ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #77 : ตอนที่ 67 อยู่ในใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 39.47K
      170
      5 ก.พ. 55













    ตอนที่
    67 อยู่ในใจ

     




     

    ทุกอย่างจบลงแล้วจบลงด้วยมือของผมเองวันเวลาค่อยๆเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่รับรู้ว่าตัวเองยังหายใจผมจะลองเอามือทาบตรงหัวใจและนึกสงสัยว่าทำไมผมยังหายใจได้ทำไมผมยังไม่ตาย หัวใจยังเต้นอยู่อีกหรือ

     




    ผมยังมีชีวิตอยู่แม้จะเป็นชีวิตที่เหมือนอยู่ไปวันๆหายใจไปวันๆ แม้จะมีเพื่อนมากมายอยู่รอบกายแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนไม่มีใครเหมือนผมอยู่คนเดียวอยู่กับความเหงาซึ่งผมไม่ค่อยชินกับมันเท่าไร ไม่ว่าจะกินข้าว วาดรูป ดูทีวี จะเดินไปไหนหรือจะทำอะไรก็คิดถึงแค่ภูมิแต่ผมก็พยายามบอกตัวเองว่าต้องอดทน

     




    ผมยังไปเรียนยังทำโปรเจกส่งเวลาเรียนผมได้ยินเสียงที่อาจารย์พูดได้ยินทุกอย่างเพียงแต่ผมไม่รับรู้ถึงความหมายเหมือนมันลอยเข้ามาในหูแล้วก็ผ่านไป

     






    หรือแม้แต่เวลาที่เพื่อนๆพูดกันผมเห็นพวกมันยิ้มผมก็ยิ้มตามพอมันหัวเราะผมก็หัวเราะทั้งที่ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันพูดเรื่องอะไร ผมเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำงานตามคำสั่งเมื่อมีคนป้อนข้อมูลให้ผมก็ทำแต่ถ้าไม่มีใครบอกไม่มีใครคอยสั่งผมก็จะนั่งเฉยๆไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบกายเพราะร่างกายที่หายใจอยู่นี้มันไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว

     




    แต่จะว่าไม่มีความรู้สึกก็คงไม่ถูกนักเพราะผมจะหายใจไม่ออกทุกครั้งที่นึกได้ว่าวันนี้ผมไม่มีภูมิอยู่ข้างกายอีกแล้ว ไม่มีคนคอยกุมมือ ไม่มีรอยยิ้มของภูมิที่ผมชอบมอง ไม่มีไม่เหลืออะไรเลยซักอย่างนอกจากความอ้างว้าง

     





    เมื่อวานผมเดินออกจากคณะผมไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนผมแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ กว่าจะรู้สึกตัวผมก็ถูกรุ่นพี่ผู้หญิงต่างคณะด่าเพราะว่าเดินไปตัดหน้ารถเขาแถมยังเดินกลางถนนอีก

     

     



    ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าต่อให้เราเป็นคนที่เข้มแข็งมากแค่ไหนหรือมองโลกในแค่ดีซักเท่าไรแต่ช่วงเวลาที่เราเสียใจช่วงเวลาที่อ่อนแอมันจะมีแค่เสี้ยววินาทีที่ทำให้เราอยากทำร้ายตัวเอง แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นแต่ถึงแม้ว่าผมจะเจ็บจนไม่อยากหายใจผมก็จะอยู่ต่อไป

     



     



    อยู่เพื่อได้เฝ้ามองภูมิ

     




     

    ผมมักจะเดินไปที่สนามฟุตบอลใกล้ๆตึกวิศวะซึ่งเป็นที่ๆผมกับภูมิเจอกันครั้งแรกและผมก็แอบหวังลึกๆว่าจะได้เจอภูมิอีกซักครั้งแค่ได้แอบมองได้เห็นหน้าอยู่ไกลๆก็ยังดี

     

     



    ผมอยากรู้ว่าภูมิเป็นยังไงบ้างยังสบายดีรึเปล่ามันจะยิ้มได้บ้างไหมและถ้าได้มีโอกาสพบเจอกันมันจะทักผมหรือภูมิอาจจะโกรธอาจจะเกลียดผมคนนี้แล้วก็ได้ ภูมิจะอยากจดจำผู้ชายที่รักมันสุดหัวใจแต่ก็ทำร้ายภูมิด้วยมือตัวเองรึเปล่า

     






     

    แต่ผมก็ไม่เคยได้เจอภูมิเลยซักครั้ง

     





    บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองเหมือนกันทั้งที่ไม่อยากเห็นไม่อยากไปในที่ที่ผมกับภูมิเคยไปเพราะรู้ว่ายิ่งไปเห็นที่ๆมีความทรงจำของเรามันจะยิ่งเจ็บแต่สุดท้ายผมก็ไป ไปห้าง ไปสยาม ไปกินข้าวร้านที่เราชอบไปและมันก็เจ็บอย่างที่คิดไว้จริงๆ

     





    ผมไปดูหนังเรื่องที่ภูมิเคยพาไปดูเมื่อต้นเดือนผมรับรู้เรื่องราวที่หนังดำเนินไปแต่ความสนใจของผมอยู่ตรงที่นั่งข้างๆที่ว่างอยู่ ผมเห็นภูมินั่งจับมือผมเห็นมันกำลังดึงให้ผมเอนหัวลงซบไหล่ผมหลอกตัวไปว่าภูมิกำลังจับมือผมไว้ หึ โง่สิ้นดีคงไม่มีใครโง่เท่าผมอีกแล้ว

     





    เวลาเห็นตุ๊กตาหมีก็คิดถึงภูมิ เห็นคู่รักเดินจับมือกันก็นึกอิจฉา เห็นนมหมีก็ซื้อมาแม้ว่าจะทำได้แค่นั่งดูแล้วร้องไห้เงียบๆ เห็นใครตัวสูงๆก็คิดไปว่าเหมือนภูมิหรือแม้แต่บ้านผมเองก็จะเห็นแต่ภูมิเต็มไปหมดแล้วภูมิล่ะจะเป็นยังไงถ้ามันยังอยู่ที่คอนโด อยู่ในห้องเดิมที่เราเคยมีกันมันจะทนอยู่ได้เหรอ

