ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #110 : ตอนพิเศษ ใส่ไข่ใบน้อยครึ่งฟอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 28.09K
      144
      24 มิ.ย. 58




    ตอนพิเศษ ใส่ไข่ใบน้อยๆครึ่งฟอง

     

     

     

     

     

     

     

    “เสียงคลื่นซัดสาด
    มองเห็นไกลสุดขอบฟ้า
    มีทะเลทุกเวลา
    แต่บางทีไม่มีเธอ

     

    คลื่นซัดหาฝั่ง
    เหมือนใจร่ำคร่ำครวญหา
    จากกันไปตามเวลา
    จากกันให้เธอสุขใจ

     

    แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
    ฉันพร่ำบอกให้เธอเข้าใจ
    เพราะรักจริงจริง รักคือการให้
    ฉันให้เธอ

    แต่เป็นไม่ไรรรรรรรรรรรร ไม่เป็นรายยยยยย…………..

     

    “โอ้ยยยยยยยยย ไอ้เหี้ยยยยย เป็นโว้ย ใครบอกไม่เป็นไร กูเนี่ยเป็นนนนน จะเป็นบ้าแล้วไอ้ห่า หยุดเข้าใจว่าตัวเองกำลังร้องเพลงสักที มึงเอาหูฟังออกก่อนปัน มึงจะได้รู้ว่าเสียงของมึงที่โลกได้ยิน ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด”

     

    ผมแหกปากลั่นห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วย ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง…. ครับ ตอนนี้ข้าพเจ้านายพีมผู้เป็นตำนานเรื่องส่วนสูงของชายไทยกำลังอยู่ในโรงพยาบาล สถานที่ซึ่งไม่น่าจะข้องเกี่ยวกับชีวิตอันบันเทิงทิงนองนอยของผมสักเท่าไร

     

     

    ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลบ้าครับไม่ต้องห่วง แต่คิดว่าอีกไม่นานก็ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่พาเพื่อนไปรักษาก็น่าจะเป็นกูนี่แหละครับที่ต้องแอดมิทตัวเอง

     

     

    ที่ผมจะเป็นบ้า เหตุเพราะไอ้ผู้ชายคนนั้นในชุดนิสิตผูกไทด์แต่คีบแตะกำลังยืนอยู่ตรงผนังกระจกชั้นยี่สิบเอ็ด ใช่แล้วครับไม่ต้องสุ่มไม่ต้องเดา มันผู้นั้นคือไอ้ปันที่กำลังแหงนหน้ามองฟ้า แขนข้างหนึ่งค้ำกระจก อีกข้างซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง มีหูฟังเสียบอยู่ที่หูทั้งสองข้าง

     

     

    มันหันหน้ากลับมามองผมที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย(แต่ไม่ใช่คนป่วยครับ) ด้วยสายตาเศร้าๆ จากนั้นมันค่อยๆเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ให้ทายว่าผมรู้สึกยังไง ไม่ใช่หวาดระแวงแต่หลอนเลยล่ะครับมึ้งงงงง มันมายืนอยู่ตรงหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นตบไหล่ผมสองสามที

     

     

    จิตตัง รักเขถะ เมธาวี……ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิต”

     

     

    ??????

     

     

    วะ วะ วอทททททททททททท

     

    พระเจ้า

     

     

    ผมอ้าปากค้าง มองตามไอ้ปันเดินเข้าห้องน้ำไป คิ้วกูน่าจะผูกเป็นเงื่อนปมตาไก่แล้วครับตอนนี้ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ประโยคนั้นมึงควรบอกตัวเองไหมปัน แล้วที่ผมสงสัยคือพุทธศาสนสุภาษิตเกี่ยวอะไรกับการที่ผมบอกให้มันหยุดร้องเพลง

     

    “หึหึ”

     

    “ขำไรไอ้แห้ง กวนส้นตีนนะมึงอ่ะ”

     

    “มึงก็พูดไม่เพราะนะพีม”

     

    “อยากฟังไรเพราะๆมึงก็เปิดเพลงเบน ชลาทิศฟังซะสิ  ยิ้มไร ยิ้มทำไม ไม่ต้องยิ้ม ห้ามยิ้มหรือจะเอาอีกสักแผล”

     

     

    นี่ไงละครับคนป่วยตัวจริง นอนยิ้มหน้าซีดปากซีดอยู่ข้างๆผมนี่ไง ไอ้หมาภูมิขวัญใจมหาชนทั่วทั้งพระนคร กำลังนอนให้น้ำเกลือติ๋งๆในโรงพยาบาลมาได้สองวันแล้ว เหตุก็เพราะเมียรักบังเกิดเกล้าแวะมาเยี่ยม เฮอะกระเพาะกำเริบครับ หามส่งโรงพยาบาลแทบไม่ทัน ผมทั้งห่วงทั้งโมโหตอนที่พวกไอ้ปริ้นโทรมาบอก ตอนนั้นพวกมันติวสอบกันที่ห้องปริ้น ส่วนผมนี่เมาปลิ้นอยู่หลังมอ คึ

     

    ภูมิเรียนหนักขีดเส้นใต้สีแดงทำตัวหนาว่าหนักมาก ไหนจะโปรเจคจบ ธีสิส นอนก็น้อย กิจกรรมอีกล้านแปด และด้วยความที่ไม่ชอบกินข้าว รากเหง้าแม่งเป็นฝรั่งมั้งเลยกินยากฉิบหาย บอกกินข้าวนี่เหมือนบอกไปตาย แต่พอเพื่อนมันชวนแดกเหล้านี่ไวนัก(แต่มีบางคนไวกว่า) แล้วก็สะสมมาเรื่อยๆจนร่างกายถึงจุดที่รับไม่ไหว เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ แล้วใครเดือดร้อน กูไงครับ ปรบมือให้พีระณัฐด้วย

     

    “นี่ยังไม่หายโกรธอีกเหรอเตี้ย”

     

     

    “โกรธไร๊ ใคร๊ ใครโกรธ ไม่มี๊ ใครจะไปกล้าโกรธภูมิละครับ” ผมปัดมือภูมิออกจากหัว แต่ก็ไม่ได้ปัดแรงหรอก คือรักเขาไง กลัวเขาเจ็บ เกิดภูมิตายไป แล้วผมจะไปหาใหม่ได้จากที่ไหน รุ่นนี้ไม่น่าจะมีของก็อปขายนะ เสิ่นเจิ้น แม่สาย โรงเกลือก็ไม่น่ามีของ

     

    “ขอโทษ” การขอโทษแล้วยิ้มกวนๆแบบนี้ ควรได้รับการอภัยโทษไหม ผมทำจมูกบานๆใส่ ภูมิหัวเราะในขณะที่ผมเอนหัวเอนตัวหลบมือยาวๆของมัน ทั้งพยายามปัดมืออีกข้างที่กำต้นคอผมออก สายน้ำเกลือจะพันคอกูล่ะ ทุกอย่างจะจบลงง่ายมากเพียงแค่ผมลุกออกจากเตียง เออแล้วทำไมไม่ทำ หรืออยากให้เขาจับให้เขาทัช เชี่ยทำไมกูดูสมยอม

     

     

    “ช่างเหอะ มึงพักผ่อนได้แล้ว กูจะไปเรียนแล้วเหมือนกัน”

     

    “พีม”

     

    จะตายห่านะแต่มือภูมินี่ยังไวดีฉิบหาย ผมกระโดดลงมายืนข้างเตียงแม่งลุกมาคว้าแขนกูทันเฉยเลย เราสมควรส่งภูมินทร์ไปคัดตัวเป็นนักกีฬาปิงปองทีมชาติในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งหน้า ประเทศไทยต้องได้เหรียญทองอย่างแน่นอน

     

     

    ผมก้มมองมือของภูมิ ไล่มองข้อมือกระทั่งแขน ไหล่ และจบลงที่ใบหน้าซีดเซียวนั่น ก่อนจะหันไปมองประตูห้องน้ำ เสียงโหยหวนของไอ้ปันทำให้เบาใจได้ว่ามันคงไม่เสนอหน้าออกมาตอนนี้ “ขอโทษ หายโกรธนะ นะครับ ต่อไปจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย…..อย่าถอนหายใจแบบนี้ดิพีม” น้ำเสียงโคตรจะรู้สึกผิดและสายตาอ้อนวอนของภูมิเหมือนแมนยูที่เกิดมาเพื่อเอาชนะทุกความรู้สึกของผม ซึ่งเทียบได้กับทีมเป็ดแดงทีมหอยแครงกากๆที่ตกเป็นฝ่ายแพ้อยู่ร่ำไป

     

     

    ถามว่าโกรธไหมที่มันไม่ใส่ใจสุขภาพตัวเองทั้งที่ผมเตือนบ่อยๆ ก็คงไม่ถึงกับโกรธ อธิบายไม่ถูกเหมือนกันมันก้ำกึ่งระหว่างเป็นห่วงกับกลัว ผมเคยเห็นตอนที่ภูมิมันเจ็บหนักๆมาแล้ว ภาพตอนนั้นยังติดตา

     

    ผมคิดเสมอว่าถ้ามันเป็นอะไรไปล่ะ ถ้าอาการมันแย่ ถ้ามันไม่หาย ผมจะทำยังไง ภูมิไม่ห่วงตัวเองแต่ภูมิน่าจะคิดถึงคนที่เป็นห่วงมันบ้าง ชีวิตผมน่ะอย่าให้ต้องมาข้องเกี่ยวกับโรงพยาบาลนักเลย ยิ่งมาเพราะภูมิ ผมยิ่งไม่ชอบ

     

     

    หลังจากทอดสายตามองมือของมันที่พยายามจะประสานนิ้วกับมือผมอยู่นาน ในที่สุดภูมิก็ทำสำเร็จทั้งที่ผมยืนถอนหายใจเฮือกๆ ถ้าตาเหลือกด้วยเตรียมเรียกหมอเลย กูน่าจะช็อค เฮ้อออออออออออ ผมแกล้งถอนหายใจถี่ๆให้ไอ้หล่อมันรู้ว่าแกล้งทำ นั่นแหละรอยยิ้มของมันถึงกลับมา คนอย่างกูนี่จะโกรธใครได้นานสักแค่ไหนกันวะ

     

     

    “เออๆไม่ได้โกรธ พอใจยัง” เหอะ ยิ้มแป้นเลยนะมึง ผมเดินเข้าไปใกล้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอน เพื่อให้มันได้จับมือแบบถนัดโดยไม่ต้องโน้มตัวมาหา

     

    “พอใจแล้วครับ พอใจมาก เราดีกันแล้วนะ แค่ตัวกูก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว อย่าให้ต้องเจ็บหัวใจเพราะถูกแฟนเมินเลยนะ”

     

     

    ……..เล่นวัดไหนล่ะคืนนี้ ไอ้ลิเกหลงโรง กู จะ- อ้วกกกกกกกก”

     

     

    ภูมิหัวเราะจนผมอยากจะเอาน้ำเกลือกรอกปาก มันผ่านช่วงเวลาเขินแล้วครับ ตอนนี้มีแค่คำว่าเอือมล้วนๆ ไม่รู้แม่งไปสรรหาคำพูดน่าอาเจียนแบบนี้มาจากไหนเยอะแยะ เวลาภูมิพูดอะไรทำนองนี้ทีไร ผมอยากจะตีลังกาสักสามตลบเข้าไปตบหัวมันให้หลุดจากบ่า ทำอย่างกับคนจีบกันใหม่ๆไปได้ ถึงแม้ผมจะแอบอายนิดนึง หน่อยเดียวจริงๆนะ ถ้าโกหกขอให้ไอ้คิวเป็นหมันเลยอ่ะ

     

     

    “ยัง ยังอีก ยังไม่สำนึกอีก เลิกยิ้มเรี่ยราดได้ล่ะ คิดว่าหล่อ?

     

    “สู้มึงไม่ได้หรอก”

     

    “พูดจาดี พูดอีกก็ถูกอีก ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายเนาะภูมิเนาะ”

     

     

    “จะโกหกกันไปถึงไหนนนนนนน แค่พูดว่าเธอรักใครก็ง่ายกว่า ชา ดิ ดัด ชัด ชา ดิ ดา ดิ๊ ดัด ชัด เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเดียวดาย เราต่างเกิดมาเพื่อเป็นเหตุผลของรอยยิ้มของใครสักคน เชื่อกู กูรู้ กูคิดมา”

     

     

    เพลงมึงมาถูกจังหวะมากและเนื้อหาก็โดนใจกูมากแต่สิ่งที่มึงกล่าวนั้นคือมึงคิดแล้วจริงๆใช่ไหมปัน

     

     

    นี่แหละครับชีวิตอันธรรมด๊าธรรมดาของผู้ชายธรรมดาๆที่มีแฟนโคตรจะธรรมดาแต่เพื่อนไม่ธรรมดา บางรายอาจจะเป็นแมงดาด้วยซ้ำเพราะเกาะเมียแดก(รักนะเว้ยกวินภพ)

     

     

    ผมก็ไปๆมาๆระหว่างโรงพยาลัยกับมหาวิทยาบาล เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ไม่ทันแล้ว ช่างมัน แด๊ดดี๊แอนท์ม๊ามี่ของน้องข้าวปั้นอยู่ต่างประเทศเลยไม่มีคนคอยอยู่ดูแล แม้จะมีพี่พยาบาลจ้างไว้พิเศษแต่คุณภูมินทร์ก็ยังต้องการให้กระผมมานอนเฝ้า ตอนกลางคืนน่ะไม่เป็นไร ปัญหามันเกิดตอนกลางวัน เพราะข้าน้อยมีเรียนไงต้องไปเรียนเป็นคนรักเรียน

     

     

    ทางออกของปัญหาก็คือว่า ไอ้เดอะแก๊งค์คนไหนที่ว่างมันต้องมาอยู่เวรดูแลภูมิสลับสับเปลี่ยนกันไป เมื่อคืนนี้ก็ยกโขยงกันมาทั้งกลุ่ม โรงพยาบาลแทบแตก กระทั่งคราวซวยของภูมิเวียนมาถึง บ่ายนี้จึงไม่มีใครว่างเลยนอกจาก…..ครับ อย่างที่เห็นครับ ไอ้ที่แหกปากอยู่ในห้องน้ำนั่นแหละ

     

     

    มันกำลังเตรียมตัวไปประกวดเดอะวอยซ์ ผมขออนุญาตขำและสับสนสักประเดี๋ยว  คนที่ไล่เสียงโดไม่ถึงเสียงฟาอย่างเชี่ยปันจะไปประกวดร้องเพลงครับพี่น้อง ไม่ใช่เดอะวอยซ์ไทยแลนด์นะแต่เป็นเดอะวอยซ์เพลินจิต ทั้งย่านนั้นบ้านมันส่งมันเข้าประกวดคนเดียว คุณพ่อไอ้ปันน่าจะได้รางวัลพ่อดีเด่น เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นบ้า ส่วนคุณแม่นี่น่าจะเข้าชิงสาขา สนับสนุนความบ้าของลูกอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

     

     

    ไอ้ปันมันยังเหมือนเดิมครับเหมือนเดิมทุกอย่าง เหตุการณ์บ้านเมืองสงบมันก็ออกไปเย้วๆ เดินขบวนในมหาลัย เรียกร้องสิทธิเด็กบ้าง ต่อต้านกฎหมายบางข้อบ้าง อภิปรายแนวคิดทางการเมืองบ้าง แต่พอประเทศเริ่มมีเรื่องมีราวมันก็อยู่เฉยๆ ถ้าโลกใบนี้หมุนตามเข็มนาฬิกา อดีตอุปนายกองค์การนักศึกษาก็พร้อมจะมุนทวนไปอีกด้านทันที

     

     

    คิดไปคิดมาผมควรจะฝากภูมิไว้กับมันดีไหมวะ ให้ภูมิอยู่คนเดียวน่าจะปลอดภัยกว่าไหม อย่างเมื่อเช้าผมปล่อยเชี่ยปันไว้กับภูมิ แล้วลงไปซื้อกาแฟข้างล่าง ซึ่งใช้เวลาไม่น่าจะถึงสิบห้านาที พอเปิดประตูเข้ามากูแทบหัวใจวายตาย

     

     

    ไอ้ปันกำลังเอาบางอย่างยัดใส่ปากภูมิ แรงคนป่วยจะไปสู้อะไรคนสติไม่ดีอย่างไอ้ปันได้ อีกอย่างตัวพวกมันก็ไม่ได้ต่างกันมาก นึกภาพตามนะครับ ขณะที่ไอ้ปันเอามือข้างหนึ่งกดไหล่ภูมิ อีกข้างก็ยัดของกินใส่ปากภูมิ พอผมเปิดประตูเข้าไปมันก็ค่อยๆหันมายิ้มเย็นๆให้อย่างช้าๆ ถ้าคุณริวอยู่แถวนี้ต้องสัมผัสได้ถึงความหวาดผวาของผม

     

     

    “พยาบาลบอกว่าให้ภูมิกินอาหารอ่อนๆ กูก็เลยป้อนมะพร้าวอ่อนให้กิน เพื่อนของปันจะได้หายไวๆ คึ อ้าปากสิภูมิ”

     

    คนที่อ้าปากไม่ใช่ภูมิครับแต่เป็นผม ที่อ้าค้างจนขากรรไกรล็อค เป็นการป้อนที่ล้ำมาก ล้ำกว่านี้ภูมิต้องตายคามือมันแน่ๆ

     

     

     

    และคืนเดียวกันที่ภูมิเข้าโรงพยาบาล ไอ้ฟ่างก็เข้าโรงพัก เหตุเพราะทะเลาะวิวาท บันเทิงมากครับชีวิตเพื่อนผม มันเล่าให้ฟังว่านั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ดีๆแล้วรู้สึกเหมือนมีคนมองหน้า ถ้าเป็นเราๆท่านๆคนสามัญปกติทั่วไปก็อาจจะไม่ถือสาใช่ไหมครับ หรือถ้านักเลงขึ้นมาหน่อยก็จะถามก่อนว่ามองทำไม ข้องใจอะไร(แบบที่ไอ้ภูมิก็เป็นบ่อย)

     

     

    แต่ฟ่าง ไม่ครับ ถามแล้วเสียเวลา มันเดินเข้าไปต่อยเลยเว้ย นี่ก็แดงไบเล่ไปอีกกกกก อันธพาลครองเมืองฉิบหาย ถ้าฟ่างมันเกิดในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง กูว่าไอ้นี่แหละตายก่อนเพื่อนเลย ถัดมาก็น่าจะเป็นไอ้ปัน พูดเรื่องไอ้ปันแล้วก็เสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง เลิกพูดครับ

     

     

    ส่วนคู่กรรมคู่เวรของไอ้ฟ่างก็ไม่ได้น้อยหน้า มีเรื่องเหมือนกัน คือเพื่อนผมแต่ละคนดูมีเรื่องมีราวเป็นของตัวเองกันหมดเลยว่ะ คงต้องรีบพาพวกมันไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ก่อนจะมีใครตายก่อนวัยยี่สิบห้า

     

     

    ทุกคนเข้าใจสันดานส่วนใหญ่ของมนุษย์เพศชายคณะวิศวะใช่ไหมครับ นอกจากเรื่องกินเหล้ากันเป็นล่ำเป็นสันจนน่าจับยัดลงหลักสูตรให้พวกมันเรียน ก็มีเรื่องชกต่อยทะเลาะวิวาทนี่แหละที่ขึ้นชื่อลือชาเหมือนยกมวยไทยเจ็ดสีมาตั้งหน้าคณะ ประมาณว่ากูตายได้แต่เพื่อนต้องรอด ใครทำเพื่อนกูเจ็บมึงต้องเจ็บกว่า ต่อให้ไม่มีจะแดกแต่ถ้าเพื่อนจะใช้เงินก็ต้องหามาให้ ฟีลจะประมาณนี้

     

     

    อย่างภูมินี่ตีหนึ่งตีสองนอนหลับแล้ว เพื่อนโทรมาบอกว่ามีเรื่อง มันไปเลยนะ ลุกไปทันที มีสักแปดพีมก็รั้งไว้ไม่ได้ และก็ไม่คิดจะรั้งด้วยเพราะมันไม่เคยฟัง โถ่ ชีวิตแฟน จริงๆก็ห่วงนะครับ ห่วงมากแต่ที่ไม่ห้ามเพราะผมต้องเว้นที่ไว้ให้เพื่อนมันด้วย ถึงจะเป็นแฟนกันแต่ผมไม่ใช่คนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิตภูมิ แค่ต้องสำคัญที่สุด หรือจริงๆแล้วกูกำลังสำคัญตัวผิดก็ไม่รู้ กร้ากกกก

     

     

    ผมก็แค่บอกว่าดูแลตัวเองดีๆ จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ นึกหน้ากูไม่ออกก็นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ไว้ แล้วรอมันกลับมา ครั้งไหนโชคดีก็จะเห็นหน้าใสๆเหมือนก่อนออกไป แต่ส่วนใหญ่จะกลับมาพร้อมรอยช้ำ ปากแตก คิ้วแตก มันออกไปทีไร อย่างเดียวที่ผมคิดอยู่ในหัวคือ “กูต้องหาแฟนใหม่สแตนบายไหมเผื่อมึงตาย”

     

     

    แต่กรณีของเชี่ยแทนนี่เหมือนเพื่อนมันหลุดมาจากกองทัพนาซี บางทีอาจจะเป็นนักรบสปาตันหรือเป็นลูกน้องเจงกิสข่านกลับชาติมาเกิดอันนี้ก็ไม่แน่ใจ ถึงมีเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน

     

     

