ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 แรกพบ จบกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 164.49K
      1.16K
      13 พ.ค. 64

     





    ตอนที่ 1


    แรกพบ จบกัน

     


    มองอะไรกันนักหนาวะ หน้ากูเหมือนบุพการีพวกมึงหรือไง หรือจะขอหวย ฮึ น้ำหน้าอย่างพวกมึงซื้อไปก็ไม่ถูกร้อก ไอ้พวกทาสกองสลากเอ๋ย หยุดมองได้แล้วโว้ย”                                                                                                                                                          

    แสบทรวงกันเลยละสิ สำหรับความประทับใจแรกที่ผมมอบให้ ต้องกราบขออภัยอย่างสูงและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะไม่ถือสา ผมไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายเลยนะ จริง ๆ สาบานได้ แต่มันยั้งปากไม่ทันเพราะความประหม่าตื่นคน อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่ผมต้องเดินผ่านฝูงชนที่ไม่คุ้นหน้าเพียงลำพัง ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งถ้าตกเป็นเป้าสายตามากกว่าห้าคู่ขึ้นไปด้วยแล้ว โอกาสที่ผมจะพ่นคำผรุสวาท จิกหัวแม่ซื้อออกมาสนทนาด้วย หรือพ่นคำพูดที่ไม่น่าฟังออกมาก็มักจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เหมือนอย่างที่เห็นนี่แหละครับ  ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ตอนนี้ไม่ได้มีดวงตาแค่ห้าคู่ แต่อาจจะเป็นร้อยน่ะสิโว้ย!


    ผมกำลังเดินผ่านลานหน้าตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ยามเที่ยงกว่า ๆ ที่มีบรรยากาศเหมือนวันที่พระสงฆ์มาชุมนุมกันหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูปเพื่อที่จะจะอะไรนะ เออนั่นสิ พระมาชุมนุมกันทำไมวะ ผมก็จำไม่ได้ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนผมอยากรู้มากกว่าว่าทำไมประเทศไทยถึงต้องผลิตว่าที่วิศวกรเยอะขนาดนี้ ไหนบอกเป็นประเทศเกษตรกรรม ทำไมมึงไม่ผลิตเกษตรกรเยอะ ๆ บ้าง


    ผมเป็นคนขี้สงสัย มีจินตนาการสูงและช่างสังเกต (เกินจำเป็น) เลยมักให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเสมอเมื่อผมกลายเป็นสิ่งรอบตัวของคนอื่นบ้าง ก็เลยนึกไปว่าตัวเองคงจะได้รับความสนใจจากคนอื่นเช่นเดียวกัน ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นมีใครว่างมาแยแสหรือเปล่าเถอะว่ากูกำลังเดินผ่าน แต่ละคนหน้าดำคร่ำเครียดกับของกินและตำราเรียนขนาดนั้นแต่เซนส์ผมบอกว่ามี มันก็น่าจะมีแหละ


    บอกแล้วว่าจินตนาการกูสูง              

                                                                                                                                                     

    ผมทำใจกล้า แอบเหลือบมองจากปลายหางตา แล้วก็ทันได้เห็นว่ามีนักศึกษาบางกลุ่มกำลังมองมาที่ผมจริง ๆ ด้วย แถมยังกระซิบกระซาบพากันยิ้มขำอีกต่างหาก แล้วผมควรจะทำยังไงดี ยิ้มตอบหรือแกล้งตาย อันไหนคือทางที่ดีที่สุดครับพระเจ้า ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังขำเรื่องอะไรกัน อาจจะขำโจทย์ข้อสอบฟิสิกส์อยู่ก็ได้ (สมัยมอปลายผมก็ชอบหัวเราะตอนที่แก้โจทย์ฟิสิกส์ เพราะทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้) แต่ไม่ว่าคนพวกนั้นจะกำลังหัวเราะเรื่องอะไรกันอยู่ คนทัศนคติดีอย่างผมก็ขอฟันธงไว้ก่อนเลยว่า 

    พวกมึงต้องเมาท์กูอยู่แน่ ๆ หน็อยแน่


    ผมอยากจะเงยหน้ามองให้เต็มตาแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ก้มหน้าบ่นงึมงำเหมือนหมีกินผึ้ง พร้อมกับเร่งจังหวะเดินให้เร็วขึ้นจนขาแทบขวิด เพื่อไปให้พ้นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้               

    การเป็นคนขี้ประหม่าไม่ใช่เรื่องตลก

                  


               “น้องครับ ชื่ออะไรเหรอ น่ารักจังเลย เพื่อนพี่คนนี้ชอบ”


    นั่นไง! ไม่เสียแรงที่หมอดูเคยทักว่าผมมีองค์ เซนส์กูแม่นดีจังกับเรื่องเหี้ย ๆ เนี่ย                           ทันทีที่เสียงของไอ้เวรไหนสักตัวที่ซ่ากล้าแซวผมดังขึ้น ก็มีเสียงสัมภเวสีร้องโห่โหยหวนตามมันมา เชื่อแล้วครับว่าเวรกรรมมีจริง เพราะพฤติกรรมชั่วช้าเช่นนี้ผมกับเพื่อนก็เคยทำเวลามีสาว ๆ เดินผ่านคณะ เพิ่งรู้ว่าคนที่โดนแซวรู้สึกยังไง
    พวกเธอเหล่านั้นก็คงรู้สึกเหมือนกับผมในตอนนี้สินะ เป็นความรู้สึกที่ว่าอยากหยุดเดิน แล้วถอดรองเท้าไปตบปากพวกมันเรียงตัว และคาดโทษไว้ในใจว่า มึงอย่าผ่านไปแถวคณะกูตามลำพังบ้างนะ


    พี่ชื่อดินนะคร้าบ ศูนย์หกเก้า เบิลสอง ตองสี่ ว่าง ๆ ก็โทรมาได้นะจ๊ะที่ร้ากกกก”                                                       

    เอาละครับ หมดช่วงอารัมภบทแล้ว จากนี้ไปผมขออนุญาตเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่เลยก็แล้วกัน

    มึงมารักที่ตีนกูนี่ไอ้ชาติหมา!’ อยากจะตะโกนด่าออกไปแบบนั้นพร้อมสั่งสอนมันด้วยว่า เบอร์โทรมึงมีแค่แปดตัว ใครจะโทรติดวะ ไอ้โง่!’ แต่ในความเป็นจริงนั้น ผมก็ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตา เร่งจังหวะเดินให้เร็วขึ้น จนแทบจะกลายเป็นวิ่งอยู่แล้ว เพราะต่อให้พวกมันเป็นฝ่ายผิด แต่ที่นี่ก็คือถิ่นของวิศวะ ถ้าผมเปรี้ยวตีนตะโกนออกไปอย่างที่ใจคิดละก็ รับรองว่าเด็กวิศวะนับแสนคนคงได้พร้อมใจกันเอาส้นรองเท้ามารุมประดับไว้บนหน้าผมเป็นแน่


    ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึง แค้นนี้ต้องชำระ อีกสิบปีก็ยังไม่สาย

     


    ไอ้พีม พีมมม ทางนี้ ๆ


    ราวกับเสียงระฆังช่วงปลายยก ราวกับครกที่เข็นไปถึงยอดเขา ราวกับเหาที่เจอหัว ราวกับผัวเดี๋ยว พอก่อน ก่อนจะออกทะเล ออกอ่าวกันไปไกลกว่านี้ ผมก็รีบเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวเข้าไปหาคนเรียกทันที                                                                       

    ไอ้แทน มึงไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา ถึงปล่อยให้กูเผชิญชะตากรรมเลวร้ายเพียงลำพังอยู่ตั้งนานสองนาน

    ผมคร่ำครวญอยู่ในใจ และไม่ลืมที่จะหันไปมองไอ้พวกนั้นด้วยสายตาหาเรื่อง พอมีเพื่อนละก็สู้คนขึ้นมาทันทีเลยละผมน่ะ สภาพผมตอนนี้คงคล้ายกับหมาตอนเห็นหน้าเจ้าของกลับมาบ้าน หรือไม่ก็เหมือนเจ้าหญิงที่กำลังจะถูกแม่มดสาป แล้วมีเจ้าชายโผล่เข้ามาช่วยไว้ได้ทันท่วงที เพียงแต่ว่าเจ้าชายคนนี้มันไม่ได้ขี่ม้าขาว แต่มันเพิ่งจะกระโดดลงจากท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะตะโกนขอบคุณไล่หลังเพื่อนที่ขี่เศษเหล็กจากไป                       


    “เท่ปะ รถไอ้ดลเพื่อนกู บ้านมันเปิดอู่ซ่อมรถ คันเมื่อกี้ก็ฝีมือมันแต่งเองเลยนะ โคตรเท่”            

    ไอ้แทนพูดด้วยน้ำเสียงสดใส มือสองข้างเท้าเอว สายตายังคงจับจ้องมองตามท้ายรถมอเตอร์ไซค์ฮ่าง ๆ ด้วยความชื่นชม มันไม่แม้แต่จะเหลือบตาลงมาแลผมที่อยู่ตรงหน้า เลยยังไม่มีโอกาสได้รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง โทษฐานที่เป็นสาเหตุ
    ให้ผมต้องเจอเรื่องแย่ ๆ ในวันนี้


    “มึงว่าเหมือนทรานส์ฟอร์เมอร์สปะพีม เหมือนเนอะ พวกกูขี่มาจากหอสมุดกลาง สาวมองตรึมตลอดทาง” เขาอาจจะไม่ได้มองเพราะเท่ แต่มองเพราะเวทนาพวกมึงก็ได้