     





     

    แม้ว่าบางครั้งผมอยากจะหนี หนีไปให้ไกล ไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้อะไรแต่ในเมื่อภูมิยังอยู่ในใจ ผมจะหนีไปไหนได้

     






     

    อย่างมากก็ทำได้แค่หลอกตัวเอง

     

     




     

    ผมเหมือนคนไม่เต็มคนชีวิตขาดๆแหว่งๆกลางวันนั่งเหม่อเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย กลางคืนก็เอาแต่ร้องไห้แต่จะให้ทำยังไงใช่ว่าผมอยากจะอ่อนแอแต่ทุกๆที่ทุกๆอย่างไม่ว่าจะมองไปทางไหน ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ภาพของภูมิคอยซ้อนทับไปหมด ก็ภูมิน่ะมันคือชีวิตคือความรักคือหัวใจในเมื่อวันนี้ผมไม่มีมันแล้วจะให้ผมใช้ชีวิตอย่างเดิมได้เหรอ

     





     

    จนเพื่อนๆผมกลัวว่าผมจะเป็นบ้าพวกมันเลยมักจะชวนผมไปไหนมาไหนด้วย ไอ้แทนก็คอยส่งข่าวเกี่ยวกับครอบครัวภูมิให้ผมรู้โดยที่มันพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอาการของภูมิมันคงกลัวว่าผมจะแย่ไปกว่านี้มั้งทั้งที่แทนมันก็กำลังเจอปัญหามีเรื่องให้คิดไม่น้อยไปกว่าผมเลย

     




    ไอ้แทนบอกว่าพ่อยกโทษให้ภูมิแล้วตอนนี้มันกลับไปอยู่ที่บ้านอยู่กับครอบครัว ผมยิ้มเหงาๆเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากไอ้แทนผมรู้ว่าสายใยระหว่างพ่อลูกมันตัดกันไม่ขาดยิ่งเป็นครอบครัวภูมิที่ลูกชายคนเล็กเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของทุกคนพ่อก็คงพร้อมให้อภัยภูมิได้และผมควรจะยินดีใช่ไหม

     



     

    พอภูมิกลับไปอยู่บ้านพ่อก็เหมือนจะให้ฟ่างกลับไปด้วยถ้าเป็นแบบนั้นพวกมันก็ต้องแยกจากกันไปโดยปริยาย แต่ฟ่างยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะมันไปทำกิจกรรมของคณะที่ต่างจังหวัดอีกหลายวันกว่าจะกลับผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฟ่างรู้ว่าผมกับภูมิเลิกกันแล้วมันจะว่ายังไง

     



     

     

    ตั้งแต่เกิดเรื่องไอ้พวกเพื่อนๆมันก็แห่มาหาผมถึงคณะทุกครั้งที่พวกมันพอจะมีเวลาว่าง พวกมันจะนั่งรอบโต๊ะแล้วจ้องมองผมซึ่งทำได้แค่ก้มหน้า คิดๆไปก็ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนที่มีเหตุการณ์คล้ายๆตอนนี้ที่ผมเป็นเบ๊ภูมิแล้วพวกมันก็มารุมถามผมเพราะอยากรู้ว่าภูมิทำอะไรผมรึเปล่า หึ ส่วนตอนนี้มันคงอยากรู้ว่าผมจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตนี้

     




    ไอ้เชนที่เรียนหนักจนแทบไม่มีเวลาหายใจแต่มันก็อุตส่าห์มานั่งถอนหายใจอยู่ข้างๆผมทุกวันมันมักจะกอดคอผมไว้เหมือนอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ ไอ้ปันที่กำลังวุ่นวายกับการทำค่ายอาสาก็ปลีกเวลามาสร้างรอยยิ้มให้ผมกับมุกตลกที่เกินกว่าคนธรรมดาจะคิดได้ ส่วนไอ้คิวมันแทบจะผูกขาติดกับผมตลอดเวลา

     



     “พีมกูว่ามึงตัดสินใจใหม่ก็ยังไม่สายนะลองคิดอีกทีดีกว่า มึงรู้ไหมว่าตอนนี้สภาพมึงเป็นยังไง” ไอ้เชนจะบอกแบบนี้ทุกครั้งและผมก็จะก้มหน้าแทนการปฏิเสธทุกครั้ง ผมรู้ว่าพวกมันเป็นห่วงและหวังดีหลายครั้งที่มันพยายามทำให้ผมกับภูมิกลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้สุดท้ายพวกมันถึงยอมถอดใจ

     



    “ถ้ามึงไม่รู้เดี๋ยวกูจะบอกให้ว่าศพยังดูดีกว่า ให้กูจัดการให้ไหมพีมกูจะพาไปก่อม็อบหน้าบ้านไอ้ภูมิประท้วงไล่พ่อมันเลยดีไหมวะ ออกไป ออกไป ออกไป” ผมเผลอขำไอ้ปันที่ชูกำปั้นตะโกนเย้วๆแล้วก็ถูกไอ้คิวผลักหัวไปตามระเบียบ

     





    “มึงอ่ะออกไปไอ่สัส เฮ้ออออ กูอยากจะรู้จริงๆว่าพ่อไอ้ภูมิมีความสุขมากไหมตอนเห็นลูกชายใกล้จะตาย แล้วถ้าคนอื่นรู้ว่าไอ้ภูมิมีเมียเป็นผู้ชายมันจะทำให้หุ้นธนาคารตกรึไงวะแม่งโคตรประสาท สมัยนี้ไม่มีใครเขามาสนใจเรื่องอย่างนี้กันหรอก งานก็ส่วนงานดิทีพ่อกูยังเคยเอารูปไอ้เต้ยไปให้พวกบอร์ดบริหารดูด้วยซ้ำแนะนำว่าเป็นลูกสะใภ้อีกต่างหาก ก็ไม่เห็นจะมีใครถอนตัวถอนหุ้นออกจากบริษัทแม่งซักคน” ไอ้คิวมันบ่นยืดยาวซึ่งผมก็เริ่มจะชินกับคำพูดแบบนี้ของมันแล้วเหมือนกัน