    เมื่อเดือนที่แล้วนี่ก็มีประเด็น ไอ้แทนมันขับรถไปกับไอ้ดลเพื่อนวิศวะคอมมันนั่นแหละ ระหว่างที่รถติดไฟแดง ไอ้แทนดันตาดีเหลือบไปมองรถเปิดประทุนคันที่จอดข้างๆ เห็นผู้หญิงซึ่งเป็นแฟนของไอ้ดลกำลังอี๋อ๋ออยู่กับชายคนขับ เท่านั้นแหละครับ ไอ้แทนพุ่งออกจากรถลงไปลากไอ้ผู้ชายคนนั้นมากระทืบเลยทั้งที่พวกนั้นมีกันห้าคน แต่ป่านนี้ไอ้ห่านั่นฟื้นหรือยังก็ไม่รู้

     

    ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้กำลังตัดสินปัญหา มันเป็นวิธีที่ไร้อารยะธรรม นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นยังเป็นการเพิ่มระดับของปัญหา อีกอย่างผมเป็นคนฉลาดถนัดใช้ปัญญามากกว่าอันนี้ใครๆก็น่าจะทราบดี เลยอยากจะฝากทุกคนเอาไว้ว่าถ้ามีเรื่อง กรุณาอย่าตีกันกลางแยกไฟแดง รถมันติดครับไอ้ควาย

     

     

    เห็นความสามารถของคู่เวรอย่างแทนบุริกับฟ่างศุมาลินแล้ว คงไม่แปลกใจใช่ไหมว่าทำไมเวลาที่พวกมันทะเลาะกัน พวกผมถึงต้องรีบแจ้งกู้ภัยไว้ นี่เลยครับครั้งล่าสุดครับ มวยคู่เอกก็เพิ่งตีกัน ฟ่างนะเป็นฝ่ายตี ไม่บอกก็รู้ใช่ไหม คิดว่าเพื่อนผมจะกล้าไหมละครับ แทนมันไม่เคยลงไม้ลงมือกับฟ่างหรอก ตั้งแต่พวกมันคบกันมาเหมือนเพื่อนผมจะเคยตบหน้าฟ่างแค่ครั้งเดียว แต่ตอนนั้นไอ้ฟ่างแม่งก็ผิดจริงนั่นแหละ

     

     

    ส่วนที่ทะเลาะกันล่าสุดไม่มีการลงไม้ลงมือแต่ไอ้ฟ่างบินไปมองโกเลียเลยครับ เหยดแหม่เลยไหมสังคัง กูนึกว่ามหากาพย์ล่ารักสุดขอบฟ้า พระเจ้า ทะเลาะกันแล้วบินไปเมืองนอก แม่งเจ๋งว่ะ เฮ้ยแม่งไอดอล แบบว่าฮิปสเตอร์มาก ผมไปสืบมาเลยมาเล่าสู่กันฟัง คึคึ พีมรู้โลกต้องรู้ แต่บางทีโลกรู้กูเสือกไม่รู้ก็มี(ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องมีสาระ)

     

     

    มันทะเลาะกันครับแล้วไอ้ฟ่างโมโห ทีนี้ขับรถออกจากบ้าน จากนั้น….. เฮ้ยทำไมกูดูตื่นเต้นวะ นี่มันยิ่งกว่านักข่าวภาคสนามทำข่าวสงครามอีกนะ มันบอกว่าก็ขับไปเรื่อยๆ แล้วไปโผล่แถวสนามบินได้ไงไม่รู้ เลยกะจะจอดรถดูดบุหรี่ รับลมเย็นๆ มองเครื่องบินให้จิตใจสงบๆอยู่แถวนั้นสักพัก แต่พอรื้อหาไม้ขีด

     

    (ฟ่างใช้ไม้ขีดไฟตราพญานาคครับพี่น้องครับ มันบอกว่าคลาสสิกดี ชอบตอนที่จุดแล้วประกายไฟสว่างเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะค่อยๆดับไป กระทั่งหัวไม้ขีดเปลี่ยนจากสีแดงเป็นดำสนิท แล้วมันก็เก็บไว้ในกล่องเหมือนเดิม โอเค จุดนั้นกูเข้าไปไม่ถึงจริงๆ ข้ามไป)

     

     

    มันดันเห็นพาสปอร์ตติดมาในกระเป๋าด้วย ได้เรื่องเลยทีนี้ แม่งไปเลย ไปซื้อตั๋วขึ้นเครื่องบินเลย แล้วก็บินเฉยเลย ไอ้เชนถามว่าแล้วคิดไงถึงไปมองโกเลีย มันบอกไม่ได้คิด ยืนเสิร์ชหาประเทศไหนที่ไม่ต้องขอวีซ่าอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ประเทศอื่นเคยไปมาหมดแล้ว อันนี้ยังไม่เคย ก็เลยไป…..แม่มึงงงงงงงงง

     

    คนมีตังค์ทำไรก็ไม่น่าเกลียด เป็นกูนะคงไปได้ไกลสุดแค่แถววัดแขก จิตใจข้าวฟ่างยากแท้หยั่งถึง ข้าวฟ่างพ่อทุกสถาบันจะเป็นตำนาน ส่วนไอ้แทนเพื่อนผมก็ตรอมใจเพราะเป็นห่วงแฟน คนจะตายคือคนอยู่ไทย ไอ้ห่าแม่งร้องไห้กลัวเมียไม่กลับมา ชีวิตรักใครจะเกินกว่าไอ้แทนกับไอ้ฟ่างไปไม่มีอีกแล้วครับ ถ้าเชกสเปียร์ยังอยู่ก็น่าจะได้พล็อตวรรณกรรมอีกสักเรื่อง

     

    แล้วพอฟ่างกลับมา หวานกันยังไม่ทันข้ามสัปดาห์ แม่งตีกันอีกละ คราวนี้กูนึกว่าคนไฟบินตี๋เหรินเจี๋ย ไม่ก็อารมณ์แบบหนุมานเผากรุงลงกา นี่คือเวอร์ชั่นบ้านกลางกรุงหลังคาก็แทบไม่เหลือ อันนี้ผมก็อยู่ในเหตุการณ์เพราะไปทำงานที่บ้านไอ้คิว

     

    วันนั้นแทนมันไม่มีเรียน มันเลยเอาบัตรให้ฟ่างไปโอนค่ารองเท้าสตั๊ดห่าเหวไรสักอย่าง พอกลับมาถึงบ้านไอ้ฟ่างมันนึกไงไม่รู้ ถึงได้ถามถึงรหัสบัตรว่าท่านได้แต่ใดมา เพื่อนผมนี่ก็พาซื่อ มันบอกเป็นวันเกิดแฟนเก่า เท่านั้นแหละครับ เท่านั้นเลยครับคุณกิตติ ชาวบ้านบางระจันก็ได้เข้าสิงร่างไอ้ฟ่างทันที

     

    มันพังเรียบ หน้ากลองนี่ยังไม่เรียบเท่า เป็นโศกนาฏกรรมความรักที่พระลอกับพระเพื่อนพระแพงยังต้องหลั่งน้ำตา เชี่ยฟ่างงัดฝาโลงขุดมาด่าตั้งแต่เหล่ากง เหล่าม่า ตั๋วแปะ อาโกว อากู๋ของไอ้แทนเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆผมทั้งขำทั้งสงสาร ชะรอยชะตาเชี่ยแทนจะขาด บัตรก็มีตั้งหลายใบแม่งเสือกหยิบใบนั้นมาแล้วยังมีหน้าไปบอกเขาอีกนะว่าวันเกิดแฟนเก่า

     

    “ต้องรอให้พ่อมึงลั่นฆ้องก่อนเหรอถึงจะเปลี่ยนรหัสได้ ไอ้ควาย”

     

     

    นั่นคือวลีที่ได้ยินไกลไปถึงเทือกเขาอัลไต หลังจากวันนั้นได้ข่าวว่าปิดบัญชีเปิดบัญชีใหม่กันระนาว เดินเข้าเดินออกธนาคารเหมือนเข้าเซเว่น ฟ่างมันไม่ยอมให้เปลี่ยนรหัสครับ แม่งเล่นปิดแล้วเปิดใหม่หมดเลย ไอ้แทนมันมาปรับทุกข์ ผมเลยรู้ว่าพวกมันมีบัญชีคู่รักด้วยนะ กูอยากจะขำให้ไส้เลื่อน มีวางผงวางแผนอนาคต ก็นะ..ไม่ว่ากันครับมึง แต่ทางที่ดีเอาชีวิตในแต่ละวันให้รอดก่อนไหมแทน อนาคตมึงอาจจะพิกลพิการด้วยน้ำมือแฟนก็ได้

     

     

    แต่ผมไม่คิดไงว่าคนอย่างพวกมันจะมีความคิดอะไรแบบนี้ ทั้งที่ส่วนใหญ่ไอ้แทนจ่ายตลอด อะไรที่เอามาบูชาบรรณาการให้ฟ่างได้เพื่อนผมก็ทุ่มหมดล่ะครับ เข้าตำรามีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ เอาไปให้หมดทั้งตัวทั้งใจ มีที่กี่ไร่ขายมาเลี้ยงเมียแม่งให้หมด ฮ่าฮ่า

     

    แต่ฟ่างไม่ค่อยจะซื้ออะไรให้ไอ้แทนนะเท่าที่รู้ จะวันสำคัญวันพิเศษ หรือวันครบรอบก็อย่าฝันว่าไอ้แทนจะได้ของขวัญ แต่ถ้าพี่ฟ่างแกนึกคึกเมื่อไรอยากให้ตอนไหนก็ให้ เป็นของที่ทำเอง อย่างเพ้นท์เสื้อ เพ้นท์รองเท้า ถักสร้อยคอมือ อื่นๆอีกมากมายล้านแปด ห่าแทนชอบเอามาอวด น่าหมั่นไส้แม่ง

     

     

    อยากให้เห็นหน้ามันเวลาได้ของจากฟ่าง อย่างกับสลักคำว่าความสุขไว้กลางหน้าผาก ดีใจกว่าได้ของราคาแพงๆ ไอ้แทนถึงได้รักได้หลงข้าวฟ่างหัวปักหัวปำ พาไปเลิกที่ถ้ำกระบอกก็ไม่น่าจะหาย เพราะฟ่างได้ซึมสู่เส้นเลือดฝอยมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

     

    ส่วนอีกคู่………….แค่คิดจะพูดถึงกูก็หูอื้อตาลาย ไอ้คิวกับเชี่ยน้องเต้ยก็ยังคงรักษาคุณภาพมาตรฐานอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่มีเรื่องรุนแรงแต่เน้นความสม่ำเสมอ กัดกันวันละยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบไม่ขาดตกบกพร่อง คู่นี้นี่แยกไม่ออกว่าอันไหนหยอกเล่นๆอันไหนตีกันจริงๆเพราะมันเล่นกันรุนแรงมาก

     

     

    บางทีไอ้คิวตาเขียวไปมหาลัย ถามว่าเป็นอะไร บอกเล่นกับไอ้เต้ย นี่แค่เล่นๆกันนะครับ ถ้ามันสองคนทะเลาะกันขึ้นมา ผมว่าเราน่าจะต้องทำเรื่องขอเบิกอาวุธสงครามจากคลังแสงเตรียมไว้เลย น่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม รัสเซียกับอเมริกามึงรอเลือกข้างเลย

     

     

    ความต่างของฟ่างกับไอ้น้องเต้ยคือฟ่างมันยังฟังไอ้แทน ถ้าแทนมันเข้าโหมดจริงจังหรือชี้แนะชี้นำอะไรด้วยเหตุผล ฟ่างมันก็ฟัง แต่ไอ้เต้ยนี่…. หึ มึงพูดไปเถอะครับ พูดไปเลยยยย พูดให้ลูกกระเดือกโผล่ออกมาร้องเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทยมันก็ไม่ฟัง ถึงได้บอกว่าไอ้คิวมีกรรมหนักกว่าไอ้แทน ฮ่าๆ แต่คนที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่กว่าใครเพื่อนก็ข้าพเจ้านี่ไงครับ แฟนอยู่ในโอวาทปาฏิโมกข์มาก (กัดฟัน) ยังไม่ทันจะเรียนจบหรอกกูจะหนีไปออกบวช

     

     

    ผมกับภูมิก็ตามประสาคนอยู่ด้วยกัน ลิ้นกับฟันก็ธรรมดา ถ้าไม่ธรรมดาก็จะมีเหล็กมาเพิ่ม นั่นคือจัดฟัน ไป- ไปเล่นคนเดียวก็ได้ ส่วนใหญ่เรื่องที่เราทะเลาะกันมันคือเรื่องเล็กๆเด็กน้อยมาก จะเรียกว่าทะเลาะได้ไหมก็ไม่แน่ใจ เพราะเวลาเล่าให้ใครฟังสิ่งที่ฟาดหน้ากลับมาคือคำว่า “ไร้สาระ”

     

     

    อย่างบางครั้งผมต้องการที่จะกินอาหารเจแปนแดนปลาดิบแต่ภูมิเกิดอยากกินผัดไท บางทีผมอยากทำอะไรง่ายๆกินเองที่ห้อง แต่ภูมินึกจะกินล็อบสเตอร์ทอดกระเทียม พ่อมึง กูเลี้ยงไว้ที่ห้องมั้งกุ้งล็อบสเตอร์เนี่ย แล้วแม่งแพ้ด้วยไงประเด็น หรือบางทีผมอยากออกไปเดินชิวๆข้างนอก แต่มันอยากนอนอยู่ห้อง เออพอลองคิดดูแม่งก็ไร้สาระจริงๆแหละครับ ฮ่าฮ่า

     

     

    เอาล่ะครับฟังเรื่องเครียดๆสยองขวัญมานาน เราย้ายมาฝั่งบันเทิงเบาสมอง สมองเบากันบ้างครับ คงมีหลายคนที่แอบมีใจให้ไอ้มิคบ้างใช่ไหม ฮ่าฮ่า แต่ใครที่ชอบไอ้มิคอยู่บอกเลยว่าหวังสูงมากครับ มันไม่แลเหลียวหรอกปุถุชนคนธรรมดาเพราะว่ามันเป็นฮิปสเตอร์  

     

     

    ผมแทบอยากประกาศผ่านจส.ร้อยว่าเชี่ยมิคเพื่อนกูเป็นฮิปเตอร์  ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า  มันแม่งปั่นจักรยานมาเรียนทุกวันเว้ย จักรยานต้องเป็นแบบมีตะกร้าด้วยนะมีช่อดอกไม้ด้วย แถมต้องเอากล้องคล้องคอตลอดเวลาเพื่อความฮิป อีกไม่นานรถเมล์สายแปดจะสอยมันเข้าสักวัน เดี๊ยะๆ

     

    มิคมันเป็นฮิปสเตอร์ได้เพราะมีเชี่ยปันคอยเป็นเทรนเนอร์เหมือนอย่างเคย ดูจากเทรนเนอร์แล้วมันน่าจะออกไปทางฮิปปี้กับฮิปโปซะมากกว่า วันก่อนพวกมันจะไปซื้อแมวมาเลี้ยง ภูมิได้ยินมันคุยกันว่าพันธุ์ไหนอร่อยสุด ฮิปสเตอร์กินแมวด้วยครับมึง

     

     

    แต่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเลี้ยงพันธุ์อะไรเลยไปหากระบองเพชรมาปลูกพลางๆ ซึ่งถ้าผมเป็นกระบองเพชรต้นนั้นอาจจะกลั้นใจตายไปแล้วก็ได้ เพราะไอ้มิคเอาผ้าเจ็ดสีไปผูก ฮิปกันมันส์เลยมึงทีนี้ มีน้ำแดงกับหัวหมูด้วยนี่โคตรใช่ ฮ่าฮ่า งวดหน้าออกอะไรแทงเผื่อกูด้วยนะ

     

     

    คืออยากให้เข้าใจเพื่อนผมหน่อยนะครับ มิคมันไม่ได้บ้า ไม่ใช่คนขวางโลกแต่มันกำลังทำความเข้าใจทุกอย่างบนโลกด้วยการเอาตัวเองเข้าไปสู่สิ่งต่างๆ เพื่อพิสูจน์ให้หายข้องใจให้หายสงสัยกับกระแสสังคมที่เกิดขึ้น คือแม่งโคตรลงทุน แล้วแม่งก็จะกลับออกมาจากกระแสเหล่านั้นแบบมึนๆ เหมือนตอนที่อยากเป็นเกย์ อยากเต้นฮิปฮอป ตอนนี้อยากเป็นฮิปสเตอร์ อีกหน่อยน่าจะต้องหอบเสื่อไปนอนใต้ทางด่วนละ

     

     

    แถมก่อนหน้านี้ไอ้มิคยังอยากเป็นคุณชายอีกด้วย มันอยากลองมีเชื้อผู้ดี คนซวยก็ไม่ใช่ใคร ท่านชายเบียร์ของพวกเรานั่นเอง พวกผมอาจจะแค่รำคาญกับคำราชาศัพท์ผิดๆเพี้ยนๆของมัน แต่ไอ้เบียร์นี่แทบบวชล้างซวย

     

     

    ยืนยันคำเดิมครับ เพื่อนกูปกติดี ฮ่าๆๆๆๆๆ

     

     

    พูดถึงไอ้คุณชายมันก็ยังหล่อผู้ดียิ้มหวานอยู่เหมือนเดิม เมื่อคืนก็มานอนเฝ้าภูมิ คุยกันงุ้งงิ้งๆตามประสาคู่รัก ฮ่าๆ ว่าไปนั่น เบียร์มีแฟนแล้วครับ สาวสวยคณะเดียวกันแต่ต่างสถาบัน คนมีความรู้ก็ต้องคบคนมีความรู้และคู่ควรอ่ะเนอะ มันเคยพาแฟนมาให้พวกผมรู้จัก เรียกว่าไร้ที่ติเลยล่ะครับ เพื่อนแฮปปี้เราก็มีฟามสุขแล้ว เพราะไอ้เบียร์มันเคยพูดว่าถ้าแฟนเข้ากับเพื่อนไม่ได้มันก็ไม่คบ ไอ้เชนเลยแซวว่าเพื่อนคนไหน เพื่อนภูมิหรือเปล่า เชร้ดดดดด ผมก็กราบเลยครับ ฮ่าๆ

     

     

     

     

    พอครับ พอแล้ว พวกที่เหลือเอาไว้ทีหลัง พูดเรื่องคนอื่นมากมันไม่ดี และคงจะไม่ดีจริงๆเพราะระหว่างที่ผมขับรถกำลังจะถึงมหาลัยดันมีสายเข้า พอเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูนี่แทบปาทิ้ง ถ้าไม่ติดว่าแพงคือปาแล้ว ซวย ซวยแน่ๆ วันนี้ผมต้องซวยแน่ไอ้ฝ้ายโทรมา ไม่รู้หรอกว่ามันโทรมาทำไม แต่เท่าที่จำได้ผู้หญิงคนนี้โทรหาผมทีไรไม่เคยมีเรื่องดีสักครั้ง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่อยากรับสายนี้สักแค่ไหนก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องรับครับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆและ….

     

     

    “โหล เออ ว่าไงมึง” กัดฟันทำเสียงร่าเริงสวนทางกับจิตใจที่เต้นตุบตับลุ้นจนเยี่ยวเหนียว งานก็ยังไม่เสร็จ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน แฟนก็ป่วย อย่าเพิ่งมาซวยอะไรตอนนี้เลย

     

     

    (เหี้ยพีม มึงอยู่ไหน สัด พ่องเอ๊ย ซวยฉิบหาย)

     

     

    …………………..

     

     

    ติ๊ดดดดดดดดดดดดดด

     

     

    เอ่อ

     

     

    ประโยคนี้เลือกเซนเซอร์ไม่ถูกเลย เราจะไม่สามารถเข้าใจเลยว่าผู้พูด พูดว่าอะไรหากแบนคำหยาบ เราจะถอดความได้ว่า พีม-อยู่ไหน-เอ๊ย-หาย มันควรเป็นประโยคที่เอาไว้ทักทายไหมครับเพื่อน

     

    “ขับรถอยู่ จะถึงมอแล้ว มีไรวะ”

     

     

    (กูเป็นเมนส์)

     

    ????????

     

     

    มึง…..เป็นเมนส์ ?……แล้ว……คือ…..บอกกู?…..คือกูต้องรู้ไหม กูรู้แล้วต้องทำยังไงต่อไป แล้ว แล้วสรุปว่ากูจำเป็นต้องรู้ใช่ไหมว่ามึงเป็น….

