คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 ข้อแลกเปลี่ยน (ตัวอย่างปกฉบับรีปริ้น)
ตอนที่ 3
ข้อแลกเปลี่ยน
“มึงจะพากูไปไหน คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังมาเฟียฮ่องกงหรือไงวะ บ้านเมืองมีขื่อมีแป ทำแบบนี้เข้าข่ายลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว มึงติดคุกได้เลยนะโว้ย ได้ยินที่กูพูดไหม ถ้าไม่อยากไปกินข้าวแดงที่บางขวางก็ปล่อยกูลงซะ มึงฟังภาษาไทยไม่ออกเหรอ บอกว่าให้ปล่อยกูลง จอดรถ จอด ๆ ๆ จอดสิโว้ย! ” ผมตะโกนโวยวายลั่นรถเหมือนคนบ้า แต่ไอ้นั่น (ไม่อยากเรียกชื่อ เสนียดปาก) ยังคงนิ่งเงียบไม่หือ ไม่อือ
ราวกับเสียงของผมไปไม่ถึงเยื่อแก้วหูของมัน มันเอาแต่มองถนนและตั้งใจขับรถอย่างฉวัดเฉวียนต่อไป กูละชอบจริง ๆ พวกไม่รักชีวิตเนี่ย
“มึงรู้ไหมว่ากำลังทำผิดกฎหมายอาญากี่ข้อ ทั้งหน่วงเหนี่ยวกักขังให้กูปราศจากเสรีภาพ ทั้งขับรถโดยประมาท คุกคาม ข่มขู่ ลักพาตัว”
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงบีบแตรยาว ๆ และการแซงซ้ายปาดหน้ารถบรรทุกสิบหกล้อไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ผมยังไม่ทันจะได้นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่เลย เกิดความรู้สึกเสียววูบที่หัวใจ และท้องไส้ปั่นป่วนอย่างเฉียบพลัน ต่อให้ไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ ผมก็อาจจะหัวใจวายตาย เพราะสกิลการขับรถเหมือนไปปล้นใบขับขี่มาของไอ้เหี้ยนี่แหละ รู้แล้วว่ารถแรง
แต่หยุดแซงซ้ายด้วยความเร็วมิดเข็มไมล์จะได้ไหมมม โอ๊ะ ผมเพิ่งสังเกตว่ารถคันนี้คือรถดาวสามแฉกสปอร์ตเปิดประทุน เชี่ย ไม่คิดว่าจะได้นั่ง แต่เป็นบุญตูดหรือไม่นั้น
ผมก็ไม่กล้าตอบเหมือนกัน ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ระทึกขวัญแบบนี้ ผมอาจจะยืนกรีดร้องที่ได้มีโอกาสสัมผัสรถในฝันก็ได้
ตอนนี้ขอเอาชีวิตให้รอดก่อน ชื่นชมรถเอาไว้ทีหลัง เพราะไอ้เวรภูมิมันเหยียบคันเร่งชนิดที่ว่าถ้าดอม โดมินิค
แห่ง ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส มาเห็น อาจจะด่าพ่อก็ได้ว่า มึงจะรีบไปตายที่ไหนวะสาดดดด
“กูแจ้งความจับมึงได้นะ อ้อ เรียกร้องค่าเสียหายได้ด้วย มึงโดนทั้งจำทั้งปรับแน่ถ้าไม่ปล่อยกูลง อย่าลืมนะว่า
มีพยานสามคนรู้เห็นว่าคนสุดท้ายที่กูอยู่ด้วยคือมึง” “อือ” กูสวดชินบัญชรไปสามจบ กล่าวปาฐกถาอีกร้อยหน้า มึงตอบมาแค่ อือ ไอ้… เกิดมาก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็น นึกว่าคนน่ากลัวแบบนี้จะมีแค่ในหนังในละคร เสียดายหน้าตาหล่อเหลา
ราวกับพระเจ้าปั้นมาด้วยความรัก แต่กลับให้ความรู้สึกที่โคตรน่ากลัว คิ้วเข้มนั้นขมวดมุ่น ดวงตาคมดุดันทว่าให้ความรู้สึกเหมือนห้วงมหาสมุทร สวยงามทว่าน่ากลัว เพราะมันลึกเกินกว่าจะหยั่งรู้ความรู้สึกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ริมฝีปากบางสีอ่อนเหยียดตรง หากจะยิ้มก็เป็นรอยยิ้มที่เหยียดยกเพียงมุมปากเท่านั้น มันคล้ายงานประติมากรรมล้ำค่าและสมบูรณ์แบบ
แต่ต่อให้งดงามมากแค่ไหน ประติมากรรมก็เป็นเพียงสิ่งที่ไร้ชีวิต ขาดจิตวิญญาณ นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกและสัมผัสได้จากผู้ชายคนนี้ สำหรับวันนี้ขอจบวิชาศิลปะเบื้องต้นไว้เพียงเท่านี้ นักเรียนทำความเคารพ “กู กูจะโทรแจ้งตำรวจ”
“เอาสิ ใช้มือถือกูโทรก็ได้นะ” ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงกล้าทำเรื่องอุกอาจ มาบุกฉุดคร่าผมถึงคณะมันคงไม่กลัวคุกกลัวกฎหมายแล้วละ
“พ่อกูเป็นตำรวจ”
“หึ”
“ขำไร คิดว่ากูโกหกเหรอ มึงจะคุยกับพ่อกูเลยไหมล่ะ หรือจะถามไอ้แทนก็ได้ถ้ามึงไม่เชื่อ”