     





    “เชี่ยคิวต่างคนก็ต่างความคิดนะมึงอีกอย่างบ้านไอ้ภูมิหวงลูกชายคนเล็กแค่ไหนมึงก็รู้” มือของไอ้เชนที่โอบผมอยู่ตบลงบนบ่าผมเบาๆ

     




    “เพื่อนกูเลยแม่งจะตายห่ากันทั้งคู่อยู่นี่ไง” ไอ้คิวมันถอนหายใจก่อนจะหันออกไปมองทางอื่น มันทำเป็นปากร้ายแต่ผมรู้ว่ามันเป็นห่วงผมไม่น้อยไปกว่าใครเลย

     




    “เดี๋ยวกูบอกพ่อกูยื่นเรื่องเข้าสภาดีไหมว่าให้ผู้ชายรักกันได้ถ้าใครขัดขวางจับไปให้อีซิมซิมิด่าให้หมด คึ” ไอ้ปันมันเสนอความคิดเลยถูกไอ้คิวเสยกระบานอีกรอบ

     




    “แล้วมึงจะทำยังไงต่อไปพีม” ไอ้เชนเอ่ยถามผมพร้อมส่ายหัวกับภาพที่ไอ้คิวกับไอ้ปันตีกัน

     




    “กูก็ยังไม่รู้ว่ะเชนตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย กูขอเวลาหน่อยนะพวกมึงไม่ต้องเป็นห่วงกูนะเว้ยกู……จะพยายามเข้มแข็งให้ได้” ผมส่งยิ้มให้พวกมันได้เบาใจแต่เพื่อนผมกลับถอนหายใจและมองหน้าผมจนผมต้องก้มหน้าอีกครั้ง

     




    “กูว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่านะ เฮ้ยคิวไปเรียนเหอะจะบ่ายโมงแล้ว พวกมึงก็กลับไปเรียนได้แล้วไป” ผมไล่พวกไอ้เชนกับไอ้ปันกลับก่อนจะรวบกระดาษกับเฟรมขึ้นถือและลุกขึ้นเตรียมไปเรียน

     




    แต่พอหันกลับมาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รู้สึกเหมือนโลกมันเอียงเพราะผมถูกอะไรบางอย่างกระแทกกับใบหน้าอย่างจังแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนผมเซถอยหลังเกือบล้มแต่ยังดีที่ค้ำโต๊ะไว้ได้ทัน

     




    ผมสบัดหัวให้หายมึนและตั้งสติว่าเกิดอะไรขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นไอ้ฟ่างยืนอยู่มันกำลังจ้องเขม็งมาที่ผมสายตาคมดุนั่นบอกว่ากำลังโกรธมาก มันคงรู้เรื่องของผมกับภูมิแล้วสินะและเมื่อกี้ก็คงเป็นหมัดของไอ้ฟ่างที่กระแทกแก้มซ้ายของผม

     



    ผมรับรู้กลิ่นคาวเลือดในปากคงเพราะฟันผมไปโดนกระพุ้งแก้มเต็มแรงจนเกิดแผล ผมใช้ลิ้นดุนแผลก่อนจะถ่มน้ำลายที่มีแต่น้ำเลือดและใช้หลังมือเช็ดมุมปากทีคงจะมีคราบเลือด





    “นี่สำหรับที่มึงทำให้น้องกูเจ็บ” ไอ้ฟ่างมันกัดฟันแน่นน้ำเสียงของมันเยือกเย็นและน่ากลัว น่ากลัวจนผมกลัวว่ามันจะเกลียดที่ผมทำให้น้องชายของมันต้องเจ็บ

     




    “สัดฟ่างมึงทำอะไรห๊ะ น้องมึงเจ็บแล้วเพื่อนกูล่ะ ไอ้พีมมันเจ็บไม่เป็นรึไงวะ!!!!” ไอ้คิวตะคอกเสียงดังพร้อมกับผลักอกไอ้ฟ่าง

     




    “คิวอย่า” ถึงจะรู้ว่ามันสองคนคงไม่ถึงขั้นมีเรื่องกันแต่ผมก็ไม่อยากให้มันทะเลาะกันเพราะผมเป็นต้นเหตุ ไอ้เชนเดินไปจับไอ้ฟ่างไว้แต่ถูกมันปัดออกผมหันไปมองไอ้ฟ่างอีกครั้งและมันก็ยังจ้องหน้าผมออยู่เหมือนกัน

     




    “เชนปล่อยมัน” จบคำพูดผม หมัดที่สองของไอ้ฟ่างก็ตามมาแม่งหมัดหนักชิบ

     




    “และนี่สำหรับที่มึงไม่ปรึกษากู ไม่บอกพวกกูมึงสะกดออกไหมคำว่าเพื่อน” สายตาของฟ่างอ่อนลงเหมือนจะยังโกรธแต่ผมก็ดีใจที่ไม่ใช่ความเกลียดถ้าโดนมันชกเพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกเพื่อนเกลียดผมยอม

     





    “กูขอโทษ” ผมก้มหน้าและเอ่ยขอโทษฟ่าง ความเจ็บที่ร่างกายมันเทียบไม่ได้เลยกับที่ผมรู้สึกที่ใจ ผมไม่ได้ทำร้ายแค่ภูมิไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเองแต่ผมยังทำร้ายเพื่อนอีกด้วย อ่อนแอเกินไปแล้วพีมร้องไห้จนเป็นเรื่องปกติแล้วรึไง ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆก็ได้รับกอดกอดของคนที่เพิ่งชกผมไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาเป็นอ้อมกอดจากฟ่าง

