คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : ตอนที่ 70 คุณค่าของความรัก (100%)
ตอนที่ 70 คุณค่าของความรัก
ผมนั่งมองแสงสุดท้ายของดวงตะวันที่ค่อยๆเปลี่ยนสี มีคนเคยบอกว่าบรรยากาศเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในแต่ละวันนั้นจะไม่เคยซ้ำกันเลยทั้งที่เป็นดวงอาทิตย์ดวงเดิมฟ้าก็ฟ้าผืนเดิม มันคงเป็นเสน่ห์ที่มหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ไม่ว่ามนุษย์เราจะเก่งสักแค่ไหนจะพาโลกก้าวมาไกลสักเท่าไรแต่ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็ไม่มีทางทำได้เกินกว่าธรรมชาติเราเอาชนะธรรมชาติไม่ได้
สามวันแล้วที่ผมได้นั่งมองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและผมคิดว่าตัวเองเริ่มหลงรักบรรยากาศแบบนี้ซะแล้วสามวันที่ผ่านมาผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองผมตัดขาดการติดต่อจากไอ้พวกเพื่อนๆด้วยการบล็อกเบอร์พวกมันเพราะผมไม่กล้าปิดเครื่องเผื่อพ่อกับแม่โทรมาและถ้ามีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามาผมก็ไม่รับสาย
แต่ไม่ว่าผมจะคิดจะทำเรื่องอะไรภาพในหัวก็จะฉายแต่หน้าของภูมิเสมอทุกเรื่องราวระหว่างเรายังคงชัดในความรู้สึกคงเพราะผมไม่ได้คิดตัดใจไม่ได้คิดที่จะลืม ก็แล้วจะลืมทำไมในเมื่อเราเลิกกันเพราะคนอื่นเราไม่ได้เลิกเพราะไม่รักกัน
ในทุกๆเย็นผมจะมานั่งวาดรูปที่ชายหาดโดยใช้ทะเลเบื้องหน้าเป็นแบบและทุกวันผมมักจะเห็นคุณลุงคนนึงเดินเก็บขวดน้ำเก็บเปลือกหอยตามชายหาดพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ วันนี้ผมเลยคิดจะให้สองคนนี้เป็นแบบโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
ผมเริ่มสเกตซ์ภาพคร่าวๆมาได้ซักพักแต่เพราะแบบของผมไม่ได้อยู่นิ่งๆแถมผมต้องแอบมองทำเนียนๆเพื่อไม่ให้แบบของผมรู้ตัวอีก กว่าจะร่างภาพเสร็จเลยต้องใช้เวลานานหน่อยพอผมจะเริ่มลงรายละเอียดอยู่ๆเด็กคนนั้นที่ผมแอบใช้เป็นแบบก็วิ่งมาเข้ามาหาผม น้องมายืนใกล้ๆพร้อมกับเอียงคอมองผมแล้วก็ยิ้มให้ผมเลยยิ้มตอบกลับไปผมคงจ้องนานเกินไปจนเจ้าตัวเขารู้สินะ
“ว่าไงครับ” ผมทักทายด้วยรอยยิ้มแต่น้องก็ไม่ตอบเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว “พี่ชื่อพีมน้องชื่ออะไรครับ” เด็กนั่นก็ไม่ตอบ ผมเริ่มขมวดคิ้วปกติผมก็ไม่ใช่คนรักเด็กอะไรหรอกนะแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาในการผูกไมตรีแต่ดูท่าน้องคนนี้จะเป็นรายแรก
“อย่าไปกวนพี่เค้าสิไอ้ภู” ผมสะดุดกับชื่อที่คล้ายชื่อของคนที่อยู่ในใจผม ผมเบนสายตาหันไปหาผู้ที่มาใหม่คุณลุงคนนั้นบอกลูกชายแล้วก็หันมายิ้มให้ผม
“ไม่เป็นไรครับลุง น้องชื่ออะไรเหรอ” ผมบอกคุณลุงและยิ้มให้แกเช่นกันก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆของน้องภูแล้วเอ่ยถามชื่ออีกครั้งแม้ว่าผมจะรู้แล้วก็ตามแต่น้องก็ยังไม่ตอบเอาแต่ยิ้ม
“ไอ้ภูพี่เขาถามก็ตอบสิ” ผมเงยหน้ามองคุณลุงและก้มลงมามองเด็กตัวน้อยเพื่อรอฟังคำตอบน้องภูจ้องผมอยู่สักพักก่อนจะยอมพูด
“ชื่อ ภู ฮะ” ผมขมวดคิ้วเพราะน้องพูดช้ากว่าปกติผมรู้สึกว่าน้องดูเหมือนจะแปลกๆแต่ผมก็ยิ้มให้
“เจ้าภูมันเป็นเด็กพิเศษน่ะพ่อหนุ่ม”
“ครับ?” ผมเงยหน้ามองคุณลุงเพื่อขอคำยืนยันว่าผมไม่ได้ฟังผิดไป คุณลุงยิ้มและลูบหัวลูกชายเบาๆผมมองน้องภูอีกครั้งถ้าไม่บอกก็ดูไม่ออกเลยว่าน้องเป็นออทิสติกเพราะน้องดูเหมือนเด็กปกติทั่วไปเพียงแค่ตัวเล็กแค่นั้นเอง
คุณลุงวางถุงที่ใส่พวกขวดน้ำเศษขยะลงก่อนจะนั่งห่างจากผมไม่มากผมก็วางอุปกรณ์วาดรูปไว้ข้างตัวเช่นกัน ลุงแกชวนคุยถามไถ่ผมเรื่องทั่วๆไปแกคุยสนุกดีนะครับแกชื่อลุงนพเป็นชาวประมง ส่วนเมียแกขายพวกกับข้าวอยู่ในตลาดหัวหิน ลุงนพเล่าให้ผมฟังว่าตอนเย็นๆแกมักจะมาเก็บขวดเก็บพวกขยะที่นักท่องเที่ยวมักง่ายทิ้งไว้และก็พาน้องภูมาเดินเล่นด้วย
“พ่อหนุ่มเป็นคนกรุงเทพรึ”
“ครับเป็นคนกรุงเทพแต่พ่อกับแม่ทิ้งผมไปอยู่เชียงใหม่กันหมดแล้วครับ” แกหัวเราะพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับมองไปยังน้องภูที่ตอนนี้กำลังวิ่งเล่นกับระรอกคลื่นพอคลื่นซัดเข้าหาน้องก็วิ่งหนีพอคลื่นห่างออกไปน้องก็วิ่งตามแล้วก็หัวเราะดูมีความสุข เด็กๆนี่เขายิ้มได้กับทุกเรื่องเลยเนอะคงเพราะเขายังไร้เดียงสาจิตใจก็บริสุทธ์ต่างจากผู้ใหญ่อย่างเราที่แม้แต่เรื่องเล็กๆก็ยังเครียด
“มาคนเดียวนี่มาพักผ่อนหรือมาพักใจ” ลุงเอ่ยถามอย่างคนอารมณ์ดี
“ก็ทั้งสองอย่างครับ หึหึ ท่าทางผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอครับลุง”
“ก็เห็นคุณนั่งเศร้าๆคนเดียวมาสองสามวันแล้ว คนที่มีความสุขเขาไม่ค่อยมาทะเลคนเดียวหรอกพ่อหนุ่ม” ผมหัวเราะที่ถูกดูออกผมเอากิ่งไม้ในมือเขี่ยทรายเล่น มันก็จริงน่ะนะคนที่มาทะเลคนเดียวคงไม่ใช่คนที่กำลังมีความสุขกับชีวิตหรอก
การได้พูดคุยกับคนที่เราไม่รู้จักมันก็ทำให้สบายใจไปอีกแบบและมันทำให้เรากล้าที่จะพูดถึงความรู้สึกของเราจริงๆเพราะเขาไม่ได้รู้จักคนที่เราพูดถึงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเอาไปพูดต่อและจากที่ได้คุยกับลุงนพผมคิดว่าแกเป็นคนที่มีมุมมองชีวิตที่น่าสนใจเลยทีเดียว
“ชอบที่นี่ไหม”
“ครับ ผมชอบทะเลชอบบรรยากาศของหัวหินมันเงียบสงบดี
.อีกอย่างผมเคยมีความทรงจำดีๆกับคนรักที่นี่น่ะครับ” ลุงนพส่งเสียงอืมเป็นการรับรู้ผมกับลุงนพยังคงมองไปที่จุดเดียวกันคือที่ที่น้องภูกำลังก่อปราสาททรายอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ชีวิตช่วงวัยรุ่นหนุ่มสาวมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆของเราเลยนะเจอทั้งสุขทั้งทุกข์ได้ทำเรื่องสนุกๆแต่พอเวลามีปัญหามันก็หนักเอาการ”
“ครับ นี่ก็หนักจนต้องหนีมาพักใจเลยครับลุง” ผมพูดติดตลกหันไปยิ้มให้ลุงนพแกก็พยักหน้าหัวเราะไปกับผมด้วย
“พ่อหนุ่มรู้ไหมว่าชีวิตมันสนุกตรงไหนมันมีความหมายมีคุณค่ายังไง” ผมเลิกคิ้วมองลุงนพแกอมยิ้มอย่างผู้ที่ผ่านโลกมาก่อน “ตรงที่ชีวิตมันไม่ง่ายไง มันท้าท้ายดีนะลุงว่าเวลาเจอปัญหาแล้วเราก็สู้จนผ่านมันไปได้”
“ก็คงอย่างงั้นมั้งครับ ลุงนพดูเข้าใจชีวิตดีนะครับ น่าอิจฉา” ผมหันไปบอกลุงนพที่มองลูกชายตัวเล็กกว่าเด็กวัยอนุบาลทั่วไปเด็กชายตัวน้อยที่นั่งก่อทรายอยู่ที่เดิม
“หึ ไม่หรอกคุณ ลุงแค่ผ่านโลกมานานกว่าคุณแค่นั้นเองถ้าให้คุณไปปลอบใจเด็กอายุสิบขวบคุณก็ทำได้เพราะเห็นชีวิตมาเยอะกว่าเจออะไรมามากมายกว่าอย่างลุงก็ผ่านเรื่องแย่ๆมาเยอะเหมือนกัน”
จากสายตาของแกผมก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องที่ทำให้ลุกแกทุกข์ใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของน้องภูแต่ลุงนพก็พูดด้วยใบหน้าที่ยังยิ้มแย้มน้ำเสียงก็ยังปกติเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป “ถ้าพ่อหนุ่มไม่รีบไปไหนอยากฟังเรื่องลูกชายของลุกไหม”
“ถึงลุงไม่เล่าผมก็จะบังคับให้ลุงยอมเล่าให้ได้” แกหัวเราะชอบใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตให้ผมฟัง
“พ่อหนุ่มอาจจะสงสัยว่าลุงอายุปูนนี้ทำไมเพิ่งมีลูกเล็กขนาดนี้” ผมพยักหน้ารับเพราะอย่างคุณลุงน่าจะมีลูกชายวัยเท่าผมไม่ก็แก่กว่าผม “ลุงแต่งงานมาหลายปีแต่ก็ไม่มีลูกสักทีเพราะเมียลุงสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเลยทำให้มีลูกยากมันแท้งไปสองครั้งลุงก็เลยถอดใจลุงสงสารเมียลุงเลยคิดว่าไม่มีลูกก็ไม่เป็นไรอยู่กันไปสองคนผัวเมียก็ได้
แต่เวลาไปทำบุญลุงก็ชอบขอให้มีลูกจนเทวดาท่านคงเวทนามั้งต่อมาไม่นานลุงก็ได้ลูกชายสมใจ
เจ้าภูมันคลอดก่อนกำหนดแต่มันก็สมบูรณ์ดี วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าลูกลุงดีใจมากมันเหมือนของขวัญจากฟ้าเลยล่ะพ่อหนุ่ม” สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความห่วงใยถูกส่งไปให้น้องภูที่วิ่งหยอกล้อกับระรอกคลื่นจนผมยิ้มตามไปด้วย
“ลุงตั้งชื่อให้ลูกว่าภูผามันจะได้เข้มแข็งและแข็งแกร่งดั่งภูผาลุงกับแม่มันช่วยกันเลี้ยงให้ดีที่สุดถึงบ้านเราจะไม่ได้มีเงินทองมากมายแต่เราก็มีความสุขดีเพราะลุงเอาความรักของลุงทั้งหมดเลี้ยงลูก จนเจ้าภูมันถึงวัยที่ต้องหัดพูดแต่มันก็ไม่ยอมพูด ลุงคิดว่ามันอาจจะแค่พัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ
จนมันจะสามขวบมันก็ยังไม่พูดลุงเลยมามันไปหาหมอ เขาบอกว่าลูกลุงเป็นออทิสติก” รอยยิ้มของผมเหมือนถูกกระชากความสุขที่ได้ฟังเรื่องราวที่แสนน่ารักของครอบครัวๆหนึ่งมันวูบหายไปทันทีเพราะผมลองจินตนาการว่าถ้าผมเป็นลุงนพถ้าลูกที่ผมเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาต้องมาป่วยแบบนี้ผมคงเหมือนใจสลายแต่ ลุงนพหันมายิ้มให้ผมก่อนจะเริ่มเล่าต่อ
