รองเท้าแตะ - รองเท้าแตะ นิยาย รองเท้าแตะ : Dek-D.com - Writer

    รองเท้าแตะ

    บางครั้งเราก็ต้องยอมวางความเป็นของตัวเองทิ้งไว้บ้าง เพื่อให้สวมใส่ความเป็นคนในสังคม ในเวลาที่เราต้องเข้าสังคม

    ผู้เข้าชมรวม

    285

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    285

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ต.ค. 48 / 11:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      รองเท้าแตะ

      โดยนิสัยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบใส่รองเท้าแตะ จำได้ว่าเมื่อสมัยเรียนมัธยมถ้าวันไหนผมไม่อยากใส่รองเท้าผ้าใบไปเรียน ผมก็จะใช้วิธีแปะผ้าพันแผลรอบ ๆ ขาแล้วก็ใส่รองเท้าแตะไปเรียนหนังสือ ครูก็มักจะถามว่าเท้าเป็นอะไร เจ็บเท้าทำหน้าเจ็บ ๆ นิด ๆ ตอบไปอย่างนั้น

      ผมจะมีความสุขกับการใส่รองเท้าแตะไปทั้งวัน แต่ไม่รู้ว่าเลยว่าครูอาจารย์ที่มองเห็นผมใส่รองเท้าแตะหนีบ ในโรงเรียนจะรู้สึกอย่างไรกับภาพ ๆ นั้น

      ด้วยความที่เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ และไม่ค่อยจิงจังกับการแต่งตัวสักเท่าไร เวลาไปไหนมาไหนผมมักจะใส่รองเท้าแตะไปทุกที่ทุกทาง โดยเฉพาะแตะหนีบจะเป็นที่ชื่นชอบของผมมาก เวลาเดินดังแตะ ๆๆๆ รู้สึกมั่นใจยังไงไม่รู้ บางครั้งที่ไปเที่ยวข้างนอก เพื่อน ๆ มักจะใส่รองเท้าผ้าใบกันและก็จะทักผมว่า ไม่มีรองเท้าผ้าใบสวย ๆ เรียบร้อย ๆ ใส่บ้างเลยหรือไง ผมบอกว่าไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่มีสตางค์ซื้อไม่ไม่อยากซื้อมากกว่า เพราะผมคิดว่าผมสามารถใส่รองเท้าแตะไปได้ทุกที่ทุกทางอยู่แล้ว และผมชอบที่จะเป็นแบบนี้

      แต่คืนหนึ่งความจริงพร้อมรอยหยักน้อย ๆ ก็แผดเผาสมองผมว่า เราไม่สามารถใส่รองเท้าแตะไปได้ทุกที่ทุกทาง แม้ว่าเราจะชอบและพอใจมันแค่ไหน บางสถานที่บางแห่งก็ไม่ต้อนรับคนใส่รองเท้าแตะอย่างผม

      สถานที่เที่ยวกลางคืนแห่งหนึ่งไม่ต้อนรับคนที่ใส่รองเท้าแตะและกางเกงขาสั้นมาเที่ยว ผมอ่านป้ายและยืนงงอยู่หน้าร้าน ทำไมจะมาเที่ยวทั้งทียังต้องแต่งตัวเรื่องมากอะไรกันอย่างนี้ด้วย รองเท้าแตะมันต่างกับรองเท้าผ้าใบรองเท้าหนังสักแค่ไหนกันนะ ทำไมต้องเรื่องมากกันด้วย สถานที่เที่ยวกลางคืนแท้ ๆ ไม่ใช่สถานที่สำคัญอะไรทางสังคมสักกะหน่อย

      ผมคิดไปว่าถ้าความชอบส่วนตัวของเราไปขัดกับสังคมวัฒนธรรมเราควรยึดความเป็นตัวของตัวเองอยู่ หรือว่าควรยึดคล้อยตามกระแสสังคมที่ตีกรอบไว้ให้เราเดิน

      สังคมเราถูกประกอบและสร้างขึ้นมาด้วยจารีตประเพณีและวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อบรมสั่งสอนเราให้อยู่ในกรอบจรรยาบรรณของสังคม ซึ่งมันไม่ได้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย เราจะทำหรือจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ ไม่มีใครสามารถว่าอะไรเราได้อยู่แล้ว

      วันหนึ่งถ้าเราเป็นตัวของตัวเองอย่างสุดขีด จนมองไม่เห็นประเพณีวัฒนธรรมที่ใช้กันอยู่มานมนานเลย มันจะทำให้เราเดินไปยังทิศทางไหนของการอยู่รวมกันเป็นสังคม สังคมที่ไม่ได้มีเพียงตัวเราคนเดียว การทำอะไรตามใจตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งการทำตามใจตัวเองมากเกินไป มันก็ควรมีลิมิตระดับให้พอเหมาะพอควรด้วย อย่างน้อยเราทุกคนก็สะกดคำว่า “กาลเทศะ” เป็นกันทุกคน

