ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 13 คนนี้ >///

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 53


                                                   
                                                              




                                                                 ตอนที่
    13
     
     
     
     
    กูชอบมึง
     
    กูชอบมึง
     
    กูชอบมึง
     
    กูชอบมึง
     
    กูชอบมึงๆๆๆๆๆๆๆ
     
     
    อ๊ากกกกกกกกกกกก ผมกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอนแล้วร้องลั่นบ้าน ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงกรี๊ดไปแล้ว แต่ผมเป็นผู้ชาย ที่สำคัญกูกรี๊ดไม่เป็น เลยมีปัญญาทำได้แค่เอาหมอนปิดหน้าแล้วแหกปากแก้เขิน


    กูชอบมึง
     
    เกมส์มันพลิกชนิดที่ผมนอนมึนอยู่สามคืนเต็มๆ เพราะงงกับชีวิตตัวเองมาก ทำไมบทพลิกฟระ ตูต้องเป็นฝ่ายบอกมันนะเฟ้ย แต่ก็เอาเถอะ ถึงภูมิจะเป็นคนบอกก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครเสียเปรียบอยู่แล้ว มีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย ???


    แต่ที่ผมสงสัยและไม่เข้าใจอย่างแรวงคือไอ้ภูมิมันชอบผมตอนไหน ชอบได้ยังไง ต่อมบ้าส่วนไหนของผมไปสะกิดมัน แล้วคนชอบกันมันต้องใช้แรงงานทาสแบบที่มันทำกับผมด้วยหรอ ไอ้นี่แสดงความรักแบบแปลกๆเว้ยเฮ้ย


    สามสี่วันมานี้เลยมีแต่คำๆนี้ลอยเต็มอยู่รอบๆตัวผม ไม่ว่าผมจะเรียน จะนอน จะเดิน จะขี้ ก็มีแต่เสียงของไอ้ภูมิที่บอกว่าชอบผม มีแต่หน้าของมันตอนที่พูดลอยเต็มหัวไปหมด
     

    เรื่องราวต่างๆระหว่างภูมิกับผมแพร่สะพัดโบกสะบัดไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง หึหึ พูดให้มันเว่อร์ๆไปงั้นเองครับ จริงๆแล้วก็มีแต่คนในกลุ่มเท่านั้นที่รู้
     

    หลังจากค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์และความทรงจำ ที่ภูมิบอกชอบผมและผมบอกให้มันจีบ ได้ผ่านพ้นไป ผมก็ยกระดับฐานะจากอีเย็นเมียทาส กลายมาเป็นคุณหญิงละอออร(คนละเรื่องรึเปล่าวะ)
     

    สัญญาทาสระหว่างผมกับมันก็สิ้นสุดลง จบกันทีหน้าที่เบ๊ที่ไม่ถึงสองเดือน จากที่เคยถูกไอ้ภูมิจิกหัวใช้แกล้งนู่นนั่นนี่ ผมก็เอาคืนบ้าง งั้นเหรอ หึหึ คุณคิดผิดแล้วครับ ภูมิก็คือภูมิ มันก็ยังคงเป็นไอ้ภูมิคนเดิม เคยเอาแต่ใจยังไงก็ยังเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนไปคือความสัมพันธ์ของผมกับมันที่อยู่ในช่วง “จีบ”
     

    สงสัยตอนนั้นวิญญาณ กบ สุวนัน ไม่ก็ แอนทองประสมคงเข้าสิงผม ผมถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกไป ถ้าไม่ลีลาท่ามากป่านนี้ผมกับมันก็คงได้คบกันแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินหรอครับ อะไรที่ได้มาง่ายๆมันมักไร้คุณค่า ผมเลยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองไงละ หึหึ
     

    ก็เล่นตัวนิดนึงพอหอมปากหอมคอ แต่จริงๆผมช็อคคิดอะไรไม่ออก ปากมันไปก่อน ก็ต้องเลยตามเลย ฮา ทั้งที่ใจผมตอนนี้แทบจะยกใส่พานไปถวายไอ้ภูมิ(ปานนั้นเลยทีเดียว)
     

    ส่วนเพื่อนๆของผมแทบจิตหลุดกันหมดครับ พวกมันรู้เรื่องทั้งหมด(เรื่องที่ผมเป็นเบ๊ไอ้ภูมิ)ผ่านปากไอ้เหี้ยเบียร์ เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมผมถึงเรียกมันว่าเหี้ย  และนับจากวันนั้นเพื่อนๆแต่ละตัวของผมก็มีอาการแปลกๆดังต่อไปนี้ครับ
     
     
    เริ่มที่ไอ้แทน “เหี้ยเอ๊ย กูแทบหัวใจวายตาย มึงเล่ามาให้หมดเลยนะพีม แม่งทำไมกูตกข่าววะ เรื่องนี้ใช่มั้ยที่มึงกลุ้มแล้วมาปรึกษากู เชี่ยพีมจำไว้เลยนะมึง ปิดกู บลาๆๆๆๆๆ” มันก็จะบ่นเหมือนสวดมนต์แบบนี้เวลาเจอหน้าผม แหม ตอนมึงกับไอ้ฟ่างนี่ มึงเปิดเผยมาก บอกกูมาก กูไม่ตกใจเลยเนอะสัด
     
    ต่อมาไอ้ปัน เวลามันเจอหน้าผมมันชอบทำหน้าเอ๋อๆตาลอยๆและจะพูดประมานนี้ครับ “บองเค๊อ สะแร็กเฮา ตรึมจั๊ด พะรวดโอนเมียง” ภาษาเหี้ยอะไรของมึงก็ไม่รู้ จะเขมรก็ไม่ใช่ จะพม่าก็ไม่เชิงหรือเวียดนามวะแต่เอาเป็นว่ามันพูดไม่รู้เรื่อง
     
    ส่วนไอ้ฟ่าง ไอ้นี่จะมาแบบจูออนคอยหลอกหลอนครับ โผล่มาแบบเงียบๆ เสียงมันจะเย็นๆ “เรียกค่าสินสอดเท่าไรละ กูจะได้บอกพ่อเตรียมไว้ มึงลูกโทนใช่มั้ย หึหึ คงหลักล้าน” --_--
     
    ไอ้มิค เหมือนเอาไอ้ฟ่างกับไอ้ปันรวมกันแต่มันจะออกแนวพูดคนเดียว “คงเพราะโลกร้อนหรือมันเครียด ใช่ๆ พวกมันคงเรียนหนัก ไม่จริงวะ แต่ก็ดี มันคงเรียนหนัก ใช่ๆ คิกคิก ”  เอ่อ มันคงบ้าไปแล้วครับ
     
     
    ต่อมาไอ้สองตัวนี้ที่ผมอยากจะกระทืบมันให้ตายคาตีนทั้งคู่ ไอ้เชนกับไอ้(เหี้ย)เบียร์
     
