ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ 17 Our Trip (Part 1) :D

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 54








    ตอนที่
    17
     



     
    ปกติเวลาแปดโมงกว่าๆของวันเสาร์ ผมคงนอนหลับสบายมุดผ้าห่มอยู่บนเตียง แต่เพราะเสาร์นี้ไม่ปกติผมเลยมานั่งหาวหวอดๆท่ามกลางผู้คนมากมาย เสียงจอแจดูวุ่นวายเพราะเตรียมตัวเดินทาง


    แล้วผมอยู่ที่ไหนน่ะหรอครับ ผมให้เดาเล่นๆ สุวรรณภูมิ
    ? หรูไปๆ หมอชิต? อืม ยังไม่ใช่ หรือเขาดิน? โอยยย จะไปทำอะไรที่เขาดิน
     

    ตอนนี้ผมกับภูมิกำลังนั่งสะลึมสะลือกอดเป้อยู่ ณ หัวลำโพง ถูกต้องนะคร้าบบบ ก็ตอนปีใหม่ภูมิมันชวนผมไปเที่ยว วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีก็เลยแพ็กกระเป๋าหนีตามกัน คึ แต่วันหยุดยาวปีใหม่ก็ผ่านไปแล้ว จะให้ถ่อไปถึงกระบี่ ภูเก็ตตามที่ใจอยากก็คงใช้เวลาไม่คุ้ม
     

    แล้ว เวลาแค่สองวันคือเสาร์กับอาทิตย์ คิดว่าพวกผมจะมีปัญญาไปไหนได้นอกจาก จาก จาก หัวหิน สถานที่คลาสสิก ไปง่าย คลายสมอง รับรองไม่เสร็จเหมือนไปเสม็ดแน่นอนครับ
    ^^
     

    และที่ผมต้องพาไอ้ภูมิมานั่งหล่อเด่นเป็นจุดสนใจของผู้คนที่หัวลำโพง ก็เพราะว่าพวกผมจะเดินทางโดยการบินไทย ฮา ล้อเล่น ผมอยากนั่งรถไฟ ชิลล์ๆต่างหาก อีกอย่างไปเที่ยวก็ไม่อยากขับรถให้เหนื่อย ดีไม่ดีไอ้ภูมินั่นแหละจะใช้ผมขับ เราก็เลยตกลงกันว่าจะนั่งรถไฟ


    “พีมหิวมั้ย”

    “ไม่หิว มึงหิวหรอ กูไปซื้อแซนวิชให้เอามั้ย”


    “ไม่ต้อง มึงนั่งรออยู่นี่แหละ” แล้วมันก็เดินข้ามไปเซเว่นที่อยู่อีกฝั่ง ผมปรือตามองตามหลังภูมิด้วยรอยยิ้มคิดแล้วก็ตลกมัน คุณชายต้องมานั่งรถไฟมันคงกังวนน่าดู แต่ภูมิก็ไม่ขัดไม่บ่นผมซักคำที่อยากเดินทางด้วยการถไฟแห่งประเทศไทย อิย๊ะ


    “โห มึงเหมาเซเว่นหรอภูมิ” ภูมิวางโคตรถุงเซเว่นลงข้างๆผม ซึ่งเยอะมาก นี่จะไปทะเลหรือจะไปเดินป่าครับ

    “เผื่อมึงหิวบนรถ”

    “โหยย เขามีคนขึ้นมาขายเว้ย ของกินเยอะแยะ มีทั้งข้าวเหนียวไก่ย่าง สากกระเบือยันเรือจักรีนฤเบศร”

    “เออ แล้วกูจะรู้มั้ย เคยนั่งที่ไหน อีกอย่างเรือรบต่างหากไม่ใช่เรือจักรี อยากพูดก็พูดไม่ถูก”

    “อ้าว แล้วเรือจักรีมีไว้ทำไม”

    “รบ”

    “ก็นั่นไง แล้วกูพูดผิดตรงไหน ฮ่าๆๆๆ”

    “คิดว่ากูรักมึง แล้วจะไม่กล้ากระทืบมึงหรอพีม กินเข้าไป ปากจะได้ไม่ว่าง” มันยัดซาลาเปาทั้งลูกใส่ปากผม อ๊ากกก ร้อนๆๆๆ


