คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Wish part 2
2
แต่งงานเหรอ?
...คนอย่างคิมฮีชอลนี่นะหรือจะแต่งงาน กับคนที่เป็นเจ้านาย...คนที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าชีวิตนี้จะมีความข้องเกี่ยวกันไปมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้
ฮีชอลไม่รู้เหตุผลของเขา ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นตัวเอง สงสารอย่างนั้นหรือ? หรือแค่เห็นว่าดูแลลูกสาวของเขาได้? ถ้าสงสารก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำขนาดนี้ มีอีกหลายวิธีที่เขาจะช่วยเหลือครอบครัวของฮีชอลได้ คงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
...คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เหตุผลของการแต่งงานในครั้งนี้จะคือ...ความรัก
ฮีชอลเคยวาดฝันเอาไว้ว่าจะมีชีวิตแต่งงานกับใครสักคนที่มีความสุข อาจจะแค่อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ดูแลกันและกันอยู่เสมอ ใครสักคนที่รักเขา และถึงแม้ว่าฮีชอลจะยังไม่มีใครคนนั้นอยู่ในใจ แต่เขาก็มีใครคนหนึ่งที่เคยคิดว่าใกล้เคียงกับคนที่ฮีชอลปรารถนามากที่สุด แม้จะเพียงแค่ “เคย” และแค่ “ใกล้เคียง” ก็ตาม...
“เดือนหน้าแล้วสินะ...”ร่างสูงของชายหนุ่มนั่งลงบนม้าหินข้างๆฮีชอล สีหน้าของเขาดูเศร้าซึมเมื่อรู้ข่าวว่าคนที่ใฝ่ฝันจะได้มาครองจะต้องแต่งงานในเดือนหน้า
ฝ่ายที่นั่งเงียบอยู่แต่แรกไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ นึกน้อยใจกับความไม่หนักแน่นของคนที่อยู่ข้างๆ ที่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างเมื่อรู้ว่าเขาจะต้องแต่งงานกับคนอื่นทั้งที่ตลอดมาก็คอยแต่รำพันอยู่เสมอว่ารักเขาชอบเขามากเพียงใด ฮีชอลรู้สึกผิดหวัง...และหมดหวังกับคนคนนี้
“อวิ่นฮ่าว...แม่อยากให้ฉันแต่งงานกับคุณเกิง ฉันจะทำยังไงดี...ฉันอยากให้อาจารย์เจิ้งช่วยพูดกับแม่”
ฮีชอลจำวันที่เขาร้องไห้มาหาชายหนุ่มได้ดี ในตอนนั้นอวิ่นฮ่าวคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฮีชอลมองเห็น บางทีถ้าหากอวิ่นฮ่าวเข้มแข็งหนักแน่นพอจะปกป้องฮีชอล ทุกอย่างก็คงไม่เป็นเช่นนี้
“ฮีชอล...ฉันจะทำอะไรได้ แค่นี้พ่อก็สงสัยว่าฉันไปชอบเธอเข้าเสียแล้ว ยิ่งเรื่องนี้ถ้าฉันทำตัวเดือดร้อน พ่อก็ต้องแน่ใจ...”