“คนเรียนน้อยอย่างลุงก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ออทิสติกนี่มันคืออะไร รู้แค่ว่าเป็นโรคๆหนึ่งและรู้แค่ว่าลุงจะต้องรักษาลูกให้หาย ลุงก็พยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่เป็นผลตอนแรกลุงก็อายก็ท้อนะนอนร้องให้กับเมียก็บ่อยไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ทำไมลูกเราไม่เหมือนคนอื่น
ถ้ามันจะเกิดมาแล้วเป็นแบบนี้สู้อย่าเกิดมาซะเลยจะดีกว่าช่วงนั้นมันเหมือนมืดแปดด้านเงินที่หามาตั้งใจเก็บไว้ให้มันได้เรียนสูงๆก็เอามาเป็นค่ายาค่าหมอ ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นทุกวันๆลุงหาเงินคนเดียวเพราะเมียลุงต้องอยู่บ้านดูแลลูก พอรายได้ไม่พอกับรายรับก็ต้องหยิบต้องยืมญาติๆจนเป็นหนี้เขาหลายบาท” ลุงนพหยุดเล่าและถอนหายใจเบาๆแต่ใบหน้าก็ยังเปื้อนรอยยิ้มไม่จางหาย
“ลุงเครียดมากจะหันไปพึ่งใครก็ไม่ได้จนวันนึงลุงคิดจะหาทางออกให้ตัวเองโดยการทิ้งทุกอย่างไว้ หึหึ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมว่าคนอย่างลุงจะเห็นแก่ตัวขนาดนี้”
“ไม่หรอกครับลุงนพ คนเราต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนแต่บางช่วงของชีวิตที่เราเจอเรื่องร้ายๆเราก็อ่อนแอได้เหมือนกัน”
“อืม ก็ยังดีที่ลุงเอาชนะความรู้สึกตอนนั้นได้ต้องขอบคุณไอ้ภูมัน”
“ทำไมเหรอครับน้องภูเป็นคนห้ามลุงไว้เหรอ”
“ก็ไม่เชิง ตอนนั้นเมียลุงออกไปซื้อยามาให้ไอ้ภูเพราะมันเป็นไข้ลุงเองก็ไม่สบาย ลุงตัดสินใจตอนนั้นเอาผ้ามาผูกกับขื่อบ้านอีกแค่ไม่กี่วินาทีลุงก็จะได้ไปพ้นๆจากปัญหาพวกนั้นแต่ไอ้ภูมันเดินเตาะแตะเข้ามาในห้องมันร้องไห้คงเพราะมันตื่นมาหาใครไม่เจอ ไอ้ภูมันแหงนหน้าขึ้นมองลุงที่ยืนอยู่บนเก้าอี้กำลังเอาคอเข้าไปบ่วงผ้า ลุงได้แต่มองหน้าลูกแล้วก็ร้องไห้ไอ้ภูมันก็มองลุง
แล้วมันก็เปล่งเสียงออกมา เสียงที่ทำให้ลุงดีใจและเสียใจมากที่สุดในชีวิตแค่คำว่า “พ่อ” ลุงได้ยินมันเรียกว่า “พ่อ” คำแรกที่เจ้าภูมันพูดได้ ลุงรีบมากอดมันไว้ จากวันนั้นลุงก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรโง่ๆแบบนั้นอีก ลุงลุกขึ้นสู้กับปัญหาและลองมองชีวิตในมุมใหม่ๆมันทำให้ลุงรู้ว่าไม่ได้มีแค่ลูกลุงที่เป็นแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือโชคร้ายที่ลูกลุงไม่เหมือนคนอื่นลุงเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเรียกเด็กที่เป็นออทิสติกว่าเด็กพิเศษก็เพราะพวกเขาคือคนพิเศษของพ่อแม่เหมือนที่เจ้าภูมันเป็นคนพิเศษของลุงและไม่ว่ามันจะเป็นยังไงมันก็คือลูกของลุง”
ลุกนพหันมาบอกผมด้วยรอยยิ้มผมยิ้มให้ลุงด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันแต่มันก็เจ็บในอกในเวลาเดียวกัน ความรักของพ่อยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมดบางทีการที่ผมตัดสินใจคืนภูมิให้กับพ่อ คืนลูกชายที่เขารักอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
“หมอแนะนำว่าให้พาไอ้ภูไปเข้าศูนย์บำบัดรักษาเฉพาะทางลุงกับแม่ไอ้ภูก็พาลูกไปรักษา ที่นั่นลูกลุงมีเพื่อนมากมายมันได้เล่นกับเพื่อน มันยิ้มได้มันมีความสุขแค่นี้ลุงก็มีความสุขแล้วบางครั้งลุงก็เหนื่อยก็ท้อนะแต่ลุงก็บอกตัวเองเสมอว่าลูกจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเรามันก็ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป”
“น้องภูโชคดีมากเลยนะครับที่มีพ่อที่รักเขามากขนาดนี้”
“หึหึ พ่อคนไหนต่างก็รักลูกทั้งนั้นแหละพ่อหนุ่มว่าแต่พ่อหนุ่มเถอะมีเรื่องอะไรไม่สบายใจยิ่งมาฟังลุงบ่นจะยิ่งไม่เครียดหนังเข้าไปอีกเหรอ”
“หึหึ ไม่หรอกครับ ขอบคุณลุงนพมากนะครับที่มานั่งคุยเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรลุงแค่อยากให้พ่อหนุ่มรู้ว่าเวลาที่เราทุกข์เวลาที่เสียใจให้ลองมองคนอื่นที่เขาแย่กว่าเรา เขาเจอปัญหาไม่ต่างจากเราหรืออาจจะหนักกว่าเราก็ได้แต่สุดท้ายแล้วเวลาจะทำให้มันผ่านไป” ผมพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกขอบคุณลุงนพจากใจจริงแม้ตอนนี้ผมจะยังไม่รู้ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจของผมกับภูมิได้หรือเปล่าแต่อย่างน้อยผมก็จะพยายามมองเรื่องราวครั้งนี้ในอีกด้านหนึ่ง
“ขอบคุณมากครับ เอ่อลุงนพครับน้องภูดูเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปเลยแสดงว่าตอนนี้น้องใกล้หายดีแล้วใช่ไหมครับลุง”
“มันก็ดีขึ้นเยอะนะมันพูดสื่อสารกับคนอื่นได้แต่ก็ช้าคงต้องรักษาไปเรื่อยๆจนกว่าภูจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างปกติ”
“ผมเชื่อว่าน้องจะต้องหายครับ ลุงสู้ๆนะ” ลุกนพหัวเราะท่าทางการกำมือสู้ๆของผมแกบอกว่าไปๆมาๆกลายเป็นว่าผมเป็นคนที่ให้กำลังใจแกซะงั้น ผมต่างหากที่ได้กำลังใจได้เรียนรู้ชีวิตของลุง “ผมเคยได้ยินมาว่าน้องๆที่เป็นเด็กพิเศษเขาจะมีความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปทำไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ก็แล้วแต่บางคนนะอย่างเพื่อนๆไอ้ภูที่ศูนย์บำบัดบางคนมันคิดเลขเก่งเหมือนพวกด็อกเตอร์ทางคณิตศาสต์เพียงแต่มันอยู่นิ่งๆไม่ได้ บางคนก็จำหนังสือเรียนได้ทั้งเล่มหมอที่ดูแลเจ้าภูเคยบอกว่าความเป็นออทิสติกกับอัจฉริยะมันใกล้ๆกัน”
“แล้วอย่างน้องภูละครับน้องมีความสามารถพิเศษไหมครับ” ลุงนพยิ้มและถามผมกลับ
“เมื่อกี้ลุงเห็นพ่อหนุ่มวาดรูปนิไอ้ภูมันก็ชอบวาดรูปวาดสวยเหมือนพวกนักวาดมืออาชีพเลยนะ” สิ่งที่ได้รับรู้ทำเอาผมตื่นเต้นมากผมเลยบอกลุงนพไปว่าผมก็เรียนเกี่ยวกับพวกศิลปะพวกวาดรูปเหมือนกันผมเลยขออนุญาตให้น้องภูมาวาดรูปเล่นกับผมลุงนพก็ไม่ว่าอะไร
จากวันนั้นผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่บ้านลุงนพเป็นครอบครัวที่น่ารักมากป้าไพแม่น้องภูก็เป็นผู้หญิงที่ใจดีมากการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้นอกจากผมจะนอนร้องไห้ผมก็ยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ต่างอายุตั้งสามคน
ในตอนเย็นๆผมจะเป็นคนไปรับน้องภูมาเล่นด้วยกันที่หาดผมซื้อสี ดินสอ ยางลบ สมุดวาดเขียนแล้วก็อุปกรณ์วาดรูปให้น้องไปเยอะเหมือนกันตอนแรกลุงนพแกจะไม่ให้น้องภูรับของพวกนี้เพราะเกรงใจแต่ผมก็พยายามเกลี้ยกล่อมบอกว่าถือเป็นของขวัญจากพี่ชายให้น้องชายแกถึงยอม
น้องภูวาดรูปสวยมากครับทำเอาผมอึ้งและอายเพราะบางรูปที่น้องวาดทั้งสวยและองค์ประกอบแสงเงาต่างๆมันดูลงตัวมาก
น้องภูเป็นเด็กยิ้มเก่งน้องพูดช้าและบางทีก็พูดตามพูดซ้ำประโยคเดิมผมไม่เคยสัมผัสกับชีวิตของน้องๆที่เป็น “เด็กพิเศษ” แต่พอได้อยู่กับน้องภูทำให้รู้ว่าพวกเขาก็เหมือนคนทั่วๆไปถ้าเราพยายามเข้าใจ มนุษย์ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นคนปกติหรือคนพิการ มหาเศรษฐีหรือขอทานคุณค่าของความเป็นคนทุกคนมีเท่ากัน
รวมถึงน้องภูไม่ว่าสังคมจะมองพวกเขาแบบไหนแต่น้องภูก็คือคนพิเศษของลุงนพกับป้าไพและน้องภูก็เป็นคนพิเศษของผมเช่นกัน
ผมยิ้มเหงาๆลูบหัวน้องภูที่นอนวาดรูปครอบครัวตัวเองในรูปมีลุงนพมีน้องภูอยู่ตรงกลางอีกข้างคือป้าไพและที่ทำให้ผมน้ำตาคลอคือข้างๆลุงนพมีรูปผู้ชายคนนึงยืนอยู่ ใต้รูปนั้นเขียนด้วยลายมือแปลกๆแต่ก็พออ่านได้ว่า “พี่ชาย”
ผมเป็นลูกคนเดียวเคยอยากมีพี่น้องเหมือนคนอื่นจนบางครั้งผมกับภูมิก็เคยเถียงกันบ่อยๆเรื่องนี้เพราะมันบอกว่าจะเป็นพี่ชายให้ผมทั้งที่มันเกิดหลังผมเป็นปีผมเลยเรียกมันว่าน้องแล้วมันก็จะงอนหอบไอ้เสือน้อยไปนอนคุมโปงหันหลังให้ผม คิดถึง คิดถึงภูมิอีกแล้ว
ไม่ว่าจะได้พบเจอใครต่อใครมีเรื่องอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นในชีวิตแต่สุดท้ายผมก็คิดถึงภูมิ ที่บอกว่าคนทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันแล้วคุณค่าความรักของผมล่ะ ทำไมความรักของพวกเราถึงต้องถูกกีดกันแค่เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่คุณค่ามันเลยน้อยลงใช่ไหม
“ร้องไห้” ผมกระพริบตาถี่ๆรู้สึกตัวเมื่อนิ้วมือเล็กๆเอื้อมมาช่วยเช็ดน้ำตาให้ผม ผมยิ้มให้น้องภูและวางมือบนหัวกลมๆนั่นตาใสแจ๋วคู่นั้นมองมาที่ผม
“น้องภู โตขึ้นต้องเป็นคนดีนะครับ”
“คนดี”
“ใช่ครับภูต้องรักคุณพ่อคุณแม่ ต้องช่วยเหลือคนอื่นและต้องเป็นเด็กดีรู้ไหมครับ”
“ครับ ภู รัก พ่อ รัก แม่ รัก พี่ ชาย” ผมยิ้มทั้งน้ำตาและดึงน้องชายตัวน้อยมากอด มือเล็กๆนั่นยังตบหลังผมแปะๆเหมือนให้กำลังใจยิ่งทำให้น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นไว้ไหลออกมาเปื้อนบ่าเล็กๆ
“พี่ก็รักน้องภู
พีมรักภูมินะได้ยินไหม”
..
