ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แม่ง...เมาได้ทุกวัน

    ลำดับตอนที่ #2 : ซ่อมได้

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 48


    ซ่อมได้



    หลังจากผ่านงานในวันนั้น รสชาติเหล้าหวาน ๆ ขม ๆ กระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากลอง อยากสนุกอย่างเหตุผล ผมเพิ่งรู้สึกว่าไอ้น้ำขม ๆ นี้มันสามารถสร้างบรรยากาศให้เราสนุกสนานครื้นเครงได้โดยที่เราไม่ต้องงัดมันออกมา เวลามึน ๆ หัวแบบโลกกำลังหมุนมันทำให้เรามองไปทางไหนก็มีความสุข มันแปลกดีเหมือนกัน





        พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย สังคมที่แตกต่างไปจากชั้นมัธยมโดยสิ้นเชิงทำให้ผมได้มีโอกาส ลิ้มลองรสชาติของเหล้าบ่อยวาระขึ้นกว่าเดิม หลายครั้งที่เพื่อนชวนกินเหล้าอย่างไรสาเหตุ แต่ด้วยเหตุผลเดียวคืออยากกิน ส่วนผมก็กลายเป็นคนปฏิเสธคำเพื่อนไม่ค่อยเป็น บ่อยครั้งผมจึงตอบปากรับคำไปโดยปริยาย





        ร้านเหล้าที่ผมกินสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ก็เป็นร้านเหล้าที่อยู่รอบ ๆ รั้วมหาวิทยาลัย บางครั้งก็ไปกินกันหน้ามหาวิทยาลัย บางครั้งก็ไปกินข้างหลัง และบางครั้งก็กินมันในมหาวิทยาลัยมันเลย แต่ถึงจะกินบ่อยขึ้นกว่าเดิมแต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่มุ่งมั่นกินมากมายอะไร ดื่มแค่พอมึน ๆ พอรู้สึกตัวว่าเมาก็กินช้าลง และหยุดกินไปพอรู้สึกตึง ๆได้ที่





        โซดาโค้กยังเป็นส่วนผสมที่ผมคลั่งไคล้และหลงรักอยู่ไม่เสื่อมคลาย





        แต่ส่วนผสมใหม่ที่ผมได้มาจากการนั่งกินเหล้ารอบ ๆ รั่วมหาวิทยาลัยก็คือ อาหารตา จากนักศึกษาที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ บ่อยครั้งที่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะชงเหล้าเลย เพราะมัวแต่นั่งมองสาวโต๊ะข้าง ๆ แบบจะกินเลือดกินเนื้อ จนเพื่อนผมต้องคอยเตือนว่าเพลา ๆ หน่อย เพราะมองนาน ๆ จ้องเกินไปอาจจะโดนตืนได้ แรก ๆ ผมก็เชื่อฟังคำเพื่อนอยู่บ้างหรอก แต่หลัง ๆ พอเหล้าเข้าปากได้ที่เท่านั้นแหละ จ้องตาเป็นมันไม่กระพริบเลย เหมือนกับแรงกระตุ้นทางเพศภายในถูกพลักดันออกมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ผมรู้สึกร้อน ๆ ในใจอยากจะรู้จักคนที่จ้องให้ได้เลย





        บางครั้งพอเมาได้ที่หน่อยก็เดินเข้าไปถามชื่อชวนคุยตรง ๆ เลย บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็แห้วกลับมา คละเคล้ากันไป ผมคิดว่ามันก็เป็นความสุขอีกแบบ ที่เหล้ามันทำให้คนขี้อาย ๆ อย่างผม กลายเป็นคนกล้าขึ้นมา













    ในหนึ่งเดือนแรกของชีวิตเด็กมหาวิทยาลัย นักศึกษาใหม่จะต้องมีพิธีกรรมรับน้องเข้าเชียร์ ซึ่งผมก็เป็นคนที่ไม่ชอบกิจกรรมประเภทนี้สักเท่าไร เพราะรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าและไร้สาระสิ้นดี แต่ด้วยความรักพวกพ้องผมจึงต้องจำยอมเข้าเชียร์ในทุก ๆ วัน เพราะเพื่อน ๆ พากันบอกว่าถ้าวันนี้รุ่นผมเข้าเชียร์น้อย ก็จะโดนพวกพี่ว๊ากมัน “ซ่อม” เอา มันจึงขอความร่วมมือให้เข้าเชียร์กันเยอะ ๆ ซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือ แต่ไม่ค่อยยินดีสักเท่าไร