    “จ่ายมาๆเบียร์ มึงอย่าลีลา”

    “มึงโกงกู มึงรู้ผลก่อนไอ่สัด”

    “รู้เหี้ยอะไร กูแค่ฉลาดเว้ย บอกแล้วว่าไอ้ภูมิต้องเป็นฝ่ายบอกก่อน ไอ้พีมมันป๊อด มึงอย่าพูดมากจ่ายมา”
    ไอ้เบียร์ฟึดฟัดหัวเสียแต่ก็ยอมยื่นแบงค์ร้อยสองใบให้ไอ้เชน

    “ฮ่าๆ กูมีเงินเติมน้ำมันแล้วโว้ย” ผมหลับตาพยายามข่มอารมณ์อาฆาตทั้งหลายแล้วแผ่เมตตาในใจ ตัวกูมีค่าแค่สองร้อยใช่มั้ย มีความสำคัญเทียบเท่าน้ำมันเบนซินสองสามลิตรใช่มั้ยไอ้เพื่อนเวร  ส่วนใครที่เคยชื่นชมไอ้เบียร์ว่าเป็นคนดีอย่างโน้น พ่อพระอย่างนี้ ถุ๊ย กรุณากลับคำแล้วกลืนน้ำลายตัวเองด้วยครับ เพราะจริงๆแล้วมันเลว
     
     ไอ้เชนกับไอ้เบียร์มันสงสัยและพอมองออกว่าผมกับภูมิน่าจะมีความลับบางอย่าง มันเลยแอบสืบจนรู้นั่นแหละว่าผมต้องเป็นเบ๊ไอ้ภูมิ แผนซ้อนแผนว่างั้นเถอะ แล้วกูจะปิดบังไปเพื่ออะไร เสียแรงเปล่าจริงๆ
     
     แถมสมองพวกมันยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เสือกเซ้นส์ดีมโนภาพได้ว่าผมกับภูมิต้องคิดซัมติงรองต่อกัน และพอผมไปปรึกษาไอ้เบียร์ยิ่งเข้าทาง มันสองตัวเลยเอาไปพนันกันว่าผมกับภูมิใครจะเป็นฝ่ายบอกชอบก่อน เหี้ยมั้ยละ พวกใช้ความฉลาดในทางมิชอบ ฮึ๋ย
     

    มาถึงสองรายสุดท้าย อันนี้อาการหนักสุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด ผมเพิ่งเห็นไอ้คิวกับไอ้เต้ยมันสามัคคีก็คราวนี้แหละ ใครที่ผ่านไปผ่านมาเวลาเที่ยงกว่าๆหลังตึกศิลก็ต้องทำใจกับเหตุการณ์นี้ด้วยนะครับ

    “โห
    ……. ฮิ๊ …….โห……… ฮิ๊ ……….โห….. ฮิ๊….. โห่ …..”

    “ฮิ้ววววววววววววววววววววว”

    “โห
    ……. ฮิ๊ …….โห……… ฮิ๊ ……….โห….. ฮิ๊….. โห่ …..ฮิ้ววววว  ใครมีหนุ่มหล่อ มาแลกเพื่อนกู ใครมีอีหนู เพื่อนกูไม่เอา มันได้หนุ่มหล่อทำผัวแล้วโว๊ยยยยย”
     
    “ฮิ้ววววววววววววว” พวกอมนุษย์ทั้งหลายมันถือก้านกล้วย ใบหูกวางกับกิ่งจามจุรี ตั้งขบวนแห่รับโห่จากไอ้คิวเป็นทอดๆ เพื่อนคนอื่นๆมันไม่รู้หรอกครับว่าที่ไอ้คิวกับไอ้เต้ยทำมันมีจุดประสงค์อะไร(ผมเองก็ยังไม่รู้เลย) คงคิดว่าไอ้คิวแค่แกล้งกวนตีนผมเล่นๆ พวกมันก็เอาด้วย ก็ทำตามไอ้คิวบ้าๆบอๆกันไป พวกมึงช่วยสงสารกูเห้อ กูอาย
     
     แต่แม่งไอ้พวกนี้มันไปตัดต้นอ้อยมาจากไหนวะ เอาซะเต็มตำราขบวนขันหมาก เสียงโห่ใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานพวกมันก็จะเดินวนรอบโต๊ะม้าหินอ่อนที่มีผมนั่งปลงกับชีวิตอยู่
     
    นี่แหละครับชีวิตสามวันที่ผ่านมาของผม
     



    อ่า พล่ามมาเยอะแล้ว ไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้มีสอบแต่รู้สึกว่าจะไม่เครียด ก็คนมันอารมณ์ดี ก็งี้แหละครับ อย่าอิจฉาผมเล๊ย หึหึ
    ^^
     
     


    อาจจะเป็นคนนี้ เธอหยุดลงตรงนี้ มาเติมวันดีๆ ต่อจากนี้ไป

    อาจจะเป็นคนนี้ ถ้าหากเป็นคนนี้ โลกที่เคยว่างเปล่า มันไม่เหมือนเดิม
    ฉันอยากให้เธอบอก บอกฉันก่อนจะสายเกินไป
    หากคิดว่าฉันนั้นใช่ อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ
     

    เปลี่ยนเพลงเรียกเข้าแล้วนะครับ เพลงนี้ตั้งให้มันคนเดียว คนที่โทรมา คนนี้ ชื่อ ภูมิ สามวันแล้วที่ผมมักจะได้รับโทรศัพท์เวลานี้ เวลาสี่ทุ่มนิดๆจากคนที่ชื่อภูมิ ผ้าเช็ดตัวยังพาดอยู่บนไหล่แต่ผมไม่ได้เดินเข้าห้องน้ำ ผมเดินมากดรับโทรศัพท์พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียง
     
    “อืม ว่าไงมึง” พูดสามคำแต่ยิ้มจนเมื่อยแก้ม บอกตรงๆผมโคตรจะเขินไอ้ภูมิเลย ก็มันไม่ชิน

    (นอนยัง)

    “ยัง”

    (อยู่ไหน) เอ๊าไอ่นี่ ดึกป่านนี้กูจะอยู่ไหนละเฮ้ย ถ้าไม่ใช่บ้าน


    “อยู่บ้านดิ ถามแปลกๆ”


    (แล้วอยู่ส่วนไหนของบ้าน) นี่มึงอยากรู้จริงๆหรือกวนตีนกูวะครับ


    “อยู่ห้องนอนครับ กูนอนคุยโทรศัพท์กับมึงอยู่บนเตียงกูเนี่ย มีอะไรสงสัยอีกมั้ยครับ” ผมคว้าไอ้ตุ๊กตาควายสีน้ำตาลมาฟาดลงบนเตียง นึกถึงหน้าไอ้คนที่มันปาลูกโป่งจนได้ตุ๊กตาตัวนี้มา ใครก็ได้บอกผมให้เลิกยิ้มซะที