    “เหรอ แล้วมีประกันไหม” ผมถาม และไม่ได้ถามถึงรถ ผมหมายถึงมันได้ทำประกันชีวิตไว้หรือไม่ แต่ไอ้แทน
    ผู้น่าสงสารกลับหัวเราะเสียงดังลั่น


    “ทำไม มึงจะซื้อให้เหรอ โอ๊ย! มึงเตะกูทำไมเนี่ย อูยยย เจ็บ ๆ เชี่ยพีม ตัวเท่าลูกหมา มือหนัก ตีนหนักจังวะ” ไอ้แทนร้องลั่น เมื่อผมเตะหน้าแข้งมันไปหนึ่งทีด้วยแรงเท่าแมวข่วน แต่มันก็เล่นใหญ่เหลือเกิน


    “เวอร์นักนะ อีกสักทีดีไหม แล้วจะยืนคุยตรงนี้ถึงเย็นพรุ่งนี้เลยปะ กูจะได้หาเสื่อมาปู” ผมบ่นอย่างเซ็ง ๆ ไอ้แทนหัวเราะคิกคัก ก่อนจะใช้ไหล่ผมเป็นที่พาดแขน อากาศก็ร้อนจะตายห่า ยังกล้าเอาแขนหนัก ๆ มาเพิ่มภาระให้กูอีก


    ไอ้นี่มันประหลาดครับ โดนเพื่อนบ่นใส่แล้วอารมณ์ดี นัยน์ตาคมเจือแววดีใจเหมือนเจ้าของหมาที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน แล้วได้เล่นกับหมาตัวโปรด แต่วันนี้หมาไม่โปรดมึงครับ เพราะหมาจะงับหัวมึงแทน


    “โห วันนี้พี่พีมเล่นบทดุด้วยเว้ย เป็นไร อารมณ์ไม่ดี ได้เจอหน้ากูแล้วไม่ดีใจเหรอ”


    “มึงหยุด กูขมคอ”


    “ฮ่า ๆ ๆ ปะ ๆ อย่าเพิ่งหงุดหงิด เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าว”                                                                                                                            

     ไอ้แทนมันเป็นคนแบบนี้แหละครับ ชอบยั่วโมโหคนอื่น แล้วค่อยลูบหัวทีหลัง ชอบแกล้งให้หงุดหงิด แล้วค่อยมาเอาใจ เห็นเพื่อนอารมณ์เสียแล้วมันมีความสุข หลายคนนิยามว่ามันเป็นหนุ่มขี้เล่น แต่กูว่าเส้นกั้นระหว่างขี้เล่นกับโรคจิตของเชี่ยแทนนี่น่าจะบางมาก อีกนิดมันก็ข้ามเส้นนั้นแล้วนะ


    “ขำไรแทน มึงสูบไรมาปะเนี่ย อารมณ์ดีผิดกับตอนที่โทรหากูเลยนะ” ผมทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาตำรวจที่กำลังตรวจหายาเสพติดระหว่างที่เดินไปยังโรงอาหารของคณะวิศวะ ไอ้แทนเลยยิ่งขำเข้าไปใหญ่ ว่าแต่ว่าเราจะหยุดลากน้องหมา
    มาเอี่ยวในเรื่องนี้ได้หรือยังครับท่านผู้ชม


    “อ้าว ขำก็ไม่ได้ เวลามึงบ่นแล้วหน้ามึงมันตลกอะ น่ารักดี” ผมถึงกับหูตั้ง เบี่ยงตัวกลับมาหรี่ตามองเพื่อนรัก
    แทบจะทันที อยู่ดี ๆ มันก็ชมผมว่าน่ารัก อะหรือว่า


    “ไม่ใช่อย่างที่กูคิดใช่มะ” ผมแกล้งเย้า ใช้ศอกกระทุ้งไอ้แทนไปที มันมุ่นคิ้ว มองหน้าผมแล้วนึกอยู่ครู่หนึ่ง พอเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ มันก็ผลักผมออกห่างจนหน้าทิ่ม (กูแอ็กติงครับ ความจริงมันผลักเบา ๆ ฮ่า ๆ ๆ)


    “ใช่ก็เหี้ยแล้ว เชี่ยพีมหยุดยิ้มแบบนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้สัด เดี๋ยวกูถีบ กูไม่บริโภคเพื่อนโว้ย น่ารักแค่ไหนก็ไม่ได้ใจ
    กูหรอก”


    อะแน่ะ โมโหกลบเกลื่อน อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเองเลยแทน ยอมรับเถอะ มึงแอบชอบกูใช่ปะ กูจิ้นแล้วนะเนี่ย”


    “จิ้นกับตีนกูนี่ ถึงมึงไม่ใช่เพื่อน กูก็ไม่เอาอยู่ดี ตัวสั้นอย่างกับหมาคอร์กี้นี่ไม่ใช่ไทป์กูเลย มึงก็รู้สเปกกูต้องสูงยาวเข่าดีหุ่นนางแบบเท่านั้น”


    “ไอ้เหี้ยอย่าบูลลี่” หมาคอร์กี้ที่หน้ามึงสิ เห็นไหมครับ ผมบอกแล้วว่าควรหยุดพูดเรื่องหมา เห็นไหมว่ามันวนมาเข้าตัวจนได้ ไอ้แทนหัวเราะร่า ผู้ชายที่เกิดมาสูงร้อยแปดสิบกว่าอย่างมึง ไม่มีวันเข้าใจความเจ็บปวดของชายที่สูงเฉียดร้อยเจ็ดสิบ
    มาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดอย่างกูหรอก


    พูดแล้วเหมือนจะขำแต่ก็ไม่ค่อยขำหรอกครับเรื่องนี้ มันจี้ปม แต่ผมก็เข้าใจว่าเพื่อนพลั้งปาก ไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียนให้ผมเจ็บปวด เหมือนเวลาที่ผมเผลอเรียกมันว่าไอ้เหี้ย ผมก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายความรู้สึกของตัวเหี้ยที่ต้องถูก
    เอามาเป็นสรรพนามแทนไอ้แทนเลยครับ ฮ่า ๆ ๆ


    “โหย ขอโทษ ๆ เพื่อนอย่าเพิ่งของขึ้นนะครับ ใจเย็น ๆ เพื่อนจะเสวยอะไร เดี๋ยวกระผมบริการเต็มที่เลยวันนี้”


    ไอ้นี่มันรู้ใจดีเหลือเกิน มันอยู่เป็น ว่าไหมครับ สมแล้วที่คบหากันมาตั้งแต่มอหนึ่ง จนได้เขียนเฟรนด์ชิปตอนจบมอสามให้กันว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป คิดแล้วก็เขินเลยไอ้เหี้ย (แทน) เอ๊ย ก็ตอนจบมอสาม พวกผมเขียนลากันเหมือนชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีก ผ่านไปสองเดือน พอเปิดเทอมมอสี่ก็กลับมาเล่นขี้ด้วยกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือลากยาวยันเข้ามหาวิทยาลัยที่เดียวกันอีกต่างหาก


    “วันนี้ป๋าแทนเลี้ยงไม่อั้น จัดเต็มชุดใหญ่ไฟกะพริบ เพื่อนอยากแดกไร เชิญ!! แดกให้เต็มที่ ท้องแตกแอนตาซิลจ่าย” เออ แบบนี้ค่อยรื่นหูหน่อย คำว่าฟรีได้ยินกี่ทีก็ไพเราะน่าฟัง ยกเว้นวาดรูปฟรี


    อ้อ ลืมบอกไปครับว่าผมเรียนคณะจิตรกรรม ซึ่งที่ตั้งของคณะผมกับคณะของไอ้แทนเนี่ย เรียกว่าห่างกันคนละทวีปเลยก็ว่าได้ จะไปมาหาสู่กันทีเหมือนต้องไปตั้งหลักที่ดอนเมืองแล้วนั่งเครื่องมาลงวิศวะ จะรอรถเวียนของมหาลัยก็มาช้าเหลือเกิน วันนี้ผมเลยต้องเดินด้วยลำแข้งจนขาแทบหลุด แถมยังมาเจอพวกปากหมาอีก จะไม่ให้อารมณ์เสียยังไงไหว                                    

    จะว่าไปก็น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่าค่าเทอมที่พวกผมจ่ายไปแพงแสนแพง พวกผู้บริหารมหาลัยมันเอาไปใช้อะไรหมดวะ ถ้าจะไม่พัฒนาอะไรเลย อย่างน้อยช่วยเพิ่มรอบรถเวียนให้หน่อยได้ไหมครับท่านอธิการบดีครับ

    พอพูดถึงคณะตัวเองแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสาเหตุที่ผมตกเป็นจุดสนใจของชาววิศวะ อาจจะเป็นเพราะการแต่งกายของผมหรือเปล่าวะ ทั้งกางเกงชาวเลชุ่มกลิ่นทินเนอร์ เสื้อมัดย้อมเลอะสีน้ำมัน สะพายย่ามพระ และมัดผมทรงจุกน้ำพุ เดินมาในสภาพที่น้ำไม่ได้อาบ บ้านไม่ได้กลับมาสามวันแล้ว เหตุเพราะต้องปั่นงานส่งทำให้ต้องกินนอนที่คณะ ก็คงจะไม่แปลกที่เพื่อน ๆ ต่างคณะจะให้ความสนใจผมเป็นพิเศษ