     




    “ขอบคุณที่มึงพยายามเสียสละและปกป้องความรักของกูแล้วก็กูขอโทษที่กูช่วยพวกมึงไม่ได้ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ช่วยความรักของพวกมึง ขอโทษแทนพ่อด้วยนะ” เสียงสั่นๆเอ่ยอยู่ข้างหู ผมตบหลังปลอบใจมันก่อนจะผละออกมา

     





    “มึงอย่าพูดแบบนั้นดิฟ่าง…..กู ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็น ฮึก ไม่เป็นไร” ผมมองผ่านไหล่ฟ่างเห็นไอ้เชนเบือนหน้าหนี ไอ้คิวมันสบถด่าอะไรซักอย่าง ส่วนไอ้ปันก็นั่งหงอยๆมองมาที่พวกผม

     





    “พีม” ฟ่างมันเรียกผมเบาๆเสียงมันฟังดูเหนื่อยๆผมเพิ่งสังเกตว่าไอ้ฟ่างดูอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน

     




    “อืม มีไรวะ” ใจผมเต้นแรงมันเจ็บและดีใจในคราเดียว ผมรู้ว่าฟ่างต้องมาพูดเรื่องภูมิใจนึงผมก็อยากรู้แต่อีกใจก็ไม่อยากฟัง ไม่อยากฟังว่ามันเจ็บมันทรมานมากแค่ไหน ที่ผ่านมาพวกไอ้เชนก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงภูมิว่ามันเป็นยังไงบ้างพวกมันคงไม่อยากให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่านี้แต่ถึงพวกมันไม่บอกผมก็พอจะเดาได้

     





     

    ภูมิก็คงเจ็บไม่ต่างจากผมซักเท่าไร

     






    “มึงกับภูมิจะเลิกกันกูจะไม่ห้ามจะไม่ขอร้องให้พวกมึงกลับมารักกันเพราะกูคงไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย กูอยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ขอโทษนะที่กูทำอะไรเพื่อพวกมึงไม่ได้” ฟ่างขอโทษอีกแล้วมันดูอ่อนแรงลงไปมากผมคิดเสมอว่าฟ่างเข้มแข็งกว่าใครมันรับมือกับปัญหาได้ดีแต่ตอนนี้ฟ่างดูไม่ต่างจากผมหรือใครๆที่เจ็บได้ร้องไห้เป็น ผมบีบไหล่มันเบาๆพร้อมยิ้มบางๆให้มัน

     




    “แต่กูขออะไรมึงได้ไหมพีมแค่ตอนนี้มึงไปดูมันหน่อยได้ไหม….ไปหาภูมิสักครั้งได้ไหมพีม….. กูสงสารน้องกู…..ช่วยไปหาน้องกูด้วยนะ ถือว่ากูขอร้องนะพีม กูสงสารน้องภูมิ…. แม่งเอ๊ย” ไอ้ฟ่างใช้แขนเสื้อปาดน้ำตา น้ำตาที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นจากฟ่างคราวนี้มันเป็นฝ่ายก้มหน้าบ้างสำหรับฟ่างการที่ต้องร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนคงเป็นเรื่องที่มันไม่อยากให้เกิด ไอ้คิวเดินมากอดไอ้ฟ่างไว้

     





    “น้ำตาของมึงเก็บไว้ให้ไอ้แทนเห็นคนเดียวนะฟ่าง” ไอ้ฟ่างซบหน้าอยู่บนไหล่ไอ้คิว มีไอ้เชนกับไอ้ปันลูบหัวลูบหลังปลอบ ผมแค่นยิ้มมองภาพนั้นผ่านน้ำตา เจ็บว่ะ

     






    แต่เพราะคำว่าเพื่อนผมถึงยังยืนอยู่ได้

     

     





    ผมลืมวันลืมเวลาไม่อยากจะจำว่าผมกับภูมิเลิกกันแล้วเลิกทั้งที่ยังรัก ผมถูกห้ามไม่ให้อยู่ด้วยกันแต่พวกเขาห้ามความรู้สึกของผมไม่ได้ผมยังรักภูมิเหมือนเดิมหัวใจของผมยังเป็นของภูมิเสมอ เย็นนี้ผมกลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวันเจออาปุ้ยกำลังจะออกจากบ้านพอดี

     





    “อ้าวหลานชายสุดที่รักสุดสวาทขาดใจของฉันกลับมาแล้วเหรอ อากำลังจะไปที่ร้านพอดีคุณหลานไปกับอาไหมคะ”



    “อาไปเหอะพีมเพลียๆน่ะขอไปนอนดีกว่า” อาปุ้ยถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามาใกล้และลูบหัวผมเบาๆ




    “พีมซึมแบบนี้ทำอาเศร้าไปด้วยเลยรู้ไหมอย่าคิดมากนะลูกตอนนี้พีมแค่อดทนไว้ อดทนกับความเหงาความเจ็บปวดถ้าภูมิกับพีมคือคนที่เกิดมาคู่กันจริงๆซักวันก็จะได้ใช้ชีวิตด้วยกันอีก ตอนนี้ปล่อยให้เวลาช่วยรักษานะลูก”

     



    “ครับ” ผมยิ้มให้อาก่อนจะเดินขึ้นห้อง ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงและอยากให้กำลังใจแต่จะมีใครรู้บ้างว่าจะกี่คำแนะนำกี่คำปลอบใจกี่ข้อคิดดีๆมันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้เลย

     




    ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรงมันเป็นแบบนี้ทุกวันพอผมกลับมาถึงบ้านผมมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนอยู่บนเตียงปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปแสนไกล ในหัวว่างเปล่าจากนั้นน้ำตามันก็จะไหลไหลออกมาเองเหมือนเป็นกลไกอะไรซักอย่างมันเป็นแบบนี้ซ้ำๆ

     




     