      ทุกวันนี้วัยรุ่น วัยแนว ต่างก็ต้องการริเริ่มสร้างสรรค์แนวทางของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อบอกความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่ซ้ำใคร บางสิ่งบางเรื่องเป็นสิ่งที่ดีก็เป็นแบบอย่างที่น่าสนับสนุน แต่บางเรื่องนั้นแม้จะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แต่บางครั้งเราก็ควรให้ความสนใจกับคนรอบ ๆ ตัวเราด้วยว่า ที่เราแสดงออกไปนั้นมันถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

      หลายครั้งที่ผมเห็นคนแต่งตัวไม่เหมาะสมไปทำบุญที่วัด และบ่อย ๆ ที่ผมเห็นคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยมาติดต่องานติดต่อราชการ

      ไม่ใช่เป็นเรื่องผิด แต่มันคงดูไม่เหมาะสมสักเท่าไร ถ้าเรายังคงต้องอาศัยอยู่ในสังคม

      การแต่งตัวเหล่านั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือเป็นโทษร้ายแรงอะไร แต่ด้วยความเป็นจารีตประเพณีในสังคมเรา มันถูกบ่มและสั่งสอนกันมาช้านาน ว่าบางครั้งหรือบ่อย ๆ ครั้ง เราก็ควรให้เกียรติสถานที่ที่เราไปด้วย ไม่ใช่ว่าต้องการให้เราแต่งตัวเลิศหรูอะไร แต่เพียงต้องการแค่ว่าแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมาะสมกับสถานที่ที่เราจะไป เหมาะสมกับคนที่เราจะต้องไปติดต่อด้วย

      เราทุกคนรู้ว่าความเหมาะสมคืออะไร สิ่งที่ถูกต้องคืออะไร แต่เราทำมันบ่อยแค่ไหน

      ไม่ใช่ว่าต้องการให้ยึดติดกับเปลือกนอกมากเกินไป แต่ในเมื่อวันนี้เราอยู่รวมตัวกันจนเป็นสังคมแล้ว เราก็ควรทำอะไรที่มันถูกต้องตามหลักยึดปฏิบัติกัน เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คนรอบ ๆ ตัวเรา ที่มองเรา

      เราจะกลายเป็นคนที่มีคุณค่าเมื่อเรารู้จักคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา รู้จักให้เกียรติกับความรู้สึกของคนรอบ ๆ ตัวเรา เพราะคงไม่ต่างอะไรถ้าวันหนึ่ง เราจะรู้สึกแย่แค่ไหน ถ้ามีใครสักคนหนึ่ง มาพูดจาดูถูกไม่ให้เกียรติเราเลยสักนิด และการแต่งตัวก็ไม่ต่างกัน บางครั้งมันบ่งบอกถึงการให้เกียรติด้วยเสื้อผ้าภาษากาย ภาษาที่ไม่ต้องแสดงออกมาทางคำพูด เพียงแค่มองจากภายนอกก็สามารถรู้สึกและสัมผัสได้ ถึงความอ่อนน้อมที่เรามีอยู่ในจิตใจ

      จะไม่มีใครว่าเราเลย ถ้าเราแต่งตัวอย่างที่เราชอบเดินวนเวียนอยู่ในห้องของเรา หรือแต่งอยู่ในสถานที่ที่เป็นของเรา แต่เมื่อเราเดินพ้นประตูบ้านออกมาสู่สังคม เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเหมือนอยู่ในห้องอีกต่อไปแล้ว

      ให้เกียรติสถานที่ที่เราจะไปสักนิด ให้เกียรติคนที่เราจะไปติดต่อด้วยสักนิด เพราะมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เหมือนกับที่เราให้เกียรติตัวเอง ในการแต่งตัวตามใจชอบในวันที่เป็นตัวของตัวเอง

      แม้เราจะใส่รองเท้าแตะไปทุกที่ทุกแห่งบนโลกนี้ก็ไม่มีใครสามารถจับหรือดำเนินคดีอะไรกับเราได้สักข้อ แต่ถ้าในสถานที่หนึ่งรองเท้าแตะของเรากลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เราควรคิดวิเคราะห์ให้ดี ว่าเราพอใจกับการใส่รองเท้าแตะต่อไป หรือ จะลองเปลี่ยนมันเป็นรองเท้าผ้าใบสักครู่ เพื่ออยู่ในสังคมกับคนหมู่มาก เพราะแค่เปลี่ยนตามความเหมาะสมชั่วครู่ชั่วคราว มันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเราไปทั้งชีวิต

      เราจะทนลากแตะ ๆ เดินวนเวียนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดายต่อไปบนโลกต่อไป หรือยอมที่จะวางมันไว้สักพักในบางโอกาส แล้วลองเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่เดินเข้าสู่สังคมอย่างผู้มีเกียรติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×