ผมพาน้องภูไปส่งที่บ้านตอนเย็นลุงกับป้าก็ชวนทานข้าวเย็นด้วยกันแต่ผมปฏิเสธไปเพราะจะรีบกลับมาเขียนรูปดวงทิตย์ตกดิน ผมโบกมือบ๊ายบายน้องภูและกลับมาที่ชายหาดแต่พอจะเริ่มวาดรูปผมกลับไม่มีสมาธิคงเพราะเมื่อกี้ร้องไห้คิดถึงภูมิมากไป
ผมเลยนั่งมองบรรยากาศท้องทะเลยามเย็นเหมือนเช่นเคย ระรอกคลื่นที่ซัดสาดลมเย็นที่พัดมากระทบผิวทำให้คิดถึงอ้อมกอดของใครคนหนึ่งผมถอนหายใจก้มหน้ากอดเข่าตัวเองไว้
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
ผมสะดุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่เอ่ยขออนุญาตขอที่นั่งและทันทีที่เห็นหน้าคนคนนั้นผมต้องเบิกตาด้วยความตกใจแปลกใจที่เจอมันที่นี่
“คลื่น”
“หึหึ นึกว่าร้องไห้น้ำตาปิดตาจนจำหน้ากูไม่ได้ซะอีก” เสียงนุ่มๆมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นแบบเดิมที่มันมีให้ผมเหมือนทุกครั้งก่อนจะนั่งลงข้างๆผมที่ยังมึนงงกับการปรากฏตัวของมันในครั้งนี้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบโผล่มาในเวลาที่ผมไม่มีใครทำไมมันมักจะมาหาในเวลาที่ผมกำลังร้องไห้
“มึง มึงมาทำอะไรที่นี่คลื่น ไม่ใช่สิมึงมาที่นี่ได้ยังไง”
“ใจเย็นๆก็ได้พีม กูก็ขับรถมาไง” ผมรู้ตัวเลยว่ากำลังทำหน้าตาแบบไหนคิ้วผมคงขมวดจนเป็นปมไปแล้วไม่งั้นไอ้คลื่นไม่ยื่นมือมาจิ้มหัวคิ้วให้ผมหรอก
“แล้วบังเอิญมาเจอกูว่างั้น”
“ประมานนั้น” มันไหวไหล่และยังคงจับจ้องมองใบหน้าของผมนิ่งจนผมต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อแก้บรรยากาศเงียบๆระหว่างเรา
“มึง มึงไม่ต้องมากวนตีนเลยบอกมาว่ามึงมาที่นี่ได้ยังไง” ผมยังคงซักเอาความจริงจากมัน
“ขอโทษนะพีมที่กูบอกมึงไม่ได้ กูไม่เคยคิดที่จะมีความลับกับมึงแต่ขอแค่ครั้งนี้ได้ไหมพีม” น้ำเสียงของไอ้คลื่นจริงจังต่างจากทุกครั้ง ผมถอนหายใจและพยักหน้าในเมื่อมันไม่อยากบอกผมก็ไม่อยากคาดคั้นผมเชื่อว่ามันก็คงมีเหตุผลของมัน และไม่ว่าไอ้คลื่นจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรไม่ว่ามันจะหาผมเจอด้วยวิธีไหนมันก็คงไม่มีผลต่อเรื่องราวที่ผมกำลังเผชิญ ผมหันกลับไปมองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้งส่วนคนข้างตัวก็ยังคงมองผมอยู่เช่นเดิม
“ผอมลงไปเยอะเลยตาโบ๋ด้วยไม่น่ารักเลยว่ะ” หลังจากที่เราทั้งคู่เงียบไปนานไอ้คลื่นก็เอ่ยทำลายความเงียบ มันทำลายความเงียบด้วยความกวนตีน
“แล้วกูน่ารักซะที่ไหนวะ”
“ทุกที่”
“ไอ้
..” ผมตกใจที่อยู่ๆก็ถูกดึงตัวไปกอดคลื่นจับหัวผมให้พิงลงที่อกของมันอ้อมกอดของคลื่นอ่อนโยนตัวมันมีกลิ่นหอมเย็นๆ มันกอดผมแน่นขึ้นผมเองก็วางหน้าผากลงบนอกคลื่นอย่างเหนื่อยอ่อน เวลามีคนปลอบน้ำตาก็พร้อมจะไหลได้ทุกเมื่อจนผมนึกรำคาญ
“เจ็บมากไหม” เสียงทุ้มๆเอ่ยถามและลูบหัวผมอย่างเบามือ
“
..มาก”
“เจ็บก็ร้องไม่ต้องทำเหมือนเข้มแข็งหรอกพีม”
“กูร้องบ่อยแล้วคลื่นร้องจนกูยังสงสัยเลยว่าทำไมต่อมน้ำตาคนเรามันผลิตน้ำตาได้เยอะขนาดนี้”
“เดี๋ยวมันก็หยุดเองแล้วพอร้องเสร็จก็กลับมาเป็นพีมคนเดิมที่กูชอบ คนที่เคยยิ้มได้กับทุกเรื่องกูชอบพีมคนนั้น
..แล้วเลิกกับแฟนทั้งทีไม่คิดจะบอกกันบ้างเลยเหรอ” ท้ายเสียงมันพูดติดจะกวนๆเหมือนจะแกล้งให้ผมอารมณ์ดีขึ้นแต่ว่า ผมยิ้มไม่ไหวแล้วจริงๆ
“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องป่าวประกาศนี่หว่า
..คลื่น
.ถ้ากูเป็นแฟนกับมึง พ่อกับแม่มึงจะอนุญาตให้เรารักกันไหม”
“หึหึ ถามแบบนี้กูมีความหวังนะ”
“ขอโทษ”
“เลิกพูดคำนี้ได้ไหมพีม” ผมพยักหน้าหงึกงักรับปากอยู่กับอกของคลื่นน้ำตาของผมซึมผ่านเสื้อของมันตรงตำแหน่งหัวใจพอดี “พีม
มึงรู้ไหมบางครั้งกูเคยแอบคิดว่าถ้าสมมุติวันนึงมึงกับ
.มันเลิกกันบางทีกูอาจจะมีโอกาสได้ดูแลมึง หึ กูเลวเนอะ
แต่พอเอาเข้าจริงๆพอเห็นมึงเจ็บเห็นมึงร้องไห้กูว่ากูเจ็บยิ่งกว่าตอนที่แอบรักมึงอีกว่ะ”
“
..” ผมได้แต่รับฟังอย่างไม่รู้จะพูดอะไรก็เลยเงียบคลื่นมันก็เงียบตามมีเพียงเสียงคลื่นลมที่ยังพัดผ่าน เวลาค่อยๆคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆและคลื่นยังคงกอดผมเอาไว้แต่แม้ว่าอ้อมกอดของคลื่นจะอบอุ่นสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังอยากได้กอดของภูมิอยู่ดี
“พวกมึงไม่ลองคุยกันอีกซักครั้งเหรอพีมกูว่าถ้าอยู่ด้วยกันมันน่าจะดีกว่านะ
.อยู่คนเดียวก็เจ็บก็ร้องไห้งั้นไปร้องไห้ตอนอยู่กับมันจะไม่ดีกว่าเหรอ” ถ้าอยู่ด้วยกันได้กูก็คงไม่หนีมาแบบนี้หรอกคลื่น “ว่าไงกลับไหมเดี๋ยวพาไปส่ง”
“
.”