        วันแรก ๆ ของการเข้าเชียร์เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและน่าเบื่อ ผมเห็นสภาพชุดนักศึกษาที่ใส่กลับบ้านทุกวันของตัวเอง มันช่างไม่ต่างกับทหารคนหนึ่งซึ่งเดินออกจากสนามรบ หลายครั้งที่ผมรู้สึกขยาดแขยงกับการเข้าเชียร์ แต่พอเข้าวันใหม่พลังของเพื่อน ๆ ที่ค่อยเติมให้แก่กัน มันก็สร้างความสามัคคีให้พวกเรา เข้าไปต่อสู้กกับไอ้พวกพี่ว้ากใจโหดอย่างไม่รู้จักย่อท้อ





        กิจกรรมว๊ากน้องผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความเหน็ดเหนื่อย และเบื่อหน่ายของผมและเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถูกซ่อมต่าง ๆ นานา วิดพื้น วิ่งขึ้นลงตึก ทำอะไรแปลก ๆ พิเรน ๆ ที่คนธรรมดา ๆ เขาไม่ทำกัน ร้องเพลงเชียร์ซ้ำ ๆ น่าเบื่อ ๆ ด้วยเสียงร้องตะโกนแหกปากจนจะฉีกถึงหู แต่พวกพี่ว๊ากแม่งดันเสือกบอกว่า ทำเสียงเหมือนคนไม่มีแรง ร้องเบาไม่ได้ยิน และก็ตามด้วยการซ่อม ๆ ๆ ซ่อมแล้วซ่อมอีกจน บางครั้งผมคิดว่าถ้ามีปืนสักกระบอกจะยิงกราดพวกพี่ว๊ากแม่งให้ตายให้หมดทุกคนซะเลย



        แต่ผมกับเพื่อน ๆ ก็สามารถอดทนฝ่าพันด้วยกันมาได้อย่างทะลักทุเลจนถึงวันสุดท้าย











    วันสุดท้ายของการว๊ากน้องพวกรุ่นพี่ทุกชั้นปีนั่งล้อมกันเป็นวงกลมในหอประชุมคณะ แล้วก็ปิดไฟจุดเทียนส่องสว่าง แล้วให้พวกรุ่นน้องอย่างเรา ค่อย ๆ คลานไปรับสายสิญจน์พันข้อมือจากพวกพี่ ๆ ทีละคน เพื่อนผู้หญิงบางคนของผมถึงกับร้องไห้ออกมาเพราะซึ้งในบรรยากาศ แต่พวกผมกลับหัวเราะคิกคักเหมือนไม่ได้อินอะไรกับบรรยากาศนี้เลย ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างน่าเบื่อและเชื่องช้าซะมากกว่า





        กว่าทุกคนจะเขยิบก้นตัวเองจนครบวง ก็กินเวลาร่วมชั่วโมง แต่ละคนก็มีสายสิญจน์พันข้อมือเป็นร้อย ๆ เส้นทั้งซ้ายและขวา บางคนพันซะจนเกือบถึงข้อศอก ผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนผมบางคนมันจะต้องการของขลังอะไรกันนักหนา ถึงต้องได้พันกันซะมากมายขนาดนั้น





    ผมก้มมองดูที่แขนทั้งสองข้าง สายสิญจน์ส่วนใหญ่ที่ผูกนั้นมาจากรุ่นพี่สาว ๆ สวย ๆ ทั้งนั้นเลย รุ่นพี่ผู้ชายส่วนมากและเกือบทั้งหมด ผมมักจะใช้วิชามารโดดข้ามไปอย่างไม่เต็มใจและยินดีอย่างยิ่ง คิดในใจไม่พ้นคืนนี้ผมคงถอดออกทั้งหมด เพราะพรุ่งนี้ผมไม่อยากเป็นไอ้บ้าคนหนึ่ง ที่พันด้ายสีขาว ๆ ไว้เต็มข้อมือประหนึ่งยอดมนุษย์ แล้วเดินไปไหนมาไหนทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เอ้ยไม่ใช่สิ ทั่วทั้งเมืองตั้งแต่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ







        หลังจบกรรมพิธีทุกคนก็ต่างพากันแยกย้ายกลับบ้านเพราะมันค่อนข้างจะมืดแล้ว แต่ผมกับเพื่อน ๆ กลับไม่มีความรู้สึกอยากกลับบ้านเลย กลับรู้สึกว่าอยากฉลองกันซะมากกว่า เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นโต้โผว่าคืนนี้เราจะไปกินเหล้ากันที่ร้านหลังมหาวิทยาลัย เมา ถูก ดี และสาวสวย มันการันตรีอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะออกเดินทางออกจากหอประชุมคณะ เพื่อนผมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกว่า มีใครจะไปกินเหล้าบ้าง รุ่นพี่เลี้ยง





        ความรู้สึกแรกผมก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร แต่พอคิดได้อีกที ฟรีนิหว่า ไม่ไปได้ยังไงล่ะ ผมกับเพื่อน ๆ มองตากันเพียงแวบเดียวก็เข้าใจโดยไม่ต้องพูดจา ตกลง ผมตอบแทนสายตาเพื่อนในกลุ่ม









