ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10 กาแฟและการตัด(สิน)ใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 49.56K
      321
      19 มิ.ย. 55

     





     
    ตอนที่ 10
     
     









     
    ผมมามหาลัยในเช้าวันจันทร์ด้วยสภาพ เบลอมึนโทรม จะไม่ให้เบลอได้ไงละ ผมเล่นนอนถ่างตาถึงตีสี่ ถามว่าเพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะมัวคิดเรื่องไอ้ภูมิไงครับ แถมยังต้องตื่นตั้งแต่หกโมงอาบน้ำแต่งตัวมาเรียน เรียนตอนเก้าโมงก็จริงแต่ต้องมาเวลานี้ถึงจะทัน มาถึงแทนที่จะได้งีบแต่ต้องมานั่งทนฟังไอ้คิวบ่นจนหูแทบชา ก็เรื่องที่อยู่ๆผมหายหัวเหลือแต่กุญแจรถไว้ให้มัน
     








    ตอนแรกก็หลงดีใจคิดว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่ฟังไปฟังมาไม่ใช่ครับ ที่มันเหวี่ยงเพราะผมปล่อยให้มันต้องทนฟังไอ้เต้ยพล่ามพรรณนาเรื่องไร้สาระบ้าบอร้อยแปด และมันก็โทษว่าเป็นเพราะผมมันถึงต้องมีชะตากรรมแบบนั้น
     







    หึ สม เจอบ้างเถอะมึง








    พวกผมเรียนคาบเช้าเสร็จก็มาซ่องสุมหัวกันที่โต๊ะเก่าเวลาเดิม ณ สถานที่เดิมใต้ต้นหูกวางหลังตึกศิล สถานที่ที่พวกผมสามารถแสดงความเป็นอมนุษย์ ความไม่เต็มออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชนทั่วไป








    มหาลัยผมมีต้นไม้เยอะ(มากกกก)มันก็ร่มรื่นเย็นสบายดี แต่ตึกคณะของพวกผมยิ่งกว่านั้นอีกครับ บางครั้งก็ให้อารมณ์เหมือนมาเรียนกลางป่าดงดิบในถ้ำฤษี วิเวกวังเวง สมแล้วที่พวกสติไม่ดีจะมารวมตัวอยู่ที่นี่ ถัดไปก็เป็นคณะสถาปัตซึ่งก็ไม่ต่างกันเลย
     







    และตอนนี้เพื่อนๆผมกำลังแย่งกล้วยกันกินครับ บรรยากาศโต๊ะจีนลิงเป็นยังไงพวกมันก็แบบนั้นเลย ที่สำคัญไม่ใช่กล้วยเป็นหวีนะครับ เป็นเครือ มันไปเอามาจากไหนวะ สงสัยไปแอบตัดหลังตึกศิลเก่า เดี๋ยวก็โดนน้ายามตามมาปาดคอหรอกพวกมึง





    นอกจากจะแย่งกันแล้วพวกมันยังเซ็ตฉากว่ากล้วยคือคริสปี้ครีม อนาถได้อีก มีการต่อแถวรอฉีกกล้วยทีละคนซะด้วย โดยมีไอ้คิวแปลงร่างเป็นนักข่าวสัมภาษณ์ความรู้สึก








    “คุณหนึ่งมีความคิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ”







    “ครับ โดยส่วนตัวแล้วเนี่ยกระผมก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยนะครับ เพราะการแดกสังขยา สาคู เม็ดขนุนมาเป็นเวลาช้านานก็สมควรแล้วครับที่จะมีคริสปี้ครีมมาให้พี่ไทยได้ลิ้มลอง”







    “แล้วคุณหนึ่งได้ลองรึยังครับ”






    “ก็มีโอกาสแล้วครับ ไปยืนรอจนกูดอแข็ง”







    “ฮ่าๆๆมึงอยากแดกเองหรือคำสั่งเมียไอ่สัด”






    “กร๊ากกกก”





     “เออ มึงรู้มั้ย กูบอกว่าจะพามันไปกินอย่างอื่นก็ไม่ยอมเว้ย ถ้าไม่ได้คริสปี้จะตายให้กูดู แม่งบ้า กูซื้อมาแปดกล่องเอาให้แม่งหาบขายเลยสัด”







    “ฮ่าๆนี่แหละน๊าเขาถึงว่า รักเด็กให้อดทน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายยิ่งต้องทนให้มาก”พวกมันก็บ้า เฮฮากันต่อไปจากหัวข้อคริสปี้ครีม ตอนนี้เปลี่ยนประเด็นมาเป็นคิวปี้ใคร ซึ่งอันนี้ได้รับความมสนใจกว่าเป็นไหนๆ






    แต่ละคนก็ลงความเห็นต่างกันไป มีทั้งปี้ไอ่ด่างข้างวัดเลียบ ไอ้ทุยเขาหัก และพอหนักๆเข้าพวกมันก็เอาเปลือกกล้วยมากองรวมกัน แล้วนั่งไหว้ขอหวย ช่วยบอกกูทีว่านี่คือนักศึกษาปัญญาชนปี
    2








     “ไอ่พีมกล้วยมั้ยมึง กูลงทุนชูหน้าหล่อๆแบกเครือนี้มาถึงคณะเลยนะเว้ย สาวมองกูตรึมคงคิดว่ากูโคตรเท่ห์ ฮ่าฮ่า มึงว่ามั้ยเพื่อน”เขาอาจจะคิดว่ามึงบ้าก็ได้นะคิว คนปกติที่ไหนจะมาเดินแบกกล้วยกลางมหาลัย







    “กินไปเหอะ บุหรี่ตัวดิ๊”





    “เป็นไรวะ วันนี้สามมวนแล้วนะมึง เมนมา อยากมีผัว หรือเมียจะคลอด”






    “มึงจะเอาให้กูดีๆ หรืออยากแดกส้นตีนกูก่อน เอามา”มันบ่นงึมงัมๆแต่ก็ยอมตะโกนขอบุหรี่จากพวกเพื่อนๆมาให้ มีของแถมเป็นฮอลล์รสตะไคร้อีกต่างหาก