    ผมนั่งกินซาลาเปา กินไส้กรอกชีสที่ภูมิซื้อมาให้ กวนมันบ้าง แซวเรื่องที่มีแต่คนมองมัน วันนี้ภูมิก็ไม่ได้แต่งตัวอะไรมากมาย ออกแนวสบายๆซะด้วยซ้ำ เสื้อกล้ามสีขาวทับด้วยเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำทะเล กางเกงสามส่วน หนีบแตะ แต่
    ….. หล่อไปดาวพลูโต คนมองมันเหมือนอยากทุบหัวแล้วลากกลับบ้าน
     

    ผมก็มาแนวคล้ายๆมัน แต่ใส่เสื้อยืดคอวีสีเทา นั่งกับมันเลยดับแบบไม่มีวันเกิด อิจฉาโว้ยยย อยากให้สาวมองแบบมันบ้าง


    เสียงหวูดรถไฟพร้อมควันสีขาวพวยพุ่งมาแต่ไกล เป็นเหมือนระฆังห้ามผมกับภูมิให้เลิกกัดกัน พวกผมรีบเก็บถุงของกิน สะพายเป้ขึ้นบ่า เห็นนายสถานีโบกธงอยู่ไกลลิบ ผู้คนต่างหิ้วของ ถือสัมภาระของตัวเองเตรียมพร้อม
     
     
    ทันทีที่ขบวนรถหยุดนิ่งคนก็รีบขึ้น แต่ก็ไม่ถึงขั้นเบียดเสียดเหมือนรถไฟไฮเทคลอยฟ้าหรือใต้ดินที่ผมพบเจออยู่ทุกวัน


    “คุณตา ผมช่วยถือนะครับ” ผมเห็นคุณตาที่น่าจะเจ็ดสิบกว่าถือทั้งกระเป๋า มีถุงกระดาษแถมยังมีลังอีกก็เลยอาสาช่วย

    “ขอบใจมากพ่อหนุ่ม” คุณตายิ้มให้ผมและเดินขึ้นไปก่อน ผมก็หิ้วลังกระดาษตามหลัง มีภูมิเดินตามมาติดๆ พอหาที่นั่งได้ผมก็คืนของให้คุณตา ท่านขอบอกขอบใจผมใหญ่

    ส่วนพวกผมก็ต้องเดินหาที่นั่งกันต่อไป เพราะโบกี้หน้าๆเต็มหมดแล้ว เดินไปโบกี้เกือบสุดท้ายกว่าจะได้นั่งรถไฟฉึกฉักก็เริ่มเคลื่อนขบวน ผมกับภูมิเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน วางเป้ไว้ข้างๆ
     

    “ยิ้มอะไรภูมิ” ไอ้นี่ท่าจะบ้า นั่งมองหน้าผมแล้วยิ้ม

    “เปล่า”

    “พูดมา”

    “ปลื้ม”

    “ปลื้มอะไร”

    “มีแฟนใจดี” อ๋อที่ผมช่วยคุณตาคนนั้นถือของอ่ะนะ โอยย เป็นใครเขาก็ทำกันทั้งนั้น ผมเลยเปลี่ยนเป็นจ้องหน้ามันแล้วยิ้มบ้าง

    “ยิ้มอะไรพีม”ภูมิถามผมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

    “เปล่า”ขอก๊อปปี้คำพูดมันนะ

    “พูดมาพีม”มันก็คัดลอกคำพูดผมเหมือนกัน

    “ก็ตลกมึงอ่ะ ไอ้คุณชายตกยาก”

    “ก็มึงพากูมาลำบาก”


    “เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ววะ ฮ่าๆ” รถไฟออกจากเขตกรุงเทพแล้ว จะถึงหัวหินก็คงบ่ายๆ ผมมองทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านตาอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถไฟ ได้กลิ่นสดชื่นของต้นไม้ ผ่านหมู่บ้าน ทุ่งนา ป่าเขา ผมไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้นั่งรถไฟไปเที่ยวกับแฟน



    ผมยิ้มให้ภูมิที่นั่งแงะนั่งแกะกล้องไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจผมเลย ผมที่ไม่ได้เอากล้องมาก็ต้องนั่งชมนกชมไม้ไป เพราะภูมิบอกว่ามันจะถ่ายเอง มาสองคนจะเอากล้องมาสองตัวทำไม
     