    โชคดีที่ร้านที่พวกรุ่นพี่พามาเลี้ยงนั้นก็คือ ร้านเดียวกับที่พวกผมตั้งใจจะมานั่งกินกันในตอนแรก พวกเรานั่งรวมกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งในร้าน พอหย่อนก้นรวมกลุ่มกันได้ที่ก็นั่งสลับกันไม่มีแบ่งคำว่ารุ่นพี่ รุ่นน้องหรือแม้กระทั่งพวกพี่ว๊าก ผมนั่งรินเหล้าเงียบ ๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรและไม่มีอะไรจะพูด เพราะผมสนใจการมองไปรอบ ๆ แล้วหาคนสวย ๆ มานั่งจ้องทั้งคืนซะมากกว่า





        เกือบทั้งคืนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องต่างสนุกสนานเฮฮา ความรู้สึกกดดันที่เคยถูกบีบมาตลอดหนึ่งเดือนมันพลันสลายไปในแก้วเหล้าที่รินส่งกันมิได้ขาด เพื่อนผมคนหนึ่งนั่งดวลกับรุ่นพี่จนเมาพับหลับคาโต๊ะไป อีกคนคอไม่แข็งพอริไปชนเหล้ารุ่นพี่ยืนอ๊วกแตกล้วงคออยู่หน้าร้าน เพื่อนผมหลายคนหายหน้าไปอย่างไรสาเหตุ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาหรือเป็นเพราะว่าอะไร ผมมองหาเพื่อนที่มาด้วยกันไม่เจอสักคน ส่วนผมก็เมาได้ที่ตาเริ่มตกตลอดเวลา โลกมันกำลังหมุนเคว้ง ๆ





    ผมเริ่มรู้สึกสนุกกับการเมาอีกครั้ง





        รุ่นพี่หลายคนที่ผมสักเกตเห็นเริ่มมีอาการแปลก ๆ ออกมาให้เห็น พี่ว๊ากที่เคยโหดนักโหดหนา แสดงท่าทางติงต๊องปัญญาอ่อนจนผมกลั้วหัวเราะออกมาไม่รู้ตัว บางคนก็นั่งก้มหน้าโงน ๆ จะพุบก็ไม่พุบจะหลับก็ไม่หลับไม่รู้จะวางฟอร์มอะไรกันนักหนา แต่ทั้งหมดที่ผมเห็นก็ต้องมาสะดุดตาที่พี่ว๊ากจอมโหดคนหนึ่ง ซึ่งตอนซ้อมเชียร์ผมก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไร เขากับเพื่อนคนหนึ่งกำลังหยอกล้ออะไรกันก็ไม่รู้ ผมสักเกตที่ท่าทางและปลายสายตาของเขาทั้งสองคนก็ต้องถึงบางอ้อ อยากจะหลีหญิงแต่ไม่กล้าพอ





        เหมือนว่าเขาเห็นผมกำลังมองเขาอยู่ละมั่ง เลยกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา พอผมเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็บอกว่าในฐานะที่ผมเป็นรุ่นน้อง ขอใช้อำนาจสั่งให้ผมไปถามชื่อ ขอเบอร์สาวโต๊ะข้าง ๆ คนนั้นให้ที ไอ้ผมก็ทำท่าอิดออด ไม่อยากทำตามคำสั่งสักเท่าไร อะไรกันวะอยากจีบก็เข้าไปคุยเองสิมาเดือดร้อนอะไรกู ผมคิดในใจ







        รุ่นพี่คงเห็นผมยืนเล่นตัวบิดไปบิดมาจนทนไม่ไหวเลย ออกแรงท้าผมว่า ไม่กล้าใช่ไหมล่ะ ผมมองไปยังต้นเสียง อยากจะพูดออกไปว่า ทำไมจะไม่กล้าวะ แต่ที่ไม่ไปให้เพราะมันไม่ใช่เรื่องของกูต่างหาก จะกูเข้าไปจีบก็อย่าหวังเลยว่าจะไปถามชื่อขอเบอร์มาให้

        ถ้ากล้าแล้วจะให้อะไร ผมแกล้งแทงคำท้ากลับไปด้วยความมึนเมา รุ่นพี่อีกคนตอบโดยไม่ต้องคิดออกมา บอกว่าอยากได้อะไรเดี๋ยวจัดให้หนึ่งอย่าง เน้น ๆ เนียน ๆ ขอแค่เบอร์กับชื่อน้องคนนั้นมาให้พี่ สิ้นสุดคำนั้นผมยิ้มทั้งในใจและริมฝีปาก ได้เน้น ๆ เนียน ๆ แน่พี่เอ้ย











