิวก็ค่อย ๆ ปล่อยมือผม คะ...คือ คืออะไรรรรร วอต!!!! พวกมึงจะลอยแพกูง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะโว้ยยยยยยย



    “พวกกูจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะมันเป็นเรื่องของพวกมึงสองคน ไปเคลียร์กันให้จบ อีกอย่างกูเชื่อคำพูดมึง เอาเพื่อนกูกลับมาคืนแบบไร้รอยขีดข่วนนะภูมิ” ไอ้เชนนนน แต่กูไม่เชื่อมันนนนนนน



    “มึงไม่ต้องกลัวนะพีม ไอ้ภูมิมันเป็นคนรักษาสัญญา มึงกลับมาแบบครบสามสิบสองแน่นอน” มึงยังจะกล้าเสนอหน้ามาพูดกับกูอีกเหรอไอ้แทน บักผีปอบ


    “สามสิบสองชิ้นน่ะสิไอ้เหี้ย ไอ้เลว มึงพามันมาทำไมมมม”



    “กูขอโทษษษ ~~~ กูไม่มีทางเลือกจริง ๆ พีม” มึงเลยเลือกที่จะฆ่ากูอย่างนั้นเหรอ ไอ้แทนซ่อนตัวอยู่ข้างหลังไอ้เชน ทั้งยังยกมือไหว้ผมปลก ๆ ยิ้มแห้ง ๆ อย่างลุแก่โทษ ทำไมมันดูยอมไอ้ภูมิแปลก ๆ วะ อะไรที่ทำให้มึงยอมขายเพื่อนวะแทนนนน ไอ้เหี้ย โมโหโว้ยยยย


    “หมดเวลาร่ำลากันละ ไปขึ้นรถ!!!” กูว่ามึงอินจำเลยรักกับสวรรค์เบี่ยงมากเกินไปนะ มันดัน(ผลัก)หลังผมให้เดินไปข้างหน้า พอผมไม่ยอมเดินมันก็จับแขนแล้วลากออกไปแทน

    “เฮ้ยพวกมึง ช่วยกูด้วย ไอ้เชนนนนน ช่วยกูด้วยยยย”


    แต่พวกมันทั้งสามคนก็สามัคคีชุมนุมยืนสงบนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง กูเกลียดหุ่นขี้ผึ้งงงง พวกมึงช่วยกูด้วยสิโว้ย จะรอให้มันเชือดกูให้ดูก่อนเรอะ!!



     

    ในที่สุดผมก็ถูกพาตัวออกมา เริ่มออกห่างจากพวกเพื่อน ๆ และห่างจากคณะออกมาเรื่อย ๆ ผมทั้งดิ้น ทั้งแหกปาก ทั้งสลัดไอ้เวรนี่ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นผลสักอย่าง โอ๊ะโอ ผมนึกอะไรดี ๆ ออกละ


    “มึง ๆ กูขอโทษก็ได้ นะ ๆ ปล่อยกูไปเถอะ” ผมหยุดดิ้นแล้วลองใช้ไม้อ่อนกับมันดู แต่ว่า


    “หึ ขอโทษ? สายไปแล้วว่ะ กู-ไม่-รับ”




    คำว่าไม่รับของมันทำเอาผมลมแทบจับ ราวกับว่าชีวิตของผมได้ดับสิ้นลงแล้วในวินาทีนั้น แล้วมันก็จับผมยัดเข้าไป
    ในรถ ก่อนจะขับกระชากออกตัวจนหัวผมเกือบโขกกับคอนโซล ผมเหลียวมองเพื่อนรักทั้งสามจนลับตาด้วยจิตใจที่ร่ำร้องว่า



    ถ้ากูรอดกลับมาได้ กูจะตามล่าพวกมึงทุกตัว และมึงคือรายแรกไอ้แทนนนน ไอ้เหี้ยยยยยยยยย









    tbc >>>>>



    มาวันเว้นวันตามสัญญาจ้า ได้อ่านคอมเม้นของทุกคนแล้วนะคะ ฮือออ ขอบคุณมากๆเลย มีน้องคนนึงบอกว่าอ่านตอนประถมด้วย ตาลอยากกรี๊ดเพราะช็อค5555 ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนอ่านอายุน้อยขนาดนี้หลงมาอ่านงาน ถ้าพี่เคยเผยแพร่อะไรบ้งๆให้หนูไปด้วยความอ่อนด้อยความรู้ ก็ขอโทษด้วยนะคะ อุแง้ กอดๆๆๆๆ 

    ส่วนหลายๆคนบอกว่าจำคำพูดตัวละครได้ 5555555555555 พวกเธอชักจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ หลายคนก็บอกว่าอ่านหลายรอบ บางคนก็วนมาอ่านทุกปี หัวใจของดิฉันแทบติดปีกบินว่อนรอบจังหวัดด้วยความซาบซึ้งใจ หวังว่าการปรับปรุงเนื้อหาในครั้งนี้จะไม่สร้างความหงุดหงิดใจให้นักอ่านที่น่ารักของน้องสวยนะคะ เลิฟๆค่าาาาา จุ๊ฟฟฟฟฟฟ


    ลงชื่อ 

    หม่อมตาล ภริยา ท่านชายเบียร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×