    แต่โดยส่วนตัว ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองแปลกหรอกนะครับ (อยากให้เจอเพื่อนในคณะของผมก่อน) คนอื่นแค่ไม่ชินกับลุคนี้เฉย ๆ ชาววิศวะก็แค่ไม่ชินในสิ่งที่แตกต่างไปจากสังคมของตัวเอง แต่เราอยากให้นายเปิดใจนะวิศวะ นายลองนะลองดองงานแล้วมาปั่นใกล้ ๆ เดดไลน์ดูสักครั้ง เพราะถ้านายไม่เคยดองงาน นายจะไปรู้อะไร


    หลังจากเผางานข้ามวันข้ามคืนจนสภาพดูไม่ได้ (หมายถึงสภาพงานนะครับที่ดูไม่ได้ ไม่ใช่สภาพผม ฮ่า ๆ ๆ กูตลกจังวะ คนเดียวก็ตลกได้ เก่งว่ะ) ผมก็กำลังจะเอนตัวลงนอนในซอกหลืบของห้องชอปอันรกร้าง ไอ้หน้าหล่อ ๆ ที่เดินกอดคอผมอยู่ตอนนี้ก็เสือกโทรมาพอดี ราวกับทำหน้าที่เจ้ากรรมนายเวร


    มันพูดเสียงเครือ ๆ บอกว่ารหัสแดง มีเรื่องสำคัญจะปรึกษา มาหาหน่อย ต้องการความช่วยเหลือด่วน เครียดมากไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว อะกูก็ประเสริฐเยี่ยงพระเวสสันดรตอนยกลูกยกเมียให้ชูชก ง่วงแสนง่วงแต่ก็แหกตาเดินฝ่าไอร้อนประหนึ่งทุ่งกุลาร้องไห้มาหาเพื่อน ไกลแค่ไหนก็บ่ยั่น เหนื่อยแค่ไหนก็บ่ท้อ พอมาถึงเสือกโดนเด็กวิศวะรุมเห่าอีก แถมไอ้แทนก็ดูปกติดีทุกอย่าง หน้ายังหล่อใสกิ๊ง ส่วนคนที่ควรได้รับการช่วยเหลือจริง ๆ ก็น่าจะเป็นกูนี่แหละครับ การอดนอนทำให้คนตายได้นะมึง ชีวิตสั้น เพราะเรียนศิลปะมีอยู่จริง กู้ภัยสแตนด์บาย

     

    แล้วตกลงว่าที่ให้กูลากสังขารมาหาถึงนี่ มีเรื่องอะไร”


    เออน่า เดี๋ยวค่อยคุย หาโต๊ะนั่งก่อน จะรีบไปไหน ทำแมะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วมากินข้าวกับกูไม่ได้แงะ กูก็อยาก
    กินข้าวกับเพื่อนกับฝูงบ้าง คิดถึง”


    “หยุดเล่นละครแทน กูขอร้อง” หลับตาฟังยังรู้เลยว่ามันตอแหล ถ้าจับเข้าเครื่องจับเท็จมันก็คงโดนช็อก ตายฟรีอะ แล้วทำไมมึงไม่ขับรถไปหากูที่คณะ”


    รถกูโดนยึด” ไอ้แทนพูดเรียบ ๆ ท่าทางสบาย ๆ เหมือนบอกว่าโดนคุณครูยึดอมยิ้มราคาห้าบาท เพราะไม่ยอม
    นอนกลางวัน ไม่ใช่ยึดรถราคาหลายล้าน ขณะที่คนฟังอย่างผมหน้ามืดใจสั่นมือสั่นไปหมด น่าจะเพราะน้ำตาลตกด้วยส่วนหนึ่ง พอดีความดันต่ำ แต่หลัก ๆ ก็เพราะตกใจกับสิ่งที่มันพูดนี่แหละครับ


    ฮะ? ใครยึด” ผมชะงักเท้า หยุดเดิน พร้อมกับดึงแขนไอ้แทนหลบนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เดินสวนออกมาจากโรงอาหาร นาทีนี้เรื่องแดกข้าวเอาไว้ก่อน ขอคุยให้รู้เรื่องก่อน ได้ยินคำว่ารถถูกยึดแล้วกูหูดับเลยครับ “กูนึกว่ามึงซื้อเงินสด มึงผ่อนเหรอ ไม่มีเงินจ่ายค่างวดทำไมไม่บอก”


    “ถ้าบอกแล้วมึงมีให้กูยืมเหรอ” ไอ้แทนถามกลับด้วยท่าทียียวน พลางเหวี่ยงเสื้อชอปที่ถืออยู่ในมือไปพาดไว้บนบ่า ผมก็เพิ่งมาสังเกตเห็นว่าวันนี้ไอ้แทนใส่เสื้อยืดสีเทาย้วย ๆ ดูไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไร เพราะไม่ใช่สไตล์ที่มันชอบใส่


    “เอาดี ๆ ไอ้สัด ตกลงโดนยึดจริงดิ แล้วมึงจะทำยังไง ไปคุยขอผ่อนผันกับเขาก่อนไม่ได้เหรอ เดี๋ยวนะ บ้านมึงขายรถไม่ใช่เรอะ” ไอ้แทนยิ้มแป้นแล้น ไอ้เวร อำกู


    ฮ่า ๆ ๆ มึงนี่ก็เชื่อคนง่ายจังวะพีม ใครจะมายึดรถกูได้นอกจากป๊า” ไอ้แทนว่ายิ้ม ๆ พลางดันไหล่ผมให้เดินต่อ
    เป็นการตัดบทสนทนา ต่อมเสือกผมนี่ลงไปดิ้นที่พื้นแล้วนะ ไม่พอใจที่โดนขัดจังวะ

     


    ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาด้านในโรงอาหารผมก็แทบจะเป็นลม เขาจัดงานกาชาดที่นี่หรือเปล่าวะ ทำไมคนมันเยอะขนาดนี้ล่ะเฮ้ย เสียงคนคุยกันดังหึ่ง ๆ คล้ายเสียงผึ้ง ทำเอาผมหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ


    ไอ้แทนยังเกี่ยวคอผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย มันพาเดินวนรอบ ๆ พลางมองหาที่นั่ง ซึ่งการหาโต๊ะว่างในช่วงเวลานี้คงยากพอ ๆ กับการงมหาความรู้ในสมองกูแหละมั้ง ตั้งแต่เรียนมหาลัยนี้มาสองปี ผมเคยมาที่นี่แค่สามครั้ง และสาบานกับตัวเองทุกครั้งว่าจะไม่มาเหยียบอีก เพราะว่าโรงอาหารคณะวิศวะเป็นอะไรที่วินาศสันตะโรมากครับ ทั้งเสียงดัง วุ่นวายร้อนโคตร ๆ คนเยอะสุด ๆ ถึงจะมีสองชั้นก็เถอะ มันก็ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนมหาศาลของนักศึกษาอยู่ดี


    มนุษย์เอ๋ยมนุษย์ ไยพวกเจ้าจึงถือกำเนิดเกิดมาแย่งกันกินแย่งกันใช้มากมายเช่นนี้ ผมยืนสงบนิ่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง


    พีม ไอ้พีม พีม! เป็นไรวะ ตาลอย ๆ เข้าทรงเหรอ มึงจะกินไร”


    ผมขมวดคิ้ว ชักสีหน้าใส่คนถาม ไอ้แทนพาผมมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารนับสิบ ๆ ร้าน และแต่ละร้านก็มีคนรอต่อแถวอีกเป็นสิบ ๆ คนเช่นกัน


    ตกลงเอาไง จะกินไรเลือกได้ยัง อย่าตอบว่าอะไรก็ได้นะ เพราะกูจะถีบมึงไปแดกในห้องน้ำ”


    ก็ถ้าจะขู่กูขนาดนี้แล้วละก็...มึงเลือกให้กูเลยก็ได้มั้ง ผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากอยากออกไปจากดงคน กูจะตายแล้วเพื่อนแทน เลยสุ่มบอกชื่ออาหารที่โผล่เข้ามาในหัวเป็นชื่อแรก นั่นก็คือ


    ข้าวมันไก่”


    แล้วมายืนทำส้นตีนอะไรหน้าร้านข้าวขาหมูวะ”


    อ้าว ไอ้นี่ ได้ข่าวว่าเป็นมึงนะที่ลากกูมา แล้วพากูมาหยุดอยู่ตรงนี้ สุดท้ายไอ้แทนก็พาผมฝ่าคลื่นมนุษย์ออกมาจากร้านข้าวขาหมูได้สำเร็จ เพื่อมาพบกับความจริงที่ว่าร้านข้าวมันไก่ก็ไม่น้อยหน้าเลยขอรับ


    มึงรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูไปซื้อเอง”


    ไอ้แทนสั่ง ผมพยักหน้ารับคำ เออ แบบนี้ค่อยน่าคบหน่อย เมื่อตะกี้นี่เกือบขาดอากาศหายใจ เพราะโดนพวกตัวสูง ๆ แย่งออกซิเจนไปจนหมด ผมละหมั่นไส้นักไอ้พวกเกิดมาตัวยืดตัวยาว ไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา อคติยอมรับ แต่ก็เหมือนดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ที่พวกเพื่อน ๆ รอบตัวผมแต่ละคนดันสูงอย่างกับเดินลงมาจากรันเวย์ มิลาน แฟชั่น วีก
    ร้อยแปดสิบบวกกันทุกตัวคน

    ผมก็บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ ไม่ได้คิดอะไรหรอก คนเราก็ต้องรักและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นใช่ไหมล่ะ แล้วก็ต้องยอมรับในความแตกต่าง ความหลากหลายของคนอื่นด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว รูปร่าง หน้าตาภายนอก มันไม่สำคัญเท่ากับความคิดและจิตใจข้างในหรอก สรุปจิตใจกูเสือกชั่วอีก สัดเอ๊ย


    ระหว่างที่ผมยืนคุยอยู่กับเพื่อนในจินตนาการ รอไอ้แทนที่ทำหน้าที่ไพร่ไปหาเสบียงมาถวาย คุณชายพีมก็พยายามเมียงมองสอดส่องหาที่นั่งไปพลาง ๆ แต่มองไปทางไหนก็ไร้วี่แวว คนเยอะจริงวุ้ย

    แล้วผมก็ยังไม่วายกลายเป็นเป้าสายตาของบรรดาปัญญาชนหน้าใสผู้ห่างไกลวงการศิลปะอีกเช่นเคย พวกมึงหยุดมองเถอะ กูรู้แล้วว่าตัวเองแปลกแยก ขออภัยจริง ๆ ครั้งหน้าสัญญาว่าจะใส่ชุดนิสิตก่อนออกจากตึกคณะต้นสังกัดนะครับนะ



    ปะพีม หาที่นั่ง”


    อ้าว ทำไมได้ไวจังวะ”


    เพราะกูหล่อ”


    “มากมั้ย”


    “มาก!