“งั้นถ้าไม่อยากกลับเราไปเดินเล่นกันไหม มึงพักนานแล้วนะถึงเวลาที่ต้องเดินต่อแล้ว
.กูจะเดินอยู่ข้างๆจะดูแลมึงเอง” ผมดันตัวออกจากคลื่นแต่ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ผมคิดว่าเข้าใจความหมายลึกๆของคำพูดไอ้คลื่น ถ้าทำแบบนั้นถ้าผมเดินข้างมันทั้งที่มันก็รู้ว่าในใจผมมีแต่ภูมิคนที่จะเจ็บคือมึงไม่ใช่เหรอคลื่น เมื่อคลื่นไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษผมคงทำได้เพียงส่ายหน้าเท่านั้น
คลื่นลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือมารอให้ผมจับผมเงยหน้าขึ้นมองมือเรียวขาวที่ยื่นมาหา ผมมองเลยไปยังใบหน้าเจ้าของมือข้างนั้น คลื่นกำลังยิ้มอ่อนโยนให้ผมยิ้มของมันยังสดใสเหมือนเดิมแม้ว่าตอนนี้มันจะร้องไห้อยู่ก็ตาม ยิ้มของมันสวยดีมันงดงามจริงใจจนทำให้ผมยิ้มตามได้แม้น้ำตากำลังไหล ผมค่อยๆยืนขึ้นเผชิญหน้ากับคลื่น
ผมยืนด้วยตัวของผมเองผมไม่ได้ยื่นมือไปจับมือของมัน ผมไม่อาจจับมือนั้นได้ไม่ใช่ไม่พร้อมที่จะกุมมือใครแต่ผมไม่อาจจับมือกับใครอื่นได้อีกแล้ว ผมไม่อาจจูงมือเดินเคียงข้างคนอื่นที่ไม่ใช่ภูมิผมทำไม่ได้จริงๆ
ผมก้มลงมองมือของคลื่นมือข้างนั้นยังคงยื่นมารอมือของผมให้วางลงบนมือของมัน แต่สิ่งเดียวที่ผมให้คลื่นคือหยดน้ำตาที่ร่วงไหลจากหัวใจของผม ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นแสนอ่อนแอและได้แต่มองหยดน้ำตาตัวเองที่อยู่บนฝ่ามือของคลื่นผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมันแม้จะเห็นไม่ชัดแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน เราไม่ต่างกันคลื่นเราทุกคนต่างก็เจ็บเท่าๆกัน
คลื่นมันจะรู้ไหมว่าผมสื่อคำว่าขอบคุณผ่านดวงตาคู่นี้จะรู้ไหมว่าผมได้ฝากคำขอโทษไปกับน้ำตาหยดนั้น มันยิ้มกว้างเป็นยิ้มที่อ่อนโยนและสวยงามคล้ายกับจะบอกผมว่ามันเข้าใจ มันค่อยๆกำมือตัวเองข้างที่มีหยดน้ำตาของผมไว้อย่างทะนุถนอม
“มึงไม่ ฮึก ไม่โกรธกูใช่ไหมคลื่น
..ถ้ามึงเลิกรักกู มึงคงมีความสุขกว่านี้” ทำไมนะทำไมผมถึงไม่รักคลื่น ทำไมผมถึงไม่รักผู้ชายคนนี้ให้ได้ซักเสี้ยวที่รักภูมิ ถ้าผมรักคลื่นอย่างน้อยก็จะมีคนเจ็บแค่สองคน ไม่ต้องมาเจ็บกันแบบนี้
หรือการพยายามรักใครซักคนมันยากกว่าการเลิกรักใครบางคน
“ความสุขของกูคือการได้รักมึง”
“
.”
“เลิกห่วงคนอื่นได้แล้วน่ากูไม่เป็นไร
” คลื่นเคยบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ต้องขอโทษเพราะมันมารักผมเองแต่ผมก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี มันเจ็บก็เพราะรักผมมันเสียใจก็เพราะรักผมถ้าจะไม่ให้ผมรู้สึกอะไรมันก็คงใจร้ายเกินไป
“พีม”
“อื้ม”
“กูเองก็
.ไม่รู้หรอกนะว่าในชีวิตคนๆนึงจะมีความรักได้ซักกี่ครั้งแต่กูคิดว่ามึงจะเป็นความรักที่กูจะจดจำไปทั้งชีวิต
..และกูอยากให้มึงช่วยจำไว้ด้วยว่า
.หากวันไหนที่มึงไม่เหลือใครขอแค่มึงหันกลับมาจะเห็นกูยืนอยู่ตรงนี้และจะคอยรับความเจ็บปวดให้มึงเสมอนะพีม”
ผมสะอื้นจนหายใจไม่ทันผมเปล่งเสียงตอบคลื่นไม่ได้เลยทำได้แค่พยักหน้ารัวๆพูดออกไปแทบไม่เป็นภาษา
“อื้ม ขอบ คุณ ขอบคุณว่ะคลื่น ขอบคุณมึงจริงๆ”
จดหมายจาก “ฟองคลื่น”
ช่วงชีวิตก่อนที่ผมจะรู้จักกับพีมผมเคยมีแฟนมาหลายคนเคยคิดว่าที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้คำว่ารักจากพวกเธอเหล่านั้นแต่ผมกลับไม่เคยรู้จักมันจริงๆ จนได้มารู้จักกับพีมผู้ชายตัวเล็กๆใจดียิ้มง่ายและที่สำคัญ
“มีเจ้าของแล้ว”
ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆอยากดูแลอยากมองแม้จะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์แต่ก็แอบคิดแอบหวังขอแค่ได้ทำดีๆให้มันบ้างผมก็มีความสุข พีมทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่ารักคืออะไรและมันมีค่ามากแค่ไหน
คุณค่าของความรักคือการที่เรามีความสุขที่ได้แม้ไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ความรักมันอาจจะไม่ได้จบลงด้วยความสมหวังเสมอไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความสุข ไม่ได้แปลว่าไม่มีความรักอยู่ในตอนจบ
ผมเองก็ไม่ใช่คนดีมากมายไม่ใช่พระเอกละครที่แสนดีผู้เสียสละทำเพื่อความรัก ผมก็แค่คนธรรมดาที่รู้จักหัวใจตัวเองแค่นั้นเอง แม้ว่าผมจะไม่ได้ยืนเคียงข้างคนที่ผมรักแต่ผมก็ยังโชคดีกว่าใครหลายๆคนที่อย่างน้อยก็มีโอกาสได้บอกคำว่ารักให้เขาได้รับรู้แม้เขาจะไม่ได้รักผมแต่เขาก็ใจดีให้ผมได้เป็นเพื่อนเป็นคนพิเศษได้อยู่ใกล้ๆได้คอยดูแล
จากนี้ไปผมก็คงต้องเริ่มเปิดใจให้กับคนใหม่ๆที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต วันหนึ่งข้างหน้าผมกับพีมคงเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้หรือบางทีผมอาจโชคดีได้คบกับมัน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผู้ชายที่ชื่อคลื่นคนนี้จะมีที่เล็กๆในมุมหนึ่งของหัวใจไว้ให้ไอ้พีมเสมอและมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป.........
“คลื่น”
....................................
คลื่นพาผมไปกินข้าวแล้วก็มาส่งผมที่รีสอร์ทตอนแรกมันพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับไปพร้อมกันแต่ผมก็ยืนยันหนักแน่นว่าอยากอยู่ต่ออีกสักสองสามวันมันถึงยอมฟังไอ้คลื่นกลับไปแล้วผมก็อยู่คนเดียวอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จผมตั้งใจว่าจะรีบนอนเพราะพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่หมู่บ้านช้างเลยอยากรีบนอนแต่หัวค่ำเก็บแรงไว้เดินทางในตอนเช้า
แต่มันก็เหมือนทุกคืนที่ผ่านมาคือผมนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาหรือว่านอนนิ่งๆมันก็ไม่หลับเลยลุกออกมานั่งดูดาวรับลมฟังเสียงคลื่นที่ระเบียงกลับยิ่งทำให้เหงาขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้ภูมิจะเป็นยังไงบ้าง มันจะนอนรึยังหรือว่ามันกำลังอ่านหนังสือเตรียมจะสอบหรือว่ามันดูการ์ตูนอยู่ แล้วมันจะคิดถึงผมบ้างรึเปล่านะ
ผมนั่งกดโทรศัพท์ดูรูปภูมิเพื่อให้ช่วยคลายคิดถึงแต่ยิ่งดูก็ยิ่งเจ็บ ผมถอนหายใจยาวแหงนหน้ามองดาวบนฟากฟ้าไกลอยากให้ภูมิมาอยู่ตรงนี้ด้วยกันจัง ผมก้มดูมือถืออีกครั้งมีข้อความจากพวกไอ้คิวที่พยายามติดต่อผมเกือบร้อยๆครั้งมีข้อความจากพวกมันทุกคน
“กูขอโทษนะ” ผมได้แต่ถอนหายใจและบอกขอโทษผ่านลมผ่านฟ้าไปหาเพื่อน ผมรู้ว่าพวกมันเป็นห่วง ผมรู้ว่าผมทำตัวไม่ดีที่หนีมาแบบนี้ กลับไปก็ไม่รู้จะโดนพวกมันฆ่ารึเปล่ายิ่งมีแต่ไอ้พวกป่าเถื่อนอยู่ด้วยแค่ลองนึกหน้าพวกมันก็ทำให้ผมยิ้ม กูขอเวลาหน่อยนะอีกไม่นานกูจะกลับไปว่ะเพื่อน
อุ่นใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขน
อ้อมกอดแม่ตระกอง รักเจ้าจึงปลูกรักลูกแม่ย่อมห่วงใย
ไม่อยากจากไปไกลแม้เพียงครึ่งวัน ให้กายเราใกล้กัน
ให้ดวงตาใกล้ตาให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน
ผมสะดุ้งที่โทรศัพท์ในมือสั่นพร้อมกับเสียงเพลงเรียกเข้าและหน้าจอก็โชว์คำๆหนึ่งที่ผมให้ผมอยากร้องไห้
“แม่” ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากผมปล่อยให้เพลงดังอยู่อย่างนั้นเพื่อขอเวลาทำใจทำเสียงตัวเองให้เป็นปกติ ความรู้สึกผิดความกลัวของผมที่มันเริ่มผสมปนเปไปหมดแล้วในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมือสั่นมากกว่าจะพยายามกดรับได้
“