    ในห้องเริ่มมืดลงแต่ผมก็ไม่คิดจะลุกไปเปิดไฟผมซุกหน้ากับหมอนเพื่อให้มันช่วยเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะเอามือถือขึ้นมา รูปหน้าจอยังเป็นรูปของผมกับภูมิที่ผมถ่ายเองจากกล้องมือถือเครื่องนี้รูปที่ผมมองกล้องทำหน้าตาน่าเกลียดส่วนภูมิมันมองผมแถบยังแลบลิ้นใส่ด้วย

     




    “หึ” ผมหัวเราะทั้งที่กำลังร้องไห้แต่ผมคงไม่เช็ดมันอีกแล้วเพราะต่อให้เช็ดมันก็คงไหลออกมาอีกอยู่ดี ผมกดเปิดเพลงฟังเป็นของเราเพลงที่ภูมิเคยให้ผมฟังหรือเพลงที่มันเคยร้องบอกรักผมพอยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนจะตายให้ได้ ผมเปิดดูข้อความเก่าๆที่ภูมิเคยส่งให้ ดูรูปที่เราถ่ายคู่กันหรือรูปของภูมิที่ผมแอบถ่ายไว้ตอนมันเผลอ ไหลไปเถอะน้ำตา ไหลออกมาให้พอ ยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึงยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเจ็บปวด

     





    คิดถึงภูมิ คิดถึงเหลือเกิน










     

     

     

    ………………………………

     

     







     

    เช้านี้ผมไม่มีเรียนแต่ก็ต้องไปมหาลัยแต่เช้าเพราะไอ้คิวมันถ่อมารับมันบอกว่าให้ผมไปช่วยหาหนังสือที่หอสมุดกลางแถมยังหอบไอ้เต้ยมาด้วย ถึงว่าทำไมวันนี้ท้องฟ้ามันมืดครึ้มเหมือนฝนจะตกเพราะเชี่ยคิวตื่นเช้าและชวนผมเข้าห้องสมุดนี่อีก

     





    แต่พอมาถึงยังไม่ทันได้หาหนังสือไอ้คิวก็ฟุบหลับคาโต๊ะมีไอ้เต้ยนั่งซุกไหล่เกาะแขนเกาะขาอยู่ไม่ห่าง ผมนั่งมองมันสองคนอยู่ๆก็รู้สึกอิจฉาถ้าครอบครัวภูมิเข้าใจและยอมรับพวกเราได้เหมือนครอบครัวไอ้คิวกับไอ้เต้ยก็คงจะดี ไอ้เต้ยมันคงเห็นว่าผมจ้องนานเกินไปมันเลยเงยหน้ามายู่ปากใส่ผม

     



    “เฮียพีมมองไรอ่ะพี่คิวของเต้ยนะ” ไอ้เต้ยพูดเสียงค่อนข้างดังแต่ก็ยังดีที่เช้าๆแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไรเลยไม่รบกวนคนอื่นมากนัก

     

    “หึทำไมจะมองไม่ได้กูมาก่อนมึงอีกนะไอ้นมปั่น”

     


    “โป้งเฮียพีมเดี๋ยวแช่งให้เฮียภูมิไม่รั…….. เอ่อ เต้ย เต้ยขอโทษครับ” ไอ้เต้ยเอ่ยขอโทษมันหน้าจ๋อยลงทันทีคงคิดว่าผมจะโกรธ ผมไม่ได้โกรธแค่รู้สึกหนึบๆทุกครั้งที่ได้ยินชื่อภูมิ ผมยักคิ้วให้ไอ้เต้ยรู้ว่าผมไม่ได้โกรธ แต่หน้ามันยิ่งหงอยนหนักกว่าเดิม

     




    “เฮียอย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ เต้ยชอบเฮียพีมนะชอบเวลาเฮียยิ้มเฮียพีมของเต้ยน่ารักยิ้มหน่อยนะเดี๋ยวเต้ยแบ่งพี่คิวให้วันนึงก็ได้” มันยิ้มแฉ่งจนแก้มเกือบฉีก

     





    “หึหึ ขอบใจที่เอื้อเฟื้อแต่มึงเก็บไว้เหอะเห็นแบบนี้กูก็เลือกนะ” ผมยิ้มให้ไอ้เต้ยตามที่มันขอพอผมยิ้มไอ้เด็กตี๋ตาโตก็ยิ้มตามก่อนจะนึกได้ว่าผมประชดมันเลยบุ่นงุ้งๆงิ้งๆจนไอ้คิวรำคาญสลึมสลือขึ้นมาบีบปากมัน

     




    “ไอ้เต้ยเมื่อไรถ่านมึงจะหมดวะ ฮึ ช่วยเงียบซักสองนาทีให้กูรู้สึกสบายรูหูหน่อยได้ไหม เมื่อคืนก็ป่วนจนกูไม่ได้นอนแม่งอยากรู้จริงๆตอนเด็กๆมึงแดกปุ๋ยสูตรไหนเป็นอาหารหลักหรือป๊ากับม๊ามึงเซ็ตโปรแกรมไว้”

     




    ไอ้คิวบ่นไปแต่ไอ้เต้ยก็ไม่สนใจมันลุกขึ้นดมฟุดฟิดๆตามหัวตามผมไอ้คิวเหมือนหมา และไม่นานไอ้เต้ยก็ถูกหิ้วออกไปเพราะมันเกิดอยากเล่นซ่อนแอบในห้องสมุดไอ้คิวเลยต้องลากไอ้เต้ยออกไปก่อนที่พี่ๆบรรณารักษ์จะเอาสารานุกรมมาฟาดหัวมัน

     


    ผมยิ้มตามหลังพวกมันสุดท้ายก็เหลือแค่ผมคนเดียวที่ต้องหาหนังสือ ผมเดินหาหนังสือไปเรื่อยๆเจอเล่มไหนน่าสนใจก็เปิดอ่านเปิดดูแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อรายงานก็ตาม แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ชั้นหนังสือช่องถัดไปบทสนทนานั้นทำให้ร่างกายของผมชาจนไม่กล้าขยับตัวไปไหน