     

     

    (มึงยังไม่เข้ามอใช่ป่ะ แวะซื้อผ้าอนามัยให้กูหน่อยดิ)

     

     

    “ฟัค” เหมือนฟ้าผ่าเลยครับ กูซื้อหวยกับไอ้คิวแม่งไม่แม่นแบบนี้วะ เชี่ยเอ๊ย ขอให้หูฝาดทีเถอะ

     

     

    (ฟัคหน้ามึงสิ กูโทรหามึงคนแรกเลยนะ เชี่ยคิวนี่จัญไรคงไม่รับโทรศัพท์กูแน่ๆ มึงสำเหนียกในความสำคัญที่กูมอบให้ซะบ้าง มันมาแบบไม่บอกกูเลย สัดหมา เปื้อนกางเกงในกูด้วย พ่อง แพงมากอ่ะตัวนี้ วิคตอเรียซีเคร็ทด้วย กูซื้อคอลเลคชั่นเดียวกับเจ๊แคนดิชเลยนะเว้ย มึงเข้าใจกูป่ะ)

     

     

    ไม่ กูไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจอะไรทั้งนั้น ไม่เข้าใจแม้กระทั่งว่าทำไมมึงกล้าพูดเรื่องแบบนี้ให้กูฟัง

     

     

    “มึง….กูเป็นผู้ชายนะ บางทีก็เกรงใจกูบ้าง ” ครับ คือต่อให้สนิทกันยังไงก็นะ ผมก็ผู้ชาย บางเรื่องของผู้หญิงก็เก็บๆไว้บ้างอย่าเถื่อนกับกูนักเลย

     

     

    (กูรู้แล้ว รู้ด้วยว่ามึงเป็นผู้ชายที่อยู่กินกับผู้ชายซึ่งกูหมายปอง เสือกคาบไปกินแบบเปรมๆด้วย จิ๊ พูดแล้วกูขึ้น หล่อๆที่แดกกันเองนี่ทำกูขึ้น กูควรมีที่ยืนในสังคมบ้าง ดูที่เหลือไว้ดิ๊ไอ้ปันงี้ ไอ้มิคงี้ แดกแล้วผื่นจะขึ้นคอกูไหม ไอ้เชนกูก็กลัวโรค เบียร์ก็คงไม่เอากูแน่ๆ แม่ง เร็วๆไปซื้อมา)

     

     

    “เชี่ย กูซื้อไม่เป็น มึงอยู่ไหนออกมาซื้อเองไม่ได้เหรอวะ ในมอไม่มีขายรึไง เดี๋ยวกูไปรับแล้วพาไปก็ได้”

     

     

    (ห่าพีม กูอยู่ในห้องน้ำโว้ย เพื่อนกูยังไม่ออกจากบ้านเลยสักคน อีคนที่อยู่หอก็ติดต่อไม่ได้ แล้วตอนนี้เลือดกูก็หลั่งเปรอะเปื้อนไหลหลากเป็นน้ำตกไทรโยคแล้วฟายยยย)

     

     

     

    สุดท้ายผมก็มายืนทำตัวลับๆล่อๆอยู่ในเซเว่นใกล้ๆมอ นี่จะมาซื้อผ้าอนามัยให้เพื่อนหรือจะมาส่งยาบ้าก็ไม่แน่ใจ ถ้าไอ้คิวรู้…….ผมคิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากยื่นมีดให้มัน แทงกูเถอะ อาจจะเจ็บน้อยกว่าโดนมันถากถาง

     

     

    ในเซเว่นตอนนี้มีนักศึกษาน้อยซะเมื่อไร ผมเดินวนจนครบสามรอบ นี่ถ้าจุดธูปจุดเทียนด้วยเอากูขึ้นเผาได้เลยนะ หลังจากแลซ้ายแลขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร ผมก็คว้าโทรศัพท์ออกมาโทรหาไอ้ฝ้าย สัด มือกูเย็น ตื่นเต้นกว่าตอนจะสารภาพรักกับภูมิอีก

     

     

    (มึงถึงแล้วเหรอ มึงเอาไปให้อีอุ๋มอิ๋มเอาเข้ามาให้กูในห้องน้ำเลย) เสียงฝ้ายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ซึ่งเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับผมมากครับ

     

     

    “เอ่อ คือ ….ยังว่ะ กูยังอยู่ในเซเว่นหน้ามออยู่เลย”

     

     

    (จั๊ดง่าว นี่มึงขี่ควายมาเรียนเหรอพีม ช้าสัด แล้วโทรมาไม) เฮ้ยนี่แม่งจะดาร์ค จะฮาร์ดคอร์ไปไหนวะ เปลี่ยนอารมณ์เร็วมาก เสียงมันเหวี่ยงมากครับ นี่เหรอที่เขาบอกว่าผู้หญิงตอนเป็นเมนส์เหมือนฮิตเลอร์ร่างอวตาร นี่มันร่างจริงฮิตเลอร์ชัดๆ

     

     

    “มึง…..คือ มันเยอะมาก มึงจะให้กูซื้อแบบไหน”  ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ใกล้ชิดกับสิ่งที่เรียกว่าผ้าอนามัย ก่อนหน้านี้ผมแทบไม่รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่บนโลก ไม่ได้สนใจไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งวันนี้ คือ…….ทำไมมันเยอะขนาดนี้วะ มึงผลิตออกมาอะไรนักหนา

     

     

    (โอ้ยยยยยยยยยย แบบไหนก็ซื้อๆมาเถอะ เอาที่มันอุดเลือดกูได้เนี่ย แบบกลางวัน มีปีก แนวซึมซับรอบด้าน ระบายอากาศ ขอบปกป้องด้วยนะ เอาที่ยาวๆ ไม่ต้องเอาอันที่มีกลิ่น เคนะ)

     

    เหี้ย

     

    ไหม

     

    ล่ะ

     

    กู

     

     

     

    ผมยืนเอ๋อแดกอยู่ประมาณสามนาที ความลายตาและตาลายก็เข้ามาสวัสดี อะ อะไรคือปีกวะ แล้วนี่จะมีหางกับเขาโผล่มาไหม หรือเขามันงอกอยู่บนหัวกูแล้ว ยาวนี่ยาวเท่าไร ซึมซับอะไร มีความหนาแล้วมีตื้นลึกไหม มันมีแบบมีกลิ่นด้วยเหรอวะ เชี่ยแม่ง เทคโนโลยีนี้ช่างน่าทึ่งซะยิ่งกว่าเขาจะส่งคนไปอยู่ดาวอังคาร ว่าแต่ใครแม่งจะจังไรไปดมวะ

     

     

    “กู กูไม่เก็ทว่ะ เดี๋ยวถ่ายรูปส่งไลน์ไปให้ แล้วมึงค่อยบอกกูว่าเอาอันไหน เกิดซื้อไปไม่ถูกใจมึงก็ด่ากูอีก”

     

    ระหว่างนั้นมือสั่นๆเหมือนเป็นพาร์กินสันของผมก็ค่อยๆหยิบไอ้ห่อนิ่มๆนั้นมาถือ พยายามเพ่งอ่านหาคุณสมบัติตามที่เพื่อนบอก สะ สี่สิบสองเซน พ่อมึง!!! นี่พาดไปถึงท้ายทอยเลยไหม ถ้าจะยาวขนาดนี้เอาผ้าอ้อมเด็กพันๆแล้วยัดเลยไม่ได้รึไง ขอบคุณสวรรค์ที่พีระณัฐไม่มีเมีย แค่นี้กูก็เพลียแล้ว

     

     

    (โอ้ยยยยยยย มึงจะพิธีรีตองอะไรนักหนา หยิบได้อันไหนมึงก็เอาอันนั้นแหละมา มัวแต่ส่งรูปอยู่ มดลูกกูออกมาเต้นกาโวกาโวพอดี แม่ง เอางี้ มึงไม่ได้ผ้าอนามัยไม่เป็นไร แต่ช่วยไปซื้อพอนสแตนให้กูด้วย ด่วนๆ ก่อนที่กูจะปวดท้อง แล้วตายเป็นผีเฝ้าห้องน้ำเหมือนอีเมอร์เทิลจอมคร่ำครวญ)

     

    “พอนอะไรนะ” พอนเดอริง พังพอน

     

    (พอนสแต๊น!!! แค่นี้นะ เร็วๆ)

     

     

    พะ พอน สแตน คือเหี้ยอะไรอีกวะ

     

     

    เรียนมาสี่ปียังไม่เหนื่อยเท่าซื้อผ้าอนามัยให้เพื่อนเมื่อสี่นาทีที่แล้วเลย

     

     

     

    “ทำไมมึงโง่ขนาดนี้ห๊ะพีม ไม่น่าเชื่อว่าโง่ๆแบบมึงจะได้ภูมิไปทำแฟน” แกทเชื่อมโยงคงได้เต็มสินะมึง แต่ปีของผมยังไม่มีสอบ เพราะฉะนั้นคงเป็นความปากไวของมันแล้วล่ะครับ “กูว่ากูบอกละเอียดแล้วนะ ยี่ห้อนี้ใส่แล้วขัดๆไงไม่รู้ กูไม่ชินเลยเนี่ย”

     

     

    บอกแล้วไงว่าไม่ต้องอธิบายก็ได้ สงสารกูบ้าง พอผมซื้อมาให้และมันเอาไปใช้ ฝ้ายก็บ่นใหญ่เลยครับ ไม่ฝ้าย มันไม่ใช่แบบนี้ ตอนนั้นมึงบอกกูว่าอะไรก็ได้ซื้อมาเถอะ คำขอบคุณไม่มีสักคำ แถมยังมาด่าซ้ำอีก

     

     

    กูไม่เคยใช้นี่หว่า เมียก็ไม่เคยมี มึงรู้ไหมกว่ากูจะทำใจ เอาไปจ่ายเงินได้นี่กูต้องใช้แรงใจแรงกายแค่ไหน พนักงานเซเว่นมองกูด้วยสายตายังไงมึงรู้หรือเปล่า มือกูยังเย็นไม่หายเลย ผมก็ได้แต่บ่นในใจ ถ้าพูดออกไปเดี๋ยวมันสวนกลับ พอบ่นจนหนำใจมันก็ดึงแก้มผมแรงๆแล้วสะบัดหน้าเดินจากไป

     

     

    เอ้อออออออออออออออออออออ ดีว่ะ มีเพื่อนแบบนี้ เฮ้ยแม่งดี

     

     

     

     

     

     

     

     

    *********************

     

     

     

     

    “แคระ มึงมีไรแดกมั่ง”

     

     

    “หน้ากูดูเหมือนตลาดน้ำดำเนินสะดวกเหรอ หิวก็นู่นเซเว่น”

     

    “เอ๊า ไอ้ห่านี่ กูถามดีๆ” ไอ้คิวโยนกระบอกซูม โยนเฟรม โยนกระเป๋า โยนทุกอย่างลงบนโต๊ะ ผมกำลังรอดูว่ามันจะโยนกล้องด้วยไหม มันไม่โยนแต่อันเชิญตัวเองตามขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ คือเชี่ยนี่เป็นไรต้องนั่งสูงๆ เวลายืนกูก็ต้องเงยหน้าคุย ตอนนั่งกูก็ขอคุยในระนาบปกติบ้างเห้อออ

     

     

    เวลาโพล้เพล้ยามเย็นแบบนี้ถ้าเป็นคณะอื่นคงจะเงียบ แต่คณะผมนี่คึกคักมาก สี่ห้าทุ่มพวกไอ้เต้ยยังใส่ผ้ากันเปื้อนหอบดินเหนียว แบกปูนเข้าออกโรงปั้นกันอยู่เลย บางทีกูนึกว่ามันไปฆ่าใครมาเพราะพวกมันอุ้มรูปปั้นหัวคน บางทีมีแค่ขากับแขน หลังๆมานี่ไอ้เต้ยจะแดกดินเหนียวแทนข้าวล่ะ

     

     

    บางวันผมก็อยู่เขียนงานถึงตีหนึ่งตีสอง แต่วันนี้มันเงียบกว่าปกติเพราะเพื่อนผมไปฉลองที่บ้านไอ้หนึ่ง เนื่องในโอกาสที่มันซื้อแปรงทาสีใหม่ เหี้ยไหมล่ะ คือแม่งอยากแดกนี่แหละเลยหาเรื่องอ้าง วันก่อนก็บอกฉลองไอ้โป้งทำไส้ดินสอหัก เมื่อวานก็ฉลองไอ้โจอาบน้ำในรอบสัปดาห์ เออนี่ค่อยน่าฉลองหน่อย กลิ่นสาบไอ้โจนี่คงสาปกันข้ามภพข้ามชาติ สาบชนิดที่ว่าน้ำหอมชาแนล อามานี่ห่าเหวอะไรก็ล้างคำสาปไม่ได้ แต่เป็ดโปรนี่อาจจะได้

     

     

    ส่วนผมกับไอ้คิวยังไม่ไปไหนเพราะยังทำงานไม่เสร็จ ไอ้พวกที่ไปนี่ก็ไม่ใช่ว่าเสร็จนะครับ อยากไปมันก็ไปปป ไปเรื่อยๆ งี้แหละครับหนุ่มจิตรกรรมเป็นผู้ชายง่ายๆ สบายๆ รับรองว่าคบแล้วไม่เครียด ชีวิตจะออกแนวงงมากกว่า งงไปเรื่อยๆ งงตั้งแต่เริ่มคุย เป็นแฟนกันแบบงงๆ เลิกกันก็ยังงงๆ นี่ก็งงอยู่ว่าถูกแฟนทิ้งแล้วใช่ไหม

     

     

     

    ตั้งแต่แม่งออกจากโรงพยาบาลมาเป็นอาทิตย์ ยังไม่เคยได้กินข้าวด้วยกันถึงสามครั้งเลย เมื่อกี้ภูมิเพิ่งโทรมาบอกว่าจะอยู่ประชุมเตรียมค่ายวิศวะกับเพื่อนที่คณะ ให้ผมกลับเลยไม่ต้องรอ ใหม่ๆมึงร้ากกกกูแค่ไหนกูจำได้หมดทุกอย่าง แรกๆอะไรก็หวาน……เมื่อก่อนมารับมาส่งเช้าถึงเย็นถึง เดี๋ยวนี้ รถก็ขับเป็นนี่ กลับเองนะ ฮ่า อันหลังนี่เติมเองครับ ไอ้โหดแห้งนั่นโทรมาเช็คผมถี่ยิบว่าถึงห้องหรือยัง

     

     

    “แล้วกูตอบไม่ดีตรงไหน แถมมีคำแนะนำให้ด้วย ดีกว่ากูก็บรรลุโสดาบันแล้วคิวเพื่อนรัก”

     

    “รักตีนกูนี่ เคยนั่งอยู่ดีๆแล้ววูบ รู้สึกตัวอีกทีเหมือนมีสำลีอุดรูจมูกสองข้างไหม” ผมหัวเราะไม่ตอบโต้ โยนแซนวิชที่เหมือนผ่านสงครามเวียดนามไปให้ไอ้คิว มันรีบวางกล้องแล้วตะครุบ ตามันเป็นประกายเหมือนหมาเห็นขี้เลย “กูจะรอดใช่ไหมแคระ ลำไส้กูจะไม่ละสังขารใช่ไหม มึงเอาตีนเหยียบก่อนเอามาให้กูป่ะวะ” ไอ้คิวถามขณะที่แซนวิชเต็มปาก

     

     

    “มีให้แดกก็แดกๆไปเหอะ เขากินกระดาษเขายังไม่ตายเลย” เคยเล่นมุขนี้กับภูมิ มันสวนกลับ กระดาษยี่ห้ออะไร กูนี่แทบขอเลิกครับ มันเป็นมุขไงหล่อ ทำไมหล่อต้องจริงจังกับคำพูดเราทุกเรื่องด้วย

     

     

    “หึ คืนนี้กูคงได้แดกจนขี้ออกมาเป็นเยื่อกระดาษ  รอบหน้าถ้าจารย์ชอมยังสั่งงานแบบนี้อีก กูว่าจะเผาถ่านขายล่ะไอ้เหี้ย”

     

     

    ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า คือไอ้งานล่าสุดเนี่ยต้องวาดภาพด้วยผงคาร์บอนหรือผงถ่านนี่แหละครับ ไม่รู้อาจารย์ชอมแกมาอารมณ์ไหน เพิ่งสั่งเมื่อเช้าแต่จะเอาพรุ่งนี้ คือมันก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแค่บางคนอาจจะไม่ถนัด อย่างไอ้คิวมันชอบสีอะคริลิคมากกว่า

     

     

    ส่วนผมไม่ได้ชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษเพราะการเขียนรูปแต่ละเทคนิคมันมีเสน่ห์ในแบบของมันต่างกันไป ถ้าทำได้ดีหน่อยน่าจะเป็นสีน้ำมัน  ไอ้คิวนี่แม่งบ่นมาตั้งแต่เริ่มสเก็ตจนจะเสร็จ เมื่อเช้าพวกไอ้โจไปขนไม้มาจากไหนไม่รู้ มันบอกจะเอามาเผาถ่านผลิตเกรยอง ถ้าเหลือก็จะทำถ่านอัดแท่งขายน่าจะมีรายได้มากกว่าเป็นศิลปิน ดีนะไฟไม่ไหม้คณะ

     

     

     

    ผมมองไอ้คิวที่กำลังคาบแซนวิชส่วนอีกมือกำลังไถโทรศัพท์ยิกๆ คงโทรตามไอ้เด็กตี๋นั่นละมั้ง “อยู่ไหนเต้ย…..” แม่นกว่าผมก็หมอช้างอ่ะครับ ไอ้คิวยื่นกล้องตัวเก่งของมันมาให้ผมดูรูปที่มันไปรับจ๊อบเมื่อวาน เป็นงานซ้อมรับปริญญา ส่วนมันกำลังกัดแซนวิชไป คุยโทรศัพท์กับแฟนจิตวิปลาสของมันไป แถมชี้มาที่ขวดน้ำ ผมก็ต้องเปิดให้มันกิน ถ้าจะใช้ขนาดนี้ก็น่าจะจ่ายเงินเดือนกูนะไอ้เวร

     

     

     

    “ไปทำส้นตีนไรที่เขาดิน เยี่ยมญาติเหรอ ฮ่าฮ่า แค่กๆ แคระเอาน้ำมา เร็วๆ มึงจะรำถวายกูก่อนเหรอ แม่งช้าฉิบหาย….เออ ได้ยินๆ แต่มึงเลิกกระซิบใส่โทรศัพท์ได้แล้ว เป็นลิ้นเปลี้ยรึไง…….ไอ้เด็กเวรแล้วนี่ไปกับใคร…..กลับกี่โมง…..ไปยังไง…..ให้ไปรับไหม……กูกราบล่ะเต้ย เลิกกระซิบ……. สิงโตแอบฟังพ่อมึงสิ มันจะแอบฟังมึงทำไม……โอยยยยยยยย………ถ้ากูบอกว่าคิดถึงมึงก็จะคุยแบบคนปกติใช่ไหม…..โอเค คิดถึง”

     

     

     

    ไอ้คิวพูดคำว่าคิดถึงในขณะที่หน้ามันเหมือนถูกบังคับให้รับสารภาพผิดในสิ่งที่ไม่ได้ก่อ “คิดถึง…..มาก….” เริ่มกัดฟันพูดแล้วครับ ฮ่าฮ่า “อยู่คณะ….อยู่กับผู้ชายที่สูงชะลูดที่สุดในแผ่นดินสยาม หึ” มันเหลือบมามองผมพร้อมรอยยิ้มเลวๆ ผมเลยชูนิ้วกลางกลับไปแบบดีๆ

     

     

    “เออ อย่ากลับดึกล่ะ……เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปรับที่บ้าน…. คืนนี้ไม่โทรหานะ จะทำงาน….. เออ…… เอ้ออออ มึงนั่งทับเส้นเสียงตัวเองหรอสัส ……….จะไปปี้กับแมวน้ำที่ไหนก็ไปเลยไปแม่ง” แล้วมันก็กดตัดสาย “เหมือนกูคุยกับคนเจาะหลอดลมเลยไอ้เหี้ย  เสียงอย่างกับไก่งวง แล้วเขาดินนี่มันยังมีสิงโตรอดชีวิตอยู่อีกเหรอวะ กูนึกว่าตายห่าไปหมดแล้ว ไอ้เต้ยคงไม่ได้เห็นม้าลายเป็นสิงโตนะ วันก่อนกูพาไปกินก๋วยจั๊บเสือกไปสั่งยำถั่วพู กูอายคนฉิบหาย”

     

     

    “ฮ่าฮ่า ยังไม่ชินเหรอวะ กูว่ามีแฟนแบบไอ้เต้ยก็ออกจะดี ใครๆก็อิจฉา”

     

     

    “ไหน กูขอดูหน้าคนที่มันอิจฉากูหน่อยดิ ห่า นี่กูเริ่มคิดแล้วว่าช่วงที่ตกลงคบกันเป็นช่วงที่กูดวงตกหรือเปล่า”

     

    “เอาน่า ชีวิตมีสีสันไงมึง”

     

    “กูอยากมีชีวิตสีโมโนโทนบ้างเห้ออออออ แม่งบอกว่าสิงโตแอบฟังมันคุยโทรศัพท์ บ้า นี่กูคบคนบ้าอยู่ป่ะวะ”

     

    “นี่มึงเพิ่งรู้? แล้วไอ้เต้ยมันไปทำไรที่เขาดินวะ” ผมถามขณะที่กดดูรูปเรื่อยๆ ไอ้คิวก็ยังฝีมือดีเหมือนเคย

     

    “สักเรื่องไหมแคระ”

     

    “อะไร”

     

    “ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหม แล้วนี่มึงกลับไง ทาสรักผู้ภักดีไม่มารับเหรอวะ”

     

     

    “คนไหนล่ะ” ผมยกคิ้ว

     

     

    “เหยดดดดดดดดดด อยากอัดเสียงไปเปิดให้ไอ้ภูมิฟัง เก๋าฉิบหายเพื่อนกู ว่าแต่เชี่ยคลื่นหน้าหยกมันหายหัวไปไหนวะ แม่งไม่ค่อยเจอหรือแอบไปมีลูกมีเมียแล้ว มึงคุยกับมันบ้างป่ะ”

     

     

    “สักเรื่องไหมคิว”

     

     

    “หลายเรื่องก็ได้กูชอบเสือก เอาดีๆมึงยังคุยกับมันไหม”

     

     

    “ก็คุย มันทักไลน์มากูก็คุย ปกติ”

     

    “ไอ้ภูมิรู้?