“เมื่อกี้ยังด่ากูอยู่เลยว่ามีเงินแล้วใช้อำนาจ แล้วมึงล่ะ เอาพ่อมาขู่ มันต่างจากกูตรงไหน”
“เรียนจิตรกรรมใช่ไหม”
“ถ้าใช่แล้วจะทำแมะ”
“เพ้อเจ้อแบบมึงทุกคนเลยไหม”
“ก็มีบ้างนะมึง คือแบบ ทำงานศิลปะมันต้องใช้ความคิดเยอะใช่ปะ ต้องหาไอเดีย ต้องใช้จินตนาการ
ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ต้องมีแรงบันดาลใจ มันเป็นการสร้างงานที่ต้องใช้ทั้งความคิดแล้วก็ความรู้สึกอะ กว่าจะได้งานแต่ละชิ้นนะ เหนื่อยโคตร ๆ ทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจพังกันไปไม่รู้เท่าไรแล้ว” ผมชะงัก เมื่อนึกได้ว่าเผลอไหลตามน้ำ ก็มันชวนคุย
เรื่องเรียนอะ จะไม่ตอบได้ไง เดี๋ยวเสียชื่อหมด “นี่มึงหมิ่นประมาทกูเหรอ มึงกล่าวหาคนเรียนศิลปะเหรอวะ มึงเจอเพิ่มข้อหา
อีกหนึ่งกระทงแน่ แล้วทีพวกมึงอะ พวกเรียนวิศวะแม่งชอบใช้กำลังแก้ปัญหาเหมือนมึงทุกคนเลยปะ” “กูใช้กำลังตอนไหน”
“เหอะ ถามว่ามีตอนไหนมึงไม่ใช้ดีกว่า” นี่มันคือการชิงไหวชิงพริบ เมื่อนึกคำตอบไม่ทันให้ตอบเป็นคำถาม
ถามมันกลับ เพราะผมก็นึกไม่ออกว่ามันใช้กำลังตอนไหนเหมือนกัน อ้อ ตอนที่มันลากผมขึ้นรถไง
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร พระเอกละครของพิศาล อัครเศรณีงั้นสิ”
“กูเนี่ยนะใช้กำลัง กูคือคนที่ต้องนอนโรงพยาบาล เพราะถูกมึงทำร้ายร่างกายนะเผื่อลืม”
“จริงดิ นอนโรง’ บาลเลยเหรอ แล้วหมอว่าไงมั่ง แล้วนี่หายดีแล้วใช่ปะ เดี๋ยว” ผมละเบื่อตัวเอง
“นั่นมันคนละประเด็น มึงอย่าจับแพะชนแกะ สิ่งที่มึงทำอยู่ตอนนี้คือการบังคับขืนใจให้กูมากับมึง มันคือการข่มเหงจิตใจ ทำให้กูรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้กูรู้สึกหวาดกลัว”
“อ้อ จริงด้วย มึงดูเหมือนคนกำลังกลัวมากเลยตอนนี้” ขี้ประชดประชันเหลือเกินนะ คือผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวมันสักเท่าไรหรอกเอาจริง ๆ แล้วน่ะ จะว่ายังไงดี ไม่ได้คิดไปถึงขั้นว่ามันจะเอาไปฆ่าไปแกง แต่หวาดระแวงเพราะไม่รู้มันจะพาไปไหน
“โอเค เรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่าเนอะ” ผมมันคนฉลาด รู้ว่าจังหวะไหนควรบุก จังหวะไหนควรถอย รู้หลบเป็นปีก
รู้หลีกเป็นไหม ตอบเลยว่า…เป็นจ้า เก่งด้วย
“ไม่อยากคุย”
“อ้าว” กูอ้าวเลย ไหนมึงบอกว่ามีเรื่องจะคุย ตกลงเอาไง “น่านะ หันมาคุยกันก่อน ถ้าไม่คุยแล้วเราจะเข้าใจกันได้ยังไง” มันหันมามองแล้วครับ แต่มองเหมือนจะกินหัว
“คือกูคิดว่าเรื่องวันนั้น มันอาจจะเป็นแค่ความผิดพลาด มันไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอกจริงไหม มึงไม่ยับยั้งชั่งใจ กูเองก็ทำไปตามอารมณ์ พวกเราพลาดไปแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าได้เว้ยมึง เพราะมันจะไม่เกิดขึ้นอีก กูสัญญา จากนี้ระหว่างเราสองคนก็จะเหลือแค่ความทรงจำ กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เป็นแค่คนเคยรู้จัก ไม่มีอะไรผูกมัดกันและกัน โอเคไหม”
“พูดเรื่องอะไร”
“เรื่องของเราไง”
อึ้งละสิ ไม่คิดละสิว่ากูจะคารมคมคายขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่มันละสายตาจากเส้นทางตรงหน้ามามองหน้าผมครับ แต่หัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด สงสัยไอ้หมอนี่จะฟังไทยไม่แตกจริง ๆ ว่ะ ดูสิ ถอนหายใจหน่าย ๆออกมาด้วย แถมเร่งแอร์เสียแรงเลย
“นั่งเงียบ ๆ ไปเถอะ รำคาญ”
ผมหลับตา พยายามสูดลมหายใจเข้าปอด พร้อมพูดว่าโอมยาว ๆ เอาวะตายเป็นตาย แล้วผมก็พุ่งไปหยุมหัวไอ้ภูมิ
“โอ๊ยย ปล่อย มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอ เดี๋ยวก็ตายคู่หรอก โอ๊ย ปล่อย!”
