ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จากจิบเดียวจนถึงแก้วแรก
จิบเดียวจนถึงแก้วแรก
จำได้ว่าเหล้าแก้วแรกที่ผมกินนั้น มันอยู่ในช่วงชีวิตในการเรียนมัธยมปลายของผม ในงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง การดื่มครั้งนั้นไม่ใช่เพราะความรู้สึกอยากดื่ม แต่ที่ต้องดื่มก็เพราะสถานการณ์มันพาไป สังคมเพื่อนมันพาไปด้วยความรู้สึกสนุกสนานและคึกคะนองมากกว่า เหล้าจิบแรกที่ปลายลิ้นมีรสชาติขมและไม่อร่อย ส่วนผสมของมันมีเหล้าโซดาน้ำเปล่าแล้วก็น้ำแข็งสองสามก้อน มันเป็นน้ำสีเหลืองอำพันที่ขมมากจนทำให้ผมจิบมันได้เพียงแค่ทีเดียว แล้วก็วางมันให้ละลายไปกับน้ำแข็ง ตอนนั้นผมนั่งมองแก้วอยู่นานคิดในใจว่า ไอ้เหล้านี้มันดียังไงนะ ทำไมคนถึงได้นิยมกินกันในทุกงานทุกโอกาสและเกือบทุกเวลา
    ด้วยความรู้สึกที่ไม่ชอบจึงทำให้ผมแอบเทเหล้าทิ้งในที่ลับตา แล้วรินเป๊ปซี่เติมใส่จนเต็มแก้ว แม้จะรู้สึกเขินอายแต่ก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร เมื่อเพื่อนคะยั้นคะยอให้เปลี่ยนจากน้ำสีดำกลายเป็นน้ำสีเหลือง ก็คนมันไม่ชอบคนไม่กินจะมาบังคับอะไรนักหนา ผมบอกเพื่อนที่พยายามให้ดื่มเหล้า และดูท่าว่าเพื่อนจะเข้าใจในความมุ่งมั่นของผม จึงเลิกความพยายามที่จะกล่อมให้ผมดื่ม เดินเลี่ยงหายไปในกลุ่มวงเหล้าในงานเลี้ยง ส่วนผมก็จิบเป๊ปซี่ไปเรื่อย ๆ นั่งกินกับข้าวจนพุงกาง
    หลังจากงานเลี้ยงในวันนั้นผมสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า ชีวิตนี้จะไม่ลิ้มลองเหล้าอีกเป็นครั้งที่สอง ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ที่คอยวิ่งไปซื้อกับแกล้มเหล้าให้พ่อ เพื่อน ๆ ของพ่อเคยถามผมว่า โตขึ้นไปจะกินเหล้าเหมือนพ่อหรือเปล่า ผมตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่กินครับ เพื่อนพ่อทั้งกลุ่มยิ้มบางคนหัวเราะ ผมนึกงงแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร แต่มีคนนึงพูดออกมาว่า เด็ก ๆ ก็ไม่กินหรอก พอโตขึ้นมายังไงก็ต้องกิน ผมยิ้มเขิน ๆ มองไปที่ต้นเสียงไม่เข้าใจในความหมาย ยังไงก็ไม่กินหรอก กินเหล้าทำไมไม่เห็นอร่อยเลยเป๊ปซี่อร่อยกว่าตั้งเยอะ ตัวผมในตอนเด็กวันนั้น กับตัวผมในงานเลี้ยงวันนั้นคิดไม่ได้ต่างกันเลยสักนิดเดียว
หลังจากจิบเหล้าแก้วแรกไปนานจนลืม ชีวิตในวัยเรียนสมัยมัธยมปลายของผมทำให้ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของมันเท่าไร เพราะถ้าเป็นเรื่องเกเรเรื่องไม่ดีส่วนมากในช่วงนั้นก็จะเป็นการโดดเรียน หนีเรียนไปเล่มเกมส์ ไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าหรือไม่ก็นอนอยู่บ้านไม่ไปเรียนเฉย ๆ ซะมากกว่า แม้งานปีใหม่ที่จัดขึ้นที่โรงเรียนหรือจะมีเพื่อน ๆ แอบเอาเหล้าเข้ามากินแต่ผมก็ไม่ขอร่วมวงเสวนาด้วยแม้แต่จิบเดียว เพราะผมยังคงรู้สึกว่าเหล้ามันไม่ดีและมีรสชาติขมที่ไม่อร่อย  แต่จนแล้วจนรอดชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปในงานเลี้ยงวันจบการศึกษา เมื่อเหล้าแก้วแรกไหลลงสู่ลำคอด้วยความเต็มใจ