    ผมนั่งดูดบุหรี่มองพวกเพื่อนเวรทั้งหลายที่เลิกแย่งกล้วย แล้วหันมาแปรสภาพสนามบาสเป็นสนามฟุตบอลผมมองพวกมันเล่นบอลด้วยทักษะปัญญาอ่อนสลับกับมองควันขาวๆที่ตัวเองพ่นออกมา





    ทั้งที่พยายามไม่คิด ทั้งที่บอกตัวเองให้ตัดใจจากความรู้สึกทั้งหลาย แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ซักอย่าง ผมยังคิดถึงมัน ยังมีหน้าหล่อๆของไอ้ภูมิแวะมาทักทาย และยังมีท่าว่าจะหนักกว่าเดิม






    แม่งเอ๊ย จะทำยังไงดีวะ







    ผมยังจมอยู่กับประโยคเดิมๆถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมถึงชอบมัน หรือที่ว่ารักไม่มีเหตุผลจะจริง  มันเกิดขึ้นได้ยังไงผมก็ยังงงตัวเองอยู่ หึ แม่งน่าสมเพชสิ้นดี ริจะเจอคนที่ใช่ก็ดันเป็นผู้ชายซะงั้น แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสมหวังอีกต่างหาก สัมปทานไร่แห้วตั้งแต่เริ่มเลยกู









     
    “เชี่ยพีม”






    “มีไรมึง เลิกเตะแล้วหรอวะ”ไอ้คิวนั่งลงข้างๆผม หน้าขาวๆของมันแดงเพราะถูกแดดเลียแถมยังมีเหงื่อไหลเต็มหน้า เสื้อนักศึกษาก็เปียกแนบหลัง







    “มึงมีอะไรปิดบังกูใช่มั้ย”เอาแล้วไงกู เอาแล๊ว งานช้างเข้าแล้ว อยู่ดีๆไอ้คิวมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกถึงได้มาสแกนผมหรืออาการผมมันฟ้อง



    “หะ หืม ไม่มีนิ”ผมทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นไม่ลืมที่จะใช้ปลายตีนบี้ให้ไฟมอดดับ เอาไงดี ผีคิวเริ่มออกอาละวาดแล้วผมจะต้องทำยังไงถึงจะรอด





    “แน่ๆ กูว่าแน่ๆ บอกกูมา เร็ว”น่าน เสือกแม่นอีกนะมึง






    “อะไร๊  มึงเป็นไรมากมั้ยคิว กูจะมีอะไรให้ปิดวะ”หงุดเงี่ยน เอ๊ย หงุดหงิดกลบเกลื่อนครับ







    “อย่าตอแหลพีม มึงไม่รู้เหรอว่ามึงดูออกง่ายโคตร”ก็เพราะว่ารู้นี่แหละกูเลยต้องใช้วิชามารพลางแววตา






    “ไอ่นี่ กูบอกไม่มีก็ไม่มีสิวะ แม่ง”






    “เออ ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ใช่ซี้ กูมันก็แค่เพื่อนนิ ชิ”พอด่าผมเสร็จ ไอ้คิวก็ปัดตูดไปเล่นบอลต่อ เอ๊า อะไรของมันไอ้นี่ เดี๋ยวผีเข้าผีออก เป็นแบบนี้บ่อยๆกูอาจหัวใจวายตายได้นะมึง






    ผมได้แต่มองตามหลังไอ้คิว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้มันรู้เรื่องนี้ ทั้งที่ผมกล้าคุยเปิดอกกับไอ้เบียร์แต่กับไอ้คิวไอ้แทนไอ้เชนผมไม่อยากให้พวกมันรู้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเรื่องบางเรื่องมีไว้พูดกับคนบางคนหรือเพราะผมกลัวอะไรกันแน่
     
     


             






                                         ……………………………………….
     
     










    “ฮัลโหล ครับอาปุ้ย”





    (น้องพีม น้องพีมเลิกเรียนกี่โมงลูก)





    “เดี๋ยวก็เลิกแล้วอา ตอนนี้อาจาย์พักเบรคคงซักห้าโมง อาปุ้ยมีไรครับ”





    (อาต้องไปสัมมนาที่กระบี่สามวัน อาก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อกี้เอง เลยไม่ได้บอกพีม พีมอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่มั้ย)






    “โห่ นึกว่าเรื่องอะไร ทำอย่างกับว่าอาอยู่กับพีมบ่อย”





    (นี่ไอ่หลานตัวดี ที่อาไม่อยู่บ้านเพราะอาต้องไปทำงานย๊ะไม่ได้หายไปเมาหัวราน้ำอย่างแก)






    “เหรออออครับ”





    (ไอ่พีม อย่าๆ ตกลงว่าอยู่ได้นะ จะชวนพวกน้องเชนน้องแทนมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ แต่ขวดเหล้ากินแล้วก็เก็บๆซะบ้าง)






    “โห่ เหล้าเล้อที่ไหนไม่มีเหอะ พวกพีมไม่กิน อามั่ว”





    (หรอย๊ะ พวกแกไม่กินหรอก ลงอาบลงแช่เอา เรื่องกับข้าวอาบอกหนิงมันไว้แล้ว”





    “ครับ ไม่ต้องห่วง พีมดูแลตัวเองได้”





    (จร้าๆพ่อคนเก่ง งั้นเจอกันวันพุธนะหลานรัก)





    “ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับอาปุ้ย”
     







    ถือเป็นเรื่องปกติที่ผมจะอยู่บ้านคนเดียวสามสี่วันในหนึ่งเดือนเพราะอาต้องเดินทางไปนู่นไปนี่ตามหน้าที่การงาน รู้สึกเหมือนผมไม่เคยเล่าอัตชีวประวัติให้ฟังใช่มั้ยครับ งั้นก็เล่าซักหน่อยเป็นไง ถือซะว่าฆ่าเวลาระหว่างรออาจารย์พักเบรค งั้นขยับมาใกล้ๆนะครับ
     