“จะจอดไหม ฮึ จะจอดไหม” ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกให้มันจอดและดึงทึ้งผมมันไปด้วย
“โอ๊ยยย” แล้วมันก็หักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางแต่ไม่ได้ปล่อยให้ผมลง มันจอดเพราะจะหยุมหัวผมกลับ เราต่างหยุมหัวกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจทราบได้ แต่ยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เสียงหอบหายใจสอดประสานดังก้องไปทั่วห้องโดยสารแคบ ๆ ไอเย็นพรั่งพราวเกาะกระจกใส สภาพของแต่ละคนราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยให้เห็นแผ่นอกที่กำลังขยับขึ้นลงตามแรงหายใจ ผมเผ้ายุ่งเหยิงแทบไม่เป็นทรง แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมผละออกจากกัน แม้ว่าเบ้าตาจะช้ำไปข้างหนึ่งแล้วก็ตาม รางวัลพูลิตเซอร์ปีนี้จะเป็นของใครไปได้ ถ้าไม่ใช่พีรณัฐ
“ปล่อย” มันสั่ง
“มึงก็ปล่อยก่อนสิ” ผมสู้ มือผมขยุ้มผมอยู่ที่ท้ายทอยของมัน ก่อนจะรั้งไปด้านหลังจนอีกฝ่ายหน้าหงาย ส่วนมือมันดึงผมข้างหน้าของผมไว้จนผมคอเอียง
“ปล่อย” เสียงเริ่มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
“งั้นนับหนึ่งสองสามแล้วปล่อยพร้อมกันนะ โอเค้”
“โอโค”
“หนึ่ง สอง สาม…”
แน่นอนว่า ไม่มีใครปล่อย ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
“ฮั่นแน่ รอบนี้แค่เทสต์ ทีนี้จะเอาจริงละน้า ต้องปล่อยจริง ๆ น้า หนึ่ง สอง…”
และก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาช่วยชีวิต ผมกับมันต่างผลักอีกฝ่ายออกโดยไว เชี่ยเอ๊ย โดนเล็บมันข่วนใต้ตา แต่ว่าผมก็ได้หยิกติ่งหูมันไปหนึ่งทีเหมือนกัน นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
มันคุยโทรศัพท์ พูดครับ ๆ สามสี่คำแล้วก็วาง ก่อนตวัดตาดุ ๆ มามองผม
“ช่วยนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ด้วย กูไม่ได้จะเอามึงไปฆ่า แต่ถ้ายังก่อเรื่องอีกก็ไม่แน่”
“โอเคจ้ะ”
ผมนั่งเงียบตามที่มันสั่งเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ไม่มีติดตัวเลยสักชิ้น มันตะลอน ๆ กระเตงผมไปกับมันทั้งวัน ตั้งแต่แวะท่าเรือ ไปกรมสรรพากร ไปโกดังเก็บของที่สมุทรปราการ ไปยันโรงงานที่บางปะกง น้ำคงขึ้นขึ้นลงลง ใจอนงค์ ก็คงเลอะเลือนกะล่อน เหมือนอารมณ์ไอ้ตัวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่แหละ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ที่ที่มันเข้าไปคุย
ก็ดูเป็นการเป็นงานอยู่นะ ผมสังเกตเห็นว่าแต่ละที่ที่มันไปจะมีคนคอยต้อนรับ แสดงความนอบน้อมต่อมันเสมอ และคนที่มันคุยโทรศัพท์ด้วยก็น่าจะเป็นแม่ ผมไม่ได้มีญาณหยั่งรู้หรอก กูได้ยินมันเรียกครับ เพราะเวลาที่จัดการธุระแต่ละที่เสร็จมันก็จะโทรไปรายงานว่าเรียบร้อยแล้วครับคุณแม่
ว่าแต่ว่า คุณแม่จะรู้ไหมครับว่าเรามาทำอะไรกันที่บ้านริมทะเลมิทราบ
“บ้านใคร แล้วมึงจอดรถทำไม จะทำอะไรกู หรือว่า หรือว่า มันคือซ่องโจร รังมาเฟีย ที่ทำลายหลักฐานของมึงใช่ไหม” ผมมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง
“มึงนี่คงดูหนังฆาตกรรมเยอะ แล้วจินตนาการจนหลอนจริง ๆ สินะ” มันพูดห้วน ๆ เหมือนเอือมระอาเต็มทน
“มึงก็พูดได้สิ มึงไม่ใช่กูนี่” ผมขึ้นเสียงไม่ยอมลงจากรถ ไอ้บ้านั่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ
“หนวกหู ลงมา เร็ว ๆ กูเมื่อย”
“เหอะ กูก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกันนะ ที่อยู่ ๆ กูก็ถูกไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ลากขึ้นรถขับข้ามจังหวัด กูขอโทษด้วยแล้วกันที่กูพยายามรักษาชีวิตตัวเองจนทำให้มึงต้องหนวกหู”