คนฟังแทบจะทรุดลงสะอื้นเมื่อได้ยินคำตอบจากคนที่บอกว่ารักเขา ถ้าถามว่าเมื่อก่อนฮีชอลรักอวิ่นฮ่าวหรือเปล่า ฮีชอลก็คงตอบว่ารัก...แต่รักฉันมิตรเสียมากกว่า
แต่มาบัดนี้แม้กระทั่งความรู้สึกดีๆ ความไว้วางใจในตัวเขา ฮีชอลก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ร่างบางหันไปมองคนที่เพิ่งนั่งลงข้างๆด้วยสายตาเฉยเมย เหมือนมองอากาศธาตุ ความโกรธเคือง ความน้อยใจตามวิสัยคนอารมณ์อ่อนไหวนั้นหมดไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกผิดหวังที่ยังลบไม่ออกจากใจ ใจหนึ่งก็คิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่ถลำตัวรักคนโลเลไม่มั่นคงเช่นนี้
“ฉันขอโทษนะ”
ฮีชอลเบื่อจะฟังคำขอโทษจากคนคนนี้เหลือเกิน เขาอยากจะบอกว่าตนนั้นอโหสิให้จนไม่เหลืออะไรที่จะตอบแทนคำขอโทษนั้นได้อีกแล้ว
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก...เรื่องของฉันกับแม่ ความจริงมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ...”ฮีชอลพูดกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเขา
“โธ่ ฮีชอล...ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี”อีกฝ่ายตอบอย่างร้อนรนเมื่อรู้สึกไปเองว่ากำลังถูกประชดประชัน
“ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ...ฉันจะแต่งงานกับเขาอย่างที่แม่ต้องการ”
“เธอรักเขาหรือ”อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจ
“มันไม่สำคัญหรอก ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามที่แม่ขอ”ฮีชอลพูดราวกับไม่เคยมีเยื่อใยต่อคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย ความหวัง ความฝัน ความปรารถนาที่จะได้มีอิสระในการเลือกคู่ครองและใช้ชีวิตกำลังจะหมดไป เพื่อแลกกับความปรารถนาสุดท้ายของมารดา
“ไม่สำคัญงั้นเหรอ? ไหนเธอเคยพูดไม่ใช่หรือว่าจะแต่งงานกับคนที่รักเท่านั้น แล้วทำไม...”อวิ่นฮ่าวยังไม่ทันพูดจบประโยคฮีชอลก็ลุกขึ้นปรี่เข้าไปหาคนที่เดินข้ามถนนมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
“คุณหวาง”ฮีชอลทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาด้วยความยินดีกว่าครั้งไหนๆ ยินดีที่เขามาช่วยขัดจังหวะการสนทนากับอวิ่นฮ่าวเสียที
“เรียกอาอี้เถอะครับคุณครู...อีกไม่นานคุณครูก็จะมาเป็นนายของผมอีกคน”หวางอี้บอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“งั้นอาอี้ก็ต้องเลิกเรียกฉันว่าคุณครู ฉันไปเป็นครูของอาอี้ตั้งแต่เมื่อไร”คำพูดของฮีชอลทำให้คู่สนทนาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ครับ...งั้นผมเรียกคุณฮีชอลก็ได้ครับ”ฮีชอลยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะถามขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้
“แล้วนี่ มีธุระกับฉันหรือเปล่า”
“อ้อ ครับ นายท่านให้มารับคุณไปดูชุดแต่งงานครับ พวกช่างเสื้อเขามารออยู่ที่บ้านกันตั้งหลายห้องเสื้อ”
ฮีชอลหน้าเผือดลงไปเมื่อได้ยินเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง แต่ก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามที่หานเกิงต้องการ ในเมื่อเขาตกลงยอมรับเงื่อนไขของมารดาไปเสียแล้ว