     

    “รู้ดิ บางทีมันยังเอาไปคุยแทนกูเลย”

     

    “เออ เชี่ยหล่อนี่แม่งก็ใจกว้างดีว่ะ”

     

    “แน่น๊อน นี่ใคร นี่กูครับ เรื่องแค่นี้พี่จัดการได้ ทำไม ถ้าเป็นมึงจะไม่ให้ไอ้เต้ยคุยเหรอ”

     

    “เฮอะ กูไม่น้ำเน่าเหมือนพวกมึงหรอกแคระ โตๆกันแล้วจะมาหึงมาหวงมันไม่ใช่ แม่งไร้สาระ”

     

    “เหรออออออออคิว จริงดิคิว ”

     

    สาดดด ได้ข่าวว่าตามเป็นเงาเลยเหอะเวลาไอ้เต้ยออกไปไถบอร์ดใกล้ๆสนามบอลที่ไอ้หมอกริชเตะอยู่ ทำเป็นปากดี ถุย มันอมยิ้มยักคิ้วชวนให้เอานิ้วตีนไปสะกิดเปลือกตามาก

     

     

    ผมลืมเล่าอะไรให้ฟัง ก่อนหน้าที่ภูมิจะเข้าโรงพยาบาลไอ้เต้ยก็เพิ่งออก กรณีนี้ผมไม่อยากจะพูดถึงเลยครับ เพราะแม่งอุบาทมาก ไอ้เต้ยมันเมา ไปกินเหล้ากับเพื่อนมันนั่นแหละ แล้วโง่ไง ผมจะขำก็ไม่กล้าจะสงสารก็ไม่เต็มร้อย ไอ้เด็กตี๋นั่นมันตกต้นไม้ เพื่อนกูน้องกูแต่ละคนจะกากไปไหน เชี่ยเมาแล้วปีนต้นไม้ บุญหัวเท่าไรที่ไม่เป็นไรมาก ไอ้คิวด่าจนน่าจะรวบรวมคำด่ามาทำสารานุกรมฉบับย่อได้

     

    แต่ไอ้เต้ยมันก็ไม่ได้สลดหรอกครับ ยังมีหน้ามาบอกว่าตอนนั้นรู้สึกเหมือนองค์กระรอกเข้าสิง ไอ้เชี่ยยยยยยยน้องเต้ย กระรอกพ่อมึงสิ มึงเมามึงบ้ามึงไม่ได้มีองค์อะไรทั้งนั้นเข้าใจไหม ถ้าผมเป็นไอ้คิวนะจะนั่งร้องไห้ตรงนั้นเลย หรือที่ไอ้เต้ยมันไปเขาดินวันนี้เพราะไปตามหาองค์กระรอกที่สิงมันวันนั้นหรือเปล่าวะ

     

     

     

    “แล้วนี่มึงจะกลับเลยเหรอ” ผมยื่นกล้องคืนไอ้คิวเพราะเห็นมันเริ่มเก็บของ

     

    “เออ กูจะรีบไปแดกกระดาษเล่น เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีงานส่ง คงได้แดกถ่านเวรตะไลนี่แทนข้าว เกลียดแม่งฉิบหาย แล้วมึงเสร็จยังวะ”

     

     

    “ระดับนี้ล่ะ ยังว่ะ ฮ่าๆๆ กูว่าจะไปบ้านไอ้หนึ่ง มึงสนไหม”

     

     

    มันมองหน้าผมเหยียดๆ เท้าแขนไปด้านหลังขณะที่มองตามสาวๆคณะแพทย์กลุ่มใหญ่ซึ่งกำลังเดินผ่านไป เหมือนลูกตาดำมันหลุดติดเสื้อกราวด์เขาไปด้วยแล้วมั้งนั่น

     

     

    “สน”

     

    “ไอ้ห่า สนใจจะไปกับกูหรือสนใจสาววะ แต่คนนั้นน่ารักดีเนอะมึงเนอะ” และแล้วผมก็น้ำลายไหลตามไอ้คิวไปอีกคน ขอบคุณที่ผ่านมาให้เห็นเป็นบุญตานะครับ แต่น่าเสียดายที่แม้แต่หางตาเขายังไม่มองมาทางพวกผมเลย เห็นผมยาวๆหนวดเครารุงรัง ไม่ค่อยมีตัง แต่พวกผมก็มีหัวใจนะเฟร้ยยยยย

     

     

    “เอ้า มองๆ เจียมบอดี้บ้างนะบางคน ถ้ารู้ตัวว่าแฟนดุก็เจียมบอดี้ด้วยครับ รีบกลับรังรักมึงไปได้แล้ว อย่าสาระแนไปไหน เดี๋ยวเงาหัวมึงจะไม่เหลือ ชีวิตสั้นศิลปะยืนยาวฉันใด คนขาสั้นก็ย่อมเรียนศิลปะได้ฉันนั้น กูไปล่ะ ไอ้ตะเรี่ยยยยยยยยยยยยย”

     

     

    ไอ้หะเรี่ยยยยยยยยยยยยยย

     

     

    ด่าแล้วรีบชิ่ง สันดานมาก แม่งเอ๊ย กูน่าจะทุบกล้องมันให้แตกนะเมื่อกี้ ไหนๆมันก็ไปแล้วผมมีเรื่องไอ้สารชั่วคิวจะเล่าให้ฟังแก้แค้นที่มันกล้าด่าแล้วหนี ช่วงนี้ไอ้พี่ดินสอคนจังไรของแผ่นดิน มันเข้าพรรษาจำศีลงดเครื่องดื่มมึนเมาและแอลกอฮอล์ทุกชนิด ถึงขั้นที่ว่าจะล้างแผลยังไม่เช็ดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเลยครับคิดดู ฮ่าๆ กวนตีนไหมล่ะ ผมนี่กวนตีนไหม

     

     

    สาเหตุก็เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้มันไปกินเหล้ากับพวกพี่ๆที่วาดรูปด้วยกัน  แล้วขากลับเกิดอยากจะลองเปลี่ยนคณะไปเรียนโยธาด้วยการเอาหนังหน้าไปแนบกับถนนลาดยางมะตอย เคราะห์ดีว่าไม่ได้ขับเร็วและตอนนั้นไม่มีรถสวนมา ไม่งั้นละมึงเอ๊ย คงเหลือแค่ชื่อ เมาแล้วขับก็แบบนี้แหละครับ

     

    พี่ที่ซ้อนมาด้วยกันยังพอมีสติ เลยโทรหาไอ้เต้ย ตอนนั้นเที่ยงคืนแล้วไอ้เด็กตี๋ยังซ้อมพรีเซ็นโปรเจคกับเพื่อนที่คณะอยู่เลย แต่มันก็ทิ้งทุกอย่างยืมเวสป้าเพื่อนรีบออกไปหา และคงจะถึงคราวซวย เต้ยมันไม่ได้นอนมาทั้งเดือน ไหนจะรีบ ไหนจะตกใจ สติมันก็คงไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไร เลยเสยฟุตบาทไปอีกคน แต่ที่ผมโมโหคือน้องมันโทรมาหาบอกว่าให้ไปดูพี่คิวหน่อย พี่คิวเกิดอุบัติเหตุ คือเสียงไอ้เต้ยตอนนั้นโคตรน่าสงสาร มันไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด

     

     

    ผมบอกว่าจะรีบออกไปหาไอ้คิว แล้วเดี๋ยวจะให้ภูมิออกไปดูไอ้เต้ย มันยังบอกอีกว่าไม่ต้องห่วงมัน มันไม่ได้เป็นไรมาก ให้รีบไปช่วยไอ้คิว มารู้ทีหลังว่าไม่เป็นไรของไอ้เต้ยคือช้ำไปทั้งตัว คิ้วแตก เข่าถลอก ศอกแตก เย็บไปหลายเข็ม เจ็บหนักกว่าไอ้คิวอีกแต่ยังดีที่ไม่มีส่วนไหนหัก

     

    เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เห็นไอ้คิวร้องไห้ มันทั้งกอดทั้งขอโทษไอ้เต้ย ภาพนั้นคงอธิบายได้ว่าความรักที่อาจจะไม่ค่อยมีความหวาน  รูปแบบความรักที่บิดๆเพี้ยนๆไปสักหน่อย แต่ก็คงไม่ได้น้อยไปกว่าใคร

     

     

     

     

    *************************

     

     

     

     

    “ภูมิ --- มึง….เคยคิดอยากมีลูกป่ะ”

     

    พรวดดดดดด

     

    “ไอ้ภูมิมมมมม เชี่ย พ่นใส่หน้ากู แม่งเอ๊ยยยยย”

     

    “แค่ก แค่ก เฮ้ย ขอโทษ ฮ่ะฮ่าฮ่า โทษๆ” คำขอโทษแบบตอแหลมาพร้อมเสียงหัวเราะที่ไม่น่าให้อภัย

     

    เวลาเกือบเที่ยงคืนแต่ผมกับภูมิยังคงไม่หลับไม่นอน วันนี้มีบอลเลยต้องโต้รุ่งกันหน่อย ตอนแรกไอ้แห้งนี่หลับไปแล้ว มันคงตื่นเพราะได้ยินเสียงผมแหกปากตอนทีมเทพทำประตูได้ทั้งที่ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที ภูมิเดินสะลึมสะลือออกมาจากห้องนอนและนั่งดูเป็นเพื่อน

     

    ผมนอนกินขนมกระดิกเท้าบนโซฟาเบดสีดำ ภูมินั่งดูดนมหมีของมันอยู่ข้างๆ แล้วแม่งพ่นใส่หน้าผมอ่ะเมื่อกี้ มันทั้งขำทั้งลุกไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดแก้มให้ แม่งมีน้ำลายปนมาด้วยแหงๆ แหวะ รังเกียจ ถึงตอนจูบกันมันจะมีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ภูมิมันมาพ่นใส่หน้านะครับ พีมรักความสะอาด ต้องเข้าใจพีมด้วย เค๊

     

     

    “ขอโทษ กูตกใจก็อยู่ดีๆ มึงเล่นถามอะไรแปลกๆ” ภูมิยังไอและหัวเราะไม่หยุด ขณะที่ใช้หลังมือเกลี่ยแก้มผม ตกลงจะเช็ดหรือหลอกจับแก้มกู เอาดีๆ เช็ดนานไปล่ะ นมหรือกาวร้อนวะมึง

     

     

    “แปลกตรงไหน ใครๆก็ต้องคิดเรื่องอยากจะมีลูกกันทั้งนั้น” ใช่ไหมละครับ คนเราพอเริ่มโตมาหน่อยก็ต้องเคยคิดเรื่องครอบครัว คู่ครอง หรือเรื่องมีลูกกันทุกคนอ่ะเนอะ ไม่ว่ามีความรักในรูปแบบไหนเราก็ต้องเคยจินตนาการถึงบ้างละวะ

     

    ผมเบนสายตาจากจอเพราะเป็นช่วงเวลาพักครึ่งแรก ผมก็แค่สงสัยพอดีเห็นลูกฟุตบอลเลยนึกถึงลูก เป็นการเชื่อมโยงที่จัญไรมาก ก็อยากรู้ไงว่าถ้าเกิดภูมิคบกับผู้หญิง มันจะเคยคิดเรื่องนี้บ้างไหม

     

    “แต่มึงไม่มีมดลูก”

     

    “ไอ้เหี้ย กูรู้แล้วโว้ย สมองกูแยกแยะโครโมโซมตัวเองได้”

     

    “โห มึงรู้จักโครโมโซมด้วย” สายตากับรอยยิ้มไอ้ภูมินี่หน้าเอารองเท้าฟาดมาก แถมมันยังพยายามจะลวนลามแก้มผมอีกต่างหาก พอผมกลิ้งหนี เชี่ยนี่ก็ตามขึ้นมานอนด้วย แล้วโซฟามันจะมีพื้นที่ให้หนีไปได้สักแค่ไหนกันวะ สุดท้ายก็จนมุม ต้องนอนเป็นปลาแดดเดียวให้แม่งกอด  ทักษะทางด้านนัวเนียของภูมินี่น่านับถือจริงๆครับ

     

     

    “เอ้าไอ้นี่วอนซะแล้ว กูจบสายวิทย์มานะเฟ้ยยยย นี่ถ้ากูเอนท์เข้าวิศวะนะ บอกเลยมึงนี่ต้องร้องไห้”

     

     

    “ร้องเพราะเห็นแฟนถูกรีทายน์น่ะเหรอ ฮ่าๆ โอ้ย เตี้ย กูป่วยอยู่นะ” ผมกระชากผมภูมิจนหน้ามันห่างจากซอกคอ ถ้าปล่อยให้มันนัวเนียต่อไป อาจจะไม่ได้ดูบอลครึ่งหลังครับ เพราะเราจะหันไปเล่นอย่างอื่นแทน

     

     

    “เหรอ คนป่วยอะไรปากดีฉิบ”

     

     

    “แล้วสรุปถามเรื่องลูกทำไม อยากมีรึไง หรือว่า….นี่อย่าบอกนะว่ามึงแอบไปทำผู้หญิงท้อง กูยำให้เละทั้งคู่นะพีมบอกไว้ก่อน” จินตนาการได้ไกลมากแฟนกู เป็นลูกหลานสุนทรภู่รึไง

     

     

    “โอ้โหหห โอ้โหหหหห โหหหโอ้ววววว นี่มึงจะซ้อมกูเหรอ กล้าซ้อมใช่ไหม ตอนขอกูเป็นแฟนนะบอกจะดูแลงู้นงั้นงี้ ทีได้กูแล้วจะทำยังไงกับกูก็ได้ใช่ไหม กูไม่น่าหลงเชื่อคำพูดมึงเลย ถ้าเบื่อกูก็บอกดีๆสิ ทำไมต้องใช้กำลังกับกูด้วย พ่อแม่กูจะเสียใจแค่ไหนมึงรู้บ้างไหม” เล่นใหญ่ไว้ครับ เราต้องเล่นใหญ่ๆเข้าไว้

     

    “เพ้อเจ้อแล้วเตี้ย ทำไมชอบคิดอะไรบ้าๆบ๊องๆ ฮึ มึงโตมายังไงเนี่ย” อะหูยยย เจ็บกว่าโดนด่าว่าแม่ไม่สั่งสอน ถามมาได้ว่ากูโตมายังไง ถ้ากูรู้กูจะโตมาแบบนี้ไหม คิดสิคิด เอ้อออออ

     

     

    ผมหมั่นไส้เลยกัดไหล่ภูมิไปที แล้วก็โดนมันเอาคืนด้วยการกัดปากนานหลายนาที คราวนี้ผมนิ่งเป็นหินงอกหินย้อยเลย กูนิ่งเลย สักแอะก็จะไม่ตอบโต้เลย กลัวเลย(เลยเถิด) ส่วนไอ้หน้าหล่อก็อมยิ้มถูกใจไปสิ

     

     

    “ตอนนี้กูกับมึงก็มีลูกแล้วนิ ไม่รู้เหรอ” พอภูมิมันได้จูบจากผมไปหน้ามันก็บานอย่างกับจานยูบีซี ยิ้มหวานอย่างกับอมขัณฑสกรไว้ในปาก ไอ้เลว มือไวแล้วยังปากไวอีก ว่าแต่มันพูดว่าไงนะเมื่อกี้ ใครมีลูกนะ ผมกับภูมิเหรอ

     

    “หือออ ลูกไรวะ”

     

    “ลูก โอนลี่ แอท ยู (look only at you)”

     

    ??????????????????

     

    ………………..

     

    กริบ

     

    ฮา กริบ

     

    ………………..

     

     

    “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยย  กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

     

     

    ลูก โอนลี่ แอท ยู โพ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

     

     

    ผมลงไปกลิ้งที่พื้นเลยครับ ขำจนไอ ขำฉิบหายอะไอ้เหี้ย ไอ้หล่อมันยังหัวเราะให้ความกากของตัวเองเลยคิดดู

     

     

    “ทำไมมึงกล้าเล่นวะภูมิ ฮ่าฮาฮา โอ้ยเชี่ยเอ๊ย กูปวดท้อง มึงคิดได้ไงกูถามจริง หรือมึงอยู่กับไอ้มิคมากไป มึงห่างมันสักพักเลยนะกูขอร้อง โอยยยย ปวดท้องๆ”

     

     

    “ที่ขำนี่เก็ทป่ะเนี่ย มันผิดแกรมม่า”ภูมิถามด้วยรอยยิ้ม ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะต่อให้แม่งผิดกูก็ไม่รู้อยู่ดี

     

     

    “เข้าใจๆ ฮ่ะฮ่า กู กูไม่คิดว่ามึงจะพูดอะไรแบบนี้ แล้วหน้าโคตรตลก โอยยย น้ำตาไหลเลยว่ะ” ภูมิมันเป็นคนไม่ค่อยพูด ติดไปทางเงียบขรึมด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่กับคนอื่น กับผมบางทีมันก็ไม่ค่อยคุยอะไรยืดยาว แต่มันจะมีมุมตลกหน้าตายอ่ะ แบบที่มันก็ไม่น่าจะรู้ตัว เหมือนอย่างตอนนี้ ผมนอนเอาตีนตีพื้นตับๆ มันยังนั่งยิ้มอยู่บนโซฟา ผมค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง เกยคางกับโซฟานิ่มๆมองหน้าภูมิแล้วก็หลุดขำอีก

     

     

    “เรียนจบไม่ต้องเป็นแม่งละวิศวกร ไปสมัครงานวงของไชยา มิตรไชย หรือกุ้ง สุทธิราช ก็ดีนะมึง ฮ่าๆ ภูมิกูถามจริงๆนะ อันนี้กูอยากรู้มานานล่ะ ตอนมึงคบกับแฟนเก่ามึงเป็นงี้ไหม” ฟุตบงฟุตบอลไม่ดูมันแล้วครับ

     

    “เอาคำตอบแบบจริงใจหรือเอาแบบที่มึงรู้สึกดี” ภูมิยังคงยิ้มและเล่นหัวผมอย่างกับลูบหัวหมา

     

    “เอาแบบที่ฟังแล้วกูกลายเป็นแฟนเก่ามึงเลยอ่ะ ฮ่าฮ่า”

     

    “ตลกล่ะๆ  อยากตายเหรอ” หน้าบึ้งขึ้นมาทันที กูแค่พูดเล่นไหมละครับแฟนครับ

     

    “แค่พูดเล่นหรอก วู้วว บอกมาๆเวลาอยู่กับแฟนเก่ามึงเป็นแบบนี้ไหม”

     

     ผมไม่เคยถามเรื่องแฟนเก่า คนเก่าของภูมิเลยนะ คิดว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไรที่เราจะไปรื้อความสัมพันธ์ที่มันจบลงไปแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับผมหรือภูมิแล้ว เพราะแค่ที่รู้แบบไม่ได้ถามนี่ก็สาหัสอยู่เหมือนกัน เหอๆ

     

    แต่จากสิ่งที่ภูมิแม่งอาจหาญชาญชัยเล่นกับผมเมื่อครู่และอีกๆหลายๆครั้งที่ผ่านมา เริ่มทำให้ผมอยากรู้แล้วว่ามันเป็นแบบนี้กับแฟนทุกคนของมันไหม หรือมีกูโชคดีโดนแจ๊คพ็อตความเสี่ยวของมันอยู่คนเดียว

     

     

    “คือมึงอยากรู้ว่ากูพูดหวานๆไหมน่ะเหรอ” ภูมิทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนและกอดหมอนไว้ มันขมวดคิ้วทำหน้านึกไปด้วย

     

    “อื้ออออออออ”

     

    “อืมมม….ก็มีบ้างนะ ตอนเริ่มคบใหม่ๆแล้วก็เวลาอยากได้” มันหันมายิ้มให้ อยากเลาะฟันคนว่ะ “แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทำนองนี้แบบที่ใช้กับมึงนะ คงเพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน กูก็อธิบายไม่ถูก กับคนก่อนๆมันเหมือนกูรู้ว่าเขาอยากได้ยินคำพูดประมาณไหน กูรู้ว่าต้องพูดอะไรเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่กูต้องการ แต่กับมึง……..กูไม่ได้คิด”

     

    “โอเค รู้เรื่อง กูไปเก็บกระเป๋าล่ะ โชคดีนะมึงนะ รักคนใหม่ให้เหมือนที่รักกูนะ”

     

    “ฮ่าๆ เอ๊า ก็ไหนบอกให้ตอบตรงๆไง ที่บอกว่าไม่ได้คิดเพราะกูพูดตามที่ รู้สึก เรื่องแฟนเก่าก็ส่วนแฟนเก่าดิมันจบไปแล้ว ตอนนี้รักแฟนคนปัจจุบันคนเดียว”

     

    “หึ มึงลองรักคนอื่นดูสิ มึงอยากดูระบำลิงไหม แล้วดูแลเขาดีมะ”

     

    “ใคร”

     

    “ก็คนเก่าๆน่ะ ตอนคบกันมึงดูแลเขาดีไหม” เพราะมันดูแลผมดีเกินไป

     

     

    “ก็ปกตินะ เทคแคร์ทั่วๆไป” มือครับ มือเริ่มเลื้อยมาดึงมือกูไปแล้วครับ

     

    “ยังไง เลี้ยงข้าว ถือกระเป๋าให้ ไปรับไปส่ง” เริ่มเลื้อยเข้ามาในเสื้อแล้วครับมือ

     

    “เลี้ยงนี่เลี้ยงตลอด ไม่รู้ดิ ก็เราเป็นผู้ชายเขาเป็นผู้หญิงก็ต้องดูแล อยากได้อะไรก็ซื้อให้ แต่ถือกระเป๋าให้….ก็บางครั้ง แล้วแต่คน” ฟังแล้วจี๊ด แม่งจี๊ด มันต้องมีหลายคน

     

     

     

    “แต่รักจนตายแทนได้น่าจะมีคนเดียว”