ในงานเลี้ยงกลางคืนที่จัดขึ้นที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อน ๆ ต่างสนุกสนานร่าเริง ทุกคนต่างมีอันต้องแยกย้ายกับไปคนละทิศละทางตามเส้นทางเดินของตัวเอง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องแยกไปตามทางเดินของผม ความเศร้าใจหายอย่างคาดไม่ถึงมันถูกผลักออกมาจากความรู้สึกในใจ มันทำให้ผมรู้สึกว่าอยากระบายความเศร้าและคำพูดทุกคำในใจผมออกมาอย่างที่คิด แต่ด้วยความเขินอายมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดและแสดงออกอย่างใจคิดลงไป ผมได้แต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุม ๆ หนึ่งของงานเลี้ยงอย่างไม่รู้จะทำอะไรก่อนอะไรหลัง จิบเป๊ปซี่เบา ๆ ไปกับความเศร้าที่ซ่อนไว้ข้างไหน
    นั่งเหม่อดูภาพเพื่อน ๆ ในงานเลี้ยงได้ระยะหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งก็เดินมาหาผมแล้วระบายความรู้สึกว่า ต่อไปเมื่อแยกย้ายกันไปคงคิดถึงกันแย่เลย ผมพยักหน้าเพราะรู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เพื่อนถามว่าไม่กินเหล้าหรือไงจะได้สนุก ๆ ร่วมกัน ผมส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่าไม่เอา ไม่ชอบเพราะมันขม เพื่อนยิ้มแบบรู้วิธีแก้ปัญหายื่นน้ำเป๊ปซี่แก้วที่มันดื่มให้ผมลองจิบ
    “เป๊บซี่ผสมเหล้า ไม่ขมอย่างที่คิด ลองกินดูสิ”  มันบอกผมอย่างนั้น  ตอนแรกผมทำท่าว่าจะไม่ดื่ม แต่คิดว่าแค่แก้วเดียวคงไม่เป็นไร อีกทั้งผสมเป๊ปซี่คงไม่ขมอย่างที่ผมคิดไว้หรอก และวันนี้ยังเป็นงานเลี้ยงอำลาเพื่อน ๆ ซะด้วย กินสักนิดเพื่อสนุกกับเพื่อน ๆ คงไม่เป็นไร
    ไม่เป็นอะไรจริง ๆ อย่างที่เพื่อนบอก เพราะความหวานซ่าของเป๊ปซี่มันกลบความขมแสบคอของเหล้าไปซะหมด ผมเริ่มต้นจากการจิบเบา ๆ ไม่นานพอเหล้าเข้ากระแสเลือด ผมรู้สึกว่าสนุกสนานกับการคุยโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะทำอะไรสักอย่างมันก็ดูมีความสุขไปเสียหมด  ประสบการณ์ผสมเป๊ปซี่แก้วแรกของผมมันเปลี่ยนความรู้สึกว่าเหล้ามันขมไปซะหมด