    “พีม ยิ้มหน่อย” ภูมิยกกล้องขึ้นเตรียมถ่ายรูปผม มันบอกให้ยิ้มผมก็ยิ้ม ถ่ายเสร็จมันก็ก้มดูรูปผมแถมเบะปากใส่ด้วย หนอยแหนะ
     

    “ไหนขอดูหน่อย หล่อมั้ยวะ อื้อหือ ณเดชชัดๆ”ผมย้ายมานั่งฝั่งเดียวกับภูมิ เพื่อดูรูปตัวเอง หึ หล่อใช้ได้เลยนะเนี่ย
     

    “ณเดชไหน ชู้หรอ” ไอ้นี่ ไปๆมาหึงแม้กระทั้งดารา แต่สงสัยมันคงไม่รู้จัก กว่าจะอธิบายให้มันเข้าใจได้ผมก็ต้องงัดโทรศัพท์มาเปิดพี่เกิ้ลหารูปณเดชให้มันดู ถึงจะยอมเชื่อว่าคนชื่อนี้เป็นดารา
     

    “เอาหัวเข้ามาภูมิ” เชี่ยภูมิแม่งยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างเพื่อถ่ายรูป ทั้งที่ตอนนี้รถกำลังผ่านช่องเขา เดี๋ยวหัวก็หลุดจากบ่าแบบไม่รู้ตัวหรอกมึง
     

    “ก็อากาศเย็นสบายดี” เออ ถ้าราวสะพานตัดคอมึงขาดจะดีมั้ย มันยอมเชื่อที่ผมบอกกลับมานั่งดีๆตามเดิม ซักพักมันก็หลับ จนรถไฟมาเทียบชานชลาที่สถานีเพชรบุรี มีแม่ค้าพ่อค้าขึ้นมาขายของกินบนรถ จริงๆก็มีมาตลอดทาง ผมซื้อไข่นกกระทา ถั่วต้มกิน แต่ถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่าต้องปลอกไข่และแกะถั่วให้ไอ้ภูมิแดก ผมจะไม่ซื้อเด็ดขาด
     

    “พีม ถั่วติดคอ ขอน้ำหน่อย” เห็นมั้ยว่ากูอ่านการ์ตูนอยู่

    “ง่อยแดกหรอ น้ำอยู่ข้างๆกินเองดิ”

     
    “กูเดินไปซื้อให้ถึงเซเว่น มึงแค่หยิบขึ้นมาให้กูกินมันลำบากมากใช่มั้ย” รู้สึกบุญคุณข้อนี้จะไม่จบไม่สิ้น มันอ้างแบบนี้ตั้งแต่อยู่ราชบุรีจนตอนนี้จะเข้าประจวบ มันพูดแบบนี้เป็นรอบที่แสนสองแล้วมั้ง
     

    ด้วยความรำคาญผมก็ต้องวางการ์ตูนขายหัวเราะ ไปทำหน้าที่เป็นสนมเอกนั่งข้างๆมัน หยิบน้ำขึ้นมาเอาหลอดจ่อใส่ปากให้มัน มันก็ยิ้มหล่อกวนตีนไป
     

    เด็กที่เอาแต่ใจถ้าผู้ใหญ่ไม่สนใจซักพักมันก็จะลืมจะเลิกดื้อไปเอง แต่ไอ้ภูมิไม่ใช่ มันไม่ใช่คนเอาแต่ใจแบบธรรมดา แต่มันเป็นประเภทที่ว่าถ้าต้องการต้องได้
    นี่ผมมีแฟนหรือมีลูกชายกันแน่วะ
     

    “นั่งตรงนี้แหละ” ผมป้อนน้ำมันเสร็จจะกลับไปนั่งที่เดิม แต่ภูมิจับแขนผมไว้ มันโยนกระเป๋าของมันให้ไปนั่งเป็นเพื่อนกระเป๋าผม ส่วนคนก็นั่งด้วยกัน ลมเย็นๆกินอิ่มๆผมก็เริ่มอยากนอน หนังสือขายหัวเราะหลุดจากมือตอนไหนก็ไม่รู้
     

    “ง่วงหรอพีม”


    “อือ” ผมพยักหน้าทั้งที่ตาจะปิด ภูมิกดหัวผมให้พิงลงกับไหล่มัน


    “ง่วงก็นอน ใกล้ถึงแล้วจะปลุก”


    “อืม” ผมนั่งหลับพิงไหล่ภูมิ ความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่จะหลับไป เหมือนมีบางอย่างมาสัมผัสที่แก้ม
     
     

                                ………………………………………….
     