    (กูหิวข้าว)

    “อ้าว หิวก็ไปกินสิ บ้านกูไม่ได้เปิดกิจการข้าวราดแกงเดลิเวอรี่นะมึง”

    (ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย”) อ้อนตลอดๆ
    >_<

    “ตลกแล้วมึง นี่มันสี่ทุ่มแล้ว”

    (สี่ทุ่มแล้วไง  อย่าพูดมาก เดี๋ยวกูไปรับ)

    “แม่งบังคับกู”

    (กูไม่ได้บังคับ แค่อยากเจอหน้ามึง) ถึงเสียงมันจะดุๆ ไร้ความอ่อนโยน แต่ผมก็


    ……………>//////<………………” โว๊ยยยยยยยยยยยยย กูเขิ๊นนนนน

    (มึงยังไม่อาบน้ำใช่มั้ย ไม่ต้องอาบ กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับมาอาบ)

     “กูยังไม่ได้ตกลงว่าจะไปกับมึงเลยนะภูมิ”

    (เร็วๆ ยุงกัดกู) ) รู้สึกเหมือนจะพูดกันคนละเรื่อง และเสียงมันก็เริ่มดุขึ้นทุกทีๆ

    “หือ
    ? คอนโดหรูๆมียุงด้วยหรอวะ”

    (คอนโดกูไม่มียุง แต่หน้าบ้านมึงมีเป็นฝูง)

    “หน้าบ้านกู
    !!!” ผมวิ่งออกไปโผล่หัวที่ระเบียง ชิบ ไอ้ภูมิตัวเป็นๆยืนอยู่ข้างๆรถคันงามของมัน ในมือกำโทรศัพท์แนบหู มันกำลังมองขึ้นมาที่ห้องของผมพร้อมกับย่ำตีนไปมา แม่งเอ๊ย จะไปจะมาเคยคิดจะบอกกูก่อนมั้ย
     
    ในที่สุดผมก็ให้มันเอารถเข้าไปจอดในบ้าน แล้วพามันขี่น้องซีสีขาวรับลมเย็นๆ สรุปก็ไม่ได้ไปกินที่ไหนไกลครับ ร้านข้าวต้มปลาปากซอย


    แถมเมื่อกี้โคตรซวยไอ้เต้ยเสือกมาเจอ เพราะบ้านมันอยู่แถวนี้ ถัดจากบ้านผมไปสามซอย มันเพิ่งกลับจากเล่นสเก็ตบอร์ดกับเพื่อนๆ งานอดิเรกมันคือไปซ้อมเต้น ซ้อมสเก็ตบอร์ดที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี่เอง ผมก็เคยถูกมันลากไปดูบ้าง เท่ห์ใช่หยอก

    แต่ทั้งสายตาและการทักทายของเชี่ยเต้ย ทำเอาผมอยากกระโดดลงหม้อน้ำซุปข้าวมันไก่ร้านข้างๆ
     

    “อ้าว ย้ายของเข้าบ้านเฮียพีมแล้วหรอเฮีย หึหึ” มันแสยะยิ้มมุมปากและหรี่ตาโตๆจ้องหน้าผมสลับกับภูมิ เลยโดนไอ้ภูมิป๊าบกะโหลกเข้าให้ กว่าจะไล่มันไปได้เล่นเอาเหนื่อย และผมรู้ชะตาชีวิตตัวเองเลยว่าพรุ่งนี้กูต้องเละแน่ๆ เรื่องนี้ต้องถึงหูเพื่อนผมทุกคนอย่างแน่นอน พร้อมกับผ่านการตีไข่ใส่สีเรียบร้อย ถ้าอังกฤษมี
    BBC จีนมีCCTV ไอ้เต้ยก็ไทย PBS ดีๆนี่เอง
     
     “กินไรมึง”ผมถามไอ้ภูมิพลางดูเมนูรอน้องพนักงานเสิร์ฟมารับรายการอาหาร

    “ไม่รู้ มึงสั่งดิ”

    “อ้าว ไหนมึงบอกหิวไง”

    “กูหิว แล้วมึงสั่งไม่ได้รึไง” เชื่อมันเล๊ย ไอ้เรื่องเอาแต่ใจ ใช้อารมณ์ และบังคับคนเนี่ย ผมมองมันด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ รอไม่นานน้องพนักงานก็มายืนรอรับออเดอร์

    “รับอะไรคะ”

    “เอาข้าวต้มกุ้งครับ แล้วก็
    …”

    “กูแพ้กุ้ง”

    “อ้าวหรอ”

    “งั้นเอาข้าวต้มปลากระพงสอง ยำปลา ต้มยำรวมมิตร ลวกจิ้ม ผักบุ้งไฟแดง น้ำตก ไก่ผัดขิงแล้วก็ปลาราดพริกสามรสครับ” ไอ้ภูมิมองหน้าผมอึ้งๆ คงคิดว่าแร้งลง ก็มันบอกให้สั่ง ผมก็เลยสั่งแบบไม่ยั้ง น้องเขาจดทันมั้ยวะ

    “น้ำไรพี่” ผมมองหน้าใสๆของภูมิ ดึกแล้วแดกแป๊บซี่คงไม่ดีเท่าไร

    “น้ำเปล่าครับ”
     
    ระหว่างรอข้าวต้ม ผมก็ไม่รู้จะทำอะไร มองไปที่ไอ้คนตรงข้ามมันก็เอาแต่ยิ้มเลวๆ ผมเลยหาจุดโฟกัสสายตาไปทางอื่น กูดูพ่อครัวก็ได้วะ ผมเอาหลอดทิ่มๆน้ำแข็งในแก้วเล่น ไม่กล้ามองหน้าสบตาไอ้ภูมิเลย
    ให้ตาย ไอ้ภูมิแม่งก็นะ รู้ว่าคนไม่กล้ามองยังจะจ้องหน้าอยู่ได้
     

    “หึหึ มึงเป็นไรเตี้ย”

    “กูไม่ชินวะ”

    “ไม่ชินอะไร”

    “ก็ที่เรา ก็มึงกับกูแบบนี้” มันยิ้มนิดๆแล้วปาซากทิชชู่ใส่หัวผม

    “ทำไม มึงไม่ชอบเวอชั่นนี้หรอ ชอบแบบโหดๆว่างั้น ซาดิสต์นะมึง”

    “สัด ไม่ใช่ ก็กู เออช่างเหอะ แล้วเกิดบ้าอะไรถึงชวนกูกินข้าวตอนสี่ทุ่มวะ”

    “มึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรอ ก็บอกแล้วไงว่าอยากเจอ ”


    “ห่า มึงอย่าพูดบ่อยได้มั้ยภูมิ กูเขิน” มันพูดออกมาหน้าตาเฉยมากๆ แต่ผมคนฟังแทบจะเอาหัวโขกโต๊ะ