    ผมนายพีมเป็นคนเมืองกรุงโดยกำเนิด พ่อเป็นคนกรุงส่วนแม่เป็นสาวชาวเหนือ มาป๊ะกันได้จะไดนั้น มันเป็นเพราะคุณแม่ของผมถูกคุณตาจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับลูกชายเถ้าแก่โรงสี ซึ่งตามความนิยมของสมัยนั้นแม่ผมต้องยอมเพราะลูกสาวไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ห้ามมีความคิดเป็นของตัวเอง พ่อแม่ว่าคำไหนก็รับคำนั้นไป






    แต่บังเอิ๊ญบังเอิญว่าแม่ผมท่านเป็นสาวซ่าส์ นางแรง ไม่ยอมแต่งเลยหนี โบกมือลาตำแหน่งลูกสาวกำนันเข้ากรุงเทพมาเป็นสาวโรงงาน จนพรหมลิขิตบรรดาลชักพาให้มาเจอกับพ่อผมที่มีตำแหน่งลูกชายเจ้าของโรงงาน เข้าตำราลูกสมภารกินไก่วัด







    หลังจากพ่อเรียนจบติดดาวเป็นนายร้อยตามหวัง แม่ก็พาพ่อไปกราบตานับวันเวลาผ่านไปได้เก้าเดือนผมก็ออกมาลืมตาดูโลก อะไรนะครับ มันละเอียดไปหรอ เอาน่าผมเป็นพวกใส่ใจในรายละเอียด






     ผมใช้ชีวิตที่กรุงเทพจนถึงป
    .3 ด้วยความที่พ่อเป็นตำรวจ ความแน่นอนที่สุดของอาชีพนี้คือ โยกย้าย โยกย้าย ส่ายสะโพกโย้กย้าย (มึงจะฮากันอีกนานมั้ย)







    พ่อก็ย้ายไปรับตำแหน่งที่ลำปาง ผมกับแม่เลยต้องตามไปด้วย จนผมอยู่ ป
    .6 เหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดในชีวิตของผมคือการสูญเสียพี่ชาย แม้พี่พัทจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของผม พี่พัทเป็นลูกพี่ลูกน้องแต่พวกเราก็รักและสนิทกันมาก








    ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจคำว่าตาย แต่ใครๆก็เอาแต่บอกว่าพี่พัทไปเที่ยวที่ไกลๆและคงไม่กลับมาเล่นกับผมอีก จนผมกลายเป็นโรคซึมเศร้า พ่อก็เลยตัดสินใจย้ายกลับมาที่กรุงเทพเพราะไม่อยากให้ผมเหงา ช่วงนี้แหละครับที่ผมได้รู้จักไอ้เพื่อนสี่ตัวในรั้วโรงเรียนชายล้วน








     เราใช้ชีวิตที่กรุงเทพกันอย่างหรรษาฮาเฮตามแบบฉบับครอบครัวสติเฟื่อง จนผมอยู่ ม
    .5แม่ก็เกิดไอเดียอยากกลับไปลัลล๊าที่บ้านเกิด บวกกับคุณพ่อก็เบื่อมหานคร อยากไปดมดอมอากาศอันแสนบริสุทธิ์กลางป่าดงพงไพรเลยขอทำเรื่องย้าย






     จุดไคลแม็กมันอยู่ตรงนี้ครับ พ่อบอกว่าอีกไม่นานผมก็ต้องเอ็นทรานซ์ และเพื่อให้ผมได้เป็นผู้ชายที่แข้มแข็ง ได้แสดงความเป็นลูกผู้ชายตัวจริงกระทิงแดง ควรให้ผมลีฟอโลน จงอยู่ที่นี่คนเดียวไปซะ พ่อกับแม่จะบินหลา แว้กกกก






    ผมที่ติดแม่ก็ถึงกับหน้ามืดโวยวายเหมือนถูกสั่งประหารหัวสุนัข จะไม่ยอมท่าเดียว ยังไงก็จะไปอยู่เชียงใหม่ จนพ่อควัก
    .38ออกมาขู่ ถึงยอมลงเป็นอันว่าทั้งสองท่านก็ได้มุ่งสู่ชีวิตคู่และปล่อยผมไว้ตามยถากรรม








    โนนนนว เปล่าหรอกครับ ผมไม่ได้อยู่คนเดียว ผมอยู่กับอาปุ้ยน้องชายแท้ๆของพ่อที่ได้กลายเป็นน้องสาวตัวอ้วนขาวจั๊ว อาปุ้ยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาเอกชนแห่งหนึ่ง อาปุ้ยดูแลผมดีมากๆเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งเพื่อน พ่อซื้อที่ปลูกบ้านใหม่พร้อมกับเปิดร้านกาแฟให้อาเป็นค่าตอบแทนที่คอยดูแลผม








    ผมกับอาปุ้ยอาศัยใช้ชีวิตในบ้านสีขาวน่ารักที่ร่มรื่นมาก บรรยากาศแบบบ้านสวนสีเขียวขจียิ่งกว่าป่าดิบชื้นเพราะมีทั้งพวกมอส พวกเฟิร์นข้าหลวงไอ้ที่ใบใหญ่ๆไหนจะพลูด่างยักที่เลื้อยพันต้นกฤษณาเหมือนอนาคอนด้าในยุคจูราสิกปาร์ค จนผมหวั่นใจว่าจะมีไดโนเสาร์โผล่มางับคอเราสองคนอาหลาน







    บ้านผมต้นไม้เยอะมากบางครั้งก็เหมือนอยู่กลางสวนองคชาต เอ๊ย สวนรุกขชาติ เรียกว่าถ้าแดดส่องถึงหลังคาบ้านวันไหนผมแทบจะจัดงานฉลองเลยทีเดียว ข้อดีของการมีต้นไม้ล้อมรอบทั่วบ้านนอกจากจะร่มรื่น มองแล้วทำให้เรารู้สึกสดชื่น มันยังเป็นแนวป้องกันเสียงโวยวายเวลาผมพาเพื่อนมากินเหล้าที่บ้าน ไม่ให้เล็ดลอดไปรบกวนชาวบ้านชาวช่องมากนัก
    ^__^