     


    “ถึงซักทีโว้ยยยย” ผมสูดเอาอากาศสดชื่นให้เต็มปอดก่อนจะผมแหกปากลั่น และโบกมือลารถไฟที่วิ่งห่างออกไป ได้ยินเสียงฉึกฉักๆ ปู๊นปู๊นเบาลงเรื่อยๆ ไอ้ภูมิมันรีบจับมือผมให้อยู่นิ่งๆ เพราะคนมอง อายทำไมวะเจอกันแค่ครั้งเดียว ไม่มีใครเดือดร้อนเพราะการโบกมือของผมซะหน่อย(หรือมี คงเป็นภูมิ หึหึ)
     
    แต่แทนที่มาถึงหัวหินแล้วจะรีบเข้าที่พัก แม่งมัวแต่ถ่ายรูปป้ายหัวหินอยู่นั่นแหละ กูรู้ครับว่าสวย แต่กูเหนื่อย นั่งรถไฟได้กินลมชมวิวสบายตาชื่นหัวใจก็จริง แต่เมื่อยชิบหาย ไอ้ภูมิมันยังมีอารมณ์อาร์ตถ่ายรูปต่ออีก ผมเป็นเด็กศิลป์ยังไม่ติสเท่ามันเลย
     
    กว่าภูมิจะพอใจกับการถ่ายรูป ผมก็เกือบหลับคาม้านั่งเป็นรอบที่สอง เราเดินไปโบกสองแถวเพื่อไปรีสอร์ทที่จองไว้ ทริปนี้บอกแล้วว่าชิลล์ แม้รีสอร์ทที่ผมกับภูมิจองไว้จะมีบริการรับส่งถึงที่ แต่พวกผมขอนั่งสองแถวเข้าไปดีกว่า ฝรั่งเต็มรถเลย ไอ้ภูมิก็ไปสปีคอิงลิชบอกทางให้คู่รักตาฟ้าๆตามประสาคนไทยน้ำใจงามและสามารถสื่อสารได้

     
    ลงจากสองแถวก็เดินเข้ามาอีกนิดหน่อย ว้าว ที่นี่บรรยากาศโคตรดี ตอนเช็คอินพนักงานสาวๆมองไอ้ภูมิแทบจะแดกหัวมัน มีแอบเรียกให้เพื่อนดูด้วย แล้วก็กรี๊ดๆกัน อย่างกับมันเป็นพระเอกหนังงั้นแหละ
     
     ผมเลยได้แต่ยืนขำเพราะภูมิมันหน้างอไปแล้ว พนักงานพาพวกผมมาห้องพักที่จองไว้ เป็นบ้านพักที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวดี ต้นไม้เยอะ เงียบสงบ ที่สำคัญติดทะเลด้วยถูกใจๆ


    ผมโยนกระเป๋าลงพื้น กระโดนขึ้นเตียงนุ่มๆ อ๊ากกกก สบายๆ ภูมิเดินไปเปิดประตูระเบียงรับลม ได้กลิ่นทะเล ได้ยินเสียงคลื่นแล้วรู้สึกสดชื่น
     

    “มึงนอนพักก่อนก็ได้ เย็นๆค่อยไปเดินเล่น”

    “อ้าว มึงไม่นอนหรอ”

    “ไม่ กูจะออกไปถ่ายรูป มึงนอนเถอะ เพราะคืนนี้อาจจะไม่ได้นอน หึหึ” หืมม พูดอะไรเป็นลางนะมึง ไม่นอนแล้วจะทำอะไร ทำวิจัยหรอสัด ผมไม่อยากสนใจปล่อยมันเริงรื่นกับการถ่ายรูปไป ไอ้พีมขอนอนเอาแรงก่อนแล้วกัน  เผื่อคืนนี้จะไม่ได้นอน เอ๋า บ้าตามมันแล้วกู
     