..แม่”
(ฮัลโหลพีม พีมได้ยินแม่ไหมลูก) เสียงของแม่ร้อนรนต่างจากทุกครั้งที่แม่มักจะทักทายผมด้วยเสียงสดใส
(ครับ
.แม่ ได้ยิน)
(พีมอยู่ไหนรู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงมากแค่ไหน ทำไมหายไปแบบนี้ทำไมทำแบบนี้ละลูกไม่คิดถึงหัวอกแม่บ้างเหรอ ถ้าคิวไม่โทรหาแม่แม่ก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าลูกตัวเองหายไป) แม่ระเบิดอารมณ์เสียงของแม่สั่นเพราะแม่ร้องไห้ ผมกำเสื้อตัวเองแน่นกลัวว่าจะส่งเสียงสะอื้นออกไป
มันเป็นความรู้สึกผิดที่อัดอั้นอยู่ในอกผมเกลียดตัวเองที่ทำให้แม่ร้องไห้ทำให้แม่เสียใจความรู้สึกผิดไหนก็เทียบไม่ได้ผมมันเป็นลูกแย่ๆที่ทำให้แม่เสียน้ำตาทั้งที่ท่านรักท่านเป็นห่วงมากขนาดนี้กี่คำขอโทษถึงจะลบล้างความผิดได้
“แม่ ฮึกพีม พีมขอ ฮึก ขอโทษนะแม่” หมดลงแล้วความพยายามที่จะกักกลั้นน้ำตาผมร้องอย่างไม่อาย เสียงร้องไห้ของแม่ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดถาโถมใส่ใจของผมจนปวดปร่าไปทั้งใจ
(อย่าทำแบบนี้อีกนะพีมอย่าทำแบบนี้อีกนะลูก แม่ใจจะขาดรู้ไหม)
“ครับ แม่ แม่พีมขอโทษ ขอโทษ” เราสองแม่ลูกร้องไห้แข่งกันอยู่นานแม่เริ่มหยุดร้องแล้วแต่ผมยังสะอึกสะอื้นเหมือนจะตายเลย
(เฮ้อออลูกชายฉันนี่มันจริงๆเลยไอ้พวกอาร์ตติสท์อารมณ์ศิลปินเนี่ย ถ้าพีมยังไม่รับโทรศัพท์รู้ไหมพ่อจะให้คนตามหาแล้ว) แม่กลับมาเป็นปกติน้ำเสียงเริ่มเหมือนจะบ่นแล้ว
“ขอโทษนะแม่ที่พีมทำให้เป็นห่วง พีมขอโทษ”
(รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้วแม่ไม่โกรธหรอกแค่รู้ว่าพีมปลอดภัยแม่ก็ดีใจแล้ว คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกพีมมีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกไม่เล่าให้แม่ฟังล่ะลูก เราไม่มีความลับต่อกันไม่ใช่เหรอ หื้ม แล้วตอนนี้พีมอยู่ไหน)
“อ อยู่ทะเล”
(แล้วไปทำอะไรคนเดียวที่ทะเล)
“
”
(แกอกหักเหรอพีม) บางทีก็แม่นไปนะแม่
“
” ผมเงียบแล้วได้ยินเสียงแม่หัวเราะก่อนจะถอนหายใจเหมือนขำอะไรซักอย่าง ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว
(พีม พีมรักแม่ไหม)
“รักครับ”
(แกเลิกพูดครับได้ไหมห๊ะ) แล้วแม่ก็แว๊ดๆเปลี่ยนโหมดอารมณ์ไปแล้วถึงแม้ว่าเสียงจะขึ้นจมูก ผมหัวเราะทั้งน้ำตา
“เออๆรักดิ พอใจไหมคุณนาย” จนตอนนี้น้ำตาผมก็ยังไหลมันเป็นความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกผมมัวแต่เศร้าและเสียใจจนเกือบจะลืมไปว่าผมยังมีพ่อกับแม่ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ
(เออ ค่อยฟังรู้เรื่องหน่อยแล้วก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว แม่ไม่โกรธพีมแล้วฉันก็แค่เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแค่นั้นเอง
..พีมแม่พอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว)
“
.แม่” ที่จริงผมก็ไม่ค่อยกังวนกับเรื่องครอบครัวผมเท่าไรเพราะผมกับพ่อแม่เราเหมือนเป็นเพื่อนกันเราสนิทกันมากผมคุยกับแม่ทุกเรื่องส่วนพ่อก็จะรับรู้เรื่องของผมผ่านแม่ หนวดน่ะชอบทำตัวขรึมๆแต่กับเมียนี่แทบจิกหัวกัน ตั้งแต่เล็กจนโตผมได้รับอิสระในการเลือกใช้ชีวิตมาตลอดอยากทำอะไรอยากเรียนที่ไหนพ่อกับแม่ก็ตามใจขอแค่สิ่งที่ผมทำมันอยู่ในกรอบของความถูกต้องแต่ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้พ่อกับแม่จะเข้าใจไหม
(ที่จริงตอนแรกแม่แค่สงสัยน่ะแล้วอาปุ้ยมันก็ถามแม่ทีเล่นทีจริงบ่อยๆว่าถ้าลูกชายไม่มีลูกสะใภ้ไปเป็นสะใภ้คนอื่นจะว่ายังไง แม่ก็เลยคิดว่าพีมกับภูมิคงไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน)
“
.”
(พอคิวโทรหาแม่ว่าพีมหายไปแม่ก็เลยถามว่าเกี่ยวกับภูมิไหมแต่กว่าคิวจะยอมเล่าแถมให้เชนเป็นคนพูดอีกแม่ก็เลยรู้)
“ไอ้คิวมันบอกละเอียดเลยเหรอแม่ แม่รู้ถึงขั้นไหนอ่ะ”
(ขั้นที่ว่าลูกชายฉันย้ายขึ้นไปอยู่คนโดกับผู้ชายน่ะค่ะลูกขา) น้ำเสียงอย่างนี้ทำให้ผมเริ่มยิ้มได้
“แม่
..โกรธพีมป่าว” ถึงผมจะพยายามถามด้วยเสียงที่คิดว่าน่าจะดูเหมือนเล่นๆแต่ใจผมก็กลัวกับคำตอบของแม่มากเหมือนกัน
(แม่ยอมรับนะว่าตกใจเพราะภูมิหล่อมากฉันเสียดาย)
“ชิบหายละกู ต้องเสียดายลูกตัวเองเด้คุณนาย” ผมยิ้มและรู้สึกอยากจะกอดแม่แน่นๆ
(ฮะๆ)
“แม่ พีมถามจริงๆนะ
แม่ไม่โกรธไม่เสียใจเหรอที่พีม
” ผมได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจก่อนจะตอบ
(จะว่าเสียใจมันก็ไม่เชิงแต่ไม่โกรธแน่นอนอันนี้คอนเฟิร์ม เฮ้ออ มันก็อธิบายยากนะลูกแม่คนไหนที่มีลูกชายก็หวังจะมีลูกสะใภ้อยากเป็นย่าอยากอุ้มหลาน แม่เสียใจที่ไม่ได้ในสิ่งเหล่านั้นก็แค่นั้นแต่ไม่ได้เสียใจที่พีมมีความรักแบบนี้เพราะพีมไม่ได้ทำอะไรผิด พีมจะเป็นยังไงจะรักใครพีมก็ยังเป็นลูกของแม่พีมอย่าคิดมากนะ อ่อ ถ้าจะโกรธก็จะโกรธเรื่องที่ไม่บอกฉันนี่แหละ)
“แม่
.ขอบคุณนะ พีมรักแม่ว่ะโคตรรักเลย” ในความโชคร้ายผมก็มีครอบครัวที่แสดดีอยู่เสมอ ผมเช็ดน้ำตาจากหน้าตัวเองก่อนที่มันจะไหลไปเปื้อนหน้าจอ
(แม่ก็รักพีม ก็แหมน้องภูมิออกจะหล่อขนาดนั้นรักกันก็ดีซะอีกแม่จะได้มีลูกชายเพิ่มอีกคน ใครจะว่ายังไงพีมไม่ต้องไปสนใจไม่ต้องคิดมากนะ แค่ลูกแม่เป็นคนดีก็พอนะลูกนะแม่จะเอาไปอวดพวกคุณนายตำรวจว่าแม่มีลูกชายคนใหม่หล่อเหมือนพระเอก) ผมยิ้มไปกับความคิดของแม่ แม่ครับแต่ตอนนี้พีมกับภูมิเราเป็นแค่เพื่อนกันแล้วครับ
“แม่พีมดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่นะ” แม้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับภูมิจะจบลงไปแล้วไม่ว่าพ่อกับแม่ของผมจะยอมรับหรือไม่มันก็คงไม่มีผลอะไร แต่ผมก็มีความสุข มีความสุขมากๆที่แม่ยอมรับในความรักของผมกับภูมิเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีเรื่องหลายๆอย่างเกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่ผมรู้สึกสบายใจที่ได้บอกให้แม่ได้รับรู้เพราะผมไม่ต้องรู้สึกผิดที่ต้องโกหกปิดบังแม่อีกแล้ว
(ย๊ะพ่อลูกชายตัวดีหนีรัก
.พีม
จำไว้นะว่าพ่อกับแม่รักพีมแล้วถ้าพ่อน้องภูมิเค้าไม่สนใจไม่ต้องแคร์เพราะแค่ลูกชายสองคนฉันเลี้ยงบอกเค้าไป ฮ่าฮ่า” ผมยิ้มทั้งน้ำตาอยากจะกอดแม่จังขอบคุณความรักที่ยิ่งใหญ่ขอบคุณที่ทำให้ผมได้มาเป็นลูกแม่
(พีมคุยกับพ่อหน่อยนะพ่ออยากคุยด้วย) ผมแทบสำลักลมหายใจตัวเองผมยังไม่พร้อมจะคุยกับพ่อ แม่อาจจะเข้าใจและยอมรับแต่พ่อ พ่อเป็นตำรวจตำแหน่งสูงใครๆก็รู้จักแม้พ่อจะไม่ได้เป็นนักธุรกิจแบบคุณพ่อของภูมิแต่เกียรติยศของพ่อก็มีค่าไม่แพ้ใครๆ
“แม่เดี๋ยวคือ
. ”
(ไงไอ้แมว) พอได้ยินเสียงพ่อน้ำตาผมก็มาคลออีกแล้วผมทั้งอยากขอโทษทั้งกลัว
“พ่อ
พีมขอโทษ”
(มึงฆ่าคนตายรึไงถึงมาขอโทษ ที่แม่มึงพูดยังไม่เข้าใจอีกหรอ) แสดงว่าพ่อได้ยินทุกอย่างรับรู้ทุกอย่างและก็ยอมรับในความรักของผมแล้วสินะ
“รักพ่อนะ”
(อ้าว มึงไม่ได้รักไอ้หนุ่มนั่นแล้วหรอ)
“หนวดดดดดดอย่าแซวดิแล้วนี่ไม่ด่าไม่ว่าอะไรหน่อยเหรอ” ผมโวยวายใส่พ่อที่ทำเสียงล้อๆความกลัวความกังวลที่สุมอยู่ในใจพ่อกับแม่ได้พัดพามันไปจากผมแล้ว
อยากกลับบ้านไปหาสองคนนี้จัง
(หึหึ ด่ามึงแล้วได้อะไรสมองนิ่มๆด่าไปก็ไม่เข้าใจ ที่มึงคบกับไอ้หนุ่มนั่นก็ดีซะอีกกูจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปขอสาวให้มึง นี่มีคนมาขอมึงด้วยได้ข่าวว่ามันรวยนิกูจะเอาเป็นร้อยล้านเลยบอกมันด้วย) มันคงมาขอพีมไม่ได้แล้วละพ่อ