    แก้วแรกจนกระทั่งแก้วสุดท้ายในงานเลี้ยงในวันนั้น มันทำให้ผมเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว คงเป็นเพราะความเมาและความละอ่อนคอไร้ประสบการณ์ในการดื่มด้วยล่ะมั้ง ผมเผลอหลับไปจนกระทั่งเช้า ตื่นขึ้นมามองสภาพรอบ ๆ ตัว เพื่อน ๆ ของผมยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่รอบ ๆ ตัว ผมพยายามปลุกเพื่อนคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด แต่ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น ไม่แน่ใจว่ามันเป็นคนนอนขี้เซาหรือเป็นเพราะว่ายังเมาค้างอยู่ แต่วพอผมขยับตัวจะลุกขึ้นเพื่อนผมคนหนึ่งบิดตัวลุกขึ้นมาช้า ๆ นั่งโงนเงนเหมือนไร้การทรงตัวบ่นร่ำ ๆ ว่าปวดหัว ๆ พร้อมกุมมือไว้ที่ขมับมันเห็นผม นั่งมึน ๆ เอ่อๆ อยู่ข้าง ๆ คงนึกว่าผมคงปวดหัวเหมือนกัน ถามผมว่าตื่นมาแล้วปวดหัวเหมือนมันหรือเปล่า ผมส่ายศีรษะเบา ๆ ก็มีรู้สึกบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมากมายอะไร ไม่ได้รู้สึกเมาสักเท่าไร คงเป็นเพราะว่าผมไม่ได้กินเหล้าเยอะ ละมั่งผมบอกเพื่อน
    เพื่อนลุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ผมลุกไปเปิดน้ำในตู้เย็นดื่มยังไม่ทันดื่มน้ำหมดแก้ว ก็ได้ยินเสียงบ่นระเบิดแว่วเบา ๆ ออกมาจากห้องน้ำว่า ปวดหัวฉิบหายเลยว้อย ตามด้วยน้ำเสียงโอกอากที่ดังลั่นออกมา
    เสียงกดชักโครกไล่ตามมาจากเสียงโอกอาก งานเลี้ยงในวันนั้นจบลงไปนานแล้ว วันนั้นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมกินเหล้าแล้วรู้สึกว่าชอบและสนุกสนานไปกับมัน เหล้าผสมเป๊ปซี่ หวาน ๆ ขม ๆ ก็แปลกไปอีกแบบหนึ่ง
จำได้ว่าเหล้าแก้วแรกที่ผมกินนั้น มันอยู่ในช่วงชีวิตในการเรียนมัธยมปลายของผม ในงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง การดื่มครั้งนั้นไม่ใช่เพราะความรู้สึกอยากดื่ม แต่ที่ต้องดื่มก็เพราะสถานการณ์มันพาไป สังคมเพื่อนมันพาไปด้วยความรู้สึกสนุกสนานและคึกคะนองมากกว่า เหล้าจิบแรกที่ปลายลิ้นมีรสชาติขมและไม่อร่อย ส่วนผสมของมันมีเหล้าโซดาน้ำเปล่าแล้วก็น้ำแข็งสองสามก้อน มันเป็นน้ำสีเหลืองอำพันที่ขมมากจนทำให้ผมจิบมันได้เพียงแค่ทีเดียว แล้วก็วางมันให้ละลายไปกับน้ำแข็ง ตอนนั้นผมนั่งมองแก้วอยู่นานคิดในใจว่า ไอ้เหล้านี้มันดียังไงนะ ทำไมคนถึงได้นิยมกินกันในทุกงานทุกโอกาสและเกือบทุกเวลา
    ด้วยความรู้สึกที่ไม่ชอบจึงทำให้ผมแอบเทเหล้าทิ้งในที่ลับตา แล้วรินเป๊ปซี่เติมใส่จนเต็มแก้ว แม้จะรู้สึกเขินอายแต่ก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร เมื่อเพื่อนคะยั้นคะยอให้เปลี่ยนจากน้ำสีดำกลายเป็นน้ำสีเหลือง ก็คนมันไม่ชอบคนไม่กินจะมาบังคับอะไรนักหนา ผมบอกเพื่อนที่พยายามให้ดื่มเหล้า และดูท่าว่าเพื่อนจะเข้าใจในความมุ่งมั่นของผม จึงเลิกความพยายามที่จะกล่อมให้ผมดื่ม เดินเลี่ยงหายไปในกลุ่มวงเหล้าในงานเลี้ยง ส่วนผมก็จิบเป๊ปซี่ไปเรื่อย ๆ นั่งกินกับข้าวจนพุงกาง