     







    “แกๆฉันได้ข่าวว่าพี่ภูมิอกหักแหละ”

     




    “ภูมิไหน”

     



    “พี่ภูมิเดือนวิศวะที่เป็นเพื่อนพี่เบียร์เดือนคณะเราอ่ะ พี่ภูมิสุดหล่อของพวกเราไง”

     




    “อ๊ออห๊ะ พี่ภูมิเนี่ยนะอกหักไม่มีทางอ่ะข่าวแกมั่วรึป่าวถ้าอย่างพี่ภูมิอกหักโลกนี้ก็ไม่มีคนสมหวังแล้ว”

     




    “โหยยยยจริงๆแก ได้ข่าวว่าพี่แกเฮิร์ทมากตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะแต่เมื่อวานชั้นไปหาเพื่อนที่คณะวิศวะแล้วบังเอิญเจอพี่ภูมิด้วยฉันแบบตกใจอ่ะแก จากที่เคยหล่อๆตอนนี้โทรมมากอย่างกับคนป่วยแหนะ”

     




    “จริงดิแกไม่ได้จำผิดคนนะ”

     





    “โหยยยยจะจำผิดได้ไงหล่อขนาดนั้นเห็นแค่เสี้ยววินาทีฉันก็เมมลงซีรีบรัมแล้ว”

     




    “ไม่อยากเชื่อเลยระดับพี่ภูมิเลยนะเว้ยฉันอยากเห็นหน้าแฟนพี่เขาว่ะแก แม่งกล้าทิ้งพี่ภูมิได้ไงฉันว่ามันบ้าไปแล้วแน่ๆ”




     

    “นั่นน่ะสิแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกพี่ภูมิออกจะหล่อรวยขนาดนั้นเจ็บได้ไม่นานเดี๋ยวก็มีแฟนใหม่มาเลียแผลใจเองแหละ” ตัวหนังสือที่ผมก้มดูเริ่มพร่ามัวก่อนที่น้ำตาจะหยดลงเปื้อนหมึกเป็นดวงๆ ผมก้าวถอยหลังติดกับชั้นหนังสือเพื่อให้ผู้หญิงสองคนนั้นเดินผ่านไป ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ได้โกรธที่โดนว่าโดนนินทาแบบนั้น มันก็เหมือนกับว่าหัวใจที่แหลกละเอียดของผมมันกระจายอยู่บนพื้นแล้วพวกเธอก็แค่เดินผ่านและเหยียบซ้ำโดยไม่รู้ตัวแค่นั้นเอง

     




    ตอนนี้สิ่งเดียวที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวคือคำว่า “ภูมิป่วย ภูมิไม่สบาย” อยากไปหาถ้าผมแอบไปจะเป็นอะไรรึเปล่านะ อยากเจอภูมิ อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงที่มันเรียก “ไอ้เตี้ย”

     




    ผมสะบัดหัวพร้อมกับแอบเช็ดน้ำตาก่อนจะเก็บหนังสือเข้าที่เดิมแล้วเดินออกมาแต่พอออกมาข้างนอกก็ต้องเจอว่าฝนกำลังตก ผมถอนหายใจเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีเทาๆสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ผมลองยื่นมือออกไปรองเม็ดฝนแต่ก็ต้องรีบขยับถอยหลังกลับเมื่อกระแสลมพัดละอองฝนสาดเข้ามาและเหมือนผมจะถอยไปชนกับคนอื่นเข้า

     





    “อ่ะ ขอ………” ผมหันกลับไปจะขอโทษแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี ร่างกายผมก็เหมือนถูกสาปให้แน่นิ่งใจผมชาวูบราวกับถูกยึดลมหายใจ ผมรู้สึกเหน็บหนาวเย็นเยือกข้างในหัวใจเหมือนยืนอยู่ขั้วโลกถูกพายุหิมะเย็นเฉียบโหมพัดใส่ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ผมเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “ภูมิ” และมันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

     




    เคยไหมครับที่เราคิดถึงใครซักคนมากๆพอเจอก็อยากมองใบหน้าเขาตรงๆแต่ก็ไม่กล้าให้หลบตาก็ทำไม่ได้ ผมสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้วจนหมดสิ้นผมกลืนน้ำลายลงลำคออยากยากลำบาก

     




    ก่อนจะสบตากับดวงตาที่คุ้นเคยแววตาคู่นั้นที่สะท้อนกลับมามันเคยทอดมองผมด้วยความรักยังไงวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นและหวังว่าภูมิจะรับรู้ความรู้สึกของผมผ่านสายตาเช่นกัน

     




    เรายืนจ้องตากันนิ่งๆหัวใจผมไม่รู้จะเต้นจังหวะไหนบางทีเหมือนมันบีบจังหวะถี่เร็วจนเหมือนจะหลุดออกมาแต่ว่าบางทีมันก็เต้นช้าๆค่อยๆแผ่วลงจนเหมือนจะหยุด

     




    พอได้เจอภูมิผมถึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหนภูมิของผมหน้าซีดมันดูซูบเซียวลงไปมาก หนวดเคราก็ขึ้นเหมือนไม่ได้สนใจดูแลตัวเองเลยหัวใจผมถูกบีบจนแหลกละเอียดสภาพของภูมิทำให้ผมผมอยากจะคว้ามันมากอด อยากจะกอดมันแน่นๆให้สมกับความคิดถึง แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น

     




    “อ้าวพีม หวัดดี ไม่เจอกันนานหายไปไหนมาครับผมถามไอ้ภูมิ….อื้อไออิคอ่อยอูเอี้ยไออ๊ะอัด” ผมเพิ่งสังเกตว่ามีเพื่อนคนอื่นเดินตามภูมิออกมาจากข้างใน ไอ้มิคกระโดดตะครุบปิดปากไอ้แซคก่อนจะลากกลับเข้าไปข้างใน ส่วนไอ้ปริ๊นมองผมกับภูมิสลับไปมามันส่งยิ้มให้ผมและตบไหล่ภูมิก่อนจะเดินตามพวกไอ้มิคไป