    อาปุ้ยเป็นคนรักต้นไม้ รั้วบ้านยังเป็นรั้วพุ่มไม้เลยครับ แต่ถัดเข้ามาจะมีรั้วเล็กๆสีขาวสูงเหนือเข่าล้อมบ้านไว้อีกชั้น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไว้เพื่อ
    ? และงานประจำของผมคือต้องตื่นมารถน้ำต้นไม้ ดอกไม้หน้าตาน่ารัก จนบางทีผมนึกว่าตัวเองอยู่บ้านการ์ตูน เหตุผลที่อาทำทุกอย่างให้คิขุโนะเนะ คือ “น้องพีมจะได้ไม่เบื่อไงลูก” ^^









    นี่แหละครับชีวิตผม ละเอียดยิ่งกว่าทรายซาอุ
     
     








    “พีม เลิกเรียนแล้วไปบ้านมึงนะ คิดถึงเอสเปรสโซ่เข้มๆวjะ”





    “เออ ไปดิ ค้างก็ได้ อาปุ้ยไม่อยู่”





    “วะ วะว้าวววว ดีเลยๆคราวทีแล้วเหล้าเหลือใช่มั้ยวะ งั้นกูโทรบอกไอ้เชนให้มันซื้อโซดามานะ”





    “สัด พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”เมื่อกี้มันบอกว่าคิดถึงเอสเปรสโซ่ หึ คิดถึงพี่เบนกับลุกจอร์นก็บอกมาเหอะ






    “ไรว๊า ไม่แนวๆ มีเรียนก็ตื่นมาเรียน กินเหล้าก็ส่วนกินเหล้า”






    “ไม่ต้องเลย มึงไม่เคยตื่นมาเรียนได้หรอกคิว ไว้วันศุกร์ค่อยกิน”มันทำหน้าฟึดฟัดขัดใจอยู่ซักพัก อาจารย์ก็เริ่มสอนต่อ จริงๆวิชาประวัติศิลปะตะวันตกมันต้องเรียนวันศุกร์ แต่ศุกร์ที่แล้วคณะจัดนิทรรศการภาพถ่ายผลงานของพวกเด็กปีหนึ่ง พวกผมเลยไม่ได้เรียน อาจารย์เลยขอสอนเสริมวันนี้ หึ ครูไทยใจเกินร้อย ขยันที่สุดในโลกา



     
     
     
     
                          ……………………………………..
     
     







     
     
    ตอนแรกไอ้คิวจะมาร้านพร้อมผม แต่มันดันทะเลาะกับแฟนเลยต้องไปหาแฟนก่อน โดยเอารถผมไปครับ ตอนพวกมึงสุขกูก็ไม่ได้ร่วมเสพย์ แต่พอมึงทุกข์ทำไมต้องมาเดือดร้อนกูด้วยวะ







    ผมมาถึงบ้านไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดรองเท้าได้ก็เดินลัดเลาะแมกไม้ไปรอไอ้คิวที่ร้าน เพราะร้านอยู่หน้าบ้านมีทางเดินเล็กๆเชื่อม มีซุ้มดอกกระดังคาโค้งเป็นหลังคาตลอดทางด้วยนะ เพราะคุณนายปุ้ยจะไม่ยอมโดนแดดเลยครับ








    “พี่หนิง หวัดดีคร้าบบบบ”ผมทักทายพี่หนิงที่เป็นทั้งผู้จัดการและบาริสต้ามือทองของร้าน วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะแฮะ มีลูกค้าประจำสองสามโต๊ะ แล้วก็น้องๆผู้หญิงม
    .ปลาย ที่มาทานเค้ก ทานนมรอเรียนพิเศษ






    "อ้าว น้องพีม ไม่เจอหน้าตั้งหลายวัน หายไปไหนมาคะ"






    “คิดถึงพีมอ่ะดิ พี่อ้อมหวัดดีคร้าบ”ผมหันไปสวัสดีพี่อีกคนที่ถือถาดบราวนี่กลิ่นหอมออกมา







    “ว้าวสุดหล่อ ว่าไงคะ ไม่เห็นหน้าสามวัน เรียนหนักหรอน้องพีม”พี่อ้อมผู้อยู่เบื้องหลังเค้ก คุกกี้และขนมอร่อยๆหน้าตาน่ารักในร้าน เธอยิ้มสดใสทักทายผมเช่นกัน






    พี่หนิงกับพี่อ้อมอยู่มาตั้งแต่อาปุ้ยเปิดร้านใหม่ๆจึงไม่แปลกที่ผมจะสนิทกับพวกเธอ เหมือนเป็นพี่สาวน้องชายมากกว่าเจ้านายกับลูกจ้าง







     ส่วนพนักงานเสิร์ฟในร้านอีกสี่ห้าคนก็เป็นกันเอง แต่ยังไม่ทันได้สนิทก็ลาออกรับคนใหม่เข้ามา ทั้งที่ร้านก็เงินดีแต่เค้าคงชอบงานโรงแรมหรืองานภัตคารมากกว่าละมั้ง
     






    “ก็นิดหน่อยครับ” เรียนไม่หนักหรอกครับ แต่โดนจิกหัวใช้เวลาจะหายใจยังแทบไม่มี





    “คงหนักมากสิ บ้านกับร้านห่างกันสามก้าว ยังไม่ยอมเดินมาหา พี่อุตส่าห์ทำเค้กรอ”





    “โอ๋ๆๆพีมยุ่งจริงๆ แต่วันนี้ก็มาช่วยพี่อ้อมแล้วไงครับ ไหนๆเอาผ้ากันเปื้อนมาจะช่วยเสิร์ฟ”







    “พี่ล้อเล่นน้องพีมก็ อะ น้องคิวมานู่นแล้วคะ”เสียงกรุ๊งกริ๊งของโมบายตรงประตูดังขึ้นพร้อมกับไอ้คิวที่เดินหน้าหล่อเซอร์  เสื้อนักศึกษากางเกงยีนส์อีแตะเข้ามาในร้าน แต่แค่นี้ก็เป็นที่สนใจของพี่สาว น้องสาวแล้ว







    ภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ใช้โทนสีขาวทั้งร้าน บวกกับภาพวาดฝีมือผม แม้มันจะไม่เข้ากันนักเพราะส่วนมากผมชอบวาดรูปทะเล ท้องนา ผืนฟ้า แผ่นน้ำแต่อาปุ้ยก็ยังให้เอามาเป็นส่วนหนึ่งในการตกแต่งร้าน ลูกค้าที่เข้ามานั่งจิบกาแฟมองไปเห็นแก้วกาแฟและทุ่งนาพร้อมกัน คงมีสับสนในอารมณ์ตัวเองบ้างละวะ







    ส่วนด้านนอกเป็นบรรยากาศร้านกาแฟในสวนสวยร่มรื่น สมกับชื่อ ร้านสวนกาแฟ เพราะอาเป็นคนที่รักธรรมชาติมาก ผมเองก็ชอบบรรยากาศสีเขียวสดชื่นของแมกไม้ แว่วเสียงสายน้ำ เสียงนกร้อง เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มด่ำกาแฟกลางธรรมชาติและต้นไม้ใบหญ้า







    นอกจากกาแฟที่ร้านจะมีรสชาติถูกปาก ขนมอร่อยเป็นที่ถูกใจของงลูกค้า บรรยากาศของร้านยังถือเป็นจุดขายที่สำคัญ ลูกค้าที่มาก็ได้ทั้งพักสมองผ่อนคลายอารมณ์ ได้รับอากาศสดชื่นบรรยากาศร่มรื่นที่หาได้ยากในเมืองที่แสนวุ่นวายแห่งนี้










    ถ้าใครว่างๆก็อย่าลืมแวะมาอุดหนุนกันบ้างนะครับ
    ^^
     









    ไอ้คิวมันยักคิ้วเป็นการทักทายผมก่อนจะโปรยยิ้มแผ่เสน่หาคาริสม่าของมัน มึงทะเลาะกับแฟนจริงรึเปล่าวะ มันทักทายพวกพี่ๆด้วยความสนิทสนมผสมกะล่อน ก่อนที่เราจะขอตัวไปนั่งข้างนอกใกล้ๆน้ำตกสาริกา กร๊ากกก จริงๆมันเป็นน้ำตกจำลองครับ







    “กินไรมึง" ผมยืนค้ำหัวถามไอ้คิว






    "ส้มตำ ลาบเป็ด ข้าวเหนียวแล้วก็ต้มแซ่บ"






    "สัด นี่ร้านกาแฟ" ผมยิ้มขำแล้วผลักหัวไอ้คนที่นั่งดูเมนูอมยิ้มไปด้วย กวนตีนทุกเวลาจริงๆ







    "อันนี้รสชาติเป็นไงวะมึง" มันชี้รูป ไอซ์มอคค่า อืม ผมชอบกาแฟลาเต้มากกว่า แต่มอคค่าก็นุ่มลิ้นดีถ้าคุณเป็นคนที่ชอบกลิ่นกาแฟผสมช๊อกโกแลตน่ะนะ ปกติไอ้คิวมันจะดื่มเอสเปรสโซ่เข้มๆแต่วันนี้กระแดะมั้ง







    ไอ้คิวมันเป็นลูกค้าประจำของร้าน มันสนิทกับพี่ๆที่ร้าน ก็พวกผมเป็นเพื่อนกันมากี่ปีละ มันมาร้านนี้กี่พันครั้งแล้วก็ไม่รู้ อ่อ ไอ้เพื่อนอีกสามตัวก็เหมือนกัน
     






    "ไม่รู้ แดกที่มึงเคยแดกนั่นแหละ"







    "พูดจากับลูกค้าดีๆหน่อย เดี่ยวบอกผู้จัดการไล่ออกเลยสัด"







    "เสียใจ กูหลานเจ้าของร้านเว้ย" ผมชอบมาขลุกอยู่ที่ร้าน มานั่งเขียนรูปมุมนั้นมุมนี้บ้าง บางครั้งก็หอบรายงาน หอบคอมฯมานั่งทำ ส่วนเรื่องช่วยก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ เคยพยายามที่จะชงกาแฟแล้ว แต่เป็นอะไรที่กากมาก แก้วแตกไปเกือบโหล รสชาติแบบว่าเลียเสาหินยังรู้สึกดีกว่า








    ก็เลยผันตัวเองมาคอยช่วยเก็บโต๊ะ ช่วยเสิร์ฟบ้าง รับลูกค้าบ้าง แม้พี่ๆในร้านจะบอกว่าแค่น้องพีมนั่งเฉยๆก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆหรือมีนัยแอบแฝงว่า มึงอยู่เฉยๆเห้อ






    "อืม เอาอันนี้แหละ"





    "แค่นี้หรอ เอาเค้กด้วยดิ พี่อ้อมได้สูตรมาใหม่นะมึง ลองๆ"






    "มึงเลี้ยงป่ะเนี่ย"






    "เออ ถามมาก ไม่ต้องแดก" ผมดึงเมนูออกจากมือไอ้คิวแล้วเอาเคาะหัวมัน คนจะเลี้ยงทำเป็นลีลา จริงๆไอ้คิวมันก็กินฟรีตลอด ก็ใครจะเก็บตังค์เพื่อนรักของหลานเจ้าของร้านละครับ
    ^^









    "พี่หนิงสุดสวยคร้าบ ไอซ์มอคค่าไม่ใส่วิปปิ้ง เค้กส้มแล้วก็
    …."