“โห่ พ่อก็รวยจะเอาเงินไปทำอะไร เลี้ยงเมียน้อยเหรอ”
(ไอ้ลูกเวร เดี๋ยวแม่มึงได้ยิน)
“ฮ่าฮ่า หัดกลัวเมียตั้งแต่เมื่อไหร่ครับท่านนายพล”
(หึ กูแค่เกรงใจและให้เกียรติโว้ย) พ่อโวยวายกลับมาเสียงดังจนได้ยินเสียงแม่ตะโกนมาบอกว่าเบาๆหน่อยดูละครอยู่
“พ่อพีมรักพ่อนะ
.ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
(เออๆ กูจั๊กจี้รูหู กูไม่รักมึงหรอกไอ้เด็กเก็บมาเลี้ยง) เสียงพ่อฟังดูกวน
..มากและดูมีความสุขมากคงจะเหมือนผมตอนนี้ที่เริ่มยิ้มได้
“เหรอออออออ”
(มึงไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัวจะรักใครเป็นยังไงก็เรื่องของมึง
.ว่าแต่กูจะไม่มีหลานใช่ไหมแมว) ซึ้งอยู่ดีๆผมแทบหัวทิ่มกับคำถามของพ่อ
“ฮ่าฮ่า เอามาทำไมขี้เกียจเลี้ยง
พ่อ ผิดหวังในตัวพีมป่ะ”
(ผิดหวังไหมคงไม่กูแค่ตกใจตอนเด็กๆมึงก็เล่นปืนเล่นรถถังไม่เคยเห็นมึงใส่กระโปรงทาปากหรือมึงเก็บอาการ) สงสัยพ่อคิดว่าผมจะอยากเป็นผู้หญิง
“เค้าไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงนะหนวดแค่แฟนพีมเป็นผู้ชาย” แค่คนที่พีมรักมันเป็นผู้ชาย
(อ้าวเหรอกูไม่รู้นี่หว่ามันก็ไม่ได้ผิดหวังหรอกเพราะความหวังของกูคือเห็นแมวอย่างมึงมีความสุข ถ้าตอนนี้มึงมีความสุขก็ถือว่ากูสมหวังแล้ว) นี่คือหวานที่สุดเท่าที่พ่อจะสามารถพูดได้ถ้าไม่นับเวลาเมา ผมรักพ่อครับ
“โคตรซึ้งว่ะหนวด พีมรักพ่อนะ”
“เออๆ กูรู้แล้ว มึงจะคุยกับแม่อีกไหม
.กูบอกแล้วว่าอย่าให้อีปุ้ยเลี้ยงมันเห็นไหมมันสอนอะไรให้ลูกกูวะ
..อ้าวคุณท่านนายพลทำไมพูดแบบนี้ละค๊า ใครกันที่บอกว่าอยากให้ลูกเข้มแข็งหัดเรียนรู้การอยู่ด้วยตัวเอง แล้วพ่อมันก็มานั่งหงอยบ่นคิดถึงลูกทุกวัน)
ผมได้ยินเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันดังผ่านมาในสายผมนั่งฟังด้วยรอยยิ้มก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะก่อนจะพนมมือไหว้
“ขอบคุณพ่อกับแม่นะครับ พีมรักพ่อกับแม่นะ”
คืนนี้อาจจะเป็นคืนแรกนับตั้งแต่ผมไม่มีภูมิอยู่ข้างกายและผมสามารถหลับได้โดยไม่ร้องไห้
สุดท้ายฉันขอให้เราไม่โกรธ
เลิกรากันไปด้วยความไม่เกลียด
เราจะลาด้วยความเข้าใจ
โปรดรู้ไว้นะฉันรักเธอมากและฉันไม่อาจมีใคร
เพื่อยิ้มและเพื่อร้องไห้ได้เทียมเท่าเธอ
ไม่รู้จะมีใครใหม่ได้เทียมเท่าเธอ
ผมสะดุ้งตื่นรู้สึกเหมือนเพิ่งนอนไปเมื่อกี้ ผมควานหาโทรศัพท์และหรี่ตามองหน้าจอว่าใครโทรมา
“โตเกียว”
ผมถึงกับงงเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาผมหันไปดูนาฬิกาบอกเวลาว่าตีสี่ทำไมน้องโตเกียวถึงโทรหาผมในเวลาแบบนี้ ผมคิดว่าน้องคงไม่รู้เรื่องของผมกับภูมิและมันอาจจะมีเรื่องให้ช่วยผมสะบัดหัวไล่อาการง่วงก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงครับโตเกียว”
(พีม)
“
.ใคร” ผมขมวดคิ้วเมื่อไม่ใช่เสียงน้องโตเกียว
(กูเองเบียร์ มึงอย่าเพิ่งวางนะ” ไอ้เบียร์งั้นเหรอมันไปอยู่กับโตเกียวได้ยังไงแล้วทำไม
.. “กูขอเวลาพูดอะไรสักสองนาทีได้ไหมพีม)
“
..”
(มึงฟังอยู่ใช่ไหมมึงปลอดภัยดีรึเปล่าพวกกูเป็นห่วงมากนะพีม) เสียงมันฟังดูเหนื่อยๆเหมือนคนไม่ค่อยมีแรงผมเลียริมฝีปากแห้งๆก่อนจะตอบมันในใจผมตอนนี้คิดไปสารพัดว่าทำไมไอ้เบียร์ถึงโทรมาหาผมเวลาแบบนี้แต่ที่แน่ๆผมคิดว่าต้องเกี่ยวกับภูมิ
“อืมกูสบายดีขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง”
(พอเถอะพวกกูไม่ได้โกรธ เอ่อ อาจจะยกเว้นไอ้คิวนะมึงกลับมาก็หาเสื้อเกราะมาด้วยล่ะ)
“หึ เออแล้ว
”
(พีมเรื่องที่กูจะบอกมันอาจจะทำให้มึงไม่สบายใจแต่กู
ต้องพูดกูอยากขอร้องมึงสักครั้ง
.พีมมึงรู้ไหมว่าตอนนี้เพื่อนกูเหมือนคนใกล้จะตาย
.ไอ้ภูมิอาการหนักมากมันอ้วกเป็นเลือดกู
..”ประโยคสุดท้ายเบียร์พูดว่าอะไรผมก็ได้ยินไม่ถนัดนักรู้ตัวอีกทีผมก็กำลังหอบน้ำตาและความกลัวขับรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ
ภูมิของผมไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม มันต้องสบายดี ไอ้เบียร์มันแค่โกหกผมเล่นเฉยๆใช่ไหม
ผมมาถึงคอนโดตอนที่ฟ้าใกล้สางผมมาที่นี่ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภูมิอยู่ไหนมันอาจจะอยู่ที่บ้านก็ได้แต่ผมก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้นหรือบรรยากาศยามเช้าของกรุงเทพที่ผมห่างหายไปหลายวัน แม้แต่พี่ๆรปภ.ที่ตะโกนทักทายผมก็ไม่ได้หันไปตอบ ผมรู้สึกว่าลิฟธ์แม่งโคตรช้าผมปาดน้ำตาและเตะไอ้ลิฟธิ์บ้าๆด้วยความโมโห อะไรก็ดูขวางหูขวางตาช้าไปหมด
กุญแจห้องที่อยู่ในมือสั่นจนผมเริ่มรำคาญตัวเองพอๆกับใจที่เต้นแรงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องที่คุ้นเคยด้วยมือที่สั่นเทา ทั้งที่ผมเคยมาห้องนี้ไม่รู้กี่ครั้งเคยอยู่ที่นี่เป็นปีๆแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกกลัวและตื่นเต้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้
ผมกวาดตามองรอบๆห้องที่เงียบงันเต็มไปด้วยอารมณ์สีหม่นๆเมื่อมีแต่ความมืดสลัวผ้าม่านก็บดบังแสง ทุกอย่างยังเหมือนเดิมของทุกชิ้นยังวางไว้ที่ตำแหน่งเดิมคงเหมือนหัวใจของผมที่ยังรักภูมิเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ความทรงจำระหว่างภูมิกับผมยังคงลอยอบอวลเด่นชัดอยู่ทุกมุมคอยต้อนรับผมอีกหน ผมกระพริบตาถี่ๆเล่นน้ำตาไม่รักดีให้มันไปให้พ้นๆ ผมกลืนน้ำลายถึงรู้ว่าคอแห้งมากแค่ไหนผมค่อยๆเดินไปที่ห้องนอนต่างจากตอนแรกที่แทบจะวิ่งขึ้นมาแข่งกับลิฟต์ ผมวางมือไว้ที่ลูกบิดมือสั่นๆของผมค่อยๆผลักบานประตูให้เปิดออกและทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนผมก็ต้องปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ผู้ชายคนหนึ่งผู้ชายที่ผมรักผอมซีดเซียวนอนหายใจแผ่วๆอยู่บนเตียงเพียงลำพังเสื้อยืดสีขาวที่ผมชอบใส่นอนถูกภูมิกอดไว้แนบอกอย่างหวงแหนเหมือนเป็นตัวแทนของผม
“ฮึก ภูมิ” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆและนั่งลงบนเตียงข้างๆภูมิ ผมอธิบายไม่ได้ว่าตอนนี้เจ็บมากแค่ไหนมันเจ็บกว่าที่เราถูกกีดกันให้ห่างกันเจ็บกว่าเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวเห็นภูมิในสภาพนี้หัวใจผมเจ็บกว่าทุกครั้ง ผมปล่อยให้น้ำตาร่วงไหลอาบแก้มอย่างไม่คิดจะเช็ดออก ผมยื่นมือไปลูบแก้มอุ่นๆจนเกือบร้อนของภูมิแผ่วเบา อีกมือผมก็ขยุ้มเสื้อตัวเองตรงตำแหน่งหัวใจ
“ฮือออ ภูมิครับ ฮึก พีมมาหา ตื่นมา มาคุยกับพีมหน่อยสิ”
“ภูมิมึงได้ยินกูไหม ฮึก กูกลับมาแล้วนะ” คนที่หลับใหลไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของผม
“ฮึก ตื่นมาคุยกับกูเดี๋ยวนี้นะ ฮืออ ไอ้ภูมิตื่นสิทำมึงขี้เซาแบบนี้ละ” ผมเริ่มพร่ำเพ้อเหมือนคนบ้าน้ำตาก็บังซะจนแทบมองอะไรไม่เห็น
“พ
พีม” เสียงสั่นๆแผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยินแต่ก็เรียกสติผมกลับมาได้ ผมปาดน้ำตาออกลวกๆเพื่อจะสบตากับคนที่มองผมอยู่
“ฮึก ไอ้เหี้ย มึง ฮึก มึงทำบ้าอะไร ทำไมปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ มึงมันบ้า ฮือออ” ผมโผลงซบอกมัน ผมลงไปนอนร้องไห้เหมือนจะตายอยู่กับอกของภูมิทั้งทุบทั้งตีผมทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากจะยิ้มที่มันตื่นมา
“มึงจริงๆใช่ไหมพีม กูไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” แขนของภูมิโอบกอดผมเอาไว้ อ้อมกอดที่ผมเฝ้ารอคอยอยู่ทุกวัน