    พวกผมหัวเราะ การรับส่งมุกเป็นเรื่องของความเชื่อใจ ถ้าอยู่กับเพื่อนที่รู้ใจคำพูดแค่คำเดียวก็ขำได้ ไม่ได้พูดสักคำก็ขำได้ แม้จะยังไร้ที่สิงสถิต หาโต๊ะนั่งกินข้าวยังไม่ได้ เราก็ยังขำได้


    หลังจากเดินวนอยู่สามสิบรอบ หมายถึงไอ้แทนนะที่เดิน เพราะมันวนไปซื้อของกินมาเพิ่มอีกร้อยอย่าง ในที่สุดพวกผมก็มีที่นั่งด้วยการไปขอเบียดเบียนน้องปีหนึ่ง น้องนั่งกันอยู่แค่สามคน ผมเห็นโต๊ะมันยังพอมีที่เหลือ ๆ เลยไปขอแจม แล้วพอน้องเห็นหน้าไอ้แทน น้องก็แทบยกโต๊ะให้ เขาให้เพราะกลัวรุ่นพี่เหรอ อ้อเปล่า น้องให้เพราะรังเกียจ ฮ่า ๆ ๆ ไม่ใช่ว้อยยย เพราะน้องมีน้ำใจต่างหาก


    ไอ้แทนมันเป็นพี่ว้ากน่ะครับ น้อง ๆ เลยอาจจะคุ้นหน้าค่าตามันละมั้ง เห็นมันลุคใจดีขี้เล่นแบบนี้ แต่กลับได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็นพี่ว้ากของคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะที่ขึ้นชื่อลือชาว่าระบบโซตัสโหดเหมือนหลุดมาจากค่ายทหารยุคเผด็จการอำนาจนิยม ตอนที่ไอ้แทนมันวิ่งหน้าตั้งมาเล่าให้ฟังว่าได้เป็นพี่ว้าก ผมนึกว่ามันละเมอพูด ก็ดูหน้ากับนิสัยแม่งสิ จะไปตะโกนแหกปากใส่ใครเขาได้ กะล่อนตอแหลสาระแนเสียขนาดนั้น แต่มันก็เป็นไปแล้วน่ะนะ

     

    “สรุปคือมึงพาแฟนเข้าบ้านแล้วโดนป๊าจับได้ ก็เลยถูกยึดกุญแจรถ ไม่มีรถขับ?


    “เยส”


    “โธ่ ไอ้


    ผมอ้าปากค้างพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ เล็ดลอดออกมา มันจุกอยู่ในคอ เจ็บอยู่ในอก ไอ้แทนจิ้มแตงกวายัดใส่ปากผม และจับคางให้ขากรรไกรของผมประกบกันอีกครั้ง ผมปัดมือมันออกจากใบหน้าด้วยความรังเกียจไม่ต้องมาแตะต้องตัวกู! เอามือสกปรก ๆ ของมึงออกไป๊!


    กูก็อุตส่าห์ตั้งใจฟังตั้งหลายนาที อุตส่าห์หอบสารร่างมาจากป่าหิมพานต์ท้ายมหาลัย เพื่อมาฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้เนี่ยนะ ไอ้เวร เอาเวลาชีวิตของกูคืนมาเลย ไร้ประโยชน์จริง ๆ ให้ตายเถอะ                               


    ตั้งแต่ผมโชคร้ายจับพลัดจับผลูได้มาเป็นเพื่อนกับไอ้แทน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบทศวรรษ นั่นก็หมายความว่าเราต่างก็รู้เช่นเห็นชาติ (ชั่ว ๆ) ของกันและกันเป็นอย่างดี รวมถึงสนิทสนมกับครอบครัวของแต่ละคนพอสมควร                   


    เท่าที่ผมรู้คือบ้านไอ้แทนค่อนข้างสปอยล์ลูกชายคนเล็ก ชนิดที่ว่าถ้าอยู่ดี ๆ ไอ้แทนเดินไปเตะหมา หมาผิด โชคดีแค่ไหนที่มันโตมาโดยไม่เสียผู้เสียคน เพราะป๊ากับแม่แทบไม่เคยด่าไม่เคยว่ามันเลย ลูกแทนอยากได้อะไร ได้! อยากทำอะไร ทำ! อยากเรียนอะไร เรียน! จะทำตัวสำมะเลเทเมาแค่ไหนเขาก็ไม่เคยบ่นมัน มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่พวกท่านขอไว้
    คืออย่าพาแฟนมานอนที่บ้าน จะไปคอนโด โรงแรม รีสอร์ตที่ไหนก็ไป แต่อย่าพามาค้างที่บ้าน


    ไอ้แทนมันเคยบ่น ๆ เหมือนกันว่าที่บ้านมันค่อนข้างหัวเก่าหน่อย ๆ ออกแนวอนุรักษ์นิยมว่าอย่างนั้นเถอะ โดยเฉพาะเรื่องการมีแฟน คือต้องแต่งก่อนถึงจะมีสิทธิ์ไปนอนบ้านของอีกฝ่ายได้ ซึ่งที่ผ่านมาไอ้แทนมันก็ไม่เคยมีปัญหา มันยินดีให้ความร่วมมือทำตามที่บิดรมารดาร้องขอมาตลอด แต่อยู่ดี ๆทำไมมันถึงกระด้างกระเดื่องขัดใจพ่อแม่ได้วะ


    “กูไม่เข้าข้างนะ ไม่ปลอบด้วย มึงบ้าปะ ก็รู้อยู่ว่าเขาห้าม แล้วจะพาแฟนไปบ้านทำไม”


    มึงอย่าเพิ่งเทศน์กูได้ไหม แค่โดนป๊าบ่นก็เซ็งจะแย่อยู่แล้วเนี่ย นี่มันสมัยไหนแล้วพีม ทำไมต้องห้ามวะ กูโตแล้วนะเว้ย เออถ้ากูอายุสิบขวบก็ว่าไปอย่าง”


    ไอ้แทนว่าอย่างเซ็ง ๆ แล้วเริ่มฉีกทึ้งโครงไก่ในน้ำซุปด้วยมือเปล่าอย่างคล่องแคล่ว โดยไม่แคร์สายตาคนและไม่สนภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเพื่อนผมแม่งเป็นมนุษย์ที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งเลยนะครับ ในฐานะเพื่อนของมัน ผมก็ออกจะกระดากปากอยู่ไม่น้อยที่จะต้องพูดว่ามันหล่อ แต่ก็ต้องพูดเพราะมันเสือกหล่อจริง ตั้งแต่จำความได้ กระทั่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้มายี่สิบปี ผมเคยเจอคนหน้าตาดีมาก็มาก แต่ไอ้แทนก็ยังอยู่ในระดับท็อปทรี อันดับอาจจะมีผันผวนบ้าง อย่างตอนนี้
    ที่มันดูดกระดูกไก่ในที่สาธารณะเสียงดังแจ๊บ ๆ เป็นต้น


    สมัยมอปลาย ไอ้แทนเคยถ่ายแบบนิตยสารวัยรุ่นด้วยนะครับ วีเจก็เคยเป็น เล่นโฆษณาก็เคยทำ เล่นเอ็มวีบ้างก็หลายหน แต่พอเข้ามหาลัยแล้วเฮียแกก็เลิกไป มันบอกว่าไม่ได้คิดจะเข้าวงการบันเทิงอย่างจริงจังอยู่แล้ว ตอนนั้นมีคนมาชวน ก็เลยลองทำ สนุกดีแต่ไม่ได้ชอบทางนี้อะไรขนาดนั้น

    ที่สำคัญตอนนี้มันเอาเวลาไปทำกิจกรรม (อื่น) ที่มันชอบมากเป็นพิเศษ จนผมกลัวว่าเอดส์จะแดกคอมันเข้าสักวันถึงมันจะบอกว่ายืดอกพกถุงป้องกันตลอดก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทได้เหรอ


    เอาตรง ๆ เลยนะแทน กูไม่รู้จะสงสาร หรือจะสมน้ำหน้า หรือจะขำก่อนดี ละมึงมาเรียนยังไงเมื่อเช้า”


    “พี่วินสิครับรออะไร โดนไปสองร้อย หน้ามืดเลยกู”