    หลังจากงานเลี้ยงในวันนั้นผมสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า ชีวิตนี้จะไม่ลิ้มลองเหล้าอีกเป็นครั้งที่สอง ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ที่คอยวิ่งไปซื้อกับแกล้มเหล้าให้พ่อ เพื่อน ๆ ของพ่อเคยถามผมว่า โตขึ้นไปจะกินเหล้าเหมือนพ่อหรือเปล่า ผมตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่กินครับ เพื่อนพ่อทั้งกลุ่มยิ้มบางคนหัวเราะ ผมนึกงงแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร แต่มีคนนึงพูดออกมาว่า เด็ก ๆ ก็ไม่กินหรอก พอโตขึ้นมายังไงก็ต้องกิน ผมยิ้มเขิน ๆ มองไปที่ต้นเสียงไม่เข้าใจในความหมาย ยังไงก็ไม่กินหรอก กินเหล้าทำไมไม่เห็นอร่อยเลยเป๊ปซี่อร่อยกว่าตั้งเยอะ ตัวผมในตอนเด็กวันนั้น กับตัวผมในงานเลี้ยงวันนั้นคิดไม่ได้ต่างกันเลยสักนิดเดียว
หลังจากจิบเหล้าแก้วแรกไปนานจนลืม ชีวิตในวัยเรียนสมัยมัธยมปลายของผมทำให้ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของมันเท่าไร เพราะถ้าเป็นเรื่องเกเรเรื่องไม่ดีส่วนมากในช่วงนั้นก็จะเป็นการโดดเรียน หนีเรียนไปเล่มเกมส์ ไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าหรือไม่ก็นอนอยู่บ้านไม่ไปเรียนเฉย ๆ ซะมากกว่า แม้งานปีใหม่ที่จัดขึ้นที่โรงเรียนหรือจะมีเพื่อน ๆ แอบเอาเหล้าเข้ามากินแต่ผมก็ไม่ขอร่วมวงเสวนาด้วยแม้แต่จิบเดียว เพราะผมยังคงรู้สึกว่าเหล้ามันไม่ดีและมีรสชาติขมที่ไม่อร่อย  แต่จนแล้วจนรอดชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปในงานเลี้ยงวันจบการศึกษา เมื่อเหล้าแก้วแรกไหลลงสู่ลำคอด้วยความเต็มใจ
ในงานเลี้ยงกลางคืนที่จัดขึ้นที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อน ๆ ต่างสนุกสนานร่าเริง ทุกคนต่างมีอันต้องแยกย้ายกับไปคนละทิศละทางตามเส้นทางเดินของตัวเอง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องแยกไปตามทางเดินของผม ความเศร้าใจหายอย่างคาดไม่ถึงมันถูกผลักออกมาจากความรู้สึกในใจ มันทำให้ผมรู้สึกว่าอยากระบายความเศร้าและคำพูดทุกคำในใจผมออกมาอย่างที่คิด แต่ด้วยความเขินอายมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดและแสดงออกอย่างใจคิดลงไป ผมได้แต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุม ๆ หนึ่งของงานเลี้ยงอย่างไม่รู้จะทำอะไรก่อนอะไรหลัง จิบเป๊ปซี่เบา ๆ ไปกับความเศร้าที่ซ่อนไว้ข้างไหน
    นั่งเหม่อดูภาพเพื่อน ๆ ในงานเลี้ยงได้ระยะหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งก็เดินมาหาผมแล้วระบายความรู้สึกว่า ต่อไปเมื่อแยกย้ายกันไปคงคิดถึงกันแย่เลย ผมพยักหน้าเพราะรู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เพื่อนถามว่าไม่กินเหล้าหรือไงจะได้สนุก ๆ ร่วมกัน ผมส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่าไม่เอา ไม่ชอบเพราะมันขม เพื่อนยิ้มแบบรู้วิธีแก้ปัญหายื่นน้ำเป๊ปซี่แก้วที่มันดื่มให้ผมลองจิบ