     

     

    อะไรคือมึงอมยิ้มมุมปากและขยิบตาใส่กู ไอ้สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     

     

    เสี่ยวเนอะ แต่ฟังแล้วก็รู้สึกโคตรดี ต่อให้แม่งโกหกและหลอกแดกกูก็เหอะ บางทีภูมิในมุมนี้ก็น่ารักเหมือนกันนะครับว่าไหม ไหนๆก็ไหนๆล่ะ บอลก็ไม่ได้ดูล่ะ งั้นขออนุญาตไปดูอย่างอื่นกับไอ้หล่อสักครู่นะครับ

     

     

    คึ

     

     

     

     

     

     

    -----------------------------

     

     

     

    50 %

     (ต่อค่ะ)




     

     

     

    เครียด! ทำข้อสอบไม่ได้ โง่ กินเหล้า เครียด! โง่ ทำข้อสอบไม่ได้ กินเหล้า ยิ่งกินก็ยิ่งโง่ กินเหล้า วนลูป กินเหล้า พอครับพอเถอะ ผมกับไอ้คิวต่างพยุงกันคลานออกจากห้องสอบ แม้จะเป็นเพียงสอบย่อยเก็บคะแนน แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าสอบ ย่อมมีผลอย่างรุนแรงต่อผม ไม่ต่างจากยุงที่ได้กลิ่นซอฟเฟล แม้อาจารย์จะคิดว่าข้อสอบมันหอม แต่ผมซึ่งเท่ากับยุงก็ตายเพราะสิ่งนี้ได้เสมอหรือต่อให้ไม่ตายก็ซวนเซร่อแร่เต็มทน

     

     

    เพราะฉะนั้นผมต้องไปเอาแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือด ต้องฉลองเพราะวิชาจิตวิทยาในงานศิลปะไม่ใช่เรื่องตลก ผมให้เกียรติกล้ามเนื้อตาที่ถ่างมองหนังสือเสมอ เราจะไม่ใช้คำว่าอ่านและจะไม่พูดถึงสมองครับ ช่วงนี้เขากำลังนิยมลัทธิสโลว์ไลฟ์ ถ้าผมจะเกาะกระแส ขอจบแบบสโลว์ๆก็คงไม่เป็นไร พอดีไม่ค่อยรีบ คึ

     

     

     

    ส่วนเรื่องที่รีรอไม่ได้คือ….แดกเหล้าครับ  ร้านประจำหลังมอ พวกไอ้หนึ่งไอ้โจไปสแตนบายแล้วเรียบร้อย ผมกับไอ้คิวอยู่ช่วยงานไอ้เต้ยเลยออกช้า พูดแล้วก็ไมเกรนขึ้น เชี่ยเต้ยจะแดกปูนตำแล้ว ชีวิตโคตรน่าสงสาร แต่ก็สมควรอยู่หรอก ในโลกนี้มีปูนและวัตถุดิบอีกสามล้านชนิดให้มันได้เลือกสรรเพื่อนำมาสรรสร้างงานประติมากรรม

     

     

    แต่มันเลือกจะใช้ปูนตำ แล้วเสือกจะตำปูนเอง สะอื้นเลยไหมล่ะชีวิต  มันไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆนะครับ คือมึงต้องร่อนทราย หมักเยื่อกระดาษ เคี่ยวกาวหนัง ไม่นับความชำนาญและประสบการณ์อีก ที่สำคัญไอ้เต้ย ต้องสร้างเตาเผาปูนด้วย นู่นแหละครับ อีกสิบหกอสงไขยแสนกัลป์พระศรีอริยเมตตรัยเสด็จมาโปรดล่ะครับไอ้เต้ยถึงจะได้ฤกษ์ได้ยามโกลนหุ่นขึ้นรูป ตอนนี้อย่าว่าแต่ปีกหงส์แค่เล็บไก่ก็ยังไม่เห็น

     

    สู้ต่อไปไอ้น้อง

     

     

     

    แต่ไม่มีใครเก๋าเท่าผมแล้วครับ ณ วินาทีนี้  แบบว่าไปกินเหล้าโดยที่ไม่บอกภูมิ นายแน่มาก ถ้าขืนบอกก็ไม่ได้ไปดิ ไปแล้วค่อยบอก มันเป็นสูตรเว้ย  แล้วก็เอารถภูมิมาด้วยนะ…. นี่ กูร้ายตรงนี้ ฮ่าฮ่า

     

     

    ขณะที่ผมกับไอ้คิวจะถึงหน้ามหาลัย ก็บังเอิญเจอสิ่งมีชีวิตในชุดนิสิตชายสี่คนกำลังเดินอยู่บนฟุตบาทด้วยท่าทางที่เหมือนเดินไปด้วยรำหน้าไฟไปด้วย อันได้แก่ กรีน จีจี้ น้องกระปุก และเฟรนลี่ซึ่งนวยนาดกรีดกรายเสมือนหนึ่งว่าเดินแบบ บางทีมีหมุนตัวด้วย เป็นการเดินที่ทั้งบิดทั้งแอ่น แอ่นชนิดที่ว่านกนางแอ่นต้องกรรแสง  ผมละกลัวว่าหลังมันจะหัก

     

     

    ได้ยินเสียงไอ้คิวหัวเราะเลวๆ ก่อนที่จะเอื้อมมาบีบแตรยาวๆพร้อมกดกระจกลง เสียงกรีดร้องยิ่งกว่าโดนข้าวสารเสก มันทั้งสี่ชีวิตหวีดร้องด้วยความตกใจพร้อมก่นด่าจนไม่สามารถนำมาออกอากาศได้ ที่แน่ๆพ่อกูน่าจะถูกเรียกมาด้วย ผมขับเข้าไปใกล้และค่อยๆชะลอเพื่อคุยกับพวกมัน ไอ้คิวเอาคางพาดกรอบประตู ยิ้มถูกใจ เรื่องทรามๆวางใจนิรันดรครับ

     

     

    “เฮ้ย จะอพยพไปไหนกันวะ เขาล้างป่าช้าพวกมึงเลยไม่มีที่ซุกหัวนอนรึไง ถึงแห่ออกมายั้วเยี้ยเต็มถนนแบบนี้”

     

     

     

    “อีดอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อีคุณผัวขา มึงนี่เองที่ทำให้กูกับอีจี้หลุดเสียงแมน” อีกรีนเท้าเอวชี้หน้าด่า ส่วนอีกสามคนนั้นมองมาที่ผมราวกับเป็นโจรที่เพิ่งเผานมปลอมมันทิ้ง ผมรีบส่ายหน้าชี้ไปที่ไอ้คิว กูเป็นคนขับก็จริงแต่กูไม่ได้ชั่วช้าเลวทรามขนาดนั้นนะเว้ย

     

     

    “พีมขา ถ้าเสียงในฟิล์มจี้ไม่กลับมา มึงจะออกค่าผ่าตัดกล่องเสียงให้กูไหมคะ อีห้า กูแทบเป็นลม” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากตอบจีจี้ เฟรนลี่แม่งก็ชี้หน้ารับช่วงด่าต่อ

     

     

    “ลูกผัวกูก็ยังไม่มี นี่ต้องมาตกใจตายเพราะเสียงบีบแตรรถ จะให้กูไปบอกยมบาลว่ายังไงคะอีเงือก!! มันต้องเป็นการจบชีวิตที่อัปรีย์ที่สุดเท่าที่เคยมีคนตายมา กูรับไม่ได้ กูจะตายอยู่ข้างถนนไม่ได้!!

     

    “จะตายห่าข้างถนนหรือตายกลางทางสามแพร่ง สภาพมึงตอนเป็นศพกับตอนนี้ก็เหมือนๆกันนั่นแหละ ร่างมึงจะไม่ทุเรศไปกว่านี้แล้วเฟะ” เฟะคือชื่อที่ไอ้คิวเอาไว้เรียกเฟรนลี่ มันสองคนเป็นญาติกันจริงไหมผมก็ชักจะไม่แน่ใจ

     

     

    “แล้วนี่จะเดินไปไหนกันวะ ให้กูไปส่งไหม” ไหนๆผมก็มีส่วนทำพวกมันเสียสติ เลยกะว่าจะไปส่งเป็นการไถ่โทษ ไอ้คิวก็ไม่ได้ขัดอะไร ผมว่าจริงๆมันตั้งใจจะให้จอดรับพวกอีกรีนนั่นแหละ แต่สันดานต่ำๆอย่างมันต้องแกล้งก่อน

     

    “ต๊ายยยยยยยยย หล่ออออออออขึ้นมาทันทีเลยค่า ที่หนูด่าพ่อพี่พีมไปเมื่อกี้ หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ” อมสตอมาพ่นใส่หน้าพี่เลยดีกว่ากระปุก

     

     

    “มีผู้ชายอาสาไปส่งค่ะ เขาคิดอะไรกับเราหรือเปล่าคะ รบกวนเพื่อนๆช่วยเราคิดหน่อย ตอนนี้จิมิหลั่งนทีดำเนินสะดวกแล้วค่ะ” พอแล้วจี้

     

     

    “บ้าจริง ที่นี่ที่ไหน ทำไมมีผู้ชายยื้อแย่ง กูรู้สึกถึงปีกค่ะ ปีกงอกออกมาแล้วค่ะ รู้สึกชนะ รู้สึกถึงมง สายสะพายและรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ” อีกรีนหลับตาพริ้ม มือประสานกันที่อกและยืดคอสูดลมหายใจเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกกระเจียว

     

     

    “สันติภาพห่าไร กูเห็นหน้ามึงแล้วรู้สึกแตกแยก อยากทำสงครามฉิบหาย รีบๆขึ้นมาได้ล่ะ หรือต้องให้กูเอาดินเก้าป่าช้ามาโปรยเชิญดวงวิญญาณ  รถเพื่อนกูไม่มีพระหรอกน่าไม่ต้องกลัว” หมาในปากไอ้คิวน่าจะกลายพันธุ์และเป็นอมตะฆ่าไม่ตาย ขนาดกะเทยยังสู้มันไม่ได้

     

     

    และถึงแม้ว่าไอ้คิวจะบอกชัดเจนว่าให้รีบขึ้นรถ แต่กว่าพวกมันทั้งสี่คนจะขึ้นมาได้ ผมแทบหาเต็นท์มากางนอน อีจี้ว่ายกรรเชียงถอยหลังขึ้นมาเป็นคนแรก จากนั้นอีเฟรนลี่ก็หมุนตัวราวกับเต้นบัลเล่ต์  ส่วนน้องกระปุกคงคิดว่านี่คือเวทีประกวดนางนพมาศ ถ้าน้องจะไหว้พี่แบบย่อต่ำขนาดนั้น มึงคลานเข้าไปนอนใต้ท้องรถเลยไหมกระปุก อีกรีนนี่หนักสุด แม่งก่อนจะขึ้นมันไปเลื้อยๆ เอนตัวแอ่นตูดเป็นพริตตี้อยู่หน้ารถ ผมเลยแกล้งใส่เกียร์ถอย หน้ามันเกือบทิ่ม

     

    พวกที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงกับยืนดู  สงสัยพรุ่งนี้ผมคงต้องเอารถภูมิไปรดน้ำมนต์ล้างซวย และด้วยความหมั่นไส้ในลีลาของพวกมัน ผมเลยแกล้งขับแบบหมายังต้องหันมาด่า ขับชวนอ้วกเหมือนที่ไอ้เต้ยชอบขับ เสียงกรีดร้องของคนที่นั่งเบียดกันอยู่ข้างหลังคงจะดังไปถึงฝั่งธน

     

     

    “อีพีมพิลาไลลลลลล อีผัวของคนอื่นนนน อีโดกกกก มึงไปสอบใบขับขี่ที่กระทรวงกลาโหมรึอย่างไรคะ ปล่อยกูลงงงง กะเทยจะลงงงง” เฟรนลี่ทุบประตูอย่างคุ้มคลั่ง

     

     

    “ฮ่าฮ่า กูแกล้งเล่น โอ๋ๆๆๆ ขวัญอ่อนจริงนะมึง”

     

     

    “อ่อนหน้ามึงสิ ลองมาเป็นกูไหม ลูกกูตกใจดิ้นใหญ่แล้วมึงเห็นไหม โถ่ลูกจ๋า ไม่งอแงนะคะ ดูๆๆ นู่นคุณพ่อ เห็นคุณพ่อไหมคะ โบกมือให้คุณพ่อเร็วลูก ดีมากค่ะ โบกอีกลูกโบกอีก มึงขับดีๆหน่อยนะพีม เดี๋ยวกระทบกระเทือนลูกกู เนี่ยดิ้นใหญ่เลย เจอพ่อก็งี้แหละเนาะ สายเลือดมันสื่อถึงกัน”

     

     

    ผมหันไปมองหน้าไอ้คิว คือ….กูไม่ได้หูแว่วหูฝาดใช่ไหม เฟรนลี่แม่งคุยกับใครวะ ไอ้คิวถอนหายใจชี้มือไปยังฝั่งตรงข้าม ผมก็ถึงบางอ้อ สิ่งที่เฟรนลี่มันคุยด้วยคือป้ายโฆษนาใหญ่ยักษ์มีหน้าพี่ติ๊ก เจษฏาภรณ์ ยืนยิ้มแบบที่ผมอยากจะขอแบ่งความหล่อมาสักครึ่ง ว่าแต่มันไปท้องกับพี่เขาตั้งแต่เมื่อไร และที่สำคัญคือมึงท้องได้ด้วยเหรอเฟรน

     

     

    “นอกจากหร่อน(ใช้ ร เพื่ออรรถรส)จะเป็นกะเทยแล้วนะคะ หร่อนยังเป็นบ้าด้วยค่ะ แรงมโนมึงนี่กูกราบเลยอีสนิมสร้อย”

     

    เสียงจีจี้แขวะ ผมเหลือบมองกระจกมองหลังเห็นมันกำลังปัดขนตา กูนับถือมึงจริงๆ สามารถมากในรถที่เบียดกันขนาดนี้มึงยังแต่งหน้าได้

     

    “ค๊า อีดอกสารพัดนึก แม่คนอยู่ในโลกเสมือนจริง อย่าให้กูเห็นว่าแต่งองค์ทรงเครื่องสูง ใช้ราชาศัพท์สำเนียงบริทิสสส เพราะหมายปองเจ้าชายแฮรี่นะคะอียอดฟักแม้ว มึงจงสำเหนียกและเจียมเงาศีรษะซะบ้าง ว่าต่อให้มึงสร้างองค์มหาเจดีย์ที่ชมพูทวีปด้วยมือเปล่าอีกสักสิบชาติ มึงก็ไม่มีบุญบารมีขึ้นเป็นดัสเชสแห่งราชวงศ์วินด์เซอร์หรอกค่ะอีภูธร เพราะอะไรรู้ไหมคะ เพราะ- มึง!!…ไม่ได้เกิดในตระกูลวอลด์ดิสนีย์ไงล่ะ อีโง่!!!  เลท ทิท โก เลท ทิท โกกกก”

     

    แล้วอยู่ดีๆมันสี่คนก็สวมวิญญาณเอลซ่า สะบัดผมราวกับมีหางเปีย กระทืบเท้าจนรถสั่นสะเทือน เป๊ะทุกท่วงท่าและทำนอง สายตา มือไม้เหมือนเป็นโปรดิวเซอร์โฟรเซ่นมาเอง อย่าเพิ่งแช่แข็งรถกูนะมึง

     

     

    “เฮ้ยๆ อย่าสะบัดหัวแรงนะเขียว เดี๋ยวปลิงกระเด็นใส่รถเพื่อนกู”

     

    “เห็บหมัดก็พอไหมล่ะคะอีผัว”

     

    “ไม่พอ เพราะเห็นหน้ามึงแล้วกูนึกถึงแค่ปลิง”

     

    “สลิด เห็นหน้ากูแล้วนึกถึงปลิง ขอบใจนะคะ สภากาชาดไม่ขาดเลือดก็คราวนี้แหละ อีโดกกกกกก” ไอ้คิวกับอีกรีนนี่แม่งมวยถูกคู่จริงๆ

     

    “กูถามจริงๆนะ พวกมึงเป็นกะเทยแบบปกติๆธรรมดาสามัญ นี่มันไม่สาแก่ใจใช่ไหมวะ ต้องเป็นบ้าด้วยใช่ไหม” ไอ้คิวถึงกับหันหลังให้ถนนแล้วหันหน้าเข้าหาเบาะเพื่อเจรจากับพวกอีจี้เลยครับ นี่มันวาระระดับชาติ

     

    “เป็นบ้าอย่างเดียวไม่พอได้ไหม ขอเป็นเมียเพื่อนมึงด้วยได้ไหมคะ วร้ายยย” เอาแล้วมึง หวยจะไปออกที่ใคร ฮ่าฮ่า

     

    “เพื่อนกูคนไหน ไอ้พีมเหรอ” พูดจบไอ้คิวแม่งก็ขำลั่นรถ สัด ชอบกูแล้วมันทำไมวะ

     

    “เห็นแบบนี้กูก็เลือกนะคะ หน้าแบ๊วบลายธ์ตากลมเหมือนตุ๊กตาลูกเทพอย่างไอ้พีม บุญญาวาสนาไม่ถึงกูหรอกค่ะ ระดับพระแม่เฟรนลี่ต้องคุณชายหม่อมเบียร์เท่านั้น!!!!” กร้ากกกกกกก คุณชายหม่อม? อยากให้ไอ้เบียร์มาอยู่ตรงนี้ มันต้องดีใจที่มีคนรักมันเพิ่มมาอีกคน เฟสไทม์หาแม่งเลยดีไหมวะ

     

    “รายได้ต่ำแต่รสนิยมสูงนะมึงน่ะ แต่เสียใจด้วยครับพอดีเพื่อนกูกินคลีน สิ่งปฏิกูลอย่างมึงมันไปเล่นว่ะ”

     

    “อย่าสะเออะสู่รู้ค่ะอีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ คลีนกว่ากูก็สารส้มแล้วข่า กูหมายชายเบียร์ไว้นานละ นี่ถ้าได้ชิมเขานะมึงนะ ขนหน้าแข้งกูก็จะไม่ให้เหลือ กูจะค่อยๆกินแบบผู้ดีชาววัง ค่อยละเลียดละลายในปาก รับรองว่าสักหยดก็ไม่ให้กระเด็น กูเก็บรายละเอียดเก่งมากเชื่อมือได้เลยค่ะ”

     

    “เก่งแค่ไหนไอ้เบียร์ก็ไม่เอาหรอกมึงเพราะมันเพิ่งมีแฟนสดๆร้อนๆเลย” ผมบอก

     

    “ขุ่นพระ! ฝูงนกบินว่อน ตอมตั้งแต่หัวยันฮีเลยค่ะขุ่นเจ้ อะอะอะอะอะ” เสียงหัวเราะของน้องกระปุกคงบาดลึกเข้าไปถึงเส้นเลือดหัวใจของเฟรนลี่แน่ๆ “ไม่ใช่แค่นกธรรมดานะคะ น้องว่านี่คืออีแร้งแล้วค่ะ พญาแร้งเลยค่ะคุณพี่ อะอ่ะอะอ่ะ”

     

    “ไม่ก็นกเหล็กเครื่องบินโบอิ้ง747อ่ะกูว่า ทำใจเหอะเฟะ มึงมาช้าไป” เหมือนจะเป็นการปลอบใจแต่น้ำเสียงที่ไอ้คิวมันใช้นี่โคตรซ้ำเติม

     

     

    “สวรรค์คคคค ไม่จริ๊งงงงงง กูอยากจะกรอกตาเป็นรูปหมอยแมงกระพรุน กรี๊ดดดด ต่อไปนี้ขอให้รู้ไว้ว่าคำนำหน้าชื่อกูคือนาง ชื่อจริงอีนวล นามสกุลสกุณา ชื่อเล่นชื่ออีนก เกิดปีชวด คุณครูต้องเรียกกูว่า น้องนกนางนวล สกุณา มาค่า นกทั้งปีทั้งชาติ นกจนจะเป็นไข้หวัดนก กู- มัน -นกกกก อีกรีนนนนนนอีจี้อีกระปุก!!! คุณชายหม่อมเบียร์มีเมียแล้วมึงงงงงง   พะฮะรื่ออออออ” มึงจบเอกการแสดงมารึเปล่าเฟรน

     

     

    “อย่าโศกาอาดูรไปเลยนางนวลเพื่อนรัก มึงยังมีหมู่มวลเพื่อนวิหคอีกมากมาย ดูนู่นสิจ๊ะ มีทั้งนกเงือก นู่นก็นกน้อย อุไรพร นั่นก็นางแอ่น นี่ก็นางใน”

     

    “กูอยากแดกชาบูเลยว่ะเขียว” เชี่ยคิวเพื่อนกำลังเศร้ามึงยังจะนึกถึงของกิน ฮ่าฮ่า เสียงในรถตอนนี้เหมือนมีคนอยู่สักสองโหล ถึงแม้ว่าการจราจรตอนเลิกเรียนจะค่อนข้างติด ผมกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดเท่าไร ต้องขอบคุณพวกข้างหลัง ว่าแต่จนป่านนี้กูก็ยังไม่รู้เลยครับว่าต้องไปส่งผู้โดยสารที่ไหน

     

     

    “เฮ้ย แล้วตกลงพวกมึงจะให้กูไปส่งที่ไหนวะ ช่วยบอกพิกัดกูด้วยครับ”

     

    “ซายแอ้ม”

     

    ??????