    >////<

    “หึหึ เขินกูหรอ”


    “ก็นั่งอยู่กับมึงสองคน กูคงเขินพอลล่ามั้งไอ่สัด”


    “ถ้าเขินกู ก็แสดงว่ากูจีบมึงติดแล้วสิ” มันก้มลงดูดน้ำในแก้ว แต่ตากลับช้อนขึ้นมามองผม สาดดดด มึงไปหัดท่านี้มาจากไหน เท่ห์เว่อร์ พิฆาตใจกูชัดๆ
     

    “ฮึ อีกนานครับมึง” ผมยิ้มกวนๆให้มันและก่อนที่เราสองคนจะหลุดเข้าสู่โลกส่วนตัว ข้าวต้มปลากระพงชามโตก็มาวางตรงหน้า และอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟเรื่อยๆ นี่กินสองคนหรือสั่งมาเผื่อกุมารที่มึงแอบเลี้ยงไว้วะภูมิ แม่งเต็มโต๊ะ แต่ได้ข่าวผมนะที่สั่ง คึคึ แต่ผัดเผ็ดมาได้ไงวะ ใครสั่ง เชี่ยภูมิตอแหลสั่งมาแน่ๆ
     

    “มึงกินเผ็ดได้แล้วหรอ ถึงสั่งผัดเผ็ดมา”

    “สั่งให้มึง”

    “ถามกูซักคำมั้ย มึงน่ะกินได้แน่นะ เกิดตายขึ้นมา กูทำคืนพ่อกับแม่มึงไม่ได้นะเว้ย”

    “เออ แดกๆเข้าไปเหอะ อย่าพูดมาก”
     

    ผมกับภูมิกินข้าวได้สถุนมาก ทั้งแกล้งกันไป มันด่าผมบ้าง ผมก็ก็กวนตีนมันกลับ เหยียบตีนใต้โต๊ะก็มี ผมก็แย่งเนื้อปลาในชามข้าวต้มมัน ศึกแย่งอาหารย่อมๆเกิดขึ้นตลอดมื้อ


     ข้าวต้มปลาร้านนี้ก็ไม่ได้อร่อยเลิศเลอกว่าร้านอื่นๆ แต่คืนนี้ผมรู้สึกว่ามันพิเศษ จนไม่น่าเชื่อว่าไอ้ที่วางเต็มโต๊ะจะหายเกลี้ยง กินเสร็จตอนเช็คบิลล์ผมบอกว่าช่วยกันจ่ายหารสอง แต่โดนไอ้ภูมิตบบ้องหูจนตาลาย

    “หมาตัวเดียวกูเลี้ยงได้” สั้นๆง่ายๆ ได้ด่ากูฟรีๆ
     



    ผมเดินลูบท้องมาหาน้องซีสุดที่รักที่จอดไว้ริมฟุตบาทเยื้องๆกับร้านข้าวต้ม แต่พอผมจะพาดขาเตรียมแว้น ไอ้ภูมิก็คว้ากุญแจไปถือ


    “กูขับเอง” ขามาผมเป็นคนขับ มันซ้อน แต่รอบนี้มันอยากขับ ผมมองไอ้ภูมิอย่างชั่งใจ คุณชายจะขับมอไซต์ได้หรอวะ


    “อืม เอาดิ” ก็ดีเหมือนกัน กินอิ่มๆนั่งรถสบายๆ แต่หวังว่ามันคงไม่พาผมไปวัดระดับถนนหรอกนะ
     

    ลมเย็นๆปะทะหน้าผมไม่แรงนักเพราะภูมิขับช้าๆ รถซีคันเล็กๆกับผู้ชายสองคนบนถนนเวลาห้าทุ่มกว่าๆ สายลมเย็นๆพัดมาทำให้รู้สึกสบาย มีเพียงเสียงเจ้าซีและเสียงรถยนต์ที่นานๆทีจะวิ่งผ่าน ไฟสีส้มกับถนนโล่งๆบนถนนเส้นนี้ ที่ผมเคยผ่านเพียงลำพัง ผมเคยเหงากับบรรยากาศเหล่านี้มานานจนชินชา



    แต่คืนนี้ทุกอย่างกลับดูมีชีวิตชีวาในความรู้สึกของผม มันเป็นเพราะผมกินอิ่มจนอารมณ์ดี หรือเพราะผมมีภูมิเข้ามาเป็นองค์ประกอบใหม่ในเส้นทางเดิมๆเส้นนี้ คงเป็นเพราะมันที่เข้ามาทำให้ชีวิตผมไม่เหงาเหมือนที่ผ่านมา



    ชายเสื้อนักศึกษาของมันปลิวน้อยๆตามลมและแรงขับช้าๆ ผมมองเส้นผมของมันที่ถูกลมพัด มองแผ่นหลังที่ควรจะกว้างกว่านี้ ภูมิมันสูงแต่ตัวมันผอมๆบางๆเหมือนหุ่นพวกนายแบบวัยรุ่นที่เขากำลังนิยม คงเป็นเพราะโครงกระดูกมันเล็ก และอยู่ๆผมก็ยิ้ม แค่ได้มองมันก็ยิ้มก็อุ่นใจ จนอยากให้ทางเส้นนี้ทอดยาวไกลออกไปเรื่อยๆ
     

    “ภูมิ”ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้บ่ามันจนได้กลิ่นน้ำหอม ผมไม่ต้องตะโกนแข่งกับลมมากเพราะรถติดไฟแดง

    “อือ”

    “มึงชอบกูจริงๆหรอ”

    “ก็ คิดว่างั้น” กูขอคำตอบที่มันดูมั่นคงกว่านี้หน่อยได้มั้ย ฮึ่ม

    “แล้วจะจีบกูจริงๆหรอ”


    “ก็จีบอยู่นี่ไง” มันเอี้ยวหน้ากลับมานิดๆ ก่อนจะออกรถเมื่อสัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เกิดมาผมเคยจีบสาวสามครั้ง ครั้งที่สี่ถูกจีบซะงั้น
     

    “มึงชอบกูตรงไหนวะ”


    “ตรงที่มึงชอบถามนู่นถามนี่ สมองช้า ชอบทำหน้าบื้อๆ แปลกดีกูชอบ” หาข้อดีไม่ได้เลยกู แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยิ้ม อย่างน้อยมึงก็ชอบกูละว๊าไอ่ภูมิ
    ^^

    “ขอบคุณวะมึง”

    “เรื่องอะไร”

    “ก็ทุกเรื่อง เออ เรื่องข้าวด้วยที่วันนี้มึงเลี้ยงกู”

    “อือ ถ้าสำนึกบุญคุณได้ ก็รีบมาเป็นแฟนกูเร็วๆละ”
     




    ภูมิพาผมกับเจ้าซีมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ผมลงมายืนอยู่ข้างๆรถ แต่ภูมิยังนั่งอยู่บนน้องซี มันเอาขาตั้งลงแล้วเอาเท้าเหยียบไว้บนที่วางเท้าก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผม

    “มึงจะกลับเลยมั้ย”


    “หึ ทำไมถามแบบนั้น กูไม่กลับแล้วจะให้นอนไหน” มันยิ้มมุมปาก ทำตาวิบวับ ห่า มึงคิดไรเนี่ย ความหมายของผมคือ จะแดกน้ำ แดกไรในบ้านก่อนกลับมั้ย


    “นอนโรงจอดรถนี่ไง”

    “เฮอะ”


    …………………………….”