“งั้นก็ตามใจ” มันลงจากรถ ก่อนจะโน้มตัวลงพูด “ถ้ากูจะทำอะไรมึง กูทำไปนานแล้ว ไม่ต้องลงทุนขับมาไกลขนาดนี้หรอก ก่อนหน้านี้ละโวยวายอยากลง พอให้ลงก็ไม่ลง”
“ก็ ก็กูก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนดิ มึงน่าไว้ใจนักนี่ แล้วพากูมาที่นี่ทำไม” ผมกระแอมไอ พูดเสียงเบา คนฟังหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดประตูรถเสียงดัง เดินฉับ ๆ เข้าบ้าน ไม่หันมามองข้างหลังอีกเลย
ผมอ้าปากหวอ กะพริบตาปริบ ๆ
“เพราะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกสินะ พระพุทธเจ้าถึงสอนเรื่องขันติ”
ผมเข้ามานั่งในบ้าน ภายในแทบไม่มีอะไรเลย คงเป็นบ้านพักตากอากาศริมทะเลของพวกคนมีสตางค์ที่ซื้อทิ้งไว้เล่น ๆ นาน ๆ ทีจะจ้างคนมาทำความสะอาด นาน ๆ ทีจะนึกได้ว่า อุ๊ย เรามีบ้านเลิศ ๆ ที่ทะเลนี่นา ไปพักดีกว่า เฮอะ ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้เสียดสีนะครับ กูอิจฉา ผมมองไปรอบ ๆ ดูไอ้ภูมิเดินไปเดินมาพร้อมกับคุยโทรศัพท์เสียงดัง
“เออ รู้แล้วน่า แวะทำธุระให้แม่อยู่ เพิ่งมาถึง จะอะไรนักหนาวะ ก็มาเอาให้แล้วนี่ไง แล้วทำไมไม่ใช้ไอ้แทน เรื่องมาก!”
แล้วมันก็ตัดสายทิ้ง แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเยื้อง ๆ กับผม “น่ารำคาญ” มันกอดอกทำหน้าตาบูดบึ้งเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ที่ถูกขัดใจ พอมันเหลือบมาเห็นว่าผมมองอยู่ก็ขยับตัว กระแอมเบา ๆ แล้วตีหน้าขรึมเหมือนเดิม เฮอะ แปลกคนจังวะไอ้นี่
“กูต้องการค่าทำขวัญ ค่าชดใช้ความเสียหาย” มันเปิดบทสนทนา เอนตัวพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อะไรเสียหายพ่อคุณ ชดใช้อะไร พูดอะไรของมึง ละเมอเหรอ” อาจจะไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ผมกลั้นขำไม่ได้จริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ ค่าเสียหาย พะนะ
“กูขอย้ำอีกทีว่าที่กูต้องเข้าโรงพยาบาลก็เพราะถูกมึงทำร้ายร่างกาย”
“อู้ววว สรุปเรื่องจริงเหรอ กูนึกว่าไอ้คิวแค่อำเล่น แล้วหายดียังอะ” และขอขำดัง ๆ อีกสักครั้งครับท่านผู้ชม “ก็ช่วยไม่ได้อะ มึงมาล้อกูก่อนทำไม แล้วยังไม่เห็นมึงขอโทษกูสักคำเลยนะ”
“ขอโทษ”
ฮะ? ผมขำค้าง กะพริบตาอย่างงุนงง
“ดะ เดี๋ยว ๆ ”
“ทีนี้ตามึงละ ขอโทษกูสิ”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน มึงช้าก่อน อย่ามาลักไก่เล่นไวไล่ต้อนกูทีเผลอ กูไม่มีอะไรต้องขอโทษมึงโว้ย เพราะเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมึงน่ะเป็นคนผิด ตั้งแต่เริ่มยันตอนนี้คนที่ผิดคือมึงคนเดียวเลย” พอผมพูดจบ ไอ้ภูมิก็ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม คงใกล้จะหมดความอดทนแล้วสินะ มันโน้มตัวมาข้างหน้า แล้วจ้องหน้าผม
“ค่ารักษา ค่ายา ค่าหมอ รวม ๆ แล้วสองแสนกว่า กูใจดีลดให้เหลือสองแสนถ้วน จ่ายมา”
“กูขอโทษจริง ๆ กูผิดไปแล้ว กูมันไม่ดีเอง มึงไม่ผิดเลย กูเอง กูผิดคนเดียวเต็ม ๆ ” มันยังพูดไม่ทันจบดี ผมก็รีบสวนขึ้นทันที ขอโทษไวเสียยิ่งกว่าแสง
“สองแสน จ่ายมา”
“มึงไปนอนโรง’ บาลไหนมาไอ้สัด เหมาบำรุงราษฎร์ทั้งชั้นเหรอ แค่โดน เอ่อ สะกิดนิด ๆ แค่นั้น ทำไมมันถึงแพง
ขนาดนั้นวะ”
“จะดูใบเสร็จก็ได้นะ กูมี” เสียววูบเลย นึกว่ามันจะให้ดูอย่างอื่น
“แต่กูไม่มี อย่าว่าแต่สองแสนเลย ค่าพรินต์งานสองร้อยกูยังยืมเพื่อน”
“งั้นกูมีทางเลือกให้ มาทำงานให้กู คิดค่าแรงแทนเงิน”