    ผมงัวเงียตื่นมาหรี่ตามองไปรอบๆห้องเพื่อปรับสายตาให้ชิน เห็นภูมินอนหลับอยู่ข้างๆหัวมันซุกไหล่ผมอยู่ ทำไมมันชอบนอนคว่ำวะ หึหึ เหมือนเด็กเลย ดูสิปากสีชมพูอมส้มก็เผยอด้วย ตลกดีแฮะ
     

    ด้วยความหมั่นเขี้ยว ผมเลยลูบผมมันเล่น เวลานอนก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรนี่หว่า แต่ทำไมเวลาตื่นมาถึงเอาแต่ใจชะมัด ผมจับแก้มจับผมมันเล่น ซักพักไอ้ภูมิก็เริ่มยุกยิกขยับตัว ผมรีบชักมือกลับทำเป็นจะลุกไปห้องน้ำ
     

    “ตื่นแล้วหรอ”
    เออ ตื่นก่อนมึงตั้งนาน นอนดูหน้ามึงตั้งนานด้วย >o<

    “อือ แล้วมึงมานอนตอนไหน”

    “ซักพักแล้ว ไปล้างหน้าดิ ออกไปเดินเล่นกัน”

    “อืม”


    “หิวมั้ย”

    “ก็นิดหน่อย แล้วเราจะไปไหนกัน”


    “ไปเดินเล่น ไปหาข้าวกินร้านแถวชายหาด”
     
     
                              ……………………………………………….
     
     
    “อะไรวะ”เดินออกมาจากรีสอร์ทไม่ถึงสองเก้าภูมิก็เอาอะไรไม่รู้วางไว้บนหัวของผม
     

    “ใส่ไว้ กูไม่ชอบคนดำ” อ๋อ ที่มาคบกับกูเพราะกูขาวสินะ ผมจับมาดูเป็นหมวกสานใบขนาดกลางๆ แดดไม่แรงซะหน่อย แต่ใส่ไว้ก็ได้เดี๋ยวคนให้เขาจะเสียน้ำใจ ^^
     
    ภูมิพาผมเดินเลาะมาตามแนวชายหาด และในที่สุดก็เจอร้านอาหาร มีเก้าอี้ผ้าใบยาวเป็นแถวตามแนวต้นสน แต่ขอกินข้าวก่อนเถอะ ยังไม่อยากนอนกินลมชมวิว หิวข้าวววว
     
    ผมกับภูมิสั่งอาหารมาไม่กี่อย่างเพราะคนบางคนแพ้อาหารทะเล ถ่อมาไกลถึงหัวหินแต่ผมก็ต้องมานั่งกินหมู กินไก่ที่ไร้พริกปนเปื้อนเหมือนเดิม กินเสร็จท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าสดใสเป็นสีส้มอ่อนๆดูโรแมนติกดี
     
    ภูมิกับผมถอดรองเท้าแตะมาถือไว้ ส่วนมือมันอีกข้างก็จูงมือผมเดินเล่นไปตามชายหาดให้ฟองคลื่นเซาะฝ่าเท้า เวลาที่ผิวได้สัมผัสน้ำทะเลเย็นๆ ผืนทรายละเอียด ก็ทำให้รู้สึกดีไปอีกแบบ


    แต่ภูมิมันเตะน้ำใส่ผมด้วย ผมเตะกลับไม่ได้ ก็กล้องตัวละครึ่งแสนห้อยอยู่บนคอมันใครจะกล้า เกิดเตะน้ำไปโดนเข้าคงไม่มีปัญญาจ่าย ได้แต่วิ่งไล่เตะก้นมัน ฮ่าๆๆ
     

    เราหยุดยืนมองออกไปยังทะเลกว้าง เห็นเรือหาปลากำลังจะเข้าฝั่ง เห็นภูเขา ดวงตะวัน และทะเลไกลสุดหูสุดตา และมีผู้ชายที่รักการถ่ายรูปคอยถ่ายรูปผมตอนเผลอ มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ตอนผมแหกปากตกใจซากแมงกะพรุนไฟ มันคงถ่ายไว้ด้วยแน่ๆ
     