    …………………………….”


    เราเงียบกันไป แต่ไม่ใช่บรรยากาศอึดอัดเหมือนทุกครั้ง แต่มันเป็นเหมือนช่วงเวลาที่เรากำลังซึมซับความรู้สึกดีๆ


    “อามึงกลับวันไหน”

    “อีกสองวันมั้ง เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกอาปุ้ยน่ะ”

    “อือ อยู่คนเดียวก็ล็อคบ้านดีๆ ได้ยินเสียงอะไร ก็อย่าสเล่อออกมาละ”

    “อ้าว แล้วถ้าเกิดขโมยขึ้นบ้านกูละ”

    “มึงก็โทรหากูดิ”

    “หึหึ คุณภูมิเป็นตำรวจหรอครับ”

    “ถึงไม่ใช่ กูก็มั่นใจว่ากูจะมาถึงบ้านมึงก่อนตำรวจ”

    “เออๆ แถวนี้ปลอดภัย ไม่ค่อยมีเรื่องหรอก”ผมยิ้มให้มัน แกล้งเตะขามันเบาๆ ภูมิมันก็พยักหน้าเข้าใจ

    “พรุ่งนี้มีสอบมั้ยภูมิ”

    “มี สอบเช้า มึงละ”

    “อือ เช้าเหมือนกัน งั้นมึงก็กลับไปนอนพักผ่อนเถอะ ดึกแล้ว”

    “อือ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูมารับ”


    “เฮ้ย ไม่ต้องๆ กูไปเองได้” เมื่อถูกผมปฏิเสธ มันก็เริ่มมองผมด้วยสายตาอำมหิตผิดมนุษย์ ผมเลยต้องรีบกลับคำให้มันมารับ แล้วรีบเดินไปเปิดประตูรั้วบ้านให้มัน ผมยืนรออยู่ตรงนั้นเพื่อให้คุณชายท่านขับรถออกไปจะได้ปิดทีเดียว แลดูเหมือนผมยังทำหน้าที่คนใช้ให้มันเลยเนอะ
     

     “พีม มานี่ดิ” ไอ้ภูมิกวักมือเรียกผม มันเปิดประตูรถแล้วแต่ยังไม่เข้าไป มันเท้าแขนซ้ายกับขอบประตูพลางมองมาทางผมนิ่งเหมือนจะบอกให้รู้ว่า ถ้ามึงไม่อยากตายก็เดินมาซะดีๆ อะไรของมันวะไอ้นี่ ผมไม่อยากเห็นคนเหวี่ยงเลยยอมเดินกลับไปหามัน

    “มีไรมึง”
      และยังไม่ทันได้ตั้งตัว มันก็ดึงผมเข้าไปใกล้ แล้วก้มลงแตะปากกับปากของผม
     
    OoO
     
    >//////<
     

    “ค่าข้าวครับ”
    ^^ เสียงทุ้มน่าฟังบอกผมด้วยรอยยิ้มหวานๆ แต่ผมยืนแข็งเป็นหินไปแล้ว ไม่รู้ว่ายืนค้างแบบนั้นอยู่นานเท่าไร ผมได้ยินเสียงรถออกไปนานแล้ว แต่ผมยังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิม อ๊ากกกกกกกกกกก เมื่อกี้เราจุ๊บกัน กูกับมัน ผมกับไอ้ภุมิ มันจุ๊บผม


    ค่าข้าวต้มปลามื้อนี้ผมจ่ายแพงไปมั้ย แต่ไม่เป็นไร ถือว่าคุ้มค่า เพราะว่ามัน อร่อยดี
    ^_^


    ว่าแต่บันไดขึ้นบ้านกูอยู่ทางไหนวะ
     
     




                                   ………………………………………………..
     
     



    ทันทีที่ผมเดินมานั่งที่โต๊ะประจำ เพื่อรอสอบวิชาแรก ไอ้คิวก็มองผมด้วยสายตาทิ่มแทงที่แสนกระแดะ มันผิวปากก่อนจะแกว่งปากหาส้นตีน
     

    “แค่เขาบอกรัก ก็ใจอ่อนยอมนอนทอดกายให้เขาเชยชม เมื่อเขาดอมดมชมจนสมใจ ก็สิ้นไร้ค่าไร้ราคา บทกวีในหลวง นิรันดร” กูจะเปลี่ยนชื่อมึงจากนายนิรันดร เป็นนาย ตายตอนนี้


    ผมได้แต่ส่ายหน้าปลงๆให้กับอาการเพ้อหนักของมัน ปล่อยมันพล่ามไปเถอะพูดกับหมาหมาเลียปากเปล่าๆ แม้ใจจริงผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันว่า กูกับไอ้ภูมิยังไม่ได้ผ่านพิธีกรรมชุบตัวโว๊ยยยยยยย

    ก็แค่
    ………………..>o<
     

    “ใช่ซี้ เดี๋ยวนี้มีเบนซ์ มีบีเอ็มมาตามรับตามส่ง รถเต่าเก่าๆของกูก็ไร้ความหมาย” ที่ไอ้คิวมันแซวผมออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้ได้ เพราะเพื่อนคนอื่นๆกำลังขะมักเขม้นติวหนังสือหลักสูตรเร่งรัด สิบนาทีก่อนเข้าห้องสอบ หึ มัวแต่วินนิ่ง ตีดอท เป็นไงละพวกมึง
     
    “มันก็เป็นธรรมดาแหละมึง สมัยนี้เงินทองมันหายาก อะไรดีกูก็ต้องคว้าไว้ก่อน จะให้มาจมปลักกับมึงก็ไม่ได้หรอกนะคิว ฮะๆ”

    “แหม๊มมมม ทีเมื่อก่อนหน้าไอ้ภูมิมึงก็แทบไม่อยากจะมอง แต่เดี๋ยวนี้
    …หึ… มึงมันใจง่าย ไอ้แคระ”

    “ใจง่ายตรงไหน กูออกจะหวงเนื้อหวงตัว ให้โอกาสมันเริ่มจากจีบ”