“งานอะไร ถ้าให้กูค้ายา ฆ่าคน ค้ามนุษย์ มึงพามาผิดคนแล้ว กูไม่รับงานพวกนี้” ผมหรี่ตามองมันอย่างไม่ไว้ใจ
มันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยีผมตัวเองจนเสียงทรงก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วทำไมกูต้องให้มึงไปทำอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ เลิกใช้จินตนาการสักทีได้ไหมวะ งานที่กูจะให้ทำน่ะ ไม่ใช่งานยาก ของง่าย ๆ ก็แค่..." มันจ้องหน้า สบตาผม มุมปากบิดขึ้นน้อยๆราวกับมีรอยยิ้มเยาะก่อนจะพูดประโยคต่อมาที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้าง
"แค่เป็นเบ๊ให้กูสักเดือนสองเดือน”
ไอ้-เหี้ยยยย
“กูไม่ได้บังคับนะ มึงจะทำหรือไม่ทำก็ได้ เอาที่มึงสบายใจ”
มันพูดเสียงเรียบเรื่อย เอนตัวพิงพนักโซฟา ไขว่ห้างด้วยท่าทีสบายๆ ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ พยายามควานหาเสียงและสติให้กลับมา
“ขอบคุณมากเลย เกิดมาไม่เคยรู้สึกสบายใจเท่านี้มาก่อนเลย”
“ถ้าไม่ทำก็แค่จ่ายมาสองแสน แบ่งจ่ายสี่งวดก็ได้นะ กูใจดี” มันเริ่มพูดจายียวนด้วยน้ำเสียงยั่วโมโห เอาจริงนาทีนี้ไม่ต้องยั่วกูก็โมโหจนหัวไหม้ไฟลุกไปหมดแล้วครับ
ผมผุดลุกขึ้น จ้องหน้ามัน แล้วตะโกนสุดเสียง
“จะให้เริ่มงานวันไหน มึงบอกมาเลย! ”
ลานม้านั่งหน้าคณะจิตรกรรมยามเช้านั้นไม่ได้เงียบสงบนัก อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเวลาไหนคณะเราก็ไม่เคยสงบ เพราะเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงแข่งกับร้านสะดวกซื้อของนายทุน ชาวจิตรกรรมไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อศิลปะแต่อยู่เพื่อทำงานส่ง อาจารย์ให้พวกเราลาได้ สายได้ ขาดได้ ตายก็ได้ แต่ต้องส่งงานก่อน ไม่ว่าเอกไหน ปีไหน ล้วนมีชะตากรรมเดียวกัน ที่คณะจึงไม่เคยเงียบเหงา มีคนอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เข้ามาที่นี่ตอนตีสองก็จะเห็นคนนั่งปั้นงาน เขียนรูป ดัดลวด ตัดเหล็ก
ซ้อมการแสดง คนวิ่งออกกำลังกายก็มี ตั้งวงเล่นผีถ้วยแก้วก็เยอะ ทอดแหหาปลาในสระ ไปจนถึงเผาถ่าน อะไรที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็จะได้เห็น เรารวบรวมทุกอย่างมาไว้ที่นี่ที่เดียว มีให้ดูทุกเวลา เลือกชมได้ตามอัธยาศัย ผมหอบสังขารออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ ตั้งใจว่าจะหลบหน้าไอ้คิว หนีขึ้นไปนอนที่ชอปปั้น แต่มันก็เสือกรู้แกวมาดักรอที่หน้าคณะ ดูจากสภาพและกลิ่นที่โชยมา ไอ้คิวน่าจะนอนที่นี่แหละเมื่อคืน แล้วไม่ได้มีแค่ไอ้คิวนะครับที่นั่งจ้องผมตาเป็นมัน ยังมีไอ้เชน ไอ้แทน แล้วก็ไอ้ปันด้วย มากันครบทีม
แต่รายสุดท้ายนี่ผมไม่แน่ใจว่ามาด้วยสาเหตุอะไร ผมไม่แน่ใจว่าไอ้ปันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่หรือรู้สึกยังไง มันอาจจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่เห็นเพื่อนทำก็เลยทำบ้างเพราะสนุกดี ผมกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นอย่างหลัง
ว่าแต่พวกมึงว่างมากเหรอกูถามจริง เมื่อวานผมหนีเสือ วันนี้เลยมาปะจระเข้ (แคระ (เหี้ย) ) พวกนี้สินะ พรุ่งนี้เห็นทีต้องไปทำบุญแล้วสิเรา สายตาของพวกมันแต่ละคนที่จ้องมองมา เหมือนต้องการจะเจาะทะลุเข้าไปในแกนกะโหลกกลวง ๆ ของผมแล้วดูดเอาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานออกมาคลี่ดูอย่างละเอียด หลังจากได้ฟังผมเล่าความเท็จให้พวกมันฟังไปแล้วรอบหนึ่ง