     

    “อะไรนะ”

     

    “ไป ซาย-แอ้ม” เสียงจีจี้บอก มันเปลี่ยนจากปัดขนตามาเป็นทาลิป สาบานว่านั่นคือการทาปาก อ้ากว้างขนาดนั้นรถดูดส้วมเข้าไปสวนสนามยังได้เลยนะจี้

     

    “มึงจะไปไหนนะจี้”

     

    “ซายแอ้มเพแรกั้น”

     

    “กูขออีกที” คราวนี้ไอ้คิวถึงกับทนไม่ไหว

     

    “ไปสยามพารากอนไงคะอีโง่!!! เพลียจิ๋มที่สุด คุยกับพวกภูธรแล้วดาวเบื่อ ว่างๆก็หัดเปิดบีบีซีนิวส์ฟังสำเนียงบริติชซะบ้างนะคะ อย่าฟังแต่เอฟเอ็มเก้าสิบห้าลูกทุ่งมหานคร ปอยฝ้าย มนต์แคนค่ะอีสุวรรณมาลี  ฟิเซ้นท์”

     

    เคยได้ยินแค่มาเลฟิเซ้นท์ นางฟ้าปีศาจ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกไหม สุวรรณแปลว่าทอง มาลีคือดอกไม้ รวมกันแปลจากหลังไปหน้าก็จะกลายเป็น….โอ้โหเป็นการด่าที่แตกฉานในหลักภาษาจริงๆครับ พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานยังต้องถอนสายบัวให้มึงเลยจี้ ได้สักสองสายก็เอาไปแกงกะทิปลาทูนะ

     

     

    “มึงลองไปฝึกพูดแบบนี้กับแท็กซี่ดูนะอีจี่หอย นอกจากเขาจะไม่ไปส่ง หรือส่งมึงผิดที่ กูว่ามันต้องมีคดีฆ่าปาดคอกะเทยแล้วทิ้งศพไว้หน้าลานน้ำพุซายแอ้มเพแรกั้นแน่ๆ สำเนียงเป็นพิษมากอีช้างสะอื้น” คงเป็นการสะอื้นที่ใหญ่โตและมโหฬารพอสมควรใช่ไหมคิว ใหญ่กว่านั้นน่าจะเป็นวาฬสะอื้นและไดโนเสาร์สะอื้น

     

     

    “เขาเรียกว่าสำเนียงดัชเชสแห่งเครือจักรภพค่ะ พีมขารถพีมขาติดฟิล์มใช่ไหมคะ” อีจี้ไม่สนใจจะโต้วาทีกับไอ้คิว มันเรียกผมเสียงอ่อนเสียงหวาน

     

    “อือ ทำไม มึงจะทำไรกูวะ”

     

    “กรุณาอย่า- มั่น- หน้าค่ะ” แล้วพวกมันก็กระชากเสื้อนิสิตออก เชี่ยยยย มันห่มสไบไว้ข้างในด้วยว่ะ ไม่ใช่แค่จีจี้ด้วยครับแต่มันทั้งสี่คนเลย แล้วอีน้องกระปุกก็กระชากผ้าโจงกระเบนออกมาจากกระเป๋า เหยดเข้ แฟนตาซีไหมละมึง

     

    “อะไรเข้าสิงให้พวกมึงแต่งตัวงี้วะ จะไปสยามไมใช่เหรอ”

     

    ผมแทบไม่มีสมาธิขับรถแล้วครับ ทั้งหลอนและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่คิดว่าจะมีของแบบนี้อยู่บนโลกก็มี เสียงวี๊ดว้ายของน้องกระปุกเสียดเข้าไปในแก้วหูเมื่อไอ้คิวเอื้อมมือไปบีบนมมัน น้องกระปุกมันตัวขาวๆกระปุ๊กลุกตุ้ยนุ้ยเหมือนชื่อ ไอ้คิวคงหมั่นเขี้ยว แต่พอน้องมันกรี๊ดเชี่ยคิวเสือกกรี๊ดตาม แล้วเสียงกรี๊ดไอ้คิวนี่แม่ง….กว่าจะถึงปลายทางกูต้องใช้ภาษามือพอดี

     

     

    “โธ่ คุณเชยคะ ตอนนี้ชาวบางกอกน้อยเขาก็แต่งแบบนี้กันทั้งพระนครนั่นแหละ จริงไหมจ้ะช้อย”

     


    “จริงจ้ะแม่โพลยยยย” โอเค กูว่ากูจอดให้แม่งลงแยกหน้านี่แหละ เราไม่น่าจะมาจากโลกเดียวกันแล้ว ที่เรียกกูว่าคุณเชยเมื่อกี้ หมายถึงพี่สาวแม่พลอยหรือมันหลอกด่าว่ากูเชย การออกเสียงคำว่าแม่โพลยของมึงนี่ครูลิลลี่ยังต้องทำวิจัยนะจี้

     

     

    “พี่เนื่องจ๋า ถ้าไปส่งพวกฉันแล้ว พี่เนื่องจะขึ้นนครสวรรค์เลยไหมจ๊ะ” จะสวรรค์หรือนรกถ้ามีพวกมึงอยู่ด้วยที่ไหนกูก็ไม่ไปทั้งนั้นครับน้องกระปุก

     

    …………………

     

     

    ที่เงียบนี่ไม่ใช่อะไร กูกลัว แม้แต่ไอ้คิวยังทำได้แค่นั่งมองพวกมันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ผมได้ยินเสียงมันพึมพำว่า “หลุดเข้ามาในแดนพิศวงแล้วกู”

     

     

    “ฉันอยากขอความกรุณาคุณเปรม ช่วยเป็นธุระนำจดหมายนี้ไปมอบแก่คุณสาย หากพรุ่งนี้คุณเปรมจะขึ้นเฝ้าเสด็จ ฉันขอรบกวนด้วยนะคะ” สรุปกูเป็นพี่เนื่องหรือคุณเปรมวะกรีน

     

     

    “พวกมึงโอเคกันใช่ไหมวะ คือถ้ามีอะไรที่กูพอช่วยได้ก็บอกนะ กูเป็นห่วง” ผมอดห่วงไม่ได้จริงๆครับ ห่วงคนรอบข้างพวกมันน่ะนะ

    “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกพ่อเพิ่ม พ่อเพิ่มขับไปเถอะจ่ะ”

     

    แล้วพ่อเพิ่มนี่ใครอีกจี้ แค่แต่งชุดไทย วิญญาณความเป็นชนชาวสยามก็เข้าประทับเลยหรอวะ พวกมันยกพัดมาโบกเบาๆ ด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ชี้ไม้ชี้มือชวนกันชมข้างถนนราวกับนี่คือกรุงเก่า โดยมีเสียงขากเสลดของไอ้คิวดังประกอบฉากพร้อมกับบ่นว่า

     

    “พวกมึงนี่ไม่น่าจะหลุดมาจากสี่แผ่นดินนะ สภาพอย่างนี้เหมาะจะเป็นกี่แผ่นดินมากกว่า ผ่านมาเป็นพันปีแล้วทำไมยังไม่ย่อยสลายอีกวะ” แต่ก็ไม่มีใครสนใจไอ้คิวเพราะพวกมันเริ่มแต่งหน้าทาปาก เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว

     

     

    “อีร่วงอีโรย ขอลิปสติกแมคเนื้อแมตต์ พลีสมีคัลเลอร์ให้ข้าหน่อยซิ ปากข้าชักจะมีสีเนื้อกระดาษถนอมสายตาเยอะเกินไปเสียแล้ว” สีอะไรนะกรีน คือผมเรียนเรื่องสีมาทั้งชีวิตยังไม่เคยได้ยินสีที่มันเรียกเลย

     

    “เจ้าค่ะพระฟัคพระแฟง”

     

    “พระเพื่อนพระแพงไหมล่ะอีเงือก กล้าด่ากูฟัคเหรอ นังโฮลี่ชิทเลดี้บอยหัวโปก” อีกรีนกับน้องกระปุกเริ่มฟ้อนเล็บเป็นรอบที่เจ็ด “ส่วนมึงอีพิศ กูบอกให้ไปตักน้ำที่ท่าเตียนแล้วหาบไปส่งคุณอุ่นที่ท่าพระ ทำไมยังไม่ไปอีกอีไพร่”

     

    เอา เอาเข้าไป ผมเริ่มคิดว่าตัวเองคิดผิดที่อาสามาส่งพวกมัน มองกระจกมองหลังเห็นกรีนมันกำลังโน้มตัวข้ามน้องกระปุกกับอีจี้ซึ่งนั่งตรงกลาง เพื่อที่จะถลึงตาถามเฟรนลี่ มึงแค่จะขอให้อีกคนหยิบขวดน้ำให้ ทำไมต้องอะไรขนาดนี้วะ โอยยยยยยย ไมเกรนกูขึ้นเลย

     

    “ยังไม่ถึงท่าพระหรอก ท่าว่าจะตายห่ากลางทางนี่แหละกูว่า แม่งหาบมาไกลขนาดนั้น” ไอ้คิวออกความเห็น

     

    “ฮ่าฮ่า เออแล้วไมไม่ซื้อกินที่ท่าพระวะ เสียแรงหาบมาตั้งไกลทำไม” ผมก็สงสัย

     

     

    “มึงนี่ถามจังเลยนะคะอีพีมพิลาไล ทำไมมึงเข้าไม่ถึงโลกของกะเทยสักที อีคิวยังเก็ทกว่ามึงเลย” ถ้ากูเข้าถึงนี่ก็เตรียมจองโต๊ะจีนมาฉลองเลยมึง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

     

    “อย่า อย่าเอากูไปรวมกับพวกมึงอีฝูงนกหัสดีลิงค์(คือสัตว์ในป่าหิมพานต์ ตัวเป็นนกอินทรีย์ หัวเป็นช้าง ไอ้คิวแกะสลักตั้งแต่ต้นเทอมยันตอนนี้ยังไม่เสร็จ มันคงฝังใจ) แล้วพวกมึงใส่ชุดนี้แห่ไปทำไรที่สยามวะ เขามีงานอะไร หรือจะเอางวงไปจุ่มน้ำพุเล่นแก้ร้อน มีโชว์เตะบอลไหมเผื่อกูอยู่ดู ไหนย่อสิพลายกระปุก ไหว้เร็วไหว้ ชูงวงๆ จับพู่กันระบายสีได้ยัง แปร๊นนนน”

     

    เสียงหวีดร้องของน้องกระปุก ทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วงธุรกิจลำโพงเครื่องเสียงมากพอสมควร มึงเลิกแกล้งมันเถอะคิว หูกูจะหนวกแล้ว

     

     

    “ฮึก อย่าถามเลยว่าพวกกูไปทำอะไร กูไม่อยากพูด เรื่องมันเศร้า” อีกรีนกัดปากสะอื้น มันแหงนหน้าเอานิ้วนางแตะหัวตาทั้งที่ไม่มีน้ำตาซักหยด ก่อนจะเอากำปั้นทุบลงที่หัวใจ “พ่อพ่อจ๋า ฮึก พ่อกูเป็นเบาหวาน”

     

    ?????????????

     

    “อ้าว กูนึกว่าพ่อมึงเป็นทนายไม่ใช่เหรอเขียว” ไอ้คิวไอ้เวร

     

    “อีรากระกำ ก็เป็นทนายที่เป็นเบาหวานไงคะอีผังผืด แต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเจ้าขุ่นพ่อบอกว่ารักษาไปเรื่อยๆ ทำตามคำแนะนำแพทย์ ก็ไม่เป็นไร ควบคุมได้ ไม่ตายห่าในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน”

     

    “แล้วคือเล่นใหญ่มวาก เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์มาก หม่อมน้อยยังต้องยืนปรบมือ เล่นใหญ่กว่าอีแย้มก็อีขุ่นพี่นี่แหละค่ะ เด็ดพ่อยังไม่ตายแล้วจะร้องไห้หาพระแสงของ้าวดาวดึงส์อะไรมิทราบคะปูชนียะกะเทย ขุ่นพี่ต้องการอะไร บอกน้องมาสิคะบอกน้อง”

     

    เสียงแปร๋นๆของน้องกระปุกเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ไอ้คิวบอกว่าให้เอางวงตบหน้าอีกรีนเลย น้องมันก็กรี๊ดอีกรอบ และเช่นเคยไอ้คิวก็ยังกรี๊ดตาม เมื่อไรจะถึงสยาม ผมเริ่มจะไม่ไหวแล้ว

     

    “เฮ้ เฮ้ เฮ้กายส์” จีจี้ดีดนิ้วรัวเพื่อเรียกทุกคนให้สนใจมัน “ลิสซึ่นๆ แอคช่วลหลีที่ทูดายย์พวกกูจะไปซายแอ้ม คือจะไปชอพพิ่ง เพราะเนควีคเคอะ อิท ทิส มายเบิร์ดเชย์พราที่ และนี่…..คือพริ้นเซสเงือก” จีจี้ชี้ที่หน้าอกตัวเอง มันดีดนิ้วอีกครั้งพร้อมกับโยกคอไปมา

     

    “และฌ่าแบบว่ายูแอ่นยู้ ต้องการที่จะมาจอยส์ ไอก็เวลคัม เลท เช็ค กิด ด้าวววท์” แอคเซ้นแม่งเทพมากน้ำลายกระจายเต็มท้ายทอยกูเลย อาจารย์อดัมบินกลับประเทศไปรึยัง ครูสมศรีปิดโรงเรียนได้เลยครับ ไอ้คิวถามมันว่าปวดลิ้นไหม ริดสีดวงแดกลิ้นรึยัง จี้มันเลยแลบลิ้นโชว์โคตรน่ากลัว

     

    “โธ๊ะ คิดจะเป็นเจ้าหญิงเงือก? ด้วยสกิลอย่างหร่อน ก็คงเป็นได้แค่เจ้าหงิญ บินหลา สันกาลาคีรีนั่นแหละนังชบาแก้ว” เฟรนลี่ก็ยังไม่เลิกรังควานความฝันที่จะเป็นเจ้าหญิงของเพื่อน อีจี้ถึงกับแผดเสียงลั่น

     

     

    “ดีนะที่อีเฟะมันไม่เรียกมึงว่าก้านกล้วยน่ะจี่หอย มันรักมึงนะเลือกเพศเมียให้มึงด้วย ฮ่าฮ่า ” แต่มึงหนักกว่านะคิว มึงเรียกมันว่าจี่หอยทั้งที่มันชื่อจีจี้ ความเป็นอินเตอร์แทบจะดับสิ้นลงตรงหน้า

     

    “กูนึกสภาพงานพวกมึงออกเลยนะ คงคล้ายๆงานทำบุญล้างป่าช้าแน่ๆกูว่า มืดปุ๊บก็ลอยออกมารับส่วนบุญกันครื้นเครงเลยสิ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกนะ กูมีเพื่อนอยู่ร่วมกตัญญูหลายคน มึงอยากได้อะไรบอกกูได้ เดี๋ยวเผาฝากไปให้”

     

    กร้ากกกกกกก แต่อันนี้เรื่องจริงครับ ไอ้คิวมันเป็นอาสาสมัครกู้ภัยของมูลนิธิร่วมกตัญญู มันทำมานานแล้ว เคยชวนผมไปด้วยแต่ภูมิไม่อนุมัติ เห็นเป็นคนจังไรแบบนี้แต่เชี่ยคิวก็มีมุมจุนเจือช่วยเหลือสังคมนะ ไม่ได้เป็นภาระสังคมอย่างเดียว

     

    “เผาลูกชายแด๊ดดี้แบ็คแฮมมาให้กูหน่อยสิ หิว อยากกินมาก พูดแล้วน้ำลายสอเลยค่ะอีนี่”

     

    “นังหน้าด้าน!!!!!!!! นั่นผัวน้องค่ะขุ่นเจ้เฟรนคะ การที่คุณเจ้อยากเรียกปะป๊าเดวิด แบ็คแฮมว่าพ่อผัว มันไม่ได้ลดทอนความชั่วของขุ่นเจ้ลงแต่อย่างใด ในทางกลับกันมันไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ น้องอยากจะฝากไว้ว่าการกินเด็ก นอกจากจะเป็นอมตะ ยังเป็นนักโทษด้วยค่ะ อย่าทับทางน้อง น้องเล็งมาแต่อ้อนแต่ออก กรุณาใส่ใจ อย่าชั่วกับน้อง เขารักน้อง ดูปากกระปุกนะคะ เขา รัก ปุก!

     

    “มึงสองคนนี่เป็นโรคลืมตาฝันเหรอวะ อีมหาสมุทรเมืองเลย กับอีทะเลทรายสงขลา”

     

    “มึงๆ คืออะไรวะ” ผมสะกิดถามไอ้คิว อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ

     

    “มันคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงและเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เอาไว้ด่าพวกชอบฝันกลางวันแบบอีพวกข้างหลัง” ลืมช้างสะอื้นไปได้เลย ปวดหัวจี๊ดเลย คิดไม่ถึงเลย

     

    “กูจะฝันกลางวันแล้วทำมะ ก็ความสุขของกะเทยอ่ะค่ะ”

     

    “เข้าชิงซีไรท์ไหมมึง อาจจะดังกว่าความสุขของกะทิ”

     

    “เรื่องนั้นคุณงามพรรณเขียน เรื่องนี้อีงามหน้าเป็นผู้ประพันธ์เองค่า ตีแผ่ชีวิตเพศทางเลือกค่ะ อีบอระเพ็ด!

     

    ……………………

     

    กู กูก็แค่แซวเล่น ทำไมต้องโมโหด้วยวะ เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอเฟรน

     

    “อย่าตกใจค่ะผัวขา ผัวขาแค่ไปสะกิดต่อมนาง ฟีลนางค้างค่ะ” จีจี้บอกพร้อมเม้มปากส่งจูบให้ผม

     

    “จะไม่ให้กูค้างได้ไงอีพญาเย็นรำแพน ดูตั้งชื่อแต่ละชื่อให้พวกกู ชาวสีม่วง เพศที่สาม เพศทางเลือก เลือกมารดามึงสิ ภูธรมาก โซคันทรี่ ไร้ความศรีวิไลที่สุด คือไม่ต้องสาระแน สะแหร๋นแต แหนแห่มาสงสารพวกกูก็ได้ค่ะบางที ชีวิตพวกมึงเอาให้รอดเถอะค๊า ถึงพวกกูเป็นแบบนี้ แต่ดัชนีความสุขมวลรวมกูสูงกว่ายอดดอยอินทนนท์อีกค่ะขอแจ้งให้ทราบ ดิฉันไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าในวาสนาใดๆทั้งสิ้นนะคะเวิร์ล เข้าใจจุดนี้ด้วยอีพืชสวนโลก”

     

     

    “มัน….เป็นอะไรวะ” ไอ้คิวยังงง อารมณ์มึงไม่เสถียรเหรอวะเฟรน

     

     

    “คือหร่อนเพิ่งไปโต้วาทีในวาระ ทางเลือกของเพศทางเลือกในสังคมปัจจุบันมาค่า” อีกรีนหัวเราะโผล่พรวดเข้ามาตรงกลาง ไอ้คิวเลยกางเล็บผลักหน้ามันกลับไป แต่มันก็สปริงตัวกลับมาอีกเหมือนเดิม

     

    “ระวังหน่อย เดี๋ยวนอมึงทิ่มหน้ากู”

     

    “ต๊าย นี่มึงหาว่ากูเป็นยูนิคอร์นเหรอคะ” ไอ้คิวน่าจะหมายถึงแรดนะกรีน ยูนิคอร์นไม่มีนอ อันนั้นเรียกเขา

     

    “แท้จริงแล้วกูเป็นปิกาจู”

     

    “ปิกาซัสโว้ย อีแร้งลำเค็ญ!!!!

     

    “ขอบคุณในความรับมุขค่ะผัว กูเป็นเพกาซัส มีปีกด้วย ไฮโซววสวยฉ่ำ โอ้ย อย่าชวนนอกเรื่อง คืองี้ค่ะ กูอยากให้มึงไปดูมากค่ะผัวขา.. แปบกูขอจิบน้ำแปบ”  มีพักจิบน้ำด้วยเว้ย  “ถ้าน้ำลายอีเฟรนเป็นพิษนะคะ อีฝ่ายตรงข้ามกับคนฟังตายห่ายกหอประชุมแล้วค่า หลีกูขอเล่านะคะ” โอ้โหมึง มาขนาดนี้แล้วมึงไม่ต้องไปขออนุญาตมันแล้วกรีน

     

    “ไม่รอให้เรื่องได้ตีพิมพ์ก่อนล่ะคะอีสับปลับ ดำเนินสะดวกไปตามอัธยาศัยค่ะ”

     

     

     “งั้นลำไยต่อเลยนะคะ พวกมึงเคยเห็นเวลาเขาไปหาร่างทรงแล้วมีองค์ลงไหม แบบนั้นเลยค่ะ อีเฟรนค่ะ มันโต้วาทีค่ะแต่เหมือนมีองค์เจ้าแม่สุหรายาหวีกับเจ้าพ่อมะเดลีหวา ประมาณแปดสิบองค์สิงสู่ร่างมันค่ะ พีคมากอิดอก มันส์กว่าวอลเลย์ไทยญี่ปุ่น มีปีนโต๊ะด้วยค๊า กรรมการนี่สวดชินบัญชรกันระงมเลยค่ะ เขากลัวมันสิง  นี่ถ้ามีเสียงปี่เสียงกลองนะ แล้วแบบมีคนลุกขึ้นมารำมาฟ้อนนะ หรือหวีดร้องร่ำไห้นะ มันจะกลายเป็นงานสวดปลุกจิตดีๆนี่เอง กูอัดคลิปไว้ พวกมึงต้องดูค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

     

    ผมกับไอ้คิวขำจนหายใจไม่ทัน นึกภาพออกเลย เฟรนลี่เป็นคนที่พูดเร็วมากเพราะมันมีคลังศัพท์และความรู้รอบตัวเยอะ ใครคิดจะเถียงกับมันนี่เตรียมกระบุงมารองน้ำตาด้วยก็ดี ยกเว้นไอ้คิว อีเฟรนร้ายเท่าไรให้คูณความจัญไรไอ้คิวเข้าไปเท่านั้น

     

     

    และในที่สุดก็มาถึงแล้วครับซายแอ้มพาแรกั้นของอีจี้ หลังจากเฮฮาหัวเราะจนน้ำตาซึม พวกมันก็ยังมีพิธีรีตองก่อนลง คือตอนขึ้นว่าหนัก ตอนลงนี่หนักยิ่งกว่า เฮ้ย กูรีบ มึงยุรยาตรลงไปได้แล้วครับ

     

     

    “พวกหล่อนลงไปเลยนะ กูเสียเวลามามากแล้ว กูกับคุณพี่ต้องรีบไปซุ้มยาดอง จรลีลงจากรถบัดเดี๋ยวนี้อีหอยกาบเรือไททานิค ไป๊” นั่นคือไอ้คิวครับ มันสวมวิญญาณเป็นพวกเดียวกันกับอีกรีนเมียรักของมัน นั่นแหละแก๊งนางงามถึงได้จากไปพร้อมเสียงแตรรถคันข้างหลัง เขาน่าจะด่าแม่ผมแล้ว

     

    “อินเนอร์ใช่ไหมคิว”

     

    “ล้วนๆ” ไอ้คิวหัวเราะ พลางส่ายหน้า มันคงเหนื่อย ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยเข้าใจศัพท์เทคนิค ศัพท์เฉพาะทางบางคำของพวกมันสักเท่าไร แต่ก็ยังหัวเราะตามไปได้ทุกครั้ง อยู่กับพวกนี้แล้วอายุยืนอีกสิบปีจริงๆครับ

     

     

     

     

     

     

     

     

    ……………………………….