    "ล้าเต้ร้อนใช่มั้ยคะ"





    "ถูกต้องนะคร้าบบบ รู้ใจพีมอีกแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่หนิงหมั้นแล้ว พีมจีบนะเนี่ย"





    "ปากหวานไปทั่วแหละน้องพีม เจ้าชู้แบบนี้พี่ไม่ชอบหรอก"






    "โหยย เจ้าชู้ที่ไหนกัน พีมออกจะจริงใจ" พี่หนิงยิ้มให้ผมก่อนจะไปทำหน้าที่บาริสต้าหลังเครื่องชงกาแฟ พี่หนิงเป็นบาริสต้าที่เก่งมาก อาร์ตลาเต้แต่ละถ้วยที่พี่หนิงทำเรียกว่ามาจากหัวใจเลยละครับ ส่วนฝีมือการทำขนมของพี่อ้อมก็หาตัวจับยากเพราะพี่อ้อมถนัดทั้งขนมเทศขนมไทย






    "อ้าวน้องพีม มาตั้งแต่เมื่อไรคะ"






    "โหยอะไรกันครับคนสวย ผมมาตั้งนานแล้ว น้อยใจวะไม่เห็นเรา"






    "แหม น้องพีม ก็พี่ไปเสิร์ฟลูกค้าข้างนอกนิคะ แล้วน้องแทนมามั้ยอ่ะ"





    "ยัยแนน" พี่หนิงเรียกน้องสาวเสียงดุแต่พี่แนนหันมายิ้มซุกซนให้ผม พี่แนนเธอปลื้มไอ้แทนครับ มาร้านทีไรสองคนนี้ก็แซวกันตลอด ก็แค่เล่นๆขำๆเพราะพี่แนนมีแฟนแล้ว พี่แกคงเห็นว่ามันหล่อเลยเอ็นดูละมั้ง แต่ไม่แน่นะถ้าไอ้แทนมันพาแฟนมา พี่แนนอาจจะชอบแฟนไอ้แทนก็ได้ หึหึ







    "ไอ้แทนไม่มาครับ มาแต่ไอ้นั่นอ่ะ ดูแก้ขัดก่อนดิพี่" ผมเท้าศอกพิงหลังกับเคาร์เตอร์ พยักหน้าบุ้ยปากไปทางไอ้คิวที่กำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่นอกร้าน ตอนนี้ไอ้คิวแทบจะมุดเข้าไปในโทรศัพท์ตะโกนใส่หูคนปลายสาย มันคุยกับใครวะ







    "หล่อขั้นเทพอย่างน้องคิวพี่ไม่ชอบหรอกคะ พี่ชอบหล่อใสๆแบบน้องแทนมากกว่า"พี่แกหัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้าหลังร้าน







    "ได้แล้วคะลาเต้ร้อน ไอซ์มอคค่าแล้วก็เค้กส้มของน้องพีมสุดหล่อ"





    "ขอบคุณคร้าบ เดี๋ยวกินเสร็จพีมมาช่วยนะ"






    "ตามสบายเถอะคะน้องพีม ไม่ต้องช่วยหรอก"
     








     
    "อ่ะมึง"ผมวางแก้วกาแฟกับจานเค้กลง ไอ้คิวเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้ารับแล้วก็คุยโทรศัพท์ต่อ ผมทำปากพะงาบๆถามมันว่าคุยกับพี่เจนหรอมันส่งเสียงอือในลำคอ





    “ผู้หญิงที่ไหนเจน คิวอยู่กับเพื่อน”




    “เฮ้ย พูดอะไรก็เชื่อกันบ้างดิ อย่าชวนทะเลาะ”
     



    “อยู่กับไอ้พีม เจนจะฟังเสียงมันมั้ย”ผมเงยหน้าจากแก้วลาเต้อุ่นๆหอมๆขึ้นมามองเพราะได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา หน้าไอ้คิวหงิกได้ ผมก็ได้แต่นั่งฟังมันไปเรื่อยๆปัญหาของตัวเองยังไม่มีปัญญาแก้ จะเอาสมองที่ไหนไปช่วยเพื่อนแก้ปัญหา




    “ถ้าคิวเลวแล้วเจนทนทำไม ทำไมไม่ไปรักคนดีๆ”




     
    “คิวไม่ได้ไล่ จึ๊บ อย่าร้องไห้ดิ”มันเริ่มดราม่าขึ้นทุกทีๆแล้วครับ มันจิ๊ปากส่งเสียงขัดใจไม่เว้นเลย เหมือนฝั่งสาวเจ้าจะเริ่มเล่นบทโศก ผู้ชายเลวๆอย่างมันสุดท้ายก็มาตายเพราะน้ำตาผู้หญิงทุกที ใจนึงผมก็สงสารพี่เจนนะ ที่พี่เค้าทนเจ็บอยู่แบบนี้ก็คงเพราะรักไอ้คิว








     แต่บางทีพี่เจนก็น่าจะคิดได้ว่าที่ถืออยู่มันคือไฟรู้ว่ามันร้อนมันอันตรายก็ควรจะปล่อยมือ ตัดใจแล้วหันมารักตัวเองดีกว่า มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถของมนุษย์นะผมว่า







     สร้างยานอวกาศยากกว่านี้หลายล้านเท่าเขายังทำได้ แค่เลิกรักคนที่เขาไม่รักเราก็น่าจะทำได้อาศัยความตั้งใจและเวลาอีกนิดหน่อยน่าจะเวิร์คนะ
     





    “เจนเลิกร้องไห้ ก็ได้ๆเดี๋ยวคิวไปหา อืม แค่นี้ก่อนนะ” ไอ้คิวกดวางสายพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันซัดน้ำเปล่าที่ผมยกมาให้หมดเกือบครึ่งขวด ร้อนหรือคอแห้งวะเพื่อน





    “ไงมึง”



    “เลิก!!! กูจะบอกเลิกเจนวันนี้ แม่งเซ็งโว๊ยยยย เดี๋ยวกูคบผู้ชายเลยสัด”





    “แค่ก แค่ก เชี่ย มึงพูดไรวะ”




    “ทำไมวะ ทีไอ้แทนกับไอ้ฟ่างมันยังคบกันได้เลย มึงไม่รู้อะไรพีม มึงว่าพวกกูเจ้าชู้เสือผู้หญิง มึงเจอไอ้ฟ่างนะพวกกูเด็กๆเลยเหอะ แล้วไง มันยังกลายมาเป็นเมียไอ้แทนเลย”มึงอย่าพูดเป็นเล่นไป เดี๋ยวผีผลักจะซวยเอาได้นะเพื่อน





    “แล้วมึงจะไปเป็นเมียใคร เป็นเมียกูหรอ หึหึ”มันเหยียดปากมองผมแบบดูถูกดูแคลน






    “อย่างกูไม่มีวันลดตัวลงไปเป็นเมียใครโว๊ย อีกอย่างพูดแล้วอย่าโกรธนะพีม มึงหน้าตาน่ารักก็จริง แต่มึงเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งสุดท้ายบนโลกที่กูคิดจะผสมพันธุ์ด้วย ฮ่าฮ่า”