แต่ดูเหมือนว่าทักษะในการโกหกของผมน่าจะบกพร่องมาแต่กำเนิด เพื่อนทั้งสี่ตัวเลยดูจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร และผมก็ไม่คิดจะยอมคายความจริงออกไปด้วย เอาอะไรมาง้างปากกูก็จะไม่พูดเด็ดขาด การไปเป็นเบ๊คนพรรค์นั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าป่าวประกาศนี่ครับคุณ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แล้วเมื่อไหร่ไอ้พวกเวรนี่จะหยุดจ้องกูสักทีวะ ใครก็ได้ช่วยด้วย พีรณัฐกลัว
“กู-ไม่-เชื่อ”
นักร้องวงประสานเสียงยังไม่พร้อมเพรียงเท่าพวกมันสี่ตัวเลยครับ ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพวกมัน ถ้าเอาไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์คงจะดี
“กูก็ไม่เชื่อ” ไอ้ปันพูดย้ำ ทำหน้าขึงขัง ก่อนจะแอบขยิบตาใส่ผม
“เป็นไปไม่ได้ ไอ้ภูมิจะไม่ทำอะไรมึงได้ไง ไม่ใช่วิสัยของมันอย่างแรงหลาว”
แล้วมึงจะมาทำซาวนด์เป็นพี่บ่าวทำไมนิ แหลงใต้ทำพรือ เปรตหนัด ฮายเชี่ยคิวกูติดเลยเห็นม้าย ชาติเวร
“เออเป็นไปไม่ได้” ไอ้ปันพูดตามไอ้คิว มันกอดอก ขมวดคิ้ว แล้วลูบคางตัวเองไปมา เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน
“เออ กูคนนึงละไม่เชื่อ คนอย่างไอ้ภูมิอะนะ มันไม่เคยปล่อยคนที่มันหมายหัวอยู่ไปง่าย ๆ หรอก มึงบอกพวกกูมาดีกว่าพีม มันทำอะไรมึงบ้าง พวกกูจะไปจัดการให้”
แหม ทีอย่างนี้ละทำเป็นเก่ง ทีเมื่อวานไม่เห็นขึงขังปกป้องกูเลยนะ เดี๋ยวมึงจะโดนไม่ใช่น้อยไอ้แทน โทษฐานที่เป็นนางนกต่อพามันมาหากู
“พวกมึงนี่ก็แปลก ถามอะไรโง่ ๆ ก็ถ้ามันทำอะไรกู แล้วกูจะได้เอาหน้าหล่อ ๆ มาให้พวกมึงเห็นเป็นบุญตาแบบนี้เหรอครับเพื่อนครับ” โทษฐานที่พูดอะไรโดยไม่เจียมหนังหน้าตัวเอง เลยถูกฝ่ามือของไอ้คิวตบไปหนึ่งฉาด “กูพูดจริง ๆ พวกมึงเชื่อกูเถอะ มันไม่ได้ทำอะไรกูเลย” ก็แค่หยุมหัว ควักตา หยิกหู ทั้งหมดที่กล่าวมา ผมเป็นผู้กระทำ
“มันก็พาไปคุยนั่นแหละ เคลียร์กัน ให้กูขอโทษ แต่เล่นใหญ่เนอะ ว่าปะ แค่คำขอโทษต้องเอาเบนซ์สปอร์ตมารับเลย ฮะ ๆ ๆ ” ผมหัวเราะแห้ง ๆ เนื้อหนังบริเวณสีข้างไม่เหลือแล้วนะล่าสุด เพราะแถจนเห็นกระดูกหมดแล้ว
เมื่อได้รับคำยืนยันอันหนักแน่นแต่แสนเบาหวิวจากผม พวกมันทั้งสี่ตัวก็เริ่มมองหน้ากันไปมา เหมือนกำลังปรึกษากันผ่านกระแสจิต ผมเลยพอมีเวลาลอบถอนหายใจที่แอบกลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เหี้ยเอ๊ย เพราะไอ้เหี้ยนั่นคนเดียว ผมถึงต้องมีชีวิตอย่างหวาดระแวงแบบนี้
พอผมเงยหน้าขึ้น ก็เจอกับสายตาแปลก ๆ สี่คู่ที่กำลังจ้องผมอยู่ ด้วยแววตาที่ ที่แบบว่า เอ่อ ไม่ค่อยจะสู้ดีและไม่ปกติสักเท่าไร ดูจิต ๆ ยังไงชอบกล เวลาปกติพวกมันก็เหมือนโรคจิตอยู่แล้ว ยิ่งมาทำแบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก โอ๊ยยย หยุด กูหลอน ตอนแรกก็นั่งคุย นั่งซักกันอยู่ดี ๆ ตอนนี้สงสัยอารมณ์มันคงพาไป ไอ้แทนมันเลยปีนโต๊ะขึ้นมานั่งจ้องหน้าผมใกล้ ๆ ใกล้เสียจนขนจมูกมันจะทิ่มขนตาผมอยู่แล้ว
“มึงแน่ใจนะพีม” เป็นไอ้เชนที่ถามย้ำ
“เออสิวะ” ผมกลอกตาไปมา มองคนนั้นทีคนนี้ที รู้สึกได้เลยว่าตัวเองค่อนข้างมีพิรุธ ทำไมไอ้เชี่ยปันมันต้องยิ้มแปลก ๆ เหมือนมีเลศนัย ทำปากเบี้ยวไปข้างเดียวแบบนั้นด้วยวะ ไม่ใช่แค่ไอ้ปัน พวกมันทั้งหมดกำลังจ้องผมเขม็ง
“อะ-อะไรวะ ทำไมมองกูแบบนั้น”
และสาบานได้ ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ถามคำถามนี้เด็ดขาด
“มึงเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ตัวเองรอด ใช่ไหม!!! ”
ผมอึ้ง ทึ่ง และครวยยย พวกมึงคิดได้ยังไง!