    “ระวังมันไม่ง้อกูจะขำให้” ผมลุกขึ้นผลักหัวไอ้คิว ก่อนจะลากมันขึ้นลานประหาร สู้โว้ยยยย
     
     
     


    ผมออกมาจากห้องสอบแบบเบลอๆ ข้อสอบไม่ยากครับ แค่ผมอ่านโจทย์ไม่ค่อยจะรู้เรื่องแค่นั้นเอง โจทย์ก็เป็นภาษาไทยนี่แหละ แต่โคตรงงชิบหายไม่รู้จะต้องการอะไรจากชายไทยอย่างผม  
     

    ไอ้คิวมันออกมานั่งฟุบดมยาดมโป๊ยเซียนรอผมตั้งแต่ยี่สิบนาทีที่แล้ว ผมไม่แปลกใจที่คิวออกจากห้องสอบเร็ว แต่ที่ทำให้ผมใจเต้นแปลกๆเพราะโต๊ะประจำไม่ได้มีไอ้คิวแค่คนเดียว แต่มีภูมินั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย

    “ไงมึง สอบเสร็จแล้วหรอวะ” ผมเอ่ยทักมัน แล้วเลือกนั่งฝั่งไอ้คิว

    “อืม ไงทำได้มั้ย”

    “ก็ได้บ้าง แล้วมึงละ หน้าบานเลยนะไอ่สัด”

    “บานเพราะเจอหน้ามึงต่างหากไอ้เตี้ย”

    ……………………..”


    ……………………..”

    “อ้าวเหรอ นึกว่ามีกูคนเดียวที่ดีใจเวลาเจอหน้ามึง” แกล้งทำเหมือนพูดเล่น แต่ขอโทษ กูพูดจากความรู้สึกจริงๆทุกคำครับ แมนป๊ะล๊า ไอ้ภูมิขำพรืดเมื่อเจอผมหยอดกลับ

    “มึงสองตัวช่วยออกจากโลกสีชมพูอมม่วง มาดูสภาพกูหน่อยได้มั้ย”  ไอ้คิวงัวเงียนั่งตาปรือเอายาดมยัดรูจมูก สภาพศพของมันอนาถมากครับ ผมเพิ่งรู้ว่าการสอบก็ฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นได้เหมือนกัน
     
     
    สอบเสร็จเหนื่อยๆ ก็ได้เวลาหม่ำๆข้าว ซึ่งวันนี้พวกผมได้รับการบังคับให้ไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง เป็นสารสั่งจากไอ้ฟ่างใครหน้าไหนก็ห้ามขัด
     
    “กว่าจะเสด็จมาได้นะพวกมึง”ไอ้มิคทักเสียงห้วนๆ สงสัยมันจะมึนข้อสอบ


    “เชี่ยภูมิ เช้าถึงเย็นถึงเลยนะมึง ไม่พาเพื่อนกูไปจดทะเบียนเลยละ” ไอ้เชนยักคิ้ว ยิ้มกวนตีนให้ภูมิทันที ที่พวกผมหย่อนก้นลงนั่ง
    ไอ้ภูมิมันก็ยิ้มรับไปตามประสา และไอ้เชนก็ได้นิ้วกลางจากผมไปตามระเบียบ

    ไอ้แทนกับข้าวฟ่างกำลังเดินถือขวดน้ำมา ส่วนคนอื่นๆไปซื้อข้าวมั้ง มีแค่ไอ้เชนกับไอ้มิคที่นั่งเป็นผีเฝ้าโต๊ะ
     

    “อ้าวคิว ไอ้คิว”
    ไอ้แทนเขย่าไหล่ไอ้คิวที่แนบหน้าลงกับโต๊ะ“มันเป็นไรพีม”


    “เมาข้อสอบ” ไอ้แทนส่ายหน้าขำๆแถมเคาะหัวไอ้คิวอีก พวกไอ้เบียร์ที่ไปซื้อข้าวกลับมา พวกผมก็เปลี่ยนกันไปซื้อบ้าง ไอ้ภูมิก็ทำเนียนเอาแขนพาดคอผมเฉยเลย กูหนัก

    ปกติอยู่กันห้าคนก็เสียงดัง นี่เก้าคนโต๊ะผมเลยเหมือนตลาดแตก ตอนแรกก็เหมือนจะเครียดอยู่หรอกนะไอ้เรื่องสอบ แต่ซักพักก็เปลี่ยนโหมดอารมณ์เร็วมาก




     “สอบเสร็จฉลองที่ไหนวะ” เสียงนี้มาจากบุคคลที่ทำเหมือนจะตายเพราะข้อสอบเมื่อสิบนาทีที่แล้วครับ แต่ตอนนี้มันกลับสู่สภาวะปกติแล้ว

    “เชี่ยคิว นี่เพิ่งสอบวันแรกนะมึง”

    “กูวางแผนล่วงหน้าไง เพื่ออนาคต”

    “กูก็ไม่รู้ ไปไหนดีวะพวกมึง”

    “ผับพี่ไนล์”

    “ไม่เอาวะ กูอยากแดกจนเมาแล้วนอนได้เลย อ๋อ กูรู้แล้ว” ไอ้คิวหันมายิ้มปีศาจให้ภูมิ

    “อะไร” ไอ้ภูมิเหมือนจะรู้ชะตาว่า ราหูกำลังจะแดกคอมัน

    “ไปห้องมึงนะภูมิ ห้ามปฏิเสธ ไม่งั้นกูจะยึดเพื่อนกูคืน” ไม่ได้หมายถึงกูใช่มั้ย กูไม่เกี่ยวใช่มั้ย

    “เออๆ ก็ไปสิ”

    “แม๊ ว่าง่ายวะ มีแววว่าจะถูกเมียข่มนะมึงเนี่ย ฮ่าๆ” ไอ้คิวหันไปแท็กมือหัวเราะสะใจกับไอ้มิค ไอ้ภูมิก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเชี่ยคิวกับเวรมิคอยู่สุดโต๊ะอีกฝั่ง
     

    “เออ มึงพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้วคิว ไอ้ภูมิไอ้พีมตกลงว่าตอนนี้ พวกมึงสองตัวมีความสัมพันธ์แบบไหน อยู่ในฐานะอะไรวะ”
    ไอ้มิคยื่นตะเกียบมาจ่อที่ปากผม เป็นไมค์มาสัมภาษณ์ว่างั้น มึงว้อนใช่มั้ย ได้ กูจัดให้


    “คือผมเป็นผู้ชาย พูดมากไปภูมิอาจจะเสียหายน่ะครับ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องครับ ก็คุยๆกันอยู่ครับ”
    ไอ้เบียร์ถึงกับขำจนสำลักความเทพในการเป็นเซเลปของผม ได้อีกนะกู

    “แล้วเมื่อไรจะถึงจะเรียกว่าแฟนละครับ”

    “ก็ต้องดูกันไปเรื่อยๆครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต”

    “ได้ข่าวว่าถูกน้องกูหิ้วขึ้นคอนโดจริงมั้ยครับ” ไอ้ฟ่างก็เอาด้วย

    “ไม่จริงครับ”

    “โกหก
    !!!