“อือ กู กูจริงๆมึงไม่ได้ฝัน” ผมจับมือมันมาแนบกับแก้มก่อนจะซุกหน้าลงกับอกอุ่นๆของภูมิที่ผมโหยหาอีกครั้งก่อนที่ภูมิจะค่อยๆดันตัวผมออกภูมิสบตาผมนิ่งนานก่อนจะยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมทั้งๆที่ตัวมันเองก็ร้องไห้
“คนดี อย่าร้อง”
“อื้อ ไม่ร้อง ฮึก ไม่ร้องแล้ว มึงก็อย่าร้องนะ”
“เหมือนความฝันเลยพีม มึงกลับมาหากูแล้ว กลับมาแล้ว” ภูมิบอกตอนที่กอดผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหลุดลอยหายไปในอากาศ
“ฮึก ภูมิ กูขอโทษ ขอโทษ กูรักมึง มึงได้ยินไหมภูมิกูรักมึง รักมึง กูจะไม่ไปไหนอีกแล้ว กูจะอยู่กับมึง ต่อไปนี้กูจะอยู่กับมึง เราจะอยู่ด้วยกันจะไม่มีใครหน้าไหนมาพรากเราทั้งนั้น กูสัญญา” ต่อไปนี้ไม่ว่าจะผิดต่อใครไม่ว่าจะถูกห้ามถูกขัดขวางยังไงผมก็จะไม่สนใจไม่แคร์ใครอีกแล้วนอกจากภูมิ
“สัญญาแล้วนะ” ภูมิลูบแก้มผมแผ่วเบามันแสนอ่อนโยนมากในความรู้สึก น้ำตาใสๆเม็ดโตของภูมิไหลจากหางตาลงข้างขมับผมเช็ดน้ำตาให้ภูมิก่อนที่เรายิ้มให้กัน แค่นี้ความสุขของผมคือการได้มองมันยิ้มร้อยของภูมิแค่นี้เองที่ผมต้องการเพราะรอยยิ้มของภูมิมันคือความสุขของผม
“อือ สัญญา ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาพรากกูกับมึง”
“ภูมิรักพีมนะ” ราวกับความเจ็บปวดต่างๆถูกพัดหายไปกับสายลม หัวใจผมเหมือนจะกลับมาเต้นในจังหวะที่มันควรจะเป็นภูมิบีบมือผมแน่นมันดึงมือผมขึ้นไปจูบ
“อือ กูก็รักมึง” และภูมิก็ยิ้มอีกครั้งเป็นรอยยิ้มที่สว่างสดใสและสวยงามจนผมอยากเก็บไว้ นี่ผมทำร้ายมันได้ยังไงผมทำลายรอยยิ้มของภูมิได้ยังไงนะ
แต่ตอนนี้ผมก็ได้หัวใจของผมคืนมาแล้ว
ภูมินอนกอดผมไว้แน่นจนผมเกือบจะหายเข้าไปในอกมัน ยิ่งกอดกันแน่นเท่าไรยิ่งรู้ว่าภูมิผอมลงไปมากแค่ไหน ผมซุกตัวเข้าหาภูมิที่นอนหลับไปได้ซักพักแล้วตอนแรกมันไม่ยอมนอนเพราะกลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่เจอผมแต่สุดท้ายร่างกายมันก็ฝืนไม่ไหว
ผมกำลังยิ้มมีความสุขที่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้อีกครั้งแต่เสียงไขประตูทำให้ผมหันไปมองที่ประตูทันทีใครมาหาภูมิแต่เช้าขนาดนี้อาจจะเป็นไอ้ฟ่างผมค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมกอดของภูมิแต่แค่ผมพลิกตัวนิดเดียวมันก็รู้สึกตัว
“จะไปไหน”
“ไปเปิดประตูสงสัยไอ้ฟ่างมามั้ง” แต่ภูมิก็ยังไม่ยอมปล่อยผมเลยก้มลงไปจูบมันเบาๆ “เดี๋ยวเปิดประตูไว้เลยอ่ะ” นั่นล่ะภูมิถึงยอม ผมเดินไปเปิดประตูเตรียมยิ้มให้ไอ้ฟ่างเต็มที่แต่รอยยิ้มของผมก็เหมือนถูกกระชากให้เหลือแค่ความตื่นกลัว
“พ่อ แม่” เสียงของผมคงไม่ต่างจากเสียงกระซิบสักเท่าไรผมเหมือนคนเป็นไร้แรงทรงตัวทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ คุณพ่อคุณแม่ของภูมิยืนอยู่ตรงหน้าแทนที่ผมจะยกมือไหว้แต่ผมกลับส่ายหน้าทั้งน้ำตาและได้แต่ภาวนาอย่ามาพรากเราเลยนะครับทำไมเวลาของพวกเราที่ได้อยู่ด้วยกันมันช่างน้อยนิดเหลือเกิน ผมขยับถอยหนีกลับไปกอดภูมิไว้แน่นมันก็ดูจะตกใจที่พ่อกับแม่มาถึงที่นี่ภูมิก็กอดผมไว้ให้ซุกหน้าลงกับอกมัน
“พ่อครับแม่ครับภูมิ
.”
“ภูมิไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” คุณพ่อบอกภูมิก่อนจะหันมามองผม
“พ่อครับ พีม ขอโทษที่มาหาภูมิ ขอโทษแม่ที่พีม ผิดสัญญา แต่ แต่ว่าพีมรักภูมิมากพีมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภูมิถึงพ่อกับแม่จะโกรธจะเกลียดพีมยังไงพีมก็จะไม่ไปจากภูมิอีก” ผมเริ่มพูดจาไม่เป็นภาษาผมดันตัวออกจากอ้อมกอดของภูมิและนั่งคุกเข่าต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่เหมือนเหตุการณ์วันนั้นถึงรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์แต่ผมก็อยากขอ
“พ่อรับพีมเป็นคนในครอบครัวแล้วนะ”
“
” ผมถึงกับสะดุดลมหายใจอ้าปากค้างก่อนจะกระพริบตาถี่ๆประมวลสิ่งที่เพิ่งได้ยินว่าผมไม่ได้หูฝาด
“
ม หมายความว่าพ่อให้พีมกับภูมิรักกันได้ใช่ไหมครับ” ภูมิลุกขึ้นมายืนข้างๆผมและจับมือผมไว้รอยยิ้มและการพยักหน้าจากพ่อเหมือนของวิเศษที่ผมกับภูมิตื้นตันดีใจจนพูดไม่ออก เราสองคนคุกเข่าลงต่อหน้าพ่อกับแม่และกราบท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกดีใจจนพูดไม่ออกความรู้สึกอยากขอบคุณว่าในที่สุดเราสองคนก็ทำได้แล้ว
“พ่อรักภูมินะ” พ่อก้มลงกอดภูมิคุณแม่ก็ยืนมองด้วยรอยยิ้มและน้ำตาที่เอ่อคลอ
“ครับ ภูมิก็รักพ่อ”
“ภูมิจะไม่เสียใจใช่ไหม”
“ไม่เสียใจครับ ภูมิรักพ่อนะครับขอบคุณพ่อที่ยอมรับพวกเรา”
“พีม”
“ครับพ่อ”
“ฝากลูกชายของพ่อด้วยนะแล้วก็ขอโทษพีมด้วยสำหรับเรื่องที่ผ่านมา” พ่อลูบหัวผมเบาๆวินาทีนั้นมันเป็นความรู้สึกทั้งตื้นตัน ดีใจ อบอุ่น ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่ไม่กี่นาทีความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ฮึก ไม่ ไม่เป็นไรครับ พีม ฮึก ไม่โกรธ แค่นี้ก็ขอบคุณพ่อ ขอบคุณมากแล้วครับ” ที่จริงคุณพ่อท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยด้วยซ้ำ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดแค่ตอนนั้นท่านไม่เข้าใจแค่นั้นเองแค่ท่านยอมรับเราแค่นี้ก็ดีมากแล้ว
“ดูสิ ร้องไห้เป็นเด็กๆเลย พีม
..แม่เองก็ต้องขอโทษ” ผมเข้าไปกอดแม่พอเถอะครับไม่ต้องขอโทษแล้วแค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว “ฝากน้องภูมิด้วยนะลูก รักกันดูแลกันให้ดีนะ” คุณแม่ลูบหัวลูบหลังผมผมก็ยิ่งร้องแต่ก็ร้องด้วยความสุข
แม่จับมือผมกับภูมิวางทับกันเราสองคนสบตากันและมอบรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักให้กัน ผมกับภูมิจับมือกันแน่นรอยยิ้มของภูมิทำให้ผมมีกำลังแรงใจที่จะอยู่ต่อไปอยู่เพื่อมันอยู่เพื่อความรักของเรา
ความเจ็บปวด น้ำตา ความเหงา อ้างว้างที่ผมกับภูมิได้เผชิญมาตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่ได้ทำให้พวกเราเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลงไม่ได้ทำให้เราเข้าใจใครมากกว่าที่เป็นอยู่มันแค่ทำให้รู้ว่าผมกับมันเรารักกันมากแค่ไหน
พวกเราทำได้แล้ว
หลังจากเรื่องร้ายๆผ่านพ้นไปพวกผมก็รอต้อนรับแต่เรื่องดีๆ พวกเพื่อนๆมันก็แวะเวียนมาเยี่ยมไอ้ภูมิไม่ขาดไอ้การมาเยี่ยมเนี่ยคือสิ่งที่มันบอกแต่วัตถุประสงค์หลักคือมันมาลี้ภัยซ่องสุมหาที่กินเหล้ามากกว่า ก็ดูสิตั้งแต่พวกมันมามีแค่ไอ้เบียร์กับไอ้เชนที่เข้าไปดูอาการภูมิ
อ๊อมีไอ้ปันอีกคนที่เข้าไปแต่มันไปถามว่าเก็บแก้วไวน์ไว้ตรงไหน ดูความอัปรีย์ของมันสิครับส่วนไอ้มิคก็บอกว่าผัวใครคนนั้นก็ดูแลเอาเอง หนอยยยยยพวกมึงช่างเป็นเพื่อนที่ประเสริฐจริงๆ ส่วนไอ้แทนกับไอ้ฟ่างนี่ก็หายไปในห้องนอนอีกห้องได้ซักพักแล้ว ผมก็
.ห้ามไปไหนห่างภูมิเดินห้าสิบเซ็นช่วงนี้ชีวิตกลับมาวิกฤตอีกแล้วนะฮ้าฟฟฟฟฟ
“มองอะไร” ภูมิมันบอกว่าปวดหัวแต่มันกลับไม่ยอมนอนเอาแต่จ้องหน้าผมอยู่ได้ จ้องแล้วก็จ้องอีกคิดว่าคนอื่นเขาจะเขินไม่เป็นรึไง แหนะ พูดแล้วยังจะจ้องอีก
“ทำไมมองไม่ได้รึไงหรือต้องจ่ายค่าตั๋วก่อนถึงจะมองเมียตัวเองได้” ป๊าดดดโธ่วาจาช่างร้ายกาจนี่มึงป่วยจริงป่ะเนี่ย เมื่อทำอะไรมันไม่ได้ผมก็ดิ้นขลุกๆอยู่ในอ้อมกอดมันนั่นแหละ
“หึหึ คิดถึงมากรู้ไหมเตี้ย
อย่าไปไหนอีกนะต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าจากไปไหนอีกนะพีม”