    เกิดมาไม่เคยรู้สึกเสียเซลฟ์มากเท่านี้มาก่อนในชีวิตครับ ไอ้คิวที่ขึ้นชื่อว่าคลำไปไม่มีหางมันฟันหมดยังไม่แลเหลียวผมเลย มันหัวเราะชอบใจทั้งที่เค้กเต็มปาก มึงเปลี่ยนโหมดอารมณ์เร็วมาก




    “คิว มึงคิดยังไงเรื่องไอ้แทนวะ”อยู่ๆผมก็อยากรู้แต่ก็กลัวในเวลาเดียวกัน ผมอยากรู้ว่าไอ้คิวมันคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้





    “คิดอะไรยังไง ไอ้ที่มันคบกับไอ้ฟ่างนะหรอ





    “อืม”




     “กูก็ตกใจสิ มึงสนิทกับไอ้แทนใช่มั้ย แต่กูสนิททั้งไอ้แทนทั้งไอ้ฟ่าง แล้วแม่งวันก่อนกูยังเห็นมันแดกเหล้าเอาหญิง เห็นมันวิ่งเตะกัน พอมาอีกวันมาบอกว่าได้เสียเป็นเมียผัวกันซะแล้ว เฮอะ กูอยากจะชกหน้าแม่งซักหมัด”




    “มึง โกรธมัน”




    “โกรธดิ โกรธที่ไอ้แทนไม่เลือกมึงแต่เลือกไอ้ฟ่าง”





    “เชี่ยคิว”





    “ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรนะพีมนะ เดี๋ยวกูหาผู้ชายดีๆคนใหม่ให้”ไอ้คิวตบโต๊ะปล่อยฮาและก้มลงดูดมอคค่าด้วยกิริยาสถุน โบราณว่าอย่าถือคนบ้า ผมเลยต้องบอกตัวเองว่าอย่าถีบหน้ามัน






    “แล้วถ้า
    …วันนึงกูเกิดเรื่องแบบไอ้แทนละ มึงจะว่าไง”




    “หมายถึงมึงจะมีแฟนเป็นผู้ชายนะเหรอ”






    “ก็ ประมาณนั้น”




    “นั่นแหละคือความตั้งใจสูงสุดในชีวิตกู กร๊ากกก เอาเลยกูสนับสนุน ฮ่าฮ่า กูขอแนะนำไอ้ภูมิ” ลาเต้แทบออกจมูกครับ ทำไมต้องไอ้ภูมิวะ ไอ้คิวมึงแทงใจดำกู






    “สัด ตกลงมึงจะบอกเลิกแฟนช่วงลอยกระทงเลยใช่มั้ย”ผู้นำด้านการเปลี่ยนเรื่องต้องยกให้เขาละ นายพีมมือวางอันดับหนึ่งแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา







    “เออ เก๋าดี ไทยๆ
     เชี่ยพีม กูมีเรื่องจะถามเหมือนกัน กูสงสัยมานานแล้วมึงไม่ชอบไอ้ภูมิหรอวะ
     







    พรวดดดดด   แค่ก แค่ก
    คราวนี้ลาเต้พุ่งออกทั้งปากทั้งจมูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
     






     “เฮ้ย อะไรวะ ถามแค่นี้มึงถึงกับพ่นลาเต้ใส่หน้ากูเลยหรอ”





    “ทำไมมึงถามแบบนั้นวะ” มันยักไหล่




     
    “ก็เวลามึงเจอไอ้ภูมิที่ไร มึงดูเงียบๆหน้าก็หงิก ทำไมวะหรือเป็นเพราะเรื่องศึกรักแรกพบ”






    “สัด มึงเอาอะไรมาพูด กู ก็ ก็ปกติ”ไม่ใช่กูไม่ชอบมัน แต่กูชอบมัน
     




    “ มีใครว่ามึงไม่ปกติรึไง อย่างมากก็แค่โรคจิตอ่อนๆฮ่าฮ่า”





    “ถ้ากูโรคจิต มึงก็วิตถารแล้วเหอะ”
     



     “เออๆไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ยังไงก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น ไอ้ภูมิมันก็ไม่ได้ทำอะไรมึง….หรือมันทำ”ไอ้คิวหรี่ตาโน้มตัวข้ามโต๊ะ ยื่นหน้ามาจ้องตาผม ผมก็ชักจะเริ่มหลุกหลิกอยู่ไม่นิ่ง กูอยากร้องไห้ T_T






    “เปล่า ก็คนเพิ่งรู้จักกัน จะให้คุยอะไรวะ”




    “แน่นะ”




    “เอ๊อออ มึงเซ้าซี้วะคิว กูปวดฉี่ เดี๋ยวมา” ไม่ได้ปวดฉี่แต่อยากหลบหน้าไอ้คิว แม่งถามตรงประเด็นชิบหาย
    ผมเลี่ยงไปทำใจ คุยเล่นกับพวกพี่ๆนิดหน่อยตั้งสติได้เลยกลับมาหามัน ไอ้คิวกำลังกดโทรศัพท์ผมเล่น







    “พีม เมื่อกี้มีคนโทรมา”





    “ใครวะ”






    “ไม่รู้ เห็นชื่อเจ้านาย กูรับแล้วแต่แม่งไม่คุย”






     “ห๊า”ชิบโหง เจ้านาย ก็ไอ้ภูมิน่ะสิ มันไม่ได้บังคับผมให้เมมชื่อมันว่าเจ้านายหรอกครับ แต่มันเอาไปเมมเองเลย
    ถึงจะลบมันก็เอาไปเมมใหม่เลยปล่อยแม่งเลยตามเลย ส่วนมันจะเมมชื่อผมไว้ว่าอะไร ใครแฮกผ่านรหัสไอโฟนมันได้ ก็อย่าลืมมากระซิบบอกผมด้วยนะครับ







    “มึงตกใจอะไรวะ”