    “มึงรู้ได้ไงว่ากูโกหก”

    “เพราะดีเอ็นเอที่อยู่บนหนังหน้ามึงมันฟ้อง”
    ทั้งโต๊ะฮากับการปรักปรำของไอ้มิค

    “หึหึ เชี่ยมิค กูไม่ได้ทำใครท้อง”

    “ไอ้ภูมิ มึงมีอะไรจะพูดอีกมั้ย”ทุกคนหันไปจ้องไอ้ภูมิว่ามันจะรับมุกรึเปล่า รวมทั้งผมที่นั่งอยู่ข้างๆมัน

    “ไม่มีครับ พีมเค้าพูดไปหมดแล้ว”


    “สาดดดดดดดดดดดด” ไอ้คิวเป่าปากถูกใจอย่างกับเชลซีได้แชมป์พรีเมียร์ลีก หึ มึงเอาเชือกไปดึงไอ้แมวฟ้าให้ขึ้นมาจากที่สี่ของตารางก่อนเถอะแล้วค่อยมาฝัน เพราะปีนี้ผีชูถ้วยเว้ย
     


    “ตอนแรกก็ไอ้แทนกับไอ้ฟ่าง ตอนนี้ก็ไอ้ภูมิกับไอ้พีม ดีแล้วๆพวกมึงรักกันน่ะดีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครมาแย่งสาวๆจากกู ผู้หญิงทั้งมหาลัยก็จะเป็นของกูคนเดียว ฮ่าๆ มึงไม่เอาบ้างหรอเบียร์ ไอ้เชนไอ้คิวก็เหลือ เลือกเลย” ตีนเบอร์สี่สิบกว่าๆ หกข้างพุ่งไปที่ไอ้มิค ส่วนไอ้เบียร์ ไอ้คิว ไอ้เชนมองหน้ากันแล้วหันไปโก่งคออ้วกคนละทาง
     

    “จะว่าไปพวกมึงน่ารักดีวะ กูไม่เคยเห็นไอ้ภูมิเป็นแบบนี้เลยนะพีม มันยิ้มบ่อยมาก รู้ตัวมั้ยไอ่สัด”
    ไอ้เบียร์ผลักหัวไอ้ภูมิเอนมาพิงที่ไหล่ผม ผมเลยโน้มหน้าไปมองหน้ามัน ไอ้ภูมิกำลังยิ้มอยู่จริงๆด้วย มันถูกพวกนั้นรุมแซวไปอีกหลายฉาด ผมเลยช่วยภูมิด้วยการยกมือขึ้นบังหน้ามันไว้
     

    “กูถามจริงๆเถอะภูมิ มึงชอบไอ้พีมตรงไหนวะ เตี้ยก็เตี้ย ปากก็หมา หน้าตาก็จืดๆ ดีหน่อยว่าขาว”
    หลายปีที่เราคบหากันมา ในสายตามึงกูดูแย่ขนาดนั้นเลยหรอปัน
     

    “กูไม่รู้ ไม่มีเหตุผล รู้แค่ว่ากูชอบพีม
     


    “ฮิ้วววววววววววว” พวกผีห่าซาตานร้องระงมโหยหวน ตบโต๊ะ โห่แซวอย่างถูกใจ  ไอ้ฟ่างอินจัดเป็นหนักถึงขั้นยืนขึ้นปรบมือให้น้องชาย จนไอ้แทนต้องรีบดึงให้แฟนมันนั่งลง
     



    ส่วนผมได้แต่นั่งก้มหน้ากินข้าวขาหมูเงียบๆ
    กูไม่น่าช่วยมึงเล้ยยยย
     


    บางทีมึงก็ทำให้หัวใจกูทำงานหนักเกินไปรู้มั้ยภูมิ
     
     




                                   ……………………………………………
     
     





    วันนี้ภูมิหอบหนังสือมาติวที่บ้านผม พรุ่งนี้จะสอบตัวสุดท้ายแล้ว แถมเรียนอีกไม่กี่วันก็หยุดยาว ปีใหม่แล้วโว๊ยยย และที่มันต้องถ่อมาอ่านไกลขนาดนี้เพราะมันบอกว่าบ้านผมร่มรื่น ต้นไม้เยอะ อากาศดีทำให้สมอง(โล่ง)โปร่ง
     
    อ่านหนังสือในบรรยากาศแบบนี้ทำให้จำสูตรได้ง่ายและที่สำคัญยังสามาถจีบผมได้ถนัดๆอีกด้วย มันก็ช่างคิดได้แต่ก็ดีเหมือนกันผมก็ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว มีมันมาอยู่เป็นเพื่อนก็ดี
     
    ผมต้องยกโซฟานุ่มๆในห้องนั่งเล่นให้คุณชายเขานั่ง ส่วนผมก็นอนทะเลาะกับ verb adverbอยู่แทบเท้าคุณเขา เด็กศิลกรรมกับภาษาอังกฤษไม่ใช่ของคู่กันต้องทำใจ
     
    ส่วนเด็กวิศวะ แค่เห็นหนังสือที่มันหอบมาผมก็แทบอ้วก ปกหนังสือเรียนของมันผมยังอ่านไม่ออก แม่งเรียนอะไรกันวะ เรียนทำไมนักหนา ซื้อข้าวต้องใช้สูตรรึไง

    วันนี้ภูมิใส่แว่นด้วย แปลกตาดี หล่อกระซวกไส้ แบบนี้ต้องไม่ให้มันใส่ออกนอกบ้าน ฮ่าๆ
     

    “อ่านไปดิ มองหน้าทำไม หน้ากูไม่มีสูตรฟิสิกส์นะเว้ย” ปกติผมก็อ่านหนังสือไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ยิ่งรู้สึกว่ามีคนจ้องก็ยิ่งประหม่า ผมแหงนหน้าขึ้นมาด่าไอ้ภูมิที่เอาแต่มองหน้าผม แม่งมองบ่อย มองนานแล้วนะมึง เดี๋ยวกูคิดค่าชั่วโมงเลยนิ
     

    “หน้าจืดๆอย่ามาทำเป็นหวง”

    “เออ อย่าให้กูหล่อแบบมึงบ้างละกัน กูจะส่งชิงโชคโออิชิไปเกาหลี กูจะไปทำศัลยกรรม”

    “ทำไปก็เท่านั้น เสียดายยาสลบเปล่าๆ หึหึ”

    “เออ อ่านไปเลยนะมึง เชี่ยภูมิ” ได้ทีขี่บีเอ็มไล่เลยนะ ผมไม่อยากต่อปากกับมัน เลยกลับไปนอนกลิ้งวิวาทกับแกรมม่าเหมือนเดิม