    “สม คนอย่างมึงต้องเจอแบบนี้แหละ กูก็ไม่ได้ว่าพ่อแม่มึงทำถูกหรอกนะ แต่มันเป็นสิ่งที่มึงตกลงกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอวะ แล้วอยู่ดี ๆ เหมือนมึงผิดกติกาอะ เขายังให้เงินใช้ก็บุญแล้ว แล้วมึงนึกยังไงถึงเปรี้ยวตีนพาแฟนเข้าบ้านวะ โรงแรมประจำของมึงเขาปิดกิจการเหรอ หรือว่ายังไง” ผมหัวเราะด้วยความเวทนาเพื่อน แต่ขณะเดียวกันมือก็เอื้อมไปจกตับไก่ในจานมันมาแดก


    ก็คนนี้กูจริงจังหวังแต่งนี่หว่า เลยว่าจะพาไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก แต่ไอ้ห่าเทนมันเอาไปฟ้องป๊าก่อน ไอ้เหี้ยเอ๊ยพูดแล้วโมโหว่ะ แม่งเสือกไม่เข้าเรื่อง” พี่เทนคือพี่ชายของไอ้แทนครับ ผู้ซึ่งอยู่เหนือคำบรรยายและสรรพสิ่งทั้งปวง หึ เอาไว้ภายภาคหน้าหากว่ามีโอกาส ผมจะมาเล่าเรื่องพี่เทนให้ฟังก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ขอเอาเรื่องไอ้แทนให้รอดก่อน


    ถุย! แต่งห่าอะไรล่ะ อย่าขายฝัน มึงเพิ่งจะอยู่ปีสอง ใครเขาจะแต่งกับมึ้งงงงง เพ้อเจ้อฉิบหาย”


    “ปีสองแล้วทำแมะ กูยี่สิบแล้วไหม บรรลุนิติภาวะแล้ว ทำธุรกรรม นิติกรรมได้ด้วยตัวเองแล้ว แล้วทำไมจะแต่งงานไม่ได้ ทีคนสมัยก่อนยังออกเรือนกันตั้งแต่อายุสิบสี่สิบห้า ทำเป็นมาพูด”

    “ก็คนสมัยก่อนเขาอายุสั้น ตายไว ไม่มียาปฏิชีวนะเหมือนอย่างสมัยนี้ เลยต้องรีบมีลูกมีหลานเยอะ ๆ มาช่วยทำไร่ไถนา ทำมาหากิน แล้วมึงมีเหตุผลอะไรจะต้องรีบแต่งงาน มึงจะตายตอนสามสิบเหรอ”


    “ไม่รู้แหละ ก็กูรักเขา อยากแต่งงานกับเขา เรารักกัน ต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ด้วยเหรอวะ”


    “แทน กูว่ามึงโดนคุณไสยว่ะเพื่อน” กูต้องนัดคิวหลวงปู่ลิงลมเอาเพื่อนไปรดน้ำมนต์แล้วหรือเปล่าอาการแบบนี้


    พีม กูซีเรียส คนนี้กูเอาจริง” ไอ้แทนพูดน้ำด้วยเสียงจริงจัง


    เออ กูเชื่อว่ามึงเอาจริง เอาจริงทุกคน” ผมขำพรืด ตักยำคอหมูย่างเข้าปาก อาหารคณะวิศวะอร่อยจริงสมคำร่ำลือ อร่อยทุกอย่าง ถ้าไม่ติดว่าไกลกับมีพวกจัญไรปากหมา ผมอาจจะมากินทุกวันเลยก็ได้


    สัด คนละเอา! กูหมายความว่ากูรักคนนี้ กูรักจริง ๆ”


    ไอ้แทนโวยวาย พยายามอธิบายความรักของมันให้ผมฟัง แต่ผมปล่อยให้เสียงมันผ่านหูข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งอย่างไม่ไยดี เมื่อมีหมูกรอบอยู่ตรงหน้าอย่างอื่นก็หมาทั้งหมด


    เออ กูลืมถาม ไอ้คิวมันไปไหนวะ ทำไมไม่มากับมึง” โอ้โฮ มึงไม่นึกได้ตอนเราเรียนจบเลยล่ะแทน


    ไม่รู้มัน ไปแดกข้าวกับแฟนมั้ง”


    แฟน? คนไหน คนเดิมปะ”


    คนเดิม แต่ก็มีมาเพิ่มเรื่อย ๆ เหมือนมึงไง ชอบทำคนเสียใจไปทั่ว พวกมึงมันคนเหี้ยไอ้แทนหัวเราะชอบใจทำท่ากดไลก์ให้ผม


    “มึงก็พูดไป กูไปทำใครเสียใจเมื่อไหร่ ที่ไหน ยังไง ไหนหลักฐาน อย่ามากล่าวหากันลอย ๆ น้า ที่เหมือนมีเยอะเพราะกูมูฟออนเร็ว คนมูฟออนเร็วไม่ใช่คนเหี้ย” ไอ้แทนทำหน้าระรื่น กูอยากเอาช้อนหนีบลิ้นมึงจริง ๆ ผมส่ายหน้าเอือมระอาให้กับไอ้คนที่กล้ายกหางตัวเอง เห็นแล้วอยากพ่นน้ำซุปข้าวมันไก่ใส่หน้าแม่ง


    “ไอ้คิวแม่งก็เหี้ยจริงเพื่อนกู มันยังไม่เลิกกันไม่ใช่เหรอวะ แล้วไปกับคนอื่นเนี่ยนะ กูว่าแล้วพี่เจนเอามันไม่อยู่หรอก”


    สงสัยใช่ไหมครับว่าพี่เจนเป็นใคร พี่เจนก็คือแฟนของไอ้คิว แล้วไอ้เหี้ยคิวนี่มันเป็นใคร มันก็คือคนที่นรกส่งมาเกิดเป็นเพื่อนอีกคนของผมไงล่ะครับ กลุ่มเรามีกันอยู่ห้ากุมารคือ ผม ไอ้แทน ไอ้คิว ไอ้ปัน แล้วก็ไอ้เชน คบหากันมาตั้งแต่มอหนึ่ง


    ซึ่งคงไม่ต้องบอกนะครับว่า ณ ปัจจุบันกาล พวกผมจะรู้เช่นเห็นชาติหมาและชาติชั่วของกันและกันมากขนาดไหน รักไม่รักก็คิดดูเถอะว่าพวกเราตกลงปลงใจว่าจะไม่พรากจากกัน ถึงขั้นจูงจมูกมาสอบแอดมิชชันเข้าที่เดียวกันหมด เดชะบุญว่านรกยังไม่อยากให้พวกผมต้องแยกวง เลยโชคดีติดที่นี่ทุกตัว ไอ้แทนติดวิศวะ ไอ้เชนทันตะ ไอ้คิวกับผมเรียนจิตรกรรมส่วนรายสุดท้ายไอ้ปันเรียนรัฐศาสตร์ เพราะมีปณิธานสูงสุดคือการได้อยู่ร่วมกับฝูงเพนกวินในฐานะนายกรัฐมนตรี (ไปหาความเชื่อมโยงเอาเองครับ เพราะผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน)


                   ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แม้จะแยกย้ายกันไปมีกลุ่มเพื่อนใหม่ ๆ มีสังคมใหม่ ๆ แต่พวกผมก็ยังนัดเจอกันทุกสุดสัปดาห์ หรือถ้าเป็นไปได้ก็จะพยายามให้มากกว่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปไม่ค่อยได้หรอกครับ เพราะแต่ละคนเรียนหนักเหมือนใช้กรรม โดยเฉพาะไอ้เชน

                 

    ส่วนผมกับไอ้คิวเจอกันทุกวัน เจอทุกวันร่วมแปดปีแล้ว จนกูเริ่มเอียนแล้ว เริ่มเหม็นขี้หน้ากันแล้ว พวกเพื่อนที่คณะก็ชอบแซวว่าผมสองคนเป็นผัวเมียกัน เพราะตัวติดกันตลอด แต่พูดก็พูดเถอะ ผัวเมียจริง ๆ แม่งยังไม่อยู่ด้วยกันบ่อยเท่าผมกับไอ้คิวเลยครับ ไอ้ปันก็เคยนั่งทางในบอกว่าผมกับไอ้คิวคือพระรามกับนางสีดากลับชาติมาเกิด ชาตินี้เลยไม่ห่างกันไปไหน เอิ่มถ้าเป็นแบบนั้นจริง ถ้าชีวิตผมต้องลงเอยกับคนอย่างไอ้คิวละก็ กูยอมให้ทศกัณฐ์จับแดกตั้งแต่บทแรกเลยครับ

     

    ทำเป็นพูดดีมึงอะ กูว่าเผลอ ๆ มึงแม่งหนักกว่ามันอีก” ผมดันจานข้าวที่สะอาดราวกับหมาเลียไปไว้ด้านข้าง ก่อนจะคว้าแก้วน้ำอัดลมมาดูดอึกใหญ่ อา ท้องอิ่มแล้ว รายการต่อไป ขอเสื่อผืนหมอนใบหน่อยจ้า


    กูไม่เคยคบซ้อนเถอะ มึงก็รู้ กูคบใครก็คบทีละคน แต่ตอนไม่มีแฟนก็ไม่นับไหมวะ จะคุยกับใครก็ได้นี่หว่า