จากนั้นก็วงแตก พวกมันลุกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศละทางเหมือนผึ้งแตกรัง โดยมีผมวิ่งไล่ตามเตะตูดไปรอบ ๆ เสียงหัวเราะของพวกมันดังลั่นจนได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา คนที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองและปรบมือเชียร์พวกเรา
ไม่มีอะไรผิดแปลก ณ ที่แห่งนี้ ใครใคร่ทำอะไร ทำ ใครใคร่เล่นอะไร เล่น ชาวจิตรกรรมมักชื่นชมและร่วมยินดีไปกับเสียงหัวเราะของผู้คนเสมอ แม้จะไม่รู้ว่าหัวเราะเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม พวกมันทั้งสี่คนขำจนน้ำหูน้ำตาไหล น้ำลายเล็ด ไอ้ปันเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามากอดคอผมพร้อมทั้งกระซิบว่ามันเลือกผม จากนั้นมันก็ชี้หน้าด่าไอ้สามคนที่เหลือว่า ‘พวกเลือดสีโคลน’ และพวกเราก็ได้เหยื่อรายใหม่ ทุกคนกรูกันเข้าไป
รุมทุบไอ้ปันโดยมีผมเป็นคนเหนี่ยวคอมันล็อกไว้ใต้รักแร้ สุดท้าย ผมก็ร่วมหัวเราะไปกับพวกมัน เฮ้อออ ถึงชีวิตจะเจอเรื่องแย่ ๆ แต่ถ้าเรามีเพื่อนเหี้ย ๆ เดี๋ยวพวกมันก็คงช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้เองแหละครับ…หวังว่านะ
เช้าวันนี้ ผมเข้าเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนรวมกับคณะอื่นด้วยสติที่ไม่ค่อยจะเต็มสักเท่าไร ปกติก็ใช่ว่าจะมีหรอกนะสติน่ะ แต่มันก็เคยมีมากกว่านี้ ผมทั้งง่วงและเพลียจากการตื่นเช้า แถมยังได้มาออกกำลังกายด้วยการวิ่งไล่ไอ้เวรตะไลทั้งหลายนั่นอีก เอาจริง ๆ
ผมก็รู้นะว่าพวกมันแค่แกล้งอำเล่น แต่แม่ง คิดได้ยังไงว่ากูเอาร่างกายเข้าแลกวะ แค่เจอหน้าก็แทบจะตีกันตายห่า จะเอาเวลาที่ไหนมานึกพิศวาสกัน คิดแล้วแค้น แค้นทั้งเพื่อนปากเปราะทั้งหลาย แค้นทั้งไอ้คนที่ยื่นข้อเสนอผีบ้าเหมือนหลุดมาจากยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยังไม่เลิกทาส แค้นทั้งตัวเองที่ยอมทำสัญญากับปีศาจ
แต่นาทีนั้น สถานการณ์นั้น ผมก็เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ มันยื่นอะไรมาให้ ผมก็ต้องคว้าไว้ก่อน ถูกไหมครับ ใครไม่กลัวตายไม่รู้ แต่กูกลัว ใครจะหาว่าขี้ขลาดตาขาวก็ช่าง ผมขอแค่มีชีวิตรอดเป็นพอ สองแสนอย่างนั้นเหรอ? เหอะ ตอนนี้ในบัญชีกูมีสามพัน ใช้ทั้งเดือน และวันนี้เพิ่งจะวันที่หก ยาวไป ยาวปายยยย
กินมาม่ายาวปายยยย ผมอาจจะเล่าออกมาเหมือนขำ ๆ นะครับ แต่คุณก็รู้ว่าสถานการณ์จริงแม่งขำไม่ออกเลยสักนิด คิด ๆ แล้วแค้นสุดขีด สุดฤทธิ์สุดเดช กูเลยต้องหาที่ระบายความแค้น และแผ่นหลังของไอ้คิวที่ฟุบหลับอยู่ตรงหน้าก็คือเครื่องบูชายัญชั้นเลิศ ทำไมถึงหลับระหว่างเรียน ทำไมไม่ตั้งใจเรียน คนไม่ตั้งใจเรียนจะต้องโดนอะไรน้า โดนทุบหลังน่ะสิ
ไอ้เพื่อนเหี้ย ผมฟาดหลังไอ้คิวเสียงดัง ป้าบ ไปหนึ่งที อาจารย์ที่ยืนสอนอยู่หน้าชั้นยังได้ยิน ก่อนจะชะเง้อคอมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย ส่วนไอ้คิวที่ถูกฝ่ามืออรหันต์ของผมกระหน่ำจนธาตุไฟแตกซ่าน ก็ตื่นขึ้นเต็มตา มันใช้ตาแดง ๆ อย่างคนที่เพิ่งตื่นมองผมอย่างอาฆาตแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอาจารย์กำลังมองอยู่ ผมกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์พากันขำพรืด