ฮีชอลเดินตามหวางอี้ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล รถยนต์ยุโรปคันงามราคาสูงอย่างที่น้อยคนจะสามารถเป็นเจ้าของได้ นอกเสียจากมหาเศรษฐีบ่งบอกฐานะผู้เป็นนายของหวางอี้ได้เป็นอย่างดี อวิ่นฮ่าวมองดูรถคันนั้นติดเครื่องแล้ววิ่งไกลออกไปจนลับสายตาพร้อมกับความรู้สึกเศร้าหมองที่ซึมลึกอยู่ในหัวใจอันอ่อนแอดวงนั้น
*************
“คุณครูขา...”เสียงใสของเด็กหญิงนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเข้ามาถึง ฮุ่ยหลานตรงเข้ามานั่งบนโซฟาข้างฮีชอล แล้วชะโงกหน้าไปมองแบบชุดสูทสีขาวที่ฮีชอลจะสวมในงานแต่งงาน
“คุณครูจะใส่ชุดนี้เหรอคะ...ว้า ทำไมคุณครูไม่ใส่ชุดเจ้าสาวแบบเจ้าหญิงล่ะคะ คุณครูต้องสวยแน่ๆเลยค่ะ”เด็กหญิงออกความคิดเห็นอย่างชำนิชำนาญ จนฮีชอลและบรรดาคนรับใช้ที่อยู่ด้วยตรงนั้นอดมันเขี้ยวกับความน่ารักแบบแก่แดดของเธอไม่ได้
“จะใส่แบบนั้นได้ยังไง คุณครูไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”ฮีชอลรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้พูดกับฮุ่ยหลาน ความรู้สึกกดดันเมื่ออยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเมื่อครู่นี้เบาบางลงไปมาก ฮุ่ยหลานยู่ปากจนกลมจู๋ มือเล็กๆนั้นก็พลิกดูแบบชุดแต่งงานสวยงามเหล่านั้นไปด้วย
“...ฮุ่ยหลานชอบชุดนี้ค่ะ...ซ้วยสวย มีลูกไม้ มีโบว์ด้วย น่ารักจัง”เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆด้วยความอ่อนใจ เมื่อเด็กหญิงยังคงชี้ไปที่ชุดเจ้าสาวอีกเหมือนเคย
“เอาไว้คุณหนูโตขึ้นแล้วแต่งงานดีกว่า...”เด็กหนุ่มพูดกับเด็กหญิงตัวน้อย
“ฮื่อ...ฮุ่ยหลานไม่แต่งงานหรอกค่ะ ฮุ่ยหลานจะอยู่กับคุณพ่อแล้วก็คุณครู”ฮุ่ยหลานตอบอย่างฉะฉาน ละมือจากนิตยสารมากอดแขนคุณครูคนสวยที่กำลังจะเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นแม่เลี้ยงในอีกไม่นาน
“ตอนนี้คุณหนูยังเด็ก พอโตขึ้นก็อยากแต่งเอง...”ฮีชอลหยอกเธอ
“เหมือนคุณพ่อกับคุณครูใช่ไหมคะ...”ฮุ่ยหลานถามประสาซื่อแต่ทำให้ฮีชอลชะงักไป ก่อนจะฝืนยิ้มให้เธอเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง
อยากแต่งงานเหรอ? ก็ใช่...แต่ฮีชอลอยากจะแต่งงานกับคนที่รักเขา ไม่ใช่คนที่แทบจะไม่ได้พูดคุยสัมผัสกันเลยเช่นฮันกยอง
เสียงรถยนต์เคลื่อนเข้ามาใกล้บ้านจนกระทั่งจอดสนิท สาวใช้หลายคนที่อยู่ในห้องรีบกระวีกระวาดกันออกไปต้อนรับแขก ฮีชอลไม่ได้สนใจนักว่าคนที่มาเยือนบ้านนี้จะเป็นใครทว่าดูจากปฏิกิริยาของเด็กหญิงที่ทำหน้าทำตาไม่ค่อยพอใจก็พอจะเดาได้ไม่ยากนัก ยังไม่ทันเอ่ยถามร่างสูงระหงของหญิงสาวก็เดินผ่านประตูห้องรับแขกเข้ามา
“คุณน้าชารอน”เด็กหญิงลุกขึ้นจากโซฟา เดินเข้าไปใกล้ผู้มาเยือนเล็กน้อยแล้วทักทายเธอตามมารยาทที่ถูกกวดขันมา ในขณะที่ฮีชอลเพียงแต่ยืนขึ้นต้อนรับอีกฝ่ายเนื่องจากไม่คุ้นเคย
“อ้าว ฮุ่ยหลาน...คุณพ่ออยู่ไหมจ๊ะ”หญิงสาวพูดกับเด็กหญิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อยู่ที่ห้องทำงานค่ะ คุยธุระอยู่”
“อ้อ...งั้นน้านั่งรอก่อนก็ได้”พูดจบก็เดินนวยนาดมานั่งที่โซฟาใกล้กับที่ฮีชอลนั่งลง เด็กหญิงกลับไปนั่งลงข้างฮีชอล ลอบมองแขกของบิดาด้วยความไม่ชอบใจนักเพียงแต่ไม่แสดงออกมาจนชัดเจน และหญิงสาวก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเด็กหญิงมากอยู่แล้ว นอกจากจะทำไปเพื่อเอาใจหานเกิง