    “เป๊บซี่ผสมเหล้า ไม่ขมอย่างที่คิด ลองกินดูสิ”  มันบอกผมอย่างนั้น  ตอนแรกผมทำท่าว่าจะไม่ดื่ม แต่คิดว่าแค่แก้วเดียวคงไม่เป็นไร อีกทั้งผสมเป๊ปซี่คงไม่ขมอย่างที่ผมคิดไว้หรอก และวันนี้ยังเป็นงานเลี้ยงอำลาเพื่อน ๆ ซะด้วย กินสักนิดเพื่อสนุกกับเพื่อน ๆ คงไม่เป็นไร
    ไม่เป็นอะไรจริง ๆ อย่างที่เพื่อนบอก เพราะความหวานซ่าของเป๊ปซี่มันกลบความขมแสบคอของเหล้าไปซะหมด ผมเริ่มต้นจากการจิบเบา ๆ ไม่นานพอเหล้าเข้ากระแสเลือด ผมรู้สึกว่าสนุกสนานกับการคุยโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะทำอะไรสักอย่างมันก็ดูมีความสุขไปเสียหมด  ประสบการณ์ผสมเป๊ปซี่แก้วแรกของผมมันเปลี่ยนความรู้สึกว่าเหล้ามันขมไปซะหมด
    แก้วแรกจนกระทั่งแก้วสุดท้ายในงานเลี้ยงในวันนั้น มันทำให้ผมเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว คงเป็นเพราะความเมาและความละอ่อนคอไร้ประสบการณ์ในการดื่มด้วยล่ะมั้ง ผมเผลอหลับไปจนกระทั่งเช้า ตื่นขึ้นมามองสภาพรอบ ๆ ตัว เพื่อน ๆ ของผมยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่รอบ ๆ ตัว ผมพยายามปลุกเพื่อนคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด แต่ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น ไม่แน่ใจว่ามันเป็นคนนอนขี้เซาหรือเป็นเพราะว่ายังเมาค้างอยู่ แต่วพอผมขยับตัวจะลุกขึ้นเพื่อนผมคนหนึ่งบิดตัวลุกขึ้นมาช้า ๆ นั่งโงนเงนเหมือนไร้การทรงตัวบ่นร่ำ ๆ ว่าปวดหัว ๆ พร้อมกุมมือไว้ที่ขมับมันเห็นผม นั่งมึน ๆ เอ่อๆ อยู่ข้าง ๆ คงนึกว่าผมคงปวดหัวเหมือนกัน ถามผมว่าตื่นมาแล้วปวดหัวเหมือนมันหรือเปล่า ผมส่ายศีรษะเบา ๆ ก็มีรู้สึกบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมากมายอะไร ไม่ได้รู้สึกเมาสักเท่าไร คงเป็นเพราะว่าผมไม่ได้กินเหล้าเยอะ ละมั่งผมบอกเพื่อน
    เพื่อนลุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ผมลุกไปเปิดน้ำในตู้เย็นดื่มยังไม่ทันดื่มน้ำหมดแก้ว ก็ได้ยินเสียงบ่นระเบิดแว่วเบา ๆ ออกมาจากห้องน้ำว่า ปวดหัวฉิบหายเลยว้อย ตามด้วยน้ำเสียงโอกอากที่ดังลั่นออกมา
    เสียงกดชักโครกไล่ตามมาจากเสียงโอกอาก งานเลี้ยงในวันนั้นจบลงไปนานแล้ว วันนั้นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมกินเหล้าแล้วรู้สึกว่าชอบและสนุกสนานไปกับมัน เหล้าผสมเป๊ปซี่ หวาน ๆ ขม ๆ ก็แปลกไปอีกแบบหนึ่ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น