    “ภูมิๆ ไอ้
    in กับ เหี้ย at เวลาใช้กับสถานที่มันใช้ต่างกันยังไงวะ” ใครจะหาว่าผมโง่ผมก็ไม่โกรธครับ ไอไม่ถูกกับอิ้งลิช ไอ ด้อน แคร์


    “หืม ไหนเอามาดูซิ” ผมลุกขึ้นขยับไปนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆตีนไอ้ภูมิ มันวางหนังสือเล่มยักษ์ลงก่อนจะเอาหนังสือภาษาอังกฤษของผมไปดู มันก้มลงมองหน้าผมแล้วยิ้ม คงดูถูกดูแคลนที่ผมโง่แถมยังต้องนั่งกับพื้นส่วนมันฉลาดเป็นคนชนชั้นสูงนั่งสบายอยู่บนโซฟา เฮอะ เพราะกูเสียสละหรอกไอ่ฟาย

    in มันใช้กับสถานที่ใหญ่ๆ ส่วน at ใช้กับสถานที่เล็กๆ”

    “ยังไงอ่ะ”

    “ก็ประมาน
    in Bangkok in England พวกเมือง จังหวัด ประเทศ”

    “อ๋ออออ”

    “ส่วน
    at ก็ใช้กับบ้าน หมู่บ้าน อย่าง at home ประมาณนี้”

    “อ๋อออ”

    “ที่อ๋อเนี่ย มึงเข้าใจมั้ยเตี้ย”

    “ก็นิดนึง แต่มึงเก่งวะ”

    “กูไม่ได้เก่ง แต่เรื่องนี้ รู้สึกว่ากูจะเรียนตอนอยู่ ป
    .5 มั้ง” ฉึก เหมือนถูกมีดปักลงกลางอก เจ็บกว่าถูกด่าว่าโง่อีกครับ หนอยไอ้คุณชายมึงหลอกด่ากู ตอนป.5 ผมยังวิ่งแก้ผ้าเล่นน้ำที่เชียงใหม่อยู่เลย จำได้ลางๆว่าเคยเรียนนะ แต่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยยึดติดกับอดีตไงครับ เลยทิ้งๆลืมๆมันไปบ้าง
     กร๊ากกกกกก :P
     

    “ภูมิ ทำไมมึงถึงเรียนวิศวะ”

    “ไม่รู้”

    “อ้าว”

    “แล้วมึงละ ทำไมเรียนศิลปกรรม”

    “ก็กูชอบศิลปะ ชอบวาดรูป มึงไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย บอกกูมา ทำไมมึงถึงเรียนวิศวะ”

    “ที่กูเรียนวิศวะเพราะว่ากู”

    ………...”

    “หึหึ ทำไมมึงต้องทำหน้าอยากรู้ขนาดนั้นด้วยพีม”

    “ก็กูอยากรู้ ทีกูยังยอมมึงง่ายๆเลย บอกมา เร็วๆ”

    “ที่กูเรียนวิศวะเพราะ
    ……”

    “เพราะ
    ………….”

     “กูกรอกรหัสคณะผิด”

    “ห๊า
    !!!!!!” OoO :o แม่เจ้า กรณีแบบนี้ก็มีหรือนี่ ผมมองหน้าไอ้ภูมิด้วยความอึ้งสุดชีวิต แต่มันแค่ยิ้มชิลล์ๆผมฝากถึงน้องๆทุกคนที่กำลังจะเอนทรานซ์ในปีนี้ด้วยนะครับ จำเรื่องนี้ไว้เป็นวิทยาทาน ว่าตอนกรอกรหัสคณะหรือพูดง่ายๆคือขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุด ก็ช่วยละเอียดรอบคอบมากๆ ดูให้ดีๆว่าลงถูกคณะรึเปล่าอย่าทำเหมือนผู้ชายคนนี้ แต่คะแนนมันต้องสูงมากแน่ๆ ขนาดลงผิดยังติดวิศวะ


    “แล้วจริงๆมึงอยากเรียนอะไรวะ”

    “ถ่ายภาพ”

    “ว่าว สุโค่ย หล่อ รวย ติส ติดเซอร์ ครบสูตร” มันหัวเราะพร้อมกับยื่นมือมาผลักหัวผมแทบหงายหลัง ภูมิถอดแว่นตาออกแล้วนวดคลึงหัวตา
     
    “แล้วเรียนวิศวะ ยากป่ะ” ผมยังทำตัวเป็นพิธีกรเรียลลิตี้ซักประวัติไอ้ภูมิต่อไป

    “ยาก”

    “พวกมึงเก่งเนอะ เป็นกูคงตายคาหนังสือแน่ๆ ฮะๆ”

     
    “พูดดีนิ” มันยิ้มอีกแล้ว เวลาภูมิยิ้มมันดูสว่างสดใสน่ามอง อยากให้มันยิ้มแบบนี้บ่อยๆ^^ยิ้มให้ผมบ่อยๆแบบนี้ สงสัยผมคงเผลอจ้องมันมากเกินไป จนภูมิก้มลงมาสบตาด้วย มันยื่นมือขาวๆมาแนบกับแก้มของผม ก่อนที่หน้าหล่อใสเจ้าของรอยยิ้มที่ผมชอบนักชอบหนาจะโน้มลงมาใกล้
     


    ผมเริ่มเห็นหน้าภูมิไม่ชัดเพราะมันอยู่ใกล้จนเกินไป ผมหลับตาเมื่อรับรู้ว่าปลายจมูกเราสัมผัสกัน จมูกโด่งคมนั้นเอียงกดลงกับแก้มของผม และไม่นานความรู้สึกนุ่มๆอุ่นๆก็ประทับลงกับริมฝีปากของผม มันไม่ได้อุ่นแค่กาย แต่ความรู้สึกอบอุ่นนั้นยังผ่านลึกลงไปถึงหัวใจ
     
     



    จูบกันแล้ว ผมกับภูมิ เราจูบกันไปแล้ว
     
     


    TBC>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     
     
     
    …………………………………………….
     


     
    Talk : อ่านเองยังเขินเองคะ แอร๊ยยย นี่มันอะไรกันคะ หนุ่มๆสมัยนี้เค้าไวไฟแบบนี้แล้วหรอเนี่ย ตอนหน้าจัดหนักๆเลยซะดีมั้ยฮึ ฮ่าๆๆๆ บ้าหรอ นิยายเค้าใสๆนะตัว
    อ๊อ น้องพีมฝากมาบอกว่า เล่นตัวได้แค่นี้จริงๆคร้าบบ จีบกันยังไม่ถึงสามวันมันจะยอมเป็นแฟนภูมิแล้วอ่ะ ไวดีจริงๆ แล้วพบกันใหม่ปีหน้านะคะ^__^
     
     
            
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×