“คุณแม่ขา...ฮุ่ยหลานชอบดอกกุหลาบสีชมพูค่ะ วันงานให้เขาจัดด้วยกุหลาบสีชมพูทั้งหมดเลยได้ไหมคะ”เด็กหญิงหันไปพูดกับฮีชอลอย่างจงใจ ทำให้ทั้งคนที่ถูกพูดด้วย และคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทว่าคนพูดจงใจจะให้ได้ยินหันมามองเด็กหญิงด้วยความประหลาดใจ
“คุณหนูพูดอะไรน่ะ...”ฮีชอลถามด้วยความสับสน ในขณะที่ชารอนก็จ้องเด็กหญิงเขม็งโดยไม่รู้ตัว
“ก็คุณครูจะแต่งงานกับคุณพ่อนี่คะ...ก็ต้องมาเป็นคุณแม่ให้ฮุ่ยหลานซิคะ”เด็กหญิงตอบด้วยท่าทางซื่อๆจนฮีชอลไม่อาจตำหนิลง ฮุ่ยหลานโผกอดฮีชอลโดยไม่สนใจว่าพวกเขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้มาเยือน
“ฮุ่ยหลานรักคุณแม่ค่ะ...ดีใจจังที่คุณแม่จะแต่งงานกับคุณพ่อ”ฮีชอลอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ถูก พอเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยแล้วก็ตกใจ เพราะสายตาที่เธอมองเขามันช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“นี่มันเรื่องะไรกันจ๊ะฮุ่ยหลาน น้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”ชารอนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจเอาไว้จนแทบจะปิดไม่มิด
“ก็เรื่องคุณพ่อจะแต่งงานกับคุณครูฮีชอลไงคะ”ใบหน้าใสแจ่มแจ๋วของเด็กหญิงเงยขึ้นมองเธอ ไม่ได้รับรู้ความเดือดเนื้อร้อนใจของหญิงสาวเลยสักนิด
“แต่งงาน!”ชารอนอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ หญิงสาวมั่นใจมาโดยตลอดว่าหากพ่อหม้ายเนื้อหอมอย่างหานเกิงคิดจะแต่งงานอีกครั้งคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเธอที่จะเป็นเจ้าสาว เพราะเธอเทียวไปเทียวมาหาเขาเสมอ และก็ไม่เคยเห็นเขาใกล้ชิดกับใครที่ไหนขนาดถึงขั้นคบหาดูใจกันมาก่อน
“จะเป็นไปได้ยังไง...”หญิงสาวพูดเสียงดังด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“...คุณเกิงยังไม่ได้บอกใคร บอกแต่คนใกล้ชิด”ฮีชอลตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดวงตากลมโตแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อมองตอบหญิงสาวที่มองเขาราวกับจะกดให้จมดิน ชารอนถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดของหนุ่มน้อยที่ดูท่าทางนุ่มนิ่มเรียบร้อย
“ฉันจะไปพบคุณเกิง”หญิงสาวว่าพลางลุกไปทันที ทว่ายังไม่ทันจะไปได้ไกล ร่างของชายหนุ่มที่หล่อนปรารถนาจะพบก็ก้าวเข้ามาในห้องรับแขกเสียก่อน
“คุณเกิง...”ชารอนเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ยั้งมือที่จะเกาะแขนเขาเอาไว้ทันเมื่อรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ลำพังในห้อง
“จริงเหรอคะที่คุณเกิงจะแต่งงาน”หญิงสาวถามเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม
“ครับ”หานเกิงตอบสั้นๆ ทว่าหนักแน่นและชัดเจน
“แล้วทำไมฉันเพิ่งจะรู้...”สีหน้าของชารอนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอรู้สึกอย่างไร
หญิงสาวรู้สึกว่าความหวังกำลังจะดับสิ้น ชายหนุ่มกำลังจะหลุดลอยไปเป็นของคนอื่น คนที่เธอไม่คิดไม่ฝัน ไม่แม้แต่จะนึกถึงหรือจดจำไว้ในสมองเลยด้วยซ้ำ