    ด้วยความเมาที่สร้างความกล้าขึ้นมาให้กับผม ทำให้ผมเดินเข้าไปคุยกับสาวคนนั้นอย่างไม่กระดากอาย แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ผมจะได้รู้จัก ชื่อและกำเบอร์เธอไว้ในมือแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ ผมหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะอย่างผู้มีชัย รุ่นพี่ทั้งสองคนเฝ้าถามอย่างใจจรดจ่อกระวนกระวายว่า เป็นอย่างไรได้ผลหรือเปล่า ผมแทงยิ้มเมา ๆ ไม่ได้ผลจะเดินกลับมาอย่างนี้หรือ อยากรู้อะไรก่อนล่ะ ชื่อหรือว่าเบอร์





        พี่คนที่ให้ไปขอเบอร์บอกว่าขอรู้ชื่อก่อน ผมบอกชื่อเธอคนนั้นไปจนทั้งสองคนยิ้มกรุ้มกริ่ม เพ้อไปชั่วครู่ว่าคนอะไรแค่ชื่อก็น่ารักบาดใจแล้ว พอตั้งสติได้ก็เร่งถามเบอร์จากผมอีกครั้ง ผมนิ่งเงียบทำเหมือนหูทวนลมไม่ได้ยิน พี่ทั้งสองย้ำอีกครั้งว่าผมได้เบอร์มาจริง ๆ หรือเปล่า     





        ก็ได้อ่ะนะ แต่ว่าจำสัญญาที่พูดไว้ได้หรือเปล่า เน้น ๆ เนียน ๆ พี่สองคนทำเหมือนไม่รักษาสัญญาแกล้งเฉไฉว่า จะได้แต่ต้องบอกเบอร์มาก่อนถึงจะทำตามที่สัญญาไว้ แต่ขอโทษทีผมไม่ได้เกิดมาโง่ขนาดให้คนเมาด้วยกันเองหลอกได้ ผมมองหาสักขีพยาน ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ ๆ ทุกคนเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด ด้วยความสนุกสนานและคึกคะนอง จึงกดดันพี่ทั้งสองคนนั้นว่าให้รักษาสัญญากับผมด้วย





        แรงกดดันทำให้หลบหนีหรือผิดสัญญาไปเสียไม่ได้ จึงต้องยอมพูดออกมาว่า สัญญาก็สัญญาสิวะ เอ็งแหละได้เบอร์หรือเปล่า ถ้าได้ก็รีบบอกมาเร็ว ๆ     





        ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ผมหยิบเศษกระดาษที่จดเบอร์ไว้ส่งให้คนทั้งสอง พอเขารับเสร็จเปิดออกดูก็เฉลยรอยยิ้มออกมาไม่ต่างจากคนที่รู้ตัวว่าถูกหวย





        ผมรักษาสัญญาแล้วนะ พี่ก็รักษาสัญญากับผมด้วยแล้วกัน





        เน้น ๆ เนียน ๆ พี่คนหนึ่งในกลุ่มตะโกนผ่างออกมา











    ที่หน้าร้านผมยืนกอดอกอย่างผู้ชนะสิบทิศ ข้างหลังผมมีทั้งรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ยืนโงนเงนเป็นฉากหลังอยู่นับสิบคน บางคนหัวเราะ บางคนยิ้มอย่างมีความสุข หลายคนกลั่นลมหายใจเพื่อรอที่จะฟังคำพูดแรกที่ออกจากปากผม ด้านหน้าผมรุ่นพี่สองคนยืนโงนเงนรอฟังคำสั่งจากผม พี่คนหนึ่งทำหน้าอาย ๆ พูดออกมว่าจะทำอะไรก็รีบทำสักทีสิวะ เออ จะได้ไปกินเหล้าต่อกัน





        ผมยิ้มแบบคนเมา อยากไปกินเหล้าต่อหรือว่าอายกันแน่ สูดลมหายใจเข้าปอดจนสุดลม





        เน้น ๆ เนียน ๆ ใช่ไหม





        คืนนี้ผมจะ “ซ่อม” พี่ว๊ากคืนให้หนำใจเลย











    ปล. โดนแค่นี้ยังไม่เจ็บเท่าไร เพราะที่เจ็บกว่านั้นก็คือ ที่จริงแล้วทั้งชื่อทั้งเบอร์ของสาวคนนั้น ผมกุขึ้นมาเองทั้งหมด เพราะพอเดินเข้าไปแต่ยังไม่ทันพูดสักคำเธอก็ทำหน้าเบ้ เหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาดต่างดาวไส้เดือนกิ้งกือไปซะแล้ว คืนนั้นมันส์กับการซ่อมรุ่นพี่ครับ แต่เช้าวันถัดไปพอความจริงปรากฏผมกลับต้องมันส์กับการวิ่งแทน โดนซ่อมคืนน่วมเลยครับ แต่สะใจ!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×