    ท้ายประโยคมันพูดเสียงอ่อย ๆ แต่เรื่องนี้ขอออกตัวแทนเพื่อนก่อนว่าจริงครับ ไอ้แทนมันอาจจะดูขี้เล่นเหมือนจะเจ้าชู้ แต่มันคบใครก็คบทีละคน แค่อาจจะคบได้ไม่นาน แล้วก็โสดได้ไม่นานแค่นั้นเอง ตั้งแต่มันเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เริ่มมีแฟนครั้งแรกตอนมอสอง จากวันนั้นจวบจนวันนี้ ผมก็ไม่เคยเห็นเพื่อนครองตัวเป็นโสดได้เกินสองวันเลยครับ


    มึงหยุดพูดเถอะ กูเสียดายข้าวมันไก่ กลัวฟังมึงยอตัวเองมากกว่านี้แล้วมันจะขย้อนออกมา แล้วตกลงวันศุกร์เอาไง ไอ้เชนมันว่างปะวะ”


    ผมถามถึงไอ้นิสิตทันตแพทย์ที่ตารางเรียนของมันยุ่งเหยิงพอ ๆ กับตารางรัก (รายนี้สิของจริง ไอ้คิวไอ้แทนก็แค่ตัวอ่อนหนอนผีเสื้อเท่านั้นแหละ ถ้าเจอคุณหมอฟันดะเข้าไป) จะนัดมันไปดื่มน้ำเมาทีไรก็ต้องนัดล่วงหน้าเป็นชาติ อ้อ ผมลืมบอกไปว่าฟันดะคือฉายาที่ไอ้ปันตั้งให้ไอ้เชนครับ ฟังดูน่ารัก คาวาอี้ ออกแนวญี่ปุ่น ๆ แต่ความหมายเหี้ยมาก ถ้าคุณรู้จักไอ้เชนมากกว่านี้ก็จะรู้ว่าฉายานี้เหมาะกับมันที่สุดแล้ว


    อย่างไอ้เชนต่อให้ไม่ว่าง มันก็หาทางว่างจนได้นั่นแหละ ดีไม่ดีแม่งนับวันรอด้วยซ้ำมั้งกูว่า


    มึงคุยกับมันแล้ว?” ต้องถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เพราะเชี่ยแทนเป็นพวกชอบมโนคิดแทนคนอื่น


    อืม คุยเอ็มกับมันเมื่อคืน เออพีม ตอนบ่ายมึงมีเรียนมะ เอี๋ยวไออะอูอ่อย อะอาไออูอ๊าส” เอ่อ...มีใครเข้าใจภาษาฮีบรูของมันไหม มึงกลืนก่อนค่อยพูดก็ได้ เดี๋ยวอาหารติดหลอดลมตายจะเดือดร้อนกูอีก


    ช้า ๆ ก็ได้มึง กูไม่รีบ”


    แต่ดูเหมือนไอ้แทนจะรีบ รีบมากด้วย เพราะมันโกยข้าวคำใหญ่เลย ยี้ มีหนังไก่แพลมออกมาจากปากมันด้วยอะ
    ถึงหน้าจะหล่อแต่แดกข้าวไร้มารยาทขนาดนี้ มันก็อนาถจิตได้เหมือนกันนะ

    พอกวาดทุกสิ่งลงท้องจนเรียบ มันก็เอาจานของมันวางซ้อนจานของผม ก่อนจะคว้าแก้วน้ำไปกระดกและ


    กร้วมมมม


    และมันก็เริ่มเคี้ยวน้ำแข็งครับ ไอ้ชาติเปรต! กูเสียวฟัน หยุด!!!


    มึงอยากไปดูกูซ้อมบาสไหม”


    กูอยากให้มึงหยุดเคี้ยวน้ำแข็งก่อนเลย ไอ้เหี้ย ขนลุก!


    ไอ้แทนขำเอิ๊กอ๊าก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมตกใจแทบข่วนหน้าแม่ง ไม่ได้ตกใจที่มันเสนอหน้ามาเกือบชิด
    เพราะสันดานชอบเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัวของไอ้แทนนั้นมันเป็นมานานแล้ว กูหลอนเสียงฟันบดกับน้ำแข็งเนี่ย                                         

    และผมค่อนข้างประหลาดใจที่ไอ้แทนชวนผมไปดูมันเล่นบาส ร้อยวันพันปีมันไม่เคยชวนผมไปดูมันทำกิจกรรมอะไรเลยสักอย่าง ผมเลยไม่ค่อยมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในคณะวิศวะของมันสักเท่าไร ต่างจากมันที่รู้จักและคุ้นเคยกับเพื่อนในคณะของผมแทบทุกคน ทั้งลุงรปภ. ป้าแม่บ้าน หรือแม้กระทั่งหมาที่วิ่งเล่นอยู่หน้าคณะจิตรกรรมไอ้แทนก็ตีซี้จนหมด ที่สำคัญคือไอ้แทนมันเป็นนักฟุตบอลของมหาลัย แล้วทำไมมันถึงจะไปแข่งบาสวะ


    ทำไมมึงทำหน้างั้นอะ” มันหัวเราะ พลางเขี่ยน้ำแข็งบดในแก้ว เหมือนกำลังเล็งว่าจะเอาก้อนไหนขึ้นมาแดกต่อดี

    “กูแค่ชวนไปดูบาสนะ ไม่ได้จะพาไปขายโรงฆ่าสัตว์ มึงไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้”


    อยู่ดี ๆ ทำไมถึงชวนกูไปดูบาส แล้วไหนบอกว่ามีเรื่องจะคุย สรุปแค่เรื่องโดนป๊ายึดรถ แค่เนี้ย? เชี่ยแทน มึงอำกูเหรอ ให้กูถ่อมาหา ฝ่าแดดร้อน ๆ มาถึงวิศวะ เพราะเรื่องแค่นี้เหรอ อารมณ์กูตอนนี้ไม่ได้ดีเหมือนนิสัยนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูจะกลับไปนอน มึงไปยืมรถเพื่อนมึงไปส่งกูเลย” ผมบ่นยาว ไอ้แทนถึงกับหน้าเจื่อน


    “พีมมม กูไม่ได้แกล้ง ไม่ได้อำมึงนะ กูมีเรื่องอยากคุยด้วยจริง ๆ” มันแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ถอนหายใจเบา ๆ เกาหัวเกาแก้ม แถมไม่สบตาอีก ผมก็ชักใจไม่ดี “คือกูคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว จะพูดไงดีวะ คือเรื่องมันเกิดมาสักพักแล้ว แต่กูไม่รู้ จะบอกพวกมึงยังไง ไม่ใช่ไม่อยากบอก แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง แค่คิดว่าจะต้องพูดก็เหนื่อยแล้ว แต่ให้กูเก็บเป็นความลับต่อไป ก็คงประสาทแดก เครียดตายอะ กูเลยตัดสินใจว่าจะบอกมึงเป็นคนแรก” ไอ้แทนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมยังคงนั่งนิ่งตั้งใจฟัง เพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นไอ้แทนในโหมดจริงจังเคร่งเครียดแบบนี้

    “มึงเลือกถูกคนแล้วเพื่อน กูรับฟังได้ทุกเรื่อง พร้อมอยู่ข้างๆตลอดเวลา ไม่ตัดสิน แต่จะซ้ำเติมแน่นอน” ผมพูดติดตลก ตีหลังมือมันด้วยหลอดพลาสติก ไม่อยากให้บรรยากาศมันดูเครียดจนเกินไป ไอ้แทนยิ้มบาง ๆ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เหมือนเป็นการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง และชั่วอึดใจต่อมามันก็ได้เอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมอยากตัดเพื่อนและตัดคอมันไปพร้อมกันขึ้นมา
    เพราะมันบอกผมว่า


    กูอยากพามึงไปรู้จักแฟนใหม่กูอะ”

    ฮะ!!!!

    ไอ้เหี้ยยย แล้วมึงบิลต์มาใหญ่มากเหมือนจะสั่งลาตาย เหยดแม่ แค่จะเปิดตัวแฟน กูจะแช่งให้แม่งเลิกกันดีไหม เอาความห่วงใยของกูคืนมาอาอาอาอาอาอาอา

    หลังจากอดทนฟัง กลั้นใจฟัง กัดฟันนั่งฟังไอ้แทนพรรณนาถึงความน่ารักของว่าที่คู่ชีวิตมันจนจบครบสามรอบถ้วน โดยที่ผมไม่ลุกขึ้นไปปาดคอมันเสียก่อน มันก็พาผมมาที่สนามบาสของคณะวิศวะเพื่อมาดูมันเล่นบาสกับเพื่อน และมันก็นัดแฟนไว้ที่นี่ด้วย

    แต่พอพวกผมมาถึงกลับไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ไม่มีแม้แต่หมาสักตัว (กราบขอโทษน้องหมาที่ผมพาดพิงบ่อย ๆ ด้วยนะครับ) มีแค่พวกพี่วิศวะ ปีไหนไม่รู้ห้าหกคนที่กำลังประชุมอะไรกันสักอย่างอยู่


    ไอ้แทนเริ่มเลิ่กลั่ก มองหาเพื่อนอยู่สักพักโทรศัพท์มันก็แหกปากลั่น


    เออมึง อยู่ไหนกันวะกูอยู่หนามบาสแล้วเนี่ย ไม่มีหมาสักตัวอ้าวไอ้เวร แล้วเสือกบอกให้กูมานี่เออ ๆ
    เอ้อ เดี๋ยวกูไป” มันวางสายอย่างไม่สบอารมณ์


    มีไรมึง ทำไมดูอารมณ์บ่จอย เมียท้องเหรอ” บทลงโทษของความปากดีคือถูกซัดกบาลไปหนึ่งดอก เหี้ยมือหนักฉิบ


    เพื่อนกูอยู่สนามบอล”