    “อ่อ  เปล่าๆพอดีเขาเป็นลูกพี่สาวแม่ของน้าสะใภ้ลุงกูน่ะ”เกิดไควชั่นมาร์คประมาณสามร้อยโหลบนหนังหน้าไอ้คิว







    “งั้นเดี๋ยวกูไปโทรศัพท์แปปนะ มึงแดกเค้กรอไปก่อน”
    ผมรีบวิ่งไปหลังร้าน หามุมสงบแล้วกดโทรออกหาเบอร์ที่รับล่าสุด พร้อมกับหัวใจที่เต้นโครมคราม แล้วกูจะตื่นเต้นทำไมวะเนี่ย แค่คุยโทรศัพท์เองนะพีม นอนร่วมเตียงกับมันมึงก็เคยมาแล้ว






    รอเสียงสัญญานดังสามสี่ครั้งก็มีเสียงดุๆทักทายผม






     (ทำไมไม่รับโทรศัพท์กู)





     “กูเข้าห้องน้ำ มึงมีไร”





    (ถ้าไม่มีอะไร เจ้านายจะโทรหาคนรับใช้ไม่ได้รึไง) ผมพอจะรู้แล้วว่ามันเมมชื่อผมว่าอะไร






    “เออ แล้วเจ้านายมีอะไรให้กระผมรับใช้ขอรับ” ชักหมดอารมณ์ยินดีเพราะเสียงโคตรกวนตีนของมันนี่แหละ






    (ดีมาก)




    “เชี่ยภูมิ มึงว่างมากหรอห๊ะ เอาเวลาไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียมึงไป”
    ดีกว่ามาปั่นหัวกูให้ใจกูสั่นเล่นๆ






    (หึหึ)





    “ขำไรวะ กูไม่ใช่ก่อนบ่ายคลายเครียดนะเว้ย”




    (มึงโกหกกู)






    “โกหกเรื่องไรวะ”ไอ้นี่แม่งเปลี่ยนน้ำเสียงและหัวข้อสนทนาเร็วเกินไปมั้ย กูตามอารมณ์ไม่ทันโว้ย
     





    (เรื่องที่มึงขับรถไม่เป็น)ป๊าดดดด กูนึกว่ามึงลืมไปแล้ว







    “ก็กู กูไม่ได้ตั้งใจ แล้วมึงเพิ่งนึกได้หรอวะ”ผมเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง
    ไอ้ภูมิมันรู้เรื่องตั้งแต่วันก่อนโน้นนน แต่เพิ่งมาทวงความผิด





    (มึงจะโดนไม่ใช่น้อยพีม)





    “เออ รู้”





     
    ………….…..” เงียบ






    (
    ……………….)และเงียบ
     




    (เลิกเรียนแล้วทำไมไม่มาห้องกู) อีกครั้งที่มันพูดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซอ ระนาดขิมอะไรทั้งสิ้น  แม่งนึกคึก นึกอะไรได้มันก็พูด กูก็งงเป็นนะมึง






    “อ้าว กูจะไปรู้เหรอ มึงไม่ได้บอกกูนี่หว่า”







    (แค่นี้ต้องให้บอก คิดเองไม่เป็นรึไงวะ หน้าที่น่ะหน้าที่)เสียงมันไม่มีความดุหลงเหลืออยู่ แต่เป็นน้ำเสียงกวนประสาทมาแทน





    “เออๆพรุ่งนี้กูจะทำโอทีชดเชยให้ ยันสว่างเลยมั้ย”







    (อย่าดีแต่ปาก)
    กูไม่ใช่บิ๊กแอส






    ………………..”ผมเงียบ






    (
    ……………………..)มันก็เงียบ







    (เงียบทำไม)





    “แล้วมึงเงียบทำไม”




    (ไม่มีไรจะคุย)






    “แล้วทำไมไม่วาง บ้านผลิตบัตรเติมเงินหรอมึง”พูดไปผมก็ต้องอมยิ้ม นึกหน้าไอ้ภูมิตอนนี้คงหงิกๆคิ้วขมวดอยากตบกบาลผมแน่ๆที่ย้อนมัน







    (ไม่ได้ผลิต แต่กูยังไม่อยากวาง) ไปแล้วววววววว ไปหาไอ้ภูมิแล้วใจไอ้พีม เจอประโยคนี้เข้าไปถึงมึงไม่ตั้งใจแต่กูขอคิดอะไรหน่อยก็แล้วกัน
     






    “ภูมิ”กูตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเก็บความรู้สึกไว้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ในเมื่อรู้ใจตัวเองขนาดนี้ ไอ้พีมขอเสี่ยงซักครั้งเถอะว๊ะ กูจะสารภาพความรู้สึกกับมึงภูมิ
     






    (มีไร)
     






    “มากินกาแฟบ้านกูมั้ย”
     















     
    TBC>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     



     
     
    ……………………………………………………
     









     
    :  แป่ว จะบอกทั้งทีมันต้องต่อหน้าสิคะถึงจะแมน วะฮะฮ่า  ตอนนี้มาแบบเบาๆปล่อยพีมเล่าวงเวียนชีวิตมันไป แต่อีกไม่นานของจริงกำลังมาแล้วนะคะ ส่วนตอนที่แล้วมีคนถามเรื่องเบียร์เยอะมาก
     
     เจ้ก็ได้ไปปลุกปล้ำ เค้นคอถามมาแล้วว่าตกลงเบียร์คิดซัมติงกับพีมรึเปล่า น้องเบียร์ถึงกับเหวอเลยคะ เบียร์บอกว่าแค่มีความรู้สึกดีๆให้ไม่จำเป็นต้องคิดในเชิงชู้สาว ก็คิดกับพีมแบบเพื่อนแค่นั้นเองคะ ไม่มีอะไรในกอไผ่ กอกล้วยแน่นอน เจ้คอนเฟิร์มมมม
     
    ตอนหน้าถึงตาน้องภูมิชี้แจงแถลงไขถึงเรื่องราวต่างๆบ้าง ปล่อยพีมรุกอยู่ฝ่ายเดียวท่าจะไม่ไหว อดทนรออีกไม่นานเกินรอ คลอเคลียแน่นอนคะ ^___^
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     


     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×