     

     

     

    “ห่าโหลลลลล”

     

    (อยู่ไหน)

     

    หอศิลป์

     

    (ยังไม่เสร็จอีกหรอ หอศิลป์ไหนวะเตี้ย)

     

    เสร็จก็ได้ไม่เสร็จก็ได้ กูอยู่ราชดำเนิน แล้วมึงอยู่ไหนน่ะ

     

    (กวนตีน กำลังจะออกจากไซต์งานแล้ว กินข้าวรึยัง)

     

    “ยัง”

     

    (หิวไหม เดี๋ยวกูแวะซื้อขนมปังร้านที่มึงชอบให้)

     

    ก็อยากกินนะแต่ไม่ต้องหรอก ป่านนี้คนคงเยอะแถมไม่มีที่จอดรถด้วย เดินไกลอีก

     

    (ไม่เป็นไรยังไงก็ผ่านอยู่แล้ว งั้นเดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงจะโทรหานะ)

     

    “อือ ขับรถดีๆ

     

    (ครับ)

     

    ผีชาววังสิงลิ้นเหรอ คงๆครับๆห่าไรขนลุก

     

    (หึหึ ไม่ชอบเหรอ)

     

    ชอบเหี้ยไรล่ะแม่งจั๊กจี้รูหู

     

    (เหรอครับ)

     

    เชี่ยภูมิ กูจะวางละ ฟายยยยเย่ออออ

     

    ว่าแล้วก็ชิงตัดสายเลยครับ ผมมันคนจริง (เป็นคนจริงๆ) พูดคำไหนคำนั้น ปกติไม่ใช่คนที่อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้หรอก บังเอิญว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยดี มันอึนๆมึนๆมาสองสามวันแล้ว อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น อย่าทำเหมือนไม่เชื่อกันครับ เห็นเป็นคนเฮฮาปาปิก้าโปเต้คอนเน่ตูมตามอย่างนี้ แต่ก็มีช่วงเวลาที่เครียดเหมือนกันนะเฟร้ยยย กูไม่ได้เป็นบ้านะถึงจะได้อารมณ์ดียิ้มแฉ่งตลอดชีพ เออ ถ้าเป็นไอ้เต้ยก็ว่าไปอย่าง โอเค จะไม่พาดพิงใคร

     

     

    ก็คือว่าเนี่ย ผมเครียดเรื่องเรียนเรื่องสอบเรื่องชีวิตหลังเรียนจบ ซึ่งจะจบหรือเปล่ายังไม่รู้ โดยเฉพาะธีสิสจบที่ต้องจัดนิทรรศการแสดงผลงานของตัวเอง รวมถึงอีกหลายๆเรื่องที่ยังจัดการไม่ได้ แต่ก็นะผมก็คือผม ผมไม่ใช่หนังศีรษะ นี่กูก็กะจะเอาฮากันจนหยดสุดท้ายสินะ ฮ่าฮ่า เครียดได้มากสุดเท่านี้จริงๆ ไม่ค่อยสันทัดเรื่องความเครียดเท่าไรครับ

     

     

    ภูมิมันก็คงจะรู้ ช่วงนี้เลยค่อนข้างจะตามใจผมนิดนึง กูอยากใส่ดอกจันสักแปดดวงแล้วเอาแปรงทาสีชุบสีแดงลากเป็นทางยาวใต้คำว่านิดนึง คือแม่งนิดเดียวจริงๆครับ กลางคืนก็ไม่ค่อยกวนเพราะถ้ากวนถ้าสะกิดกูมากๆอาจเจอว้ากได้ ตำนานว้ากแห่งวิศกรรมศาสตร์มาเจอว้ากมือใหม่อย่างพีมจิตรกรรมอาจมีเฮเหมือนกันนะครับ

     

     

    ด้วยความเครียดสะสมผมเลยโดดเรียนแม่งเลย ออกจากห้องตั้งแต่ตีสี่เดินแบกเป้แบกกล้อง ตะลอนถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ไปตามอาร์ตแกลลอรี่เกือบจะรอบกรุงเทพ สถานที่สุดท้ายเลยมาจบที่นี่หอศิลป์ราชดำเนิน จริงๆผมชวนไอ้คิวไว้ว่าเราจะไปด้วยกัน มันก็ตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่พอไอ้เต้ยให้ไปช่วยแกะงานเท่านั้นแหละทิ้งกูเลย เพื่อนกับแฟนมันแทนกันไม่ได้จริงๆ จำไว้มึง จำไว้ไอ้เดนมนุษย์

     

    แต่ก็ช่างเถอะครับ อย่าไปใส่ใจจัณฑาลมหาโจรอย่างมันเลย ถึงผมจะมาคนเดียวแต่ก็ยังโอเคดี การได้อยู่กับตัวเอง ได้ใช้ความคิดเงียบๆ ได้มาเห็นงานใหม่ๆของพี่ๆศิลปินทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาจัดแสดง ทำให้ผมพลอยได้ไอเดียได้แรงบันดาลใจใหม่ๆไปด้วย หรือต่อให้ไม่ได้อะไรอย่างน้อยก็ได้ความสบายใจกลับไป

     

    คงเป็นเพราะภาพบางภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนหรือภาพถ่าย หรืองานศิลป์อะไรก็แล้วแต่ มันสื่อสารกับเราได้มากกว่าคำพูด มันมีเสน่ห์บางอย่างที่ภาษาพูดหรือตัวอักษรไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ ผมคิดว่าศิลปะมันคือเครื่องส่งความรู้สึกที่พิเศษ ภาพๆเดียวแต่คนมองอาจจะมีมุมมองและตีความหมายไปคนละแบบ นั่นคือเสน่ห์ของมัน ศิลปะที่แท้จริงไม่มีนิยามตายตัว

     

    แต่ตอนนี้ตัวกูจะตายแล้วครับ ไม่ไหวแล้ว ขาผมเหมือนถูกถ่วงด้วยสมอเรือ อะไรก็สื่อกับกูไม่ได้ทั้งนั้น ผมกำลังจะเดินหาที่นั่งพักแต่ไอ้หล่อดันโทรมาพอดี อย่าบอกนะว่าภูมิมาถึงแล้ว เฮ้ย นี่ไซต์งานมึงอยู่ส่วนไหนของประเทศกรุงเทพวะเนี่ย มันขับรถหรือนั่งรถไฟชินกังเซ็นมา เร็วไปไหม รถไม่ติดหน่อยเหรอวะ

     

    “ว่าไง มึงถึงแล้วเหรอ”

     

    (ใกล้ถึงแล้ว ลงมารอข้างล่างเลย)

     

    โคตรเร็ว เคๆเดี๋ยวลงไป  พอวางสายจากภูมิผมก็รีบลงมารอข้างหน้าตามที่มันบอก  ชักช้าเดี๋ยวโดนด่า ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย รถคันคุ้นตาก็โผล่มาให้เห็น กระผมนี่แทบจะคลานขึ้นไปนั่ง สายตาของไอ้โหดที่มองมาเหมือนคนไม่รู้จักกัน เหมือนมันอยากจะถามว่า “ขึ้นรถผิดคันรึเปล่า มึงเป็นใคร ลงไป” ผมสัมผัสได้

     

    แม่งสภาพ…..บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ขับรถมา ทำไมไม่ฟัง เทศน์มหาชาติชาดกยกแรกมาแล้วครับ ตอนคุยโทรศัพท์ก็ยังดีๆนะ พอมันเห็นกายหยาบข้าพเจ้า มันก็กลายร่างเป็นอีกคน โหหหห มาทำรำคาญใส่ คนยิ่งเหนื่อยๆ เดี๋ยวปั๊ด หลังแหวน….ถามว่ากล้าไหม…..ไม่ครับ พอดีมีพี่ป๊อดเป็นไอดอล ปากดีไปงั้นอ่ะ

     

    “ก็ไม่ได้บอกให้มารับป่ะวะ”

     

    มันเหวี่ยงมา ผมก็รวนกลับ เหวี่ยงกูทำไม กูไม่ใช่แห นานๆทีผมขอมีโหมดนี้กับคนอื่นเขาบ้าง สภาพภูมิก็ไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไรหรอก แม่งทำมาเป็นรังเกียจกู  มันกับเพื่อนอีกสองคนที่ทำโปรเจคจบด้วยกัน ตามอาจารย์ที่ปรึกษาเข้าออกไซต์งานก่อสร้างกันเป็นว่าเล่น ตากแดดคลุกฝุ่นจนคล้ำ ใครอยากพบอยากเจอมัน สามารถไปดักรอได้ตามอุโมงค์ที่เขากำลังขุดเจาะนะครับ

     

     

    “อย่าชวนทะเลาะนะพีม ที่กูพูดก็เพราะเป็นห่วง มันใช่เรื่องไหมที่ต้องลำบากเดินทางเองทั้งที่มีรถให้ขับ” น้ำเสียงมึงนี่ห่วงกูมาก นิ่งได้อีก ดุได้อีก อีกนิดกูนึกว่ามึงจะชวนล้อชื่อพ่อแล้ว “ชอบทำอะไรให้เป็นเรื่องยุ่งยาก ก็แค่ขับรถมา ทำแบบนี้คิดบ้างไหมว่ากูจะเป็นห่วง”

     

    อยากเป่าลมใส่รูจมูกไอ้ภูมิ กูแค่ไม่อยากขับรถ ไม่มีอารมณ์จะขับ แค่อยากนั่งรถเมล์ให้ลมโกรกหน้า กูแค่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ กูไม่ได้ไปร่วมรบในซีเรีย มึงจะห่วงอะไรนักหนา คิ้วเข้มๆนั่นขมวดจนน่าหวั่นใจว่ามันจะเลื่อนเข้าซ้อนกันเหมือนแผ่นเปลือกโลก ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวบนหัวของผม

     

    ทีแรกก็โมโหนะที่ภูมิทำเหมือนรำคาญ แต่พอคิดได้ว่าที่มันบ่นก็เพราะเป็นห่วง หัวใจดวงเท่ากำปั้นก็เลยอ่อนยวบๆเป็นบวบต้ม เหมือนลูกโป่งโดนปล่อยลม เหมือนตุ๊กตาโบกมือหน้าโชว์รูมรถ อ่อนด๋อยเซแถ่ดๆไปหาภูมิอย่างหมดท่า

     

    ภูมิก็เป็นซะแบบนี้ ทำอย่างกับผมดูแลตัวเองไม่ได้ เรื่องที่ไม่น่าห่วงมันก็ห่วง บางทีก็คิดว่ามันเกินไป เกินไปเยอะเลย กูดูแลตัวเองได้ดีกว่ามึงอีกครับแฟนครับ ไม่ใช่ว่าตัวเล็กกว่าแล้วทักษะด้านการใช้ชีวิตจะน้อยตามไปด้วยนะโว้ย นี่แหละครับเรื่องที่เรามีปากมีเสียงกัน ก็จะเป็นเรื่องไร้สาระประมาณนี้

     

    ห่วงอะไรของมึงว้า กูเด็กเทพนะเฟร้ยยยย ไม่หลงหรอก ที่ไม่อยากขับรถมาเพราะกูเบื่อรถติด อีกอย่างก็     ติสดี อธิบายไปมึงก็ไม่เข้าใจกูหรอกผมโยนของไปไว้เบาะหลัง ยื่นนิ้วไปจิ้มๆหัวคิ้วของภูมิ ไม่ลืมยักคิ้วให้พลขับหน้าใสในคราบเสื้อช็อป มันส่ายหน้าหน่ายๆแล้วหันไปสนใจถนนข้างหน้าต่อ

     

     

    หึ ลืมไปว่ามีแฟนเป็นพวกอาร์ทติส อารมณ์ศิลปินสูง” มันจิ้มหน้าผากผมกลับซะหน้าหงาย เฮ้ย ถ้าจะทำแรงขนาดนี้เอาค้อนปอนด์มาทุบกะโหลกกูเลยไหม เอาไหม “กาแฟอยู่ข้างหลัง รีบกินเดี๋ยวละลาย กูบอกเขาว่าเอาแบบไม่หวานมาก แต่ไม่รู้ฟังรู้เรื่องไหม เห็นมองหน้ากูแล้วแม่งดูงงๆ จ้องอยู่ได้ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงกูจะถามแล้วว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่า

     

    โอยยยยยยยยยย ก็ให้เขามองหน่อยเถอะ หน้ามึงเป็นใครก็อยากมองทั้งนั้นแหละภูมิ อย่าเอานิสัยพี่ชายคนกลางของมึงมาใช้นักเลย กูขี้เกียจไปประกันตัว

     

     

    โอ้โห นี่มึงไปสัมปทานมาเหรอภูมิ เชี่ย เยอะไป๊ผมรื้อถุงน้ำถุงขนมที่ภูมิซื้อมาจนกระจุยกระจาย แต่ไอ้คนหวงรถก็ยังไม่บ่นสักคำ แปลกแฮะ ปกติมันต้องตบกบาลผมหน้าทิ่มแล้ว

     

     

    ก็ไม่รู้ว่ามึงอยากกินอันไหนกูเลยซื้อมาแม่งหมดทุกอย่าง ขี้เกียจมาบ่อยๆ มึงชอบไม่ใช่เหรอไอ้ขนมปังสังขยาอะไรนั่นน่ะ

     

     

    ฟร้าววว มีแฟนรวยมันดีแบบนี้นี่เองนะครับนะผมเต้นเลียนแบบไอ้ตุ๊กตาลมแบบที่อยู่ตามปั้มและโชว์     รูมรถ โคตรชอบเลย เห็นแล้วหัวเราะทุกที มันดึ่งดึ๋ยๆตลกฉิบหาย เดี๋ยวจะบอกไอ้แทนเอาของที่บ้านมันมาให้สักตัว เป่าลมตั้งไว้ในคอนโดนั่งดูเพลินๆ ฮิปสเตอร์ได้อีกครับกู เลี้ยงตุ๊กตาโบก

     

    ไม่รวยก็ซื้อให้ได้ ต้องบอกว่ามีแฟนดีสิ

     

    ขอเป่าลมใส่รูจมูกมันอีกสักที แสรดดดดด ภูมิถือโอกาสที่รถติดหันมาส่ายหัวด๊อกแด๊กให้ผม  กาแฟกูแทบพุ่ง ผมเลยยื่นแก้วไปให้มันดูด จะได้เงียบๆ หลังจากกระเดือกของตัวเองไปครึ่งขวด สายตาอันแหลมคมก็ไปสะดุดกับแก้วของภูมิ เมื่อกี้มัวแต่สาดอารมณ์ใส่กันเลยไม่ทันมอง น่ากินเนาะ ของที่เราไม่ได้สั่งมักจะน่ากินเสมอครับ ว่าแล้วก็หยิบมาจิบแม่งเลย

     

    จะกินทำไมไม่ขอก่อน นิสัย

     

    โหยยยยภูมิ มึงอย่ามาทำเป็นงก กูดูดไปแค่นิดเดียวเอง อ่ะๆกูจ่ายคืนให้ก็ได้ มันจะสักกี่บาทกันวะ แก้วละพันไหม อะโธ่ พูดจบผมก็ไหวไหล่อย่างเก๋าๆ พร้อมตบกระเป๋าเสื้อโชว์ แต่คือตอนนี้เงินไม่มีสักบาทครับพี่น้องครับ จ่ายค่ารถไฟบนฟ้าและใต้ดิน ค่าเรือกับค่าแท็กซี่หมดแล้ว พี่ที่นอนใต้สะพานทางด่วนอาจจะรวยกว่าก็ผมได้ โถถถถถถถถถถ

     

     

    ยิ้มได้แล้วเหรอ เมื่อกี้หน้ายังเป็นตูดอยู่เลย

     

    ตูดบ้านมึงดูดีขนาดนี้หรอวะ กูไม่ได้บ้าเหมือนไอ้มิคนะถึงจะยิ้มได้ทั้งวันเอาสักหน่อย ขอนิดนึง โทษฐานที่ชอบส่งรูปพยาธิมาในไลน์กลุ่มทุกเช้า เจริญอาหารกันถ้วนหน้าครับ แถมมันยังบอกอีกนะ แฮพ อะ ไนซ์ เดย์…. ไนซ์โพ่งงงงง ข้าวกูจะพุ่ง

     

     

    แต่กูว่ามึงกับมันก็พอๆกันนะเตี้ย คิดแล้วกูก็น่าสงสารว่ะ เพื่อนก็ไม่ค่อยปกติ แฟนก็บ้าๆบ๊องๆ

     

    “เลิกเลยไหม”

     

    “เลิกกับมึง?

     

    “เปล่า เลิกเป็นเพื่อนกับมัน ฮ่าฮ่า สันดาน มึงจะเลิกกับกูทำไม”

     

    “กูเลิกเป็นเพื่อนกับไอ้มิคไม่ได้หรอก” แปลว่ามันเลิกกับผมได้ สุดจะประทับใจ “ยิ่งให้เลิกกับมึง แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สัญญาแล้วไงว่าจะรักเป็นคนสุดท้าย”

     

    “ป๊าดดดดด ป๊าดๆๆ บัดซบจริง อย่ารื้อฟืน อย่าเผาถ่าน” ขณะที่ผมแกว่งนิ้วชี้ไปมา ภูมิก็เหลือบหางตามามองด้วยความงงโลกใบนี้แบบสุดขีด มันหัวเราะทั้งที่คงจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด อย่าว่าแต่มันเลย ผมยังไม่ค่อยเก็ทตัวเองเท่าไร กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกก

     

    “คนอะไรเพี้ยนก็เพี้ยน เตี้ยก็เตี้ย”

     

    “ครับพี่ครับ” ขำค้างเป็นแบบนี้นี่เอง เอาซะกูดริฟล้อฟรี เบรกกันให้ดอกยางสึก เอาให้ควันโขมง

     

    “สกปรก  ซกมก น้ำก็ไม่ค่อยจะอาบ”

     

    “จริงครับพี่”

     

    “วันๆเนื้อตัวเปื้อนสีเลอะดิน หน้าตาแม่งก็มอมแมม”

     

    “ใช่ครับพี่”

     

    “แต่ก็ไม่น่าเชื่อเนอะ….ว่ากูจะตกหลุมรักคนแบบนี้ได้ทุกวัน”

     

    ไหมล่ะ!!!!

     

    “เหยดดดดด เอางี้เลยเหรอ บอกรักงี้เลย หลังจากหลอกด่ากูมาห้าพารากราฟ ขอบใจนะภูมิ กัดฟันจนกรามแทบร้าว มันมีประโยคไหนที่สื่อว่ามึงรักกูเหรอภูมิ

     

    “ไม่เป็นไร เต็มใจ” ไม่ต้องมายิ้ม ไม่ต้องยื่นมือมาโยกหัวด้วย ไม่รู้มือสะอาดรึเปล่าเพราะถ้าสะอาด มือมึงอาจจะติดเชื้อโรคจากเส้นผมกูก็ได้นะหล่อ ฮ่าฮ่า แล้วผมก็แทบลุกขึ้นกระโดดลอดห่วงเมื่อภูมิบังอาจคว้ามือผมไปจูบ ไอ้เหี้ย เค็มไหม

     

    อี๋ กูเพิ่งเกาจู๋มาตะกี้เขินส่วนเขิน เราสายฮา เน้นขำ ต้องทำตลกกลบเกลื่อนไปก่อน เชี่ยยยยยยยย จะทำไรไม่บอกไม่กล่าว ไม่ส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า อันนี้ยอมรับว่าตั้งตัวไม่ทันจริงๆครับ ศัตรูมาเหนือมาก ทางเราต้านทานไม่ไหวจริงๆ

     

    ให้ช่วยเกาไหมเชี่ยภูมิยิ้มโคตรน่ารังเกียจ เกลียดมากเวลามันมองผมด้วยสายตากรุ่มกริ่มแบบนี้

     

    ทะลึ่ง!!”