    อ้าว แล้วพากูมานี่ทำไมอะ มึงถ่ายรายการซ่อนกล้องทดสอบความอดทนของกูปะเนี่ย” กูไม่ได้ว่างขนาดที่จะมา
    เดินเตร่รอบมหา
    ลัยนะโว้ย เดี๋ยวพ่อก็พ่นไฟเผาตึกวิศวะเสียเลยนี่


    โทษที ๆ แม่งเสือกเปลี่ยนใจอยากเตะบอลซะงั้น เดี๋ยวมึงไปรอกูที่สนามบอลนะ เดินตรงไปเลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปอีกมึงจะเห็นทางแยก ทีนี้ก็เลี้ยวขวา แล้วจะเห็นคนเยอะ ๆ นั่งรอกูอยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวตามไป”


    วอต??????? มึงเห็นเครื่องหมายเควสชัน มาร์กบนหน้าผากกูไหมแทน


    อ้าว แล้วมึงจะไปไหน พากูมาแล้วจะปล่อยเกาะเหรอ ไมมึงทำงี้วะ งั้นกูกลับคณะละ” ผมก็โวยสิครับ เรื่องอะไร
    จะอยู่



    พีมมมม กูขอร้อง อย่าเพิ่งกลับ นะ ๆ กูอยากให้มึงเจอที่รักกูจริง ๆ กูไปรับเขาแป๊บเดียว มึงไปรอกูที่สนามบอลนะ ถือว่าช่วยกูสักครั้งนะมึงนะ กูดูปฏิทินมาแล้ว วันนี้วันธงชัย เป็นมงคล เปิดตัวได้ไม่มีปัญหา กูไม่อยากเลื่อนไปวันอื่น”


    ไอ้แทนจับมือ ขอร้องผมตาละห้อยอย่างน่าสงสาร แต่มันคงจะลืมไปว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน ยังมีพยานอีกห้าคนที่มองเหตุการณ์นี้อยู่ ผมเลยรีบพยักหน้าอย่างจำนน รู้ว่ากูขี้ใจอ่อนก็เอาใหญ่เลยนะ


    “เย่ เพื่อนรัก กูรักมึงว่ะ”


    “หยุดเถอะ พอได้แล้ว” มึงไม่เห็นเหรอว่าคนเขามองเรากันอยู่


    “เดี๋ยวกูรีบไปรีบมา แฟนกูไม่พกมือถืออะ กลัวเขามาแล้วไม่เจอใคร”


    “เออ ๆ แล้วมึงจะไปรับแฟนยังไง”


    “เดิน”


    “เดินไปไหน”


    “ถาปัตย์”


    “กูว่าเราต้องคุยเรื่องรดน้ำมนต์กันอย่างจริงจังแล้วนะแทน”


    ไอ้แทนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด มันยิ้มร่า วิ่งกระดี๊กระด๊าออกไป มีความสุขอะไรขนาดนั้นวะ กับอีแค่พาแฟนมาให้เพื่อนรู้จัก ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ผมพรูลมหายใจออกมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ ไอ้เชี่ย ไปสนามฟุตบอลนี่มันไปยังไงนะ


    แทน ไอ้แทน เดี๋ยว กูจำทางไม่ได้ เชี่ยแทน ไอ้เลวววว!!”


    ผมตะโกนตามหลังมันไป พี่ ๆ ที่อยู่ตรงนั้นหันมามองผมอีกครั้ง ผมเลยหุบปากฉับ ยิ้มเจื่อน ๆ ก้มหัวขอโทษปลก ๆ แล้วรีบเดินออกมา ไอ้เพื่อนเวรหายไปไวราวกับวาร์ปได้ กูจะจำไว้ว่าคนอย่างมึงแม่งเห็นเมียดีกว่าเพื่อน กูจะไม่มาหามึงที่วิศวะอีกเด็ดขาด! เอารถแห่ไปเชิญ เอาธูปเทียนดอกไม้ไปขอขมาก็จะไม่มา!


    แล้วแม่งเมื่อกี้มันบอกทางว่าไงบ้างนะ ซ้าย ๆ ขวา ๆ ตรงแล้วเลี้ยวใช่ไหม มันบอกมามั่ว ๆ กูก็จะเดินไปบ่นไป
    แบบมั่ว ๆ นี่แหละ ไม่เจอก็ช่างแม่ง

     


     บริเวณนี้เป็นอาณาจักรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ทั้งหมดเลยครับ ยิ่งใหญ่โคตรพ่อโคตรแม่เถอะ มีทั้งตึกเรียนรวม
    ที่อลังการงานสร้าง ตึกยิบย่อยของภาควิชาแต่ละสาขาอีกเป็นสิบ นี่ยังไม่นับภาคอินเตอร์นะ คณะนี้คนมันเยอะ ตึกเลยใหญ่
    ผมเข้าใจ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งสำเหนียกได้ว่าคณะศิลปะศิลปินของผมแม่งลูกเมียน้อยดี ๆ นี่เอง


    ผมผ่านทั้งสนามเทนนิส สนามบาสกลางแจ้ง เมื่อกี้ที่ไอ้เวรแทนพาผมไปคือโรงยิม เฮอะ รวยจังนะคณะมึงเนี่ย งบประมาณหารยังไงถึงได้อู้ฟู่กว่าชาวบ้านเขาวะ

    ผมโวยวายในใจเพราะทำอะไรไม่ได้ นอกจากคลำไปตามทางที่ไอ้เหี้ย (เพิ่มยศให้เพราะโมโห) แทนมันบอก การเดิน
    ในมหา
    ลัยผมนั้น หากไม่ใช่ถิ่นตัวเอง มึงเตรียมกางแผนที่เลยครับ หลงชัวร์


    หลังจากวนในเขาวงกตมาเนิ่นนาน ในที่สุดผมก็หลุดออกมาจนได้ เห็นสนามฟุตบอลอยู่รำไรแล้วครับ


    ฟู่ววว! ไม่หลงแล้วกู


    ผมเป่าลมออกจากปาก ปาดเหงื่อตรงขมับทิ้ง มองจากตรงนี้จะเห็นสนามฟุตบอลขนาดเล็กอยู่ไกล ๆ ในนั้นมีคนกำลังวิ่งไล่ไอ้ลูกกลม ๆ กันอยู่เต็มสนาม อัฒจันทร์ข้างสนามมีคนนั่งอยู่บ้างประปราย ดูจากชอปที่ใส่ส่วนใหญ่ก็คงเป็นพวกเด็กวิศวะนั่นแหละ


    ผมกวาดสายตามองหาที่ที่พอจะนั่งรอไอ้แทนได้ โดยไม่ต้องเข้าไปใกล้ไอ้พวกนั้นจนเกินไปนัก เหม็นสาปพวกมักเกิ้ล ความจริงคือกลัวครับ ก่อนหน้านี้เพิ่งไปมองหน้าหาเรื่องเขาเอาไว้ กลัวจะไปเจอพวกนั้นเข้า


    ผมหันซ้ายแลขวาอยู่นานก็เห็นว่าข้างสนามอีกฝั่งมีโต๊ะม้าหินอ่อนอยู่ใต้แนวต้นไม้ร่มรื่น ท่าทางจะเย็นสบาย
    เหมาะแก่การเสด็จไปเฝ้าพระอินทร์ยิ่งนัก เมื่อมีจุดหมาย ก็ต้องออกเดินทาง แต่อนิจจา มารไม่มีบารมีไม่เกิด 


    ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าแค่การเดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อนข้างสนามฟุตบอลของคณะวิศวะในวันนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของพีรณัฐคนนี้ไปตลอดกาล เพราะยังไม่ทันจะเดินครบเจ็ดก้าว ก็มีบางอย่างพุ่งมากระแทกใส่กลางหลังผมเข้าอย่างจัง


    โอ๊ย!!! เชี่ยไรวะ”


    แรงปะทะไม่มากนัก เจ็บแค่นิดหน่อย แต่ผมตกใจมากกว่า เลยเผลอสบถออกมา หลังจากหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสาเหตุ จนรู้แจ้งว่าวัตถุที่ตกกระทบกระผมนั้นคือสิ่งใดก็โล่งอก มันคือลูกฟุตบอลกลม ๆ ที่กำลังกลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้น

    ที่แท้ก็แค่ลูกฟุตบอลนี่เอง ดีแล้วที่เป็นลูกบอล เพราะถ้าเป็นลูกปืนก็ไม่รู้จะเอาไปคืนยังไง แน้ ได้อีกห้าบาท นามสกุลชวนชื่นหรือเปล่าเนี่ย และด้วยความที่ผมเป็นคนอารมณ์ดีมีน้ำใจ เลยกะจะเก็บบอลไปคืนให้เจ้าของ ถ้าไม่มีเสียงนั้นและคำคำนั้น
    ดังขึ้นมาเสียก่อน



    เฮ้ย เตี้ย เก็บบอลให้หน่อยดิ๊



    ไม่คิดไม่ฝันว่าจะถูกเรียกด้วยคำคำนี้ เกิดมายี่สิบปี ไม่เคยมีคนแปลกหน้าที่ไหนมาตะโกนออกคำสั่งแถมยังเรียกผมว่าเตี้ยมาก่อน แล้วใครสั่งใครสอนให้มึงขอความช่วยเหลือจากคนไม่รู้จักด้วยคำพูดหมา ๆ แบบนี้ ไม่มีคนบอกเหรอว่าการเรียกคนอื่นด้วยคำที่เหยียดรูปร่างหน้าตาน่ะมันเหี้ย! มึงเตะบอลมาโดนกู กูไม่ว่า เพราะมันคงเป็นอุบัติเหตุ กูเข้าใจแต่ไอ้ที่มึงมาเรียกกูว่าเตี้ยนี่กูยอมไม่ด๊ายยยยย