“ผมยังไม่ได้บอกใครมากนัก กะจะเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน”ชายหนุ่มตอบอย่างเรียบเฉย ไม่มีท่าทางกระวนกระวายกับอาการตื่นตระหนกของหญิงสาวผู้นี้เลย
“คุณหนู...เราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”ฮีชอลบอกเด็กหญิงเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องระหว่างทั้งสองคนด้วย ฮุ่ยหลานลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่ต้องให้เขารบเร้า
“อย่าไปไหนไกลนัก...เดี๋ยวฉันจะพาออกไปข้างนอก”ชายหนุ่มหันมาสั่ง
ฮีชอลไม่ได้พูดกับเขา เพียงแต่ก้มหน้าน้อยๆเป็นเชิงรับรู้แล้วจูงมือเด็กหญิงเดินจากห้องไป
“อ้อ! เดี๋ยว”เสียงจากชายหนุ่มเรียกให้ทั้งเด็กหนุ่มและเด็กหญิงหันกลับมา ฮีชอลข่มความรู้สึกเหนื่อยใจที่ตัวเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“...ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเรียกฮุ่ยหลานว่าคุณหนู...ให้เรียกว่าฮุ่ยหลานเหมือนที่ฉันเรียกลูก”
*************
ฮีชอลไม่ได้พบชารอนอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ทุกวันตลอดระยะเวลาสี่สัปดาห์เขาวุ่นวายอยู่กับการแก้ชุดแต่งงาน เลือกแหวนแต่งงาน รูปแบบของงาน รวมทั้งติดตามหานเกิงไปส่งบัตรเชิญแด่ญาติผู้ใหญ่และผู้อาวุโสที่เขาเคารพนับถือ หนังสื่อพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในฮ่องกง รวมทั้งจีนภาคพื้นทวีปบางสำนักต่างจับตามองการแต่งงานในครั้งนี้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องตื่นตาตื่นใจ
ตอนที่หานเกิงแต่งงานครั้งแรก ฮีชอลเพิ่งมาอยู่ฮ่องกงได้ไม่นาน ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบสอง ประกอบกับฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างอัตคัดทำให้ไม่มีช่องทางจะรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับงานแต่งงานของนายจ้างหนุ่ม หากแต่ยังเคยได้ยินคนเล่าลือกันว่าโอ่อ่าอลังการยิ่งกว่างานแต่งงานใดๆในฮ่องกง
งานแต่งงานครั้งที่สองนี้หานเกิงบอกกับเขาว่าจะจัดแต่พอเป็นพิธีและพอให้เหมาะสมกับฐานะเท่านั้น ทว่าเพียงเท่าที่ชายหนุ่มว่า ฮีชอลก็ยังรู้สึกว่าทุกอย่างนั้นเตรียมการไว้อย่างมากมายจนเขาแทบจะทำอะไรไม่ถูก ญาติผู้ใหญ่ของชายหนุ่มหลายคนเมื่อเข้าไปหาก็มักจะวางท่าทางเฉยชาในตอนแรก แต่เมื่อได้พบได้พูดคุยกับฮีชอลอย่างใกล้ชิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรยกับชายหนุ่มในทำนองว่า
“น่ารักเหมือนกันนะ...เจ้าสาวของเธอน่ะ”แล้วพลันสายตาที่มองมายังเด็กหนุ่มก็อ่อนลงและเปี่ยมด้วยความเมตตา
ก่อนงานแต่งงานเพียงสองวันหานเกิงก็รับว่าที่เจ้าสาวของเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากชานเมืองออกไปหลายสิบกิโลเมตร
สถานที่นั้นเป็นที่โล่งกว้างอยู่ระหว่างทะเลสาบและภูเขา พื้นดินทั่วบริเวณกว่ายี่สิบไร่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา มีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ลมพัดเฉื่อยฉิวหอบเอาความสดชื่นจากสายน้ำขึ้นมาปะทะร่างของเด็กหนุ่มที่เดินชมความงามนั้นด้วยความเพลิดเพลิน ปล่อยอารมณ์ไปตามธรรมชาติให้พอลืมความกังวลเรื่องการแต่งงานไปได้ชั่วครู่