    ถึงน้ำทะเลที่นี่จะไม่ใสเป็นสีเขียวมรกตเหมือนฝั่งอันดามัน แต่เอกลักษณ์ของทะเลหัวหินที่ครองใจผู้คนเรื่อยมาคือความเงียบสงบและวิถีชีวิตเรียบง่ายของผู้คน สมกับเป็นที่พักตากอากาศแห่งแรกของเมืองไทย
    และเป็นทะเลที่ผมกับภูมิได้มาด้วยกันครั้งแรก
     

    “มึงขี่ม้าเป็นมั้ยภูมิ” ผมเห็นคนจูงม้าชวนให้นักท่องเที่ยวขี่อยู่ไกลๆ อยากขี่วะ
     

    “เป็น” ไม่น่าถามมันเลย มีอะไรที่คนอย่างไอ้ภูมิทำไม่ได้ อ๋อ สั่งก๋วยเตี๋ยวไง ฮี่ๆ “มึงอยากขี่หรอ”
     

    “ก็อยากลอง แต่กลัวตกวะ ไม่เอาดีกว่า”
     

    “กูอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร ขี่มั้ย เดี๋ยวสอนให้”
     

    “อืม ลองดูก็ได้” ไหนๆก็ได้มาทั้งที่ ลองขี่เป็นบุญให้ชีวิตสักครั้ง
    ^^ภูมิมันเดินเข้าไปคุยกับเจ้าของม้า ซักพักก็กวักมือเรียกผม
     

    “ตัวเดียวก็พอครับ พวกผมจะขี่ด้วยกัน”
     

    “เฮ้ย ไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธทันที พี่เจ้าของม้าก็มองยิ้มๆ ถึงจะเย็นแล้ว แต่มันคงไม่น่าดูเท่าไรที่ผู้ชายสองคนจะขี่ม้าตัวเดียวกัน ภูมิมองดุๆ ให้ผมหุบปากไปซะ

    “กำหนดเวลามั้ยครับ”
     

    “ปกติก็สิบห้านาทีหรือครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าน้องจะขี่นานกว่านั้นค่อยจ่ายเพิ่มก็ได้” ตกลงราคากันเรียบร้อยพี่เขาก็เดินไปหาเพื่อนที่จูงม้าอยู่อีกทาง พี่ไม่กลัวพวกผมขโมยม้าหรอครับ
     

    “มายืนใกล้ๆ มันไม่กัดหรอก”เออรู้ว่าไม่กัด แต่กลัวมันถีบ ภูมิดึงผมให้ไปยืนใกล้ๆน้องใบตอง พี่เขาบอกว่ามันชื่อใบตอง (ม้าห่าอะไรชื่อใบตองวะ ตอนที่พี่เขาบอกผมเกือบกลั้นขำไม่อยู่ ฮ่าๆ) แล้วมึงจะจับเอวกูทำไมเนี่ยจั๊กจี๋นะโว้ย
     

    “จับบังเหียนไว้ เหยียบโกรน เอามือขวาดึงอาน พาดขากวาดไปตามหลังม้า ค่อยๆทำ” เฮ้ย แรพเป็นไทเทเที่ยมเชียว กูเพิ่งเคยครั้งแรก สอนช้าๆหน่อยได้มั้ย

    กว่าผมจะขึ้นม้าได้เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนสอนและคนถูกสอน เหมือนสอนลาขี่ม้าก็ไม่ปาน ถ้าม้ามันพูดได้มันคงด่าผม ว่าถ้ามึงจะลำบากขนาดนี้ก็อย่าขี่กูเล้ย ไอ้โง่
     

    “มองตรง หน้าตรง แอ่นหลัง หน้าตรงไม่ใช่เชิ่ดหน้าพีม” อ้าวก็บอกให้หน้าตรงผมก็แหงนเต็มที่ ม้าเริ่มเดิน
    ภูมิก็จูงม้าไปเรื่อยๆ  


    ผมก็แกล้งแซวมันว่าเป็นคนรับใช้ ส่วนผมเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว โดนมันหลอกด่ากลับว่าเลิกเป็นเพื่อนสโนไวท์ก่อนเถอะค่อยคิดจะเป็นเจ้าชาย สาดดด กูไม่ใช่คนแคระ แต่ม้ามันก็เชื่องดีนะ อย่าพาพี่วิ่งนะใบตอง แต่ตอนนี้เหมือนม้ามันจะเดินเร็วขึ้น
     