     

    ทะลึ่งอะไร มากกว่าเกากูก็ช่วยมึงออกจะบ่อย

     

    ไอ้ภูมิ ไอ้ห่า ถ้าพูดอีกคำ กูถีบลงรถเลยสาดดดดดดดดดดดดด

     

     

    เลวววววววววววว แม่งเลวมาก ทั้งสีหน้าและเสียงหัวเราะเลวแบบสุดกู่ หมาภูมิหน้าฉาบคอนกรีตเสริมใยเหล็กหนามาก หน้าบางๆเท่าเยื่อกระดาษสาอย่างผมบอกตรงๆว่ารับไม่ได้ครับ แต่ในที่สุดผมก็รอดมาได้ แม้จะอาการสาหัสแต่สนามรบสนามรักอันเกี๊ยวก๊าวของภูมิก็ไม่อาจฆ่าผมได้

     

     

    และหลังจากสนทนาปราศรัยกันด้วยความไร้สาระอยู่นาน ภูมิมันพาผมขับรถเล่นราวกับนี่เป็นถนนโล่งๆมุ่งหน้าเขาใหญ่ มันวนไปวนมาอยู่นานเพื่อที่จะขับกลับมาเส้นเดิม สาดดดด พ่อมึงมีแท่นขุดเจาะน้ำมันรึไง

     

     

    ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีในตอนที่เราจอดรถทิ้งไว้ แล้วตะเวนเดินสายหาของกินจนพุงแทบระเบิด ย่านนี้มีร้านอาหารขึ้นชื่อ ขนมโบราณและ ของกินอร่อยๆเยอะมากครับ อะไรเอ่ยผัดไทจานน้อยๆแต่ต้องคอยเป็นชั่วโมง ภูมิถึงขั้นถอดช็อปมาพาดไหล่ ผมต้องรีบเอาเสื้อมาพัดให้มันเดี๋ยวแม่งร้อนจนคุ้มคลั่งพังร้านเขา แต่ในเมื่อนานๆได้แวะมาทีก็ต้องยอมทน ผมเลยเอาให้คุ้ม กินแม่งทุกร้านเลยครับ

     

     

    หลังจากกระเพาะผมได้ระเบิดไปแล้วประมานสามรอบ ภูมิกับผมเดินเล่นเดินย่อยกันต่อ ถ่ายรูปบรรยากาศดีๆไฟสวยๆ ภูมิเป็นคนถ่ายเพราะผมไม่มีแรงแม้แต่จะกดชัตเตอร์ นี่ไม่ใช่ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ แต่นี่คือร่างไร้วิญญาณไม่กดชัตเตอร์

     

     

    แม้ร่างกายจะระโหยโรยแรงแต่ผมยังมีกำลังพอที่จะเตะไอ้หน้าหล่อๆ ซึ่งพยายามถ่ายรูปผมตลอดเวลา จนผมเหนื่อยที่จะห้ามเลยปล่อยๆแม่งถ่ายไป อยู่ด้วยกันจนแทบจะผสานเซลล์ได้ล่ะ ภูมิมันจะถ่ายรูปผมไปทำไมก็ไม่รู้ ใครที่พอจะทราบสาเหตุรบกวนส่งจดหมายมาที่ที่อยู่ด้านล่างนี้นะครับ ผมอยากรู้มาก

     

     

    อยู่ที่ห้องมันก็เป็น จริงๆคืออยู่ไหนมันก็แบบนี้ ผมเผลอหน่อยภูมิก็ยกมือถือขึ้นมาถ่าย คือ….คือแบบว่าถ้าหน้าผมหล่อเหมือนนิชคุณก็ว่าไปอย่าง เอ้ออออ อันนั้นจะถ่ายเก็บไว้ก็ไม่ได้ว่า แต่นี่หน้ากูอย่างเมือกครับ หัวฟูฟ่องอย่างกับรังนกกระจาบ มีอะไรน่าถ่ายตรงไหนวะ หรือมันคิดว่าแปลกดีเลยถ่ายงี้เหรอ

     

     

    หลังจากเดินเล่นกันจนผมเริ่มเดินต่อไม่ไหวภูมิก็พากลับ คืนนี้เรามาค้างกันที่บ้านผมครับ ผมหอบสำมะโนครัวกลับสู่ถิ่นฐานเดิมได้หลายวันแล้ว เพราะต้องใช้สมาธิในการเขียนรูป เลยต้องการบรรยากาศสบายๆโล่งๆ แล้วต้องใช้พื้นที่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งแม้ว่าคอนโดภูมิจะกว้างแต่มันไม่พอ

     

     

    ห้องนอนอีกห้องที่อัดแน่นไปด้วยถังสี เฟรมผ้าใบ กรอบรูปอันใหญ่เท่าฝาบ้านและรูปปั้น งานแกะต่างๆนาๆ ผมกลัวว่ามันจะล้นออกมาทับคอภูมิ อีกอย่างช่วงนี้ภูมิไม่ค่อยอยู่ห้อง บางทีก็กลับดึก บางครั้งก็ค้างบ้านเพื่อนเพราะอยู่ในช่วงทำโปรเจค ผมเลยตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านสักพัก

     

    ซึ่งพอผมกลับมาถึงก็ต้องหัวเสียจนอารมณ์ดีๆที่บิ้วมาต้องพังพินาศอีกรอบ เพราะก่อนมาผมแวะไปที่คอนโด ตั้งใจจะไปเอาชุดนิสิต แต่ดันลืม ปกติไปเรียนจะใส่เสื้อยืดเสื้อห่าอะไรก็ได้

     

     

    แต่พรุ่งนี้มีสอบ และที่บ้านไม่เหลือชุดนิสิตเลยสักตัว จะมีก็แค่ตัวที่ผมเพิ่งถอดทิ้งลงตะกร้าเมื่อกี้ เครื่องซักผ้าเสือกใช้ไม่ได้อีก เชี่ยยยยยยยยยย  โทรหาย่าเพื่อพาลอาปุ้ยได้ไหมวะ อ้าว ถุงเท้าอีก เออดี ลืมแม่งให้หมด อีกหน่อยกูคงลืมหายใจด้วยมั้ง

     

     

    มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่คือผมตั้งใจแวะไปเอา ภูมิก็อุตส่าห์ขับรถพาย้อนกลับไปทั้งที่มันต้องรีบกลับมาส่งไฟล์งานให้เพื่อน การทำให้ใครสักคนต้องเสียเวลาหรือเดือดร้อนเพราะเรานี่แม่งรู้สึกแย่จริงๆนะครับ ยิ่งเป็นคนที่สำคัญด้วยแล้ว

     

    ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องอารมณ์เสียกับเรื่องแค่นี้ ทั้งที่ปกติต่อให้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ยังยิ้มได้ และการที่ผมควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้นี่ก็โคตรหงุดหงิดเลย เหมือนเอาปัญหาเรื่องอื่นมาเป็นอารมณ์เรื่องนี้ เมื่อไรจะหลุดพ้นจากธีสิสสักทีวะ กูจะเป็นบ้าแล้วแม่ง อารมณ์ขึ้นๆลงๆแบบนี้คงได้เส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนเรียนจบ ผมในตอนนี้ถ้าเป็นภูเขาไฟ ศูนย์เตือนภัยต้องรีบแจ้งประชาชนในพื้นที่อพยพหนีเลยนะ กูปะทุแน่ๆ

     

     

    เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยแวะไปเอาก็ได้ อย่าซีเรียสดิเตี้ย จะทำงานต่อหรือจะนอนเลย ถ้าจะนอนมึงปิดไฟเลยเดี๋ยวกูลงไปทำต่อข้างล่างผมส่ายหน้าให้ไอ้คนที่ยึดโต๊ะเขียนหนังสือของผมไป หน้าจอแล็ปท็อปของมันมีกราฟและรูปโครงสร้างอะไรสักอย่างที่ผมคงไม่มีวันเข้าใจ

     

    ภูมิหมุนเก้าอี้มาหา มันมองหน้าผมผ่านแว่นสายตาใสๆ ไอ้หล่อดูอิดโรยจะฟุบแหล่ไม่ฟุบแหล่ เหอะ แทนที่จะห่วงตัวเองนะมึง ด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยโยนผ้าเช็ดตัวชื้นๆไปโปะหัวมัน แล้วเดินโป๊ท่อนบนไปหาเสื้อใส่

     

    “อ่อยเหรอ”

     

    “อ่อยเหี้ยไร” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มือผมนี่รีบสวมเสื้ออย่างไวครับ ไม่ได้แดกกูหรอกมึง ตอนนี้นอกจากอารมณ์หงุดหงิด ผมไม่มีอารมณ์อื่นใดเจือปนแล้วครับ 

     

    “สักหน่อยไหมพีม แก้เครียด” มันอมยิ้มยักคิ้วใส่กูแล้วครับ เราต้องรีบหนี

     

    “เครียดไปคนเดียวเถอะมึง” ภูมิหัวเราะชอบใจขณะที่เอาผ้าเช็ดตัวของผมไปตาก แถมตอนเดินผ่านยังเข้ามาใกล้ๆ มันโน้มตัวลงทำจมูกฟุดฟิดใส่ซอกคอผมด้วย “เป็นหมาเหรอครับ กลับไปทำงานของมึงเลยไป มึงนี่นอกจากจะไม่ช่วย แล้วยังจะเพิ่มวิบากกรรมให้กูอีกนะ”

     

     

    ผมผลักอกภูมิให้ถอยห่าง แล้วรีบชิ่งออกไปนอกระเบียง ไม่ลืมรูดม่านบดบังสายตาของมันด้วย เสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกของภูมิเงียบลงไปตอนที่ผมเลื่อนบานประตูกระจกปิด กามไม่เลือกเวล่ำเวลา มันอาจจะแกล้งเล่นแต่ถ้าเมื่อกี้ผมลังเลอีกสักนิดแม่งเอาจริงนะนั่น ภูมิมันไว้ใจไม่ได้ครับ จิตไม่แกร่งต้องหนีไว้ก่อน

     

     

    ผมจุดยากันยุงรอบตัวครบแปดทิศตามตำราฮวงจุ้ย  อากาศด้านนอกเย็นสบาย เพราะมีลมพัดมาเรื่อยๆ มันคงจะสุนทรีกว่านี้ถ้าไม่มีกลิ่นยากันยุง ยุงไม่ตายก็น่าจะผมนี่และครับที่ตายก่อน

     

    ผมเอาแต่นั่งซึมกะทือเป็นหุ่นกระบือขี้ผึ้ง คู้เข่าข้างหนึ่งบนเก้าอี้ ในมือมีดินสอ ตรงหน้ามีกระดาษ แต่ผมทำได้แค่มองเส้นจางๆที่ร่างไว้ พยายามเค้นอารมณ์เพื่อที่จะวาดต่อ แต่มือก็ไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่านั่งจ้องกระดาษตรงหน้าอยู่นานเท่าไร รู้แค่อยากดูดบุหรี่ฉิบหายแต่ก็กลัวภูมิด่า เลยได้แต่นั่งถอนหายใจทิ้งแบบโคตรเปลือกออกซิเจนโลก ผมไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลยให้ตายเถอะ

     

     

    ไม่ชอบเวลาที่ตัวเองไม่มีรอยยิ้มเลย

     

     

    “ภูมิ งานเสร็จยังวะ ออกมานั่งข้างนอกไหม” เพราะว่าคิดอะไรไม่ออก นอกจากให้ภูมิมาอยู่ใกล้ๆ มันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่แค่ออกมานั่งรับลมเย็นๆด้วยกันก็คงจะดี

     

    ……………….

     

    เงียบ

     

     

    “ภูมิ ออกมานั่งเป็นเพื่อนหน่อยดิ”

     

     

    และเงียบ

     

     

    ไม่ใช่ว่ามันเหนื่อยจนตายห่าไปแล้วนะ หรือว่าหลับ อะไรจะบัดซบขนาดนี้วะชีวิต แค่อยากนั่งดมยากันยุงกับแฟนยังทำไม่ได้เลย กูไปนอนก็ได้วะแม่ง ผมกระชากเลื่อนบานประตูระเบียงออกด้วยความหงุดหงิด โดยไม่คิดเลยว่าถ้าภูมิหลับไปแล้วมันจะสะดุ้งตื่นไหม จะรบกวนเวลาพักผ่อนของมันหรือเปล่า นักเลงไหมล่ะ เหอะ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเข้ามาในห้องแล้วไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของภูมิ ในห้องโบ๋เบ๋ บนเตียงว่างเปล่า ไปไหนของมันวะ มือถือก็อยู่ คอมก็ยังเปิดทิ้งไว้

     

    ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินลงไปดูข้างล่าง ก็ต้องชะงักและเปลี่ยนเส้นทางเมื่อได้ยินเสียงมาจากห้องน้ำ ด้วยความหงุดหงิดที่ยังติดค้าง ผมเลยตั้งใจว่าจะไปปิดไฟแกล้งมันสักหน่อย เพราะเห็นแสงไฟลอดออกมาจากประตูซึ่งแง้มเปิดไว้ 

     

     

    แต่ภาพที่เห็นหลังจากใช้ไหล่กระแทกบานประตู ทำให้ความตั้งใจที่จะแกล้งของผมนั้นหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกที่คล้ายๆกำลังถูกเติมลมเข้าไปที่หัวใจ มันค่อยๆฟองฟูอย่างเชื่องช้า

     

     

    “…..ภูมิ…..ทำไรอยู่วะ

     

    ผมเอ่ยถามทั้งที่รู้

     

     

     

    ซักเสื้อให้มึงน่ะ เผื่อพรุ่งนี้จะแห้งทัน

     

     

    ภูมิหันมายิ้มให้เพียงจางๆ และกลับไปขยี้เสื้อสีขาวในอ่างล้างหน้าด้วยท่าทางเงอะงะ ปล่อยให้ผมยืนมองแผ่นหลังของผู้ชายตัวสูงๆ มองอยู่อย่างนั้น ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูกซึ่งแม้แต่ตัวเองยังคิดว่าเป็นเสียงที่ประหลาด

     

     

    ภูมิวางเสื้อนักศึกษาของผมไว้ และหยิบถุงเท้ามาซักให้

     

     

    ไม่แน่ใจว่าคราวนี้ผมหัวเราะด้วยโทนเสียงแบบไหน แต่เหมือนมีก้อนความรู้สึกบางอย่างถูกพัดขึ้นมาจุกที่ลำคอ ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือยิ่งใหญ่เลยสักนิด ก็แค่คนคนหนึ่งซักเสื้อให้ ซักแม้กระทั่งถุงเท้า ทำโดยไม่นึกรังเกียจ คนที่ใช้อ่างล้างหน้าแทนกะละมัง ใช้ครีมอาบน้ำต่างผงซักฟอก ขยี้เสื้อด้วยท่าทางเก้ๆกังๆอย่างคนที่ไม่เคยทำ

     

     

    แต่ก็ยังทำทุกอย่างเพื่อผมตลอดมา

     

    และทั้งที่ก็เป็นเพียงเรื่องแค่นั้น…..แต่ทำไม…….

     

     

    หลากหลายอารมณ์และความกังวลที่ไหลเวียนอยู่ในหัวของผมมาเป็นเดือน รวมถึงเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า คล้ายกับว่ามันถูกดึงออกไปที่ไหนสักแห่ง ค่อยๆหายออกไปจากตัวผมอย่างช้าๆ มีบ้างที่ยังหลงเหลือ แต่ก็เผื่อแผ่พื้นเล็กๆให้ความสบายใจได้แทรกเข้าไปจนทำให้ริมฝีปากของผมคลายเป็นรอยยิ้ม

     

     

    สุดท้ายผมตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดจะทำในตอนแรก ผมมองภูมิอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆในขณะที่พยายามเพ่งมอง ใกล้จนได้กลิ่นกายที่คุ้นเคย ใกล้จนหน้าผากของผมแตะลงที่เสื้อยืดนิ่มๆสีเทาหม่น ใกล้จนผมกดจูบลงบนแผ่นหลังของภูมิได้อย่างที่ใจนึกอยากทำ

     

    ภูมิชะงักในตอนที่ผมเอื้อมมือไปโอบกอดมันไว้

     

    สัมผัสเปียกชื้นจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่าผมไม่เท่าไร

     

    ทาบทับลงบนมือของผม และบีบกระชับเพียงแผ่วเบา

     

     

     

     

    “ขอบคุณนะ”

     

     

    ขอบคุณที่วันนี้มึงยังรัก ยังดูแล และยังทำเพื่อกูเสมอ

     

    ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงวินาทีนี้

     

    ขอบคุณนะหมาภูมิ

     

     

    ระหว่างผมกับภูมิตั้งแต่เริ่มรักจนกระทั่งใช้คำว่าแฟนมาถึงทุกวันนี้ เราไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีเรื่องราวน่าตื่นเต้น (ไม่ได้พาดพิงสองคู่นั้นแต่อย่างใด) ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร

     

    เราเป็นเพียงคู่รักธรรมดาเหมือนคู่รักอีกหลายๆล้านคนบนโลกกลมๆที่แอบเอียงใบนี้ เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันก็บ่อย แต่เราไม่เคยไม่รักกัน และในวันที่อีกคนมีปัญหา เราต่างดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อเอารอยยิ้มของอีกคนกลับคืนมา

     

     

    และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สิ่งเหล่านั้นค่อยๆทำให้ผมรู้ว่าบางครั้งความรักก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากหรือซับซ้อนอย่างที่เราพยายามค้นหาความหมาย เพราะเมื่อผ่านกาลเวลา เราต่างเติบโตขึ้น ทั้งผมและภูมิ ความคิดหลายๆอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เราต่างเรียนรู้และค่อยๆเข้าใจว่าสุดท้ายแล้ว

    ความรักของผมกับภูมิคือความสบายใจที่ได้อยู่เคียงข้างกันและกัน ….แค่นั้นเอง….. ^__^ 

     


     

     

     

    “รัก”

     

     

     

    Your smile always make me smile.

     

     

     

     

     

    เม้าท์มอยส์ : เป็นยังไงกันบ้างคะคุณผู้อ่านที่รัก สบายดีกันไหม มีความสุขดีหรือเปล่า มาร่วมย้อนวันวานกันเนอะ นี่คือตอนพิเศษสุดท้าย ท้ายสุดๆแล้วจริงๆ จากนี้ไปต่อให้คิดถึงแค่ไหนก็จะไม่มีอีกแล้ว สัญญาและสาบานเลยค่ะ ฮ่าฮ่า ลงตอนพิเศษเสร็จก็จะกลับเข้าป่าอีกรอบ

     

    น้องๆที่เคยเป็นนักเรียนม.ปลาย เคยเม้น เคยพูดคุยกัน ป่านนี้ก็คงเข้าสู่รั้วมหาลัยปีสามปี่สี่กันแล้วใช่ไหมคะ ส่วนเพื่อนๆที่เคยอยู่วัยมหาลัยก็คงออกมาสู่ชีวิตการทำงาน และพี่ๆหลายๆคนก็คงมีความสุขกับชีวิตที่โตขึ้น

     

    ทะเลหัวใจคิดถึงทุกคนเสมอ ยังนึกถึงตลอด หลายๆคนที่เคยคุ้นตอนนี้อาจจะห่างหาย ในขณะที่หลายๆคนได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ได้รู้จักกัน มันเป็นสิ่งดีๆที่ทำให้เรายิ้มได้ และเป็นจุดเปลี่ยนที่ค่อนข้างมีความหมายต่อชีวิตเลยค่ะ

     

    แม้จะผ่านเรื่องราวที่เราเคยผิดพลาดมาหลายอย่าง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดติดค้างต่อใครหลายๆคน  แต่ก็ต้องบอกว่าเรายังเลือกที่จะจดจำความผิดพลาดนั้นไว้ค่ะ แม้จะแอบเห็นแก่ตัวอยากให้คุณผู้อ่านจดจำแค่ความรู้สึกที่ดีๆนะ อิอิ ง่า เลิฟเลิฟ

     

    และอยากจะย้ำอีกครั้งว่านิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมานะคะ แม้จะมีสถานที่จริงแต่หนุ่มๆก็เป็นเพียงเพื่อนในจินตนาการ เราเองอาจจะหวังอยู่ลึกๆว่าคงมีความรักและมิตรภาพแสนน่ารักแบบนี้อยู่ที่ไหนสักแห่ง เห็นเด็กผู้ชายมหาลัยตัวเล็กๆก็ชอบนึกถึงพีม เห็นน้องผู้ชายใส่ช็อปวิศวะก็คิดว่าภูมิจะเป็นแบบนี้ไหม บางทียังเคยคิดเลยว่าพวกเขาจะทำอะไรอยู่ ฮ่าฮ่า

     

    เคยมีคนบอกว่าบางอย่างที่เราเคยรักเคยชอบอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อโตขึ้น งานเขียนก็เช่นเดียวกัน  และ We are  ก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ จากที่เคยคิดว่าสนุก ตอนนี้หลายๆคนอาจจะเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ อาจเป็นเพราะว่าได้เจอโลกเยอะขึ้น ความรู้สึก ความคิดต่อสิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และเพราะว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงเสมอ เราก็เลยคิดว่ามันอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกใบนี้ถึงมีสิ่งที่เรียกว่า

    “ความทรงจำ”

     

     

    ในวันที่เหงา อย่าลืมยิ้มให้กับรอยยิ้มของพวกเราในวันวานนะคะ

     

    รักและคิดถึงรอยยิ้มของเธอเสมอ

    ^__^ 

    ทะเลหัวใจ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×