ฮู้ ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย หลังจากรู้สึกเหนื่อย ๆ มาหลายวัน เหมือนช่วงนี้ผมจะดวงตก พระศุกร์เข้าพระเสาร์ทำร้าย ตบท้ายด้วยราหูอมชีวิตอีกต่างหาก ชวนไอ้คิวไปทำบุญถวายสังฆทานสักหน่อยดีไหมวะ
แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากชวนเพื่อนรักที่กำลังเสกคุณไสยใส่เพื่อนสาวต่างคณะ ไอ้นี่เผลอไม่ได้จริง ๆ เสียงเพลงคิดฮอดอันเป็นเสียงเรียกเข้าของผมก็ดั่งขึ้นลั่นห้อง เวรแล้ว กูลืมปิดเสียง พี่ตูนเลยต้องครางอ๊ะ อ๊ะในที่สาธารณะเลย แหะ ๆ
ขอโทษอีกครั้งนะครับอาจารย์ ผมเป็นติ่งบอดี้สแลม เมนพี่ตูนครับ พี่ตูนคือไอดอลของผม ผมนับถือพี่ตูนประหนึ่งแกเป็นเกจิอาจารย์ ผู้นำลัทธิทางศาสนา แล้วผมคือลูกศิษย์ลูกหาผู้เลื่อมใสศรัทธา ผมเชื่อฟังคำสั่งสอนของพี่ตูนยิ่งกว่าเชื่อฟังพ่อฟังแม่เสียอีก เพราะถ้าไม่มีพี่ตูนในวันนั้น ก็ไม่รู้ว่าไอ้พีมคนนี้จะไปหากางเกงขาลีบหนีบไข่แบบที่ใส่อยู่ตอนนี้ได้จากที่ไหน
ไอ้คิวหันมามองด้วยสายตาหม่น ๆ ที่ผมปล่อยให้เอื้อยศิริพรคิดฮอดนานเกินไป รวมทั้งอาจารย์และเพื่อน ๆ คนอื่นก็เริ่มหันมาสนใจ และส่งสายตาตำหนิกึ่งสงสัยมาให้ว่าเมื่อไหร่มึงจะรับโทรศัพท์สักที กูจะได้เรียนได้สอนต่อ ผมกดปิดเสียงพร้อมกับก้มหัวปลก ๆ เป็นเชิงขอโทษ และก้มลงดูเบอร์ที่บังอาจโทรเข้ามาขัดตอนที่ท่านพีมกำลังตั้งใจศึกษาวิชาหาความรู้
หือ???? เบอร์ใครวะ ไม่คุ้นเลย
“ฮัลโหล”
ผมมุดลงไปรับโทรศัพท์ใต้โต๊ะด้วยเสียงกระซิบ กูก็ยังกล้าที่จะรับนะ แต่ถ้าหากผมรู้ล่วงหน้าว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใคร ผมคงจะไม่มีวันกดรับสายนี้โดยเด็ดขาด
(กูให้เวลาสิบนาที มาหากูที่คณะ ถ้าสิบนาทีแล้วยังไม่เห็นหัว กูจะคิดดอกเพิ่มนาทีละพัน)
มันพูดจบก็ตัดสายทันที ไม่พิรี้พิไร ไม่โอ้เอ้เสียเวลา สั้น กระชับ ฉับไว เข้าใจง่าย ได้ใจความ
ส่วนกูก็วิ่งสิครับ รออะไร
TBC >>>>>>
ขอขอบพระคุณสำหรับคอมเม้นและกำลังใจอันอบอุ่นจากทุกๆคนที่ยังไม่ลืมกัน แม้ว่าน้องสวยจะไม่ได้ตอบกลับแต่น้องสวยก็อ่านครบอ่านหมดทุกคอมเม้นเลยนะคะ และหวังว่าการปรับปรุงเนื้อหาจะไม่สร้างความหงุดหงิดใจให้คุณผู้อ่านน้าาาา แล้วก็ดีใจที่หลายๆคนชอบและเข้าใจในการปรับเนื้อหาครั้งนี้ด้วย อยากขอบคุณทุกๆคนเลย ทั้งที่ช่วยบอกเรื่องคำผิดด้วยนะคะ และขอบคุณที่ยังคิดถึงกันเสมอ (ชั้นรู้นะว่าคิดถึงผู้ชายในเรื่อง ไม่ได้คิดถึงอิคนเขียนหรอก) 555555555555
แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าจะคิดถึงใคร ดิฉันก็จะเคลมว่าคิดถึงดิฉันทั้งหมดค่ะ การได้นั่งอ่านคอมเม้นนี่มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลย เหมือนได้ร่วมย้อนวันวานมาเจอกันอีก ขอบคุณอีกครั้งนะคะ แล้วก็วันนี้มีรูปปกที่กำลังจะรีปริ้นมาฝากด้วย ปกเล่ม 1-4 ตามลำดับ ส่วนปกรูปหมีคือเล่มสเปเมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนปกสุดท้ายคือเล่มสเปที่เขียนขึ้นใหม่และจะตีพิมพ์เร็วๆนี้ค่ะ หวังว่าจะชื่นชอบนะจ๊ะ
รักน้าาาาตะเองงงงงงง
ความคิดเห็น