    “ภูมิ มันจะวิ่งมั้ยวะ”ภูมิไม่ตอบ แต่พาม้าหยุด ผมก็นึกว่ามันจะให้ผมลงที่ไหนได้มันขึ้นมานั่งซ้อนหลังผม กว่าผมจะขึ้นม้าได้เกือบตาย แต่เชี่ยภูมิทำเหมือนง่ายมาก
     
    ภูมิสอดมือมาจับสายบังเหียน ตอนนี้ก็เลยเหมือนกับว่ามันกอดผมไว้ทั้งตัว พูดก็พูดเถอะนะ แม่งโคตรเขินเลย
     

    “เจ็บวะ” ขี่มาได้ซักพักผมเริ่มเจ็บเนื้อเจ็บตัว ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าขี่ม้าจะเจ็บแบบนี้ อีกอย่างผมก็ไม่อยากนั่งให้ไอ้ภูมิมันกอดนานกว่านี้ ถ้ามันกอดเฉยๆผมคงไม่ว่าหรอก แต่นี่มันชอบเอาปากเอาจมูกมาป้วนเปี้ยนแถวซอกคอผม โอยย อายทะเลบ้างอะไรบ้างได้มั้ยมึง
     

    “เจ็บหรอ ลงมั้ย” ผมรีบตอบตกลง สุดท้ายก็ลงมาเดินจูงม้า อยากทำเท่ห์เป็นคาวบอยดีนัก เป็นไงละกู ภูมิจูงม้ามาส่งคืนพี่เจ้าของ อีกมือก็จูงมือผม มันบอกว่าจูงควายคู่ม้า ผมรีบสะบัดมืออก ตบหัวไอ้คนที่มันขำจะเป็นจะตาย
     
     
    ตอนนี้ชายหาดเริ่มเงียบเพราะคนเริ่มบางตา ผมกับภูมินั่งดูพระอาทิตย์ตกน้ำด้วยกันเงียบๆ มองลำแสงสีส้มสุดท้ายก่อนที่พระอาทิตย์ดวงโตจะโบกมือลาและหายลงน้ำไป ทะเลคงเป็นสถานที่เดียวที่เราจะเห็นเส้นขอบฟ้า เห็นท้องฟ้าบรรจบกับพื้นดิน
     
    ท้องฟ้ากับท้องทะเลสองสิ่งที่แตกต่างกันเหลือเกิน แต่กลับช่วยเติมเต็มกันและกันเพื่อให้โลกและสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ ท้องฟ้ากับท้องทะเลจะอยู่คู่กันไปจนถึงวันสุดท้ายของดาวเคราะห์ดวงนี้
     

    ไม่ว่าจะอีกกี่เดือน กี่ปี หรือจนกว่าวันที่โลกใบนี้จะดับสลาย วันนั้นท้องฟ้ากับท้องทะเลก็จะยังอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป
     
     
     
     
     
    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     
     
     
     

    …………………………………………………………………………..
     
     

     
    โฮะๆๆ ใสเจียเสียใจด้วยนะคะพี่ๆน้องๆทุกคน เพราะวันหยุดมันน้อยเลยไปไม่ถึงเสม็ด
    ตอนที่แล้วยาวยิ่งกว่าทางรถไฟสายใต้ ตอนนี้เลยมาแบบสั้น กระชับ ฮี่ๆ อยากไปเที่ยวทะเลโว้ยยย ไปมั้ยๆตาลว่าพีมกับภูมิมันหวานกันมานานได้แล้วนะ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะ….ซดมาม่า ฮ่าๆ
     
    ช่วงนี้งานเยอะมาก เอะอะอาจารย์ให้ พรีเซ้นตลอดๆ ต่อไปคงจัดเวลาอัพนิยายเป็นสัปดาห์ละครั้ง นิยายรายสัปหาห์ ฮ่าๆๆ แต่ยังไงก็จะอัพบ่อยๆแน่นอนจ้า
     
    ขอบคุณทุกคอมเม้นมากๆนะคะ ที่คอยเป็นกำลังใจให้ คนอ่านมีความสุขคนเขียนก็ดีใจ ยังไงก็ขอบคุณมากๆนะคะ จ๊วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×