    ผมก้มลงเก็บลูกฟุตบอลด้วยมือสั่นเทาจากความโกรธ โกรธจนตัวสั่น ผมบอกตัวเองให้หายใจเข้าลึก ๆ พยายามระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดปุด ๆ ให้เย็นลง แล้วหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับไอ้เวรนั่น ในวินาทีที่หันกลับไป เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว จากความโกรธก็มีความเสียดายแทรกเข้ามาร่วมปะปน เมื่อผมได้เห็นหน้าคู่กรณี ผมไม่คิดเลยว่าคำพูดแย่ ๆ เมื่อครู่จะออกมาจากปากของคนที่มีใบหน้าดูดีแบบนี้ งดงามราวกับเหมือนไม่มีอยู่จริง ไอ้ฉิบหาย! กูช็อกครับ มึงเป็นคนจริง ๆ หรือหลุดมาจากอานิเมะวะ


    กูบอกให้เก็บบอลให้ ไม่ได้ยินหรือไงวะเตี้ย”


    เหมือนได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะอยู่ข้างกกหู ความอดทน ขันติธรรม ฌานบารมีที่สีดาพีมเคยสั่งสมมากระเด็นกระดอนขาดผึงลงในพริบตา หนุมานไม่ต้อง กูนี่แหละจะเผากรุงลงกาเอง เหวย ๆ หน้าตาก็ดี แต่ทำไมสันดานเสียแบบนี้วะ คำก็เตี้ย สองคำก็เตี้ย เออกูรู้ว่ากูเตี้ย รู้ก่อนมึงอีก ไม่จำเป็นต้องให้ไอ้คนไร้มารยาทอย่างมึงมาบอกหรอก กูไม่ต้องการให้ใครมาย้ำ โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักกันอย่างมึง!!!


    ผมจ้องหน้า มันก็ไม่หลบตา แถมสีหน้าแววตาแม่งดูกวนส้นตีนยังไงก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นเด็กทารกก็คงรู้สึกได้ว่าคนแบบนี้ต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน ผมท่องยุบหนอ พองหนอสองรอบ ก่อนจะตัดสินใจโยนลูกบอลคืนให้ มันรับไว้และไร้ซึ่งคำขอบคุณ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายอยู่แล้ว ถ้ามันพูดสิผมถึงจะแปลกใจ พอมันหันหลังก้าวขาออกไป มือกับตีนผมก็ไวเท่าความคิดในสมอง เหมือนเป็นระบบออโต ทุกอย่างสัมพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ มันเกิดขึ้นเร็วมาก นี่สินะที่เขาเรียกว่าบันดาลโทสะ ผมถอดรองเท้าแตะ และใช่ครับ กูเขวี้ยงช้างดาวใส่กลางหลังไอ้เวรนั่นเต็มแรง ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนน่าตกใจ


    “โอ๊ย แม่ง!!!


    “โอ๊ะ โทษที เก็บรองเท้าให้หน่อยดิไอ้เหี้ย” แค่นั้นแหละ แค่นั้นเลย ไอ้หน้าหล่อมารยาททรามนั่นก็กระโจนเข้ามาขย้ำคอเสื้อผมทันที จนขาผมแทบลอยขึ้นจากพื้น เอาวะ! แตกเป็นแตก ตายเป็นตายละกูคืนนี้


    มึง-” มันเค้นเสียงลอดไรฟันเรียกผมอย่างโกรธจัด เหมือนมีไฟลุกโชติช่วงชัชวาลอยู่ในดวงตาคมดุ คอเคอ หูเหอ เปลี่ยนเป็นสีแดงตามแรงอารมณ์


    พอดูใกล้ ๆ แล้วหน้าใสจังวะ ผิวเนียนกริบเหมือนลืมรูขุมขนไว้ในไว้ท้องแม่ สีตาก็สวย หายากนะสีน้ำตาลเฉดนี้ แอบภูมิใจที่การเรียนทฤษฎีสีตลอดสองปีที่ผ่านมาในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์เสียที จมูกก็ทรงสวย รับกับโหนกแก้ม ถ้าเอาไปเป็นแบบวิชาปั้นอาจจะได้เอ เพราะพระเจ้าปั้นมาดีแล้ว เราก็แค่ปั้นตาม ปากบางเป็นกระจับ สีชมพูระเรื่อ
    เหมือนไม่แตะบุหรี่ แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะไอ้คิวก็ปากอมชมพูสุขภาพดี ทั้งที่เคี้ยวบุหรี่วันละหลายมวน โครงหน้าอาจจะเล็กไปนิด แต่สัดส่วนพอดี ทุกอย่างบนใบหน้ารับกันอย่างไร้ที่ติ สรุปได้ว่าไอ้นี่ต้องกรรมพันธุ์ดีมากแน่ ๆ พ่อกับแม่ถึงส่งต่อยีนเด่นมาให้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้ เชื่อไหมว่าคนพวกนี้ใช้ครีมซองละสิบบาทก็เอาอยู่ ดีไม่ดีมันใช้แค่สบู่นกแก้วก้อนเดียวทั้งอาบน้ำ ล้างหน้า สระผมด้วยซ้ำ ทรีอินวัน


    ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าผมจะยังมีอารมณ์มาชื่นชมความงามทางศิลปะ
    ของใบหน้าไอ้เวรนี่ได้ ถ้าตายก็เรียกว่าตายในหน้าที่ ตายอย่างสมศักดิ์ศรี อาจารย์ศิลป์จะต้องไม่ผิดหวัง
    !



    เฮ้ย ๆ ๆ พวกมึง!!! มีเรื่องอะไรกันวะ ไอ้พีม ไอ้ภูมิ






    TBC >>>>>>>>>>>>



    เสอ พร้ายยยยยยยยยยย 5555555555555555555 ตกใจกันมั้ยจ๊ะเพื่อนๆผู้อ่านที่น่ารัก มือสั่นไปหมด ไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกันยังไงดี ทั้งคิดถึงทั้งตื่นเต้นค่ะ น้องสวยไม่ได้เข้ามาเด็กดีหลายปีมาก ๆ(ไม่นับตอนที่มาลงประกาศทำเล่มพิเศษ) เราคิดถึงที่นี่มากเลย เป็นบ้านหลังแรกที่ได้ทำให้รู้จักทุกๆคน มีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นที่นี่ พอเผลอแปบเดียว ผ่านมา 10 ปี แล้ว 


    ก็เลยถือโอกาสนี้รีปริ้นหนังสือพร้อมเปลี่ยนปก ใหม่ยกเซต และเขียนเล่มพิเศษสิบปีที่หนุ่มๆเข้าสู่วัยทำงานเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม ตอนนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงเนื้อหาอีกนิดหน่อยค่ะ ถ้าเปิดพรีเมื่อไหร่จะมาแจ้งให้ทราบนะคะ ระหว่างนี้ก็เลยคิดว่าน่าจะนำเนื้อหาที่ปรับปรุงมาลงใหม่ให้เพื่อนๆที่อยู่ในเด็กดีได้อ่านด้วย 

    ขอสารภาพว่าตั้งแต่เขียนวีอาร์จบ น้องสวยแทบไม่ได้เข้ามาอ่านคอมเม้นเลยค่ะ เพราะปัญหาสุขภาพจิตใจต่างๆที่พอเขียนจบแล้วรู้สึกว่าเราได้รับความรักจากคนอ่านมากเกินไป รู้สึกไม่คู่ควรกับคำชม ก็เลยหลบหนีไปจากพื้นที่ตรงนี้ไปเลย ก็ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเรียนรู้และอยู่กับความรู้สึกนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆนักอ่านทุกคนที่อยู่ด้วยกันมา คอยให้กำลังใจ คอยสนับสนุนเรามาตลอด ทำผิดทำพลาดก็ให้โอกาส พวกเราต่างเรียนรู้และเติบโตขึ้นมากจริงๆ 


    น้องๆนักอ่านหลายคนรู้จักกันตั้งแต่เป็นนักเรียน ตอนนี้ก็ทำงาน เรียนจบกันแล้ว เพื่อนๆ พี่ๆนักอ่านก็ยังคอยมาทักทายเสมอ ไม่หายไปไหน ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ เราไม่ใช่คนเก่ง นิยายก็ไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ดันโชคดีดวงดีมีคนรักเยอะ เราก็รักพวกเทอน้าาาาาาา แง้ ซึ้ง (ตัดไปกล้องสอง แอบยิ้มร้าย เพราะจะเปิดขาย e-book ด้วย 55555555555)


     ยังไงจากนี้ไป น้องสวยก็จะเข้ามาอ่านเม้นและรับกำลังใจจากทุกคนให้บ่อยขึ้นนะคะ รวมถึงเปิดรับทุกๆคำแนะนำ ติชม วิจารณ์ เราชอบมากๆเลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจที่จะเม้นติ หรือให้คำแนะนำถึงข้อผิดพลาดของเรา เราจะถือเป็นพระคุณด้วยซ้ำที่ชี้จุดบกพร่องให้เราเห็นเพื่อพัฒนาตัวเอง ขอบคุณอีกครั้งนะคทุกคนนนน รักพวกเทอออออ เดี๋ยวจะทยอยมาให้อ่านวันเว้นวันระหว่างรอเล่มเสร็จเนอะ จุ๊บๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×