     




     “เอ่อ หวัดดี” เป็นคำพูดที่ผมคิดว่ามันสิ้นคิดและฟังดูงี่เง่ามากที่สุดในการเริ่มบทสนทนาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคำไหนที่ดีกว่านี้





    “หวัดดี”

     



    “มา….มาอ่านหนังสือเหรอ”

     



    “อืม” ภูมิตอบแค่สั้นๆมันจับจ้องมองผมไม่วางตาแทบไม่กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะกัดปากแน่น พยายามคิดหาคำพูดแล้วผมควรจะพูดอะไรต่อในเมื่อตอนนี้ก้อนแข็งๆมันดันขึ้นมาจุกแน่นที่หน้าอกอีกแล้ว ถ้าขืนผมยังยืนอยู่ตรงนี้ผมต้องขาดใจตายแน่ๆ

     




     ….เอ่อ งั้นกู…..ไปเรียนก่อนนะ” ก่อนที่ผมจะก้าวขาออกไปข้อมือกูถูกดึงไว้

     




    “อย่าเพิ่งไปฝนตกอยู่เดี๋ยวจะไม่สบาย” แค่สัมผัสเพียงบางเบาที่ข้อมือมันจะรู้ไหมว่าผมต้องใช้เรี่ยวแรงมากแค่ไหนไม่ให้ตัวเองหันกลับไปกอดมันไว้เหมือนที่ใจอยากจะทำผมอยากดึงมันมากอดเหมือนที่ผมเฝ้าฝันอยู่ทุกค่ำคืน ผมอยากจะโผเข้าหาอ้อมกอดของมัน อยากจะกอดมันปลอบมันบ้างภูมิซูบเซียวจนแทบไม่เหลือภูมิที่เคยสดใสคนเดิม

     





    “พอดีมันเลยเวลาเรียนแล้ว…..ต้องรีบไป”


     

    “ขอไปส่งได้ไหม”


     

    “ไม่เป็นไร”



     

    “เดี๋ยวพีม” ภูมิถอดเสื้อช้อปของมันคลุมให้ผมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยเหมือนจะค่อยๆทำลายความเข้มแข็งอันน้อยนิดของผมให้หายไป “เอาเสื้อคลุมไว้ก็ยังดี”


     

    “ขอบคุณนะ” ผมเอาเสื้อของภูมิคลุมหัวผมยิ้มให้ภูมิอีกครั้งก่อนจะเดินตากฝนออกมา นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมทิ้งภูมิครั้งที่สองที่เดินจากภูมิผมร้องไห้จนสุดเสียง ปล่อยน้ำตาให้ไหลเพราะคงไม่มีใครเห็นให้สายฝนช่วยบดบังชะล้างความทรมานนี้ที

     

     


     

    ผมโทรไปบอกไอ้คิวและตัดสินใจกลับบ้านระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่ผมกอดเสื้อภูมิไว้แน่นแนบอกจนตอนนี้ที่นอนอยู่บนเตียงผมก็ยังกอดไว้ เสียงเคาะประตูทำให้ผมเช็ดน้ำตากับหมอนเพราะกลัวว่าอาปุ้ยจะเห็น

     




    “ห้องไม่ได้ล็อคครับ” ผมบอกอนุญาตแต่ก็ยังนอนอยู่แบบเดิมผมไม่อยากลืมตาไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น


     

    “พีม” ผมหันไปมองต้นเสียงทันทีที่รู้ว่าไม่ใช่อาปุ้ย




     

    “แทน ฮึก” เมื่อเห็นว่าใครที่เดินเข้ามาผมก็ลุกขึ้นและเดินไปกอดมันไอ้แทนก็กอดผมไว้แน่น



     

    “ร้องไห้อีกแล้ว เพื่อนกูร้องไห้เก่งตั้งแต่เมื่อไรวะ” นั่นน่ะสิเมื่อไรความรู้สึกนี้จะผ่านพ้นไปเสียที

     


    “กู ฮึก กูเจอภูมิด้วย มันผอมมากเลยแทน ไอ้หล่อของกู ฮึกเหมือนไม่สบาย แทนกูไม่ไหวแล้วว่ะ” ผมได้แต่พร่ำเพ้ออยู่ในอ้อมกอดของไอ้แทน นานกว่าที่ผมจะควบคุมสติได้ มันไล่ผมไปอาบน้ำและบอกว่าจะลงไปหาอะไรให้กิน ผมอาบน้ำเสร็จก็เห็นไอ้แทนนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ประตูระเบียง มันหันมาพยักหน้าให้ผมก่อนจะหันไปดูดบุหรี่และมองละอองฝนที่เพิ่งหยุดตก ผมแต่งตัวเสร็จก็ออกไปนั่งกับมัน

     




    “มึงเข้าไปในห้องไปเดี๋ยวหวัดแดกอีกแล้วก็กินโจ๊กด้วยกูซื้อมาฝาก” มันลุกขึ้นและผลักหัวผมให้เดินเข้าห้อง ผมไม่ค่อยหิวแต่ก็ไม่อยากดื้อให้ไอ้แทนมันเป็นห่วงเลยยอมกินตามที่มันสั่ง แต่กินได้ไม่กี่คำผมก็ฝืนกลืนไม่ได้ไอ้แทนก็ไม่บังคับ




    ห้องตกอยู่ในความเงียบผมนั่งพิงหัวเตียงมองไอ้แทนเอามือก่ายหน้าผากสายตามันเหม่อลอยและถอนหายใจบ่อยครั้งผมเลยยื่นมือไปผลักหัวมันบ้าง

     



    “เป็นไรวะโดดเรียนมาหากูแค่นี้ถึงกับต้องถอนหายใจเลย



    “เจ็บมากไหมพีม” ผมเม้มปากก่อนจะพยักหน้าได้ยินเสียงไอ้แทนถอนหายใจก่อนจะลุกมากอดผม

     