“ฉันพาเธอมาที่นี่ เพื่อให้เธอพบกับคนคนหนึ่ง”หานเกิงเปรยขึ้น เรียกสติของฮีชอลให้กลับมาสู่ความจริงอีกครั้ง ขณะนั้นชายหนุ่มเดินนำเด็กหนุ่มเลียบริมทะเลสาบมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพที่ฮีชอลเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย
บนป้ายหินอ่อนสีขาวมีภาพถ่ายขาวดำของหญิงสาวหน้าตางดงาม ใบหน้าของเธอเหมือนจะมองมาด้วยท่าทางสงบทว่าก็มีความอ่อนโยนจากรอยยิ้มอ่อนๆของเธอ ข้างใต้รูปถ่ายสลักด้วยตัวหนังสือสีทองบอกชื่อเจ้าของร่างที่นอนสงบอยู่ในสถานที่ที่สวยงามแห่งนี้ วันเดือนปีที่เกิด และวันที่อำลาจากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
“เสวี่ยจิงตายตอนที่ฮุ่ยหลานยังไม่ได้ขวบดี...”ชายหนุ่มพูดขึ้น ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่รูปถ่ายของภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว
ฮีชอลสังเกตเขาอยู่เงียบๆ แม้ในยามธรรมดาหานเกิงจะดูเป็นคนที่เฉยชา ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่ตอนนี้ฮีชอลกลับอ่านสายตาของเขาออกอย่างง่ายดาย สายตาที่แสดงความสะท้อนใจและรู้สึกผิด
เขารู้สึกผิดกับเธอผู้นั้นด้วยเรื่องอะไร ฮีชอลก็ไม่อาจจะคาดเดาและรู้ดีว่าไม่ควรจะซักถามไม่ว่าเรื่องใดๆเกี่ยวกับกับเธอ ไม่ควรแม้แต่จะอยากรู้หากชายหนุ่มไม่เป็นฝ่ายบอกเขาเอง
“เธอร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ที่จริงการที่เธอคลอดลูกก็นับว่าเสี่ยงมาก อยู่เลี้ยงลูกมาได้จนเกือบปีก็เก่งแล้ว...”หานเกิงลอบถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะแต่งงานกับฮีชอลในวันมะรืนนี้แต่เขาก็ยอมรับว่าเขายังไม่สนิทและผูกพันกับฮีชอลมากพอที่จะระบายเรื่องในใจให้ฟัง
ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เธอต้องเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาเองจะบอกกับเธอว่าเขาไม่กังวลเรื่องการมีลูกทว่าหญิงสาวผู้เป็นภรรยาก็ดึงดันที่จะเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เพื่อมีลูกให้กับสามีให้ได้ หานเกิงคิดว่าถ้าหากเขาไม่ตามใจเธอมากเกินไปเรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้ การจากไปของภรรยาทำให้ชายหนุ่มหดหู่ใจอยู่นานนับปีแม้ว่าการแต่งงานของเขากับภรรยานั้นจะไม่ได้เกิดจากความรักก็ตาม
จำเป็นด้วยหรือที่ต้องรักกัน?
หานเกิงคิดว่าการแต่งงานนั้นเป็นหน้าที่หนึ่งในชีวิตของเขา ไม่ต่างจากการงาน หรือความรับผิดชอบ จนกระทั่งถึงวันนี้เขาก็ยังไม่เคยสัมผัสกับความรัก ที่ไม่ใช่โดยสายเลือดเช่นพ่อแม่และลูกสาว
จะมีความรักไปทำไมกัน... ขนาดไม่ได้รักแค่เพียงผูกพัน จากกันก็ยังหดหู่ถึงเพียงนี้
“ฮุ่ยหลานแกขาดแม่ แม่นม...แม่ของอาอี้เป็นคนดูแลแกมาตลอด ทางบ้านเสวี่ยจิงเขาอยู่อังกฤษก็อยากจะขอหลานไปเลี้ยง แต่ฉันผัดให้แกโตจนเรียนจบประถมเสียก่อน”ชายหนุ่มพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
“ลูกสาวฉันชอบเธอมาก ฉันหวังว่าเธอจะดูแลแกให้ดี...”เขาพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะหันหลังกลับ แต่เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง
“ผมจะดูแลคุณหนูให้ดี อย่าเป็นห่วงเลยฮะ”ฮีชอลกล่าวกับเธอผู้ล่วงลับเป็นเหมือนกับคำสัญญา ก่อนจะเดินตามว่าที่เจ้าบ่าวของเขาไปด้วยความสะท้อนใจ
*************
ความคิดเห็น