“อื้อออ ไม่ไปแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว”
“รัก รักคนนี้” ฮ่วยยยยยยยยยยยยยยยย ฆ่าฉันๆให้ตายเถิดหนา คือ ณ จุดนี้กูเขินมากครับแม่งพูดก็ไม่พูดเปล่าเอานิ้วชี้มาจิ้มปลายจมูกอยู่ได้ อ้ายเขินเด้อออออ
พอสักพักหลังจากที่ภูมิมันซ้อมบทลิเกกับผมเสร็จมันก็หลับไป ผมก็ได้เวลาออกมาแจมกับพวกสัมภเวสีข้างนอก
.ก็นะห่างหายไปนานมันเปรี้ยวปาก คึคึ ตอนที่ผมออกมานั่งไอ้แทนกับไอ้ฟ่างก็ออกมาจากห้องนอนพอดีพวกไอ้คิวก็โห่แซวเพราะเชี่ยแทนมันโชว์ซิกแพคไม่ใส่เสื้อ ที่จริงผมว่าพวกมันเข้าไปนอนเฉยๆนะเพราะหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่น ก็ไอ้ฟ่างมันไม่ได้หลับได้นอนมาหลายวันไหนจะเรื่องโปรเจคเรื่องภูมิ
ไอ้ปันมันเลยเห่าเลยหอนแซวไอ้คู่รักโลกตะลึงด้วยการร่ายเยี่ยงลิเกหลงโรงจนไอ้เบียร์ที่นอนดูทีวีอยู่ชูคอขึ้นมาดูว่ามันเป็นอะไร
“หนอยแหนะเจ้าโจรใจทรามกลางวันแสกๆก็ยังกล้าฟีชเจอริ่ง เอิงเอย บัดเสีย”
“บัดสี!!!!!!” ถ้าพวกกูไม่อยู่แล้วใครจะกู้ให้มึง
“แหมมันเป็นมุกถ้ากูพูดถูกมันจะฮาไหมครับ จริงไหมมิค”
“ถั่วต้วม” ไอ้มิคที่นอนตีพุงดวนเกมส์กับไอ้แมทหันมาตอบคู่หูมัน
“ไอ้เชนกับไอ้เต้ยไปไหนวะคิว”
“ลงไปซื้อของที่มินิมาร์ทข้างล่างแล้วผัวเบบี๋ของมึงแดกนมแดกซีรีแล็กนอนหลับปุ๋ยแล้วเหรอ”
“สัด”
“กร้ากกกกกกกกกกกกกกกก” ไอ้ฟ่าง ไอ้แทน ไอ้คิวมันรวมหัวหัวเราะผม ไอ้มิคเลยลุกมาถามว่าขำอะไรกันแต่ไม่มีใครตอบมันแม่งดันหัวเราะขึ้นมาเองซะงั้นจนพวกผมขำมัน
“เออไอ้แทนไอ้ฟ่างเมื่อไรพวกมึงจะเปิดตัววะ คู่ไอ้คิวไอ้เต้ยครอบครัวก็ไฟเขียวกันนานแล้ว ไอ้พีมกับไอ้ภูมิก็คบกันอย่างเปิดเผยแล้วต่อไปก็เหลือคู่มึง” ไอ้มิคถามก่อนจะกระดกเหล้าที่กูเพิ่งชงเสร็จและที่สำคัญแก้วของกูด้วยครับแต่คำถามของมันก็น่าสนใจผมมองไอ้แทนกับไอ้ฟ่างเพื่อรอฟังคำตอบ
“กูคงไม่บอกพ่อหรอกสงสารพ่อเรื่องภูมิเพิ่งจบถ้ารู้ว่ากูกับไอ้แทนคบกัน หึ หัวใจวายตายกันพอดี”
“ใครคบกับมึง” ไอ้แทนหันไปตีหน้าซื่อซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างเสี่ยงนะเพราะล่อตีนล่อมือไอ้ฟ่างมาก
“หมามั้ง” แรว๊งงงงงงงงส์
“โอ๋ๆๆๆเค้าย้อเย่นน๊า ไม่คบฟ่างไม่รักฟ่างแล้วจะให้แทนรักใครล่ะครับ” แล้วมันก็จูบกัน
“อ้วกกกกกกกกกกกก” เอาให้หมดไส้หมดพุงอย่าให้เหลือแม้แต่ในไส้ติ่ง
“กูว่าเราทำเรียลลิตี้ตามติดชีวิตไอ้แทนไอ้ฟ่างแล้วทำเป็นหนังGVขายคงรวยว่ะ” ดูไอ้คิวมันคิดแต่ละอย่างสิครับ
“มึงไม่ทำของมึงขายด้วยล่ะคิว” ไอ้ปันที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำเอ่ยถาม
“หึ มึงก็ถามไม่คิดนะปัน ไอ้คิวมันแค่ลูบๆคลำๆจะเอาอะไรไปทำเป็นหนังวะ” ผมยักคิ้วให้ไอ้เดนทรชนเชี่ยคิว มันเหลือบตามองผมทั้งที่กำลังคาบแก้วเหล้าก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“แหม๊ไอ้แคระพอได้กลับมาซุกใต้ปีกผัวนี่มึงกล้านะ เดี๋ยวกูจับล่อแม่งแต่อุยไม่ได้นี่หว่าเพราะกูไม่เคยสมสู่ข้ามสายพันธ์กับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำแคระ กร้ากกกกกกกกกกกก” อดทนหนอขันติหนอปากหมาหนอจัญไรหนอ “เดี๋ยวถ้าว่างๆกูจะแจ้งไปที่กินเนสบุ๊คให้เขาบันทึกไว้ว่ามึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่แคระที่สุดที่สามารถมีผัวได้ บ๊ะ ไอ้ภูมิมันคงภูมิใจในตัวมึงอยู่มิใช่น้อย”
“ฮา” ไอ้พวกลูกคู่นี่ก็ทำงานดีนัก
“ไอ้คิวเลิกแกล้งน้องสะใภ้กูได้แล้วถึงมันจะแคระมันก็แคระตามธรรมชาติ”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พวกมึงออกไปจากห้องกูเลยนะ”
“ห้องกู????? ฮิ้วววววววววว ของผัวก็เหมือนของเมีย ของเตี้ยก็เหมือนของหล่อ จิ๊บิ๊ จิ๊บิ๊ อิคึอิคึ” กูเกลียดไอ้คิว เกลียดไอ้ฟ่าง เกลียดพวกมันนนนนนนนนนน ฮึ่ยๆ
“พี่คิววววววววววววววว คิดถึงเต้ยไหมมมมมมมมม” ไอ้น้องเต้ยเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ได้ข่าวว่ามึงลงไปซื้อไอศกรีมที่มินิมาร์ทข้างล่างไม่ใช่เหรอเต้ย ไอ้เชนที่หอบถุงของกินพะรุงพะรังพร้อมกับคอเอียงหนีบโทรศัพท์เดินตามหลัง มันพยักหน้าเรียกให้ผมไปช่วยถือ ผมทำปากพะงาบๆว่าเมียหรอ มันก็บอกอืมแล้วพูดไร้เสียงว่า ง้ออยู่ แล้วมันก็ออกไปคุยนอกห้อง ปล่อยให้พวกนั้นเบ้ปากตาม
“พี่คิวกินอันข้างบนให้หน่อยดิ เต้ยจะกินข้างล่าง” ไอ้เต้ยยื่นไอศกรีมวอลให้แฟนมันแต่ไอ้คิวทำหน้ารังเกียจ
“มึงเลียแล้ว แหวะ น้ำลาย”
“เอ๋าก็แค่น้ำลาย นะๆกินครีมออกให้หน่อยเต้ยจะกินช็อกโกแลตที่อยู่ก้นมันอ่ะ”
“ทำเป็นรังเกียจน้ำลาย ตอนมึงจูบกันอ่ะแดกเป็นลิตรๆ” ไอ้แทนว่าตอนนี้มันนอนยาวหนุนตักไอ้ฟ่างอย่างถึงสุข ไอ้คิวยักไหล่ก่อนจะรับไอศกรีมมากินมันก็แกล้งไอ้เต้ยไปงั้นแหละ
“ฟ่างโคมไฟหน้าบ้านที่มึงบอกว่าอยากเปลี่ยน เราไปเลือกแบบพรุ่งนี้ไหมเพราะมะรืนกูไม่ว่าง” ผมแอบเงี่ยหูฟังไอ้คู่รักตัวอย่างเขาคุยกันพูดง่ายๆคือเสือกนั่นเอง แต่แคร์ไหม หึหึ ดูหน้าก็รู้ครับ
“จะไปไหนอีก”
“ไปงานกับป๊าไอ้เทนมันไม่ว่างกูเลยต้องไปแทน ไม่งอนนะ”
“อืม”
“จริงนะ”
“เออ พี่เทนไม่ว่างบ่อยนะช่วงนี้มันไปทำไรวะ”
“ติดเพื่อนมั้งมึงก็ถามพี่โอ๊ตดูสิกูเห็นมันชวนกันไปกินเหล้าในป่ากับพวกเพื่อนมัน” หืมมม พี่โอ๊ตกับพี่เทนเป็นเพื่อนกันด้วยเหรอแล้วมันสองคนก็งุ๊งงิ๊งๆเข้าสู่โลกส่วนตัวของพวกมันเชี่ยแทนแม่งโคตรหลงไอ้ฟ่างเลยว่ะ ผมถึงกับต้องเบะปากรับไม่ได้แล้วแม่งเสือกหันมาเจอ
“ถ้าอิจฉาก็เข้าไปหาที่รักมึงในห้องสิไป” ไอ้แทนยักคิ้วให้ผม กูก็ยักไหล่กลับไป โด่ แค่นี้สิวๆกูเจ๋งกว่าพวกมึงอีก
“คุณชายมึงดูไรวะเปลี่ยนช่องๆ ดูไรไร้สาระปัญญาอ่อนจริงๆเลยมึง ฮู่ ไร้สาระอย่างนี้เรียนนิติได้ไงวะเดี๋ยวกูจะเปิดอะไรที่มันประเทืองปัญญาให้ดู” ไอ้เบียร์ที่นอนเหยียดดูข่าวBBCอยู่บนโซฟาก็ถูกไอ้ปันระราน กูว่าข่าวบีบีซีมันไม่ไร้สาระนะปันแต่ผู้ดีอย่างไอ้เบียร์ก็ไม่ตอบโต้ครับมันแค่ตบกบาลไอ้ปันแล้วลุกมานั่งร่วมวงกับพวกผมแล้วรู้ไหมครับว่าคนมีสาระอย่างไอ้ปันมันดูอะไร
“หมีแพนด้านี่แม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ ฮ่าๆๆ ดูดิๆอยู่นิ่งๆยังฮา”
เอ่อ เอิ่ม คือแม่งฮาตรงไหนแล้วมันมีสาระประเทืองปัญญายังไงวะไอ้หมีแพนด้าเนี่ยยยยยยยยยยย
“พีมมมมมมมมอยู่ไหนวะ” เสียงตะโกนของคนที่คุณก็รู้ว่าใครแหวกอากาศมาจากในห้อง คือถ้าจะดังขนาดนี้วันหลังกูแนะนำโทรโข่งนะภูมิ
“ผัวเรียกแล้วไปสิเมียแคระ”
“หึหึ คล้ายๆเมียแคทป่ะวะ” ไอ้เบียร์มันหัวเราะ ผมชี้หน้ามันกับไอ้คิวก่อนจะเข้าไปหาภูมิ คนที่นอนอยู่บนเตียงมองมาที่ผมแทบจะไม่ละสายตาไปไหน
“ไปไหนมา” ดุได้อีกเสียงมึงอ่ะตาก็ขวางเหมือนคนอยากยามันจะคุ้มคลั่งจับกูเป็นตัวประกันป่ะวะ
“ออกไปดูทีวีกับเพื่อนมึงตื่นนานแล้วหรอ” พระเอกอย่างเราต้องเอาน้ำเย็นขั้วโลกเข้าสู้ครับ ภูมิมันดึงผมให้นอนลงข้างกัน เสียงเอะอะโวยวายของไอ้พวกเดอะแก๊งตัวแสบยังมีมาไม่ขาด
มันกอดผมไว้แน่นก่อนจะกระซิบคำที่ผมรอฟัง
“กูเงี่ยน”
“สาดดดดดดดดดไอ้ภูมิ ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยย”
แต่ผมว่าผมได้ไอ้ภูมิคนเดิมกลับมาแล้วล่ะ
TBC >>>>>>>>>>>>>>>
- กรี๊ดดดดดดดดดดด สวยจะบอกเลิกเบียร์ จะทิ้งเชน เซย์โนว์พี่โอ๊ตแล้วสวยจะทิ้งตัวใส่คลื่น อร๊ายยยยยยยยย
- หวังว่าจะทำให้ทุกคนเริ่มกลับมาอมยิ้มกับ We are ได้อีกครั้งนะคะ รักเทอคนอ่าน เย้ เย้ เย้
ความคิดเห็น