    “ฟ่างก็ไม่สบาย พวกกูต้องแอบเจอกัน หึ แม่งทรมานสิ้นดีทั้งที่รักกันแต่ต้องหลบๆซ่อนๆเหมือนพวกกูเป็นชู้เหมือนกูทำผิดเหมือนกูไปฆ่าใครตาย”



    “อดทนหน่อยนะ” ผมตบหลังมันเบาๆ



     

    “มึงว่าพวกกูควรเลิกกันดีไหม”



     

    “มึงอย่าทำแบบนั้นนะแทน มึงก็เห็นว่า……เลิกกันแล้วผลมันเป็นยังไง” ผมไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเจอความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นบางทีการแอบพบเจอกันเป็นบางครั้งมันอาจจะอึดอัดแต่ก็คงดีกว่าการแยกจากกันก็ได้

     




    “แล้วมึงจะให้กูมีความสุขทั้งที่สภาพมึงไม่ต่างจากซากไร้วิญญาณงั้นเหรอ” ไม่มีใครมีความสุขหรอกแทน ไม่มีเลย

     



    “กูไม่เป็นไร ไม่ใช่สิ กูชินแล้วแทน กูชาไปหมดแล้ว”




    “เหี้ยเอ๊ยแค่เรารักกันมันผิดมากหรอวะ แค่กูอยากดูแลอยากทำดีอยากอยู่ใกล้ๆใครซักคนไปตลอดชีวิตกูผิดมากใช่ไหม พวกเราผิด ฮึก มากหรอวะพีม” ไอ้แทนทรุดลงซบหน้ากับบ่าของผม ผมกอดปลอบมันด้วยความรู้สึกรวดร้าว

     




    มันยากจะอธิบายที่ต้องมาอยู่แบบนี้ สภาพมันก็ไม่ต่างจากผมเท่าไร แทนที่เข้มแข็งในวันก่อน ในวันนี้กลับอ่อนแอเหลือเกิน เสียงสะอื้นของมันที่หูผมได้ยิน น้ำตาของมันที่ซึมผ่านเสื้อ ทำให้หัวใจผมมันปวดหนึบ

     




    ผมได้แต่กัดปากจนเจ็บชา ลูบหัวเพื่อนกอดเพื่อนรักของผมไว้แม้ตัวผมเองแทบจะไร้เรี่ยวแรงก็ตามที

     




    “ไม่เป็นไรนะแทน พวกเราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

     





     “ทำไมพ่อกับแม่ไม่เข้าใจ แค่เรารักใครซักคนทำไมต้องกีดกันวะ” ผมแค่นยิ้มให้คำถามนั้นก็เพราะพวกเขารักเราแต่ไม่เข้าใจเรา

     





    พ่อแม่ทุกคนบนโลกนี้ก็อยากเห็นลูกชายที่พวกเขาเฝ้าเลี้ยงเฝ้าดูแลมาทั้งชีวิตได้เติบโตเป็นคนดี มีชีวิตที่ดี ทั้งการเรียน การงานและสุดท้ายการมีครอบครัวที่อบอุ่นคงหมายถึงการมีภรรยาที่เพียบพร้อมมีลูกที่น่ารัก

     






    แล้วจะมีพ่อแม่สักกี่คนที่จะยอมรับชีวิตอีกแบบที่มันอยู่นอกกติกาที่พวกเขาวางไว้แม้ว่าชีวิตที่ว่านี้จะมีความรักเป็นพื้นฐาน มีความรักเป็นจุดหมายปลายทางไม่ต่างจากชีวิตคู่ของคนอื่นทั่วไป ยิ่งเป็นครอบครัวของภูมิที่มีหน้าตาในสังคม เรื่องนี้คงถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

     





    “กูสงสารมึง สงสารไอ้ภูมิ สงสารฟ่าง กูคิดถึงฟ่างว่ะ” กูก็สงสารภูมิกูคิดถึงและยังรักมันทุกลมหายใจ ในตอนนี้ไอ้แทนมีผมคอยกอด

     





    แล้วไอ้ภูมิละ ใครจะกอดใครจะปลอบมัน ผู้ชายที่ดูเหมือนเข้มแข็งแต่แท้จริงแล้ว ไอ้ภูมิแสนจะเปราะบางกว่าใคร มันก็เหมือนแก้วใสบางๆที่ถูกกระทบเพียงนิดก็ร้าว แล้วถ้ามันแตกสลายไปถ้าหัวใจของผมสลายไป พวกเขาจะรับผิดชอบยังไง จะชดใช้ยังไง










                         

     

     

     

    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

     





    ………………………………………..





    -          ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่คอยให้กำลังใจและรักเรื่องนี้ค่ะ คงไม่เบื่อใช่มั้ยคะที่ตาลขอบคุณบ่อยๆเพราะตาลรู้สึกอยากขอบคุณจริงๆ


     

    -          ไม่ได้มีแค่คนอ่านที่ร้องไห้ อีตาลอ่านไปก็เจ็บเหมือนกันตอนนี้ไม่ดราม่าแต่เป็นอะไรที่ยากมากค่ะ ฮือออ

     



    -          เรื่องของภูมิกับพีมไม่มีส่วนเกียวข้องกับชีวิตตาลนะคะ คนอ่านบอกว่าเพราะตาลอกหักรึเปล่าทำไมมันเศร้าคือตาลไม่ได้อกหักนะคะ มันเป็นไปตามท้องเรื่องฮ่าๆ ปล คำผิดเยอะก็ขอโทษด้วยนะคะฝากดูด้วยนะคะเดี๋ยวตาลเข้ามาแก้ ขอบคุณค่า




     

    -          เปิดเพลง “ความคิด” จะได้เจ็บเป็นเพื่อนภูมิ ฟังเพลง “สุดท้าย” จะได้เข้าใจพีม T^T

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×