ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [HanChul-Fic] Wish

    ลำดับตอนที่ #2 : Wish part 2

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 62


    2

     

     

     

    แต่งงานเหรอ?

     

    ...คนอย่างคิมฮีชอลนี่นะหรือจะแต่งงาน กับคนที่เป็นเจ้านาย...คนที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าชีวิตนี้จะมีความข้องเกี่ยวกันไปมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้

     

    ฮีชอลไม่รู้เหตุผลของเขา ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นตัวเอง สงสารอย่างนั้นหรือ? หรือแค่เห็นว่าดูแลลูกสาวของเขาได้? ถ้าสงสารก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำขนาดนี้ มีอีกหลายวิธีที่เขาจะช่วยเหลือครอบครัวของฮีชอลได้ คงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

     

    ...คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เหตุผลของการแต่งงานในครั้งนี้จะคือ...ความรัก

     

     

    ฮีชอลเคยวาดฝันเอาไว้ว่าจะมีชีวิตแต่งงานกับใครสักคนที่มีความสุข อาจจะแค่อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ดูแลกันและกันอยู่เสมอ ใครสักคนที่รักเขา และถึงแม้ว่าฮีชอลจะยังไม่มีใครคนนั้นอยู่ในใจ แต่เขาก็มีใครคนหนึ่งที่เคยคิดว่าใกล้เคียงกับคนที่ฮีชอลปรารถนามากที่สุด แม้จะเพียงแค่ เคย และแค่ ใกล้เคียง ก็ตาม...

     

     

    เดือนหน้าแล้วสินะ...ร่างสูงของชายหนุ่มนั่งลงบนม้าหินข้างๆฮีชอล สีหน้าของเขาดูเศร้าซึมเมื่อรู้ข่าวว่าคนที่ใฝ่ฝันจะได้มาครองจะต้องแต่งงานในเดือนหน้า

                   

     

    ฝ่ายที่นั่งเงียบอยู่แต่แรกไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ นึกน้อยใจกับความไม่หนักแน่นของคนที่อยู่ข้างๆ ที่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างเมื่อรู้ว่าเขาจะต้องแต่งงานกับคนอื่นทั้งที่ตลอดมาก็คอยแต่รำพันอยู่เสมอว่ารักเขาชอบเขามากเพียงใด ฮีชอลรู้สึกผิดหวัง...และหมดหวังกับคนคนนี้

     

     

    อวิ่นฮ่าว...แม่อยากให้ฉันแต่งงานกับคุณเกิง ฉันจะทำยังไงดี...ฉันอยากให้อาจารย์เจิ้งช่วยพูดกับแม่

     

    ฮีชอลจำวันที่เขาร้องไห้มาหาชายหนุ่มได้ดี ในตอนนั้นอวิ่นฮ่าวคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฮีชอลมองเห็น บางทีถ้าหากอวิ่นฮ่าวเข้มแข็งหนักแน่นพอจะปกป้องฮีชอล ทุกอย่างก็คงไม่เป็นเช่นนี้

     

     

    ฮีชอล...ฉันจะทำอะไรได้ แค่นี้พ่อก็สงสัยว่าฉันไปชอบเธอเข้าเสียแล้ว ยิ่งเรื่องนี้ถ้าฉันทำตัวเดือดร้อน พ่อก็ต้องแน่ใจ...

     

    คนฟังแทบจะทรุดลงสะอื้นเมื่อได้ยินคำตอบจากคนที่บอกว่ารักเขา ถ้าถามว่าเมื่อก่อนฮีชอลรักอวิ่นฮ่าวหรือเปล่า ฮีชอลก็คงตอบว่ารัก...แต่รักฉันมิตรเสียมากกว่า

     

     

                    แต่มาบัดนี้แม้กระทั่งความรู้สึกดีๆ ความไว้วางใจในตัวเขา ฮีชอลก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ร่างบางหันไปมองคนที่เพิ่งนั่งลงข้างๆด้วยสายตาเฉยเมย เหมือนมองอากาศธาตุ ความโกรธเคือง ความน้อยใจตามวิสัยคนอารมณ์อ่อนไหวนั้นหมดไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกผิดหวังที่ยังลบไม่ออกจากใจ ใจหนึ่งก็คิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่ถลำตัวรักคนโลเลไม่มั่นคงเช่นนี้

     

     

    ฉันขอโทษนะ

     

    ฮีชอลเบื่อจะฟังคำขอโทษจากคนคนนี้เหลือเกิน เขาอยากจะบอกว่าตนนั้นอโหสิให้จนไม่เหลืออะไรที่จะตอบแทนคำขอโทษนั้นได้อีกแล้ว

     

     

    มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก...เรื่องของฉันกับแม่ ความจริงมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ...ฮีชอลพูดกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเขา

     

     

    โธ่ ฮีชอล...ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีอีกฝ่ายตอบอย่างร้อนรนเมื่อรู้สึกไปเองว่ากำลังถูกประชดประชัน

     

     

    ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ...ฉันจะแต่งงานกับเขาอย่างที่แม่ต้องการ

     

     

    เธอรักเขาหรืออีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจ

     

     

    มันไม่สำคัญหรอก ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามที่แม่ขอฮีชอลพูดราวกับไม่เคยมีเยื่อใยต่อคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย ความหวัง ความฝัน ความปรารถนาที่จะได้มีอิสระในการเลือกคู่ครองและใช้ชีวิตกำลังจะหมดไป เพื่อแลกกับความปรารถนาสุดท้ายของมารดา

     

     

    ไม่สำคัญงั้นเหรอ? ไหนเธอเคยพูดไม่ใช่หรือว่าจะแต่งงานกับคนที่รักเท่านั้น แล้วทำไม...อวิ่นฮ่าวยังไม่ทันพูดจบประโยคฮีชอลก็ลุกขึ้นปรี่เข้าไปหาคนที่เดินข้ามถนนมาจากอีกฝั่งหนึ่ง

     

     

    คุณหวางฮีชอลทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาด้วยความยินดีกว่าครั้งไหนๆ ยินดีที่เขามาช่วยขัดจังหวะการสนทนากับอวิ่นฮ่าวเสียที

     

     

    เรียกอาอี้เถอะครับคุณครู...อีกไม่นานคุณครูก็จะมาเป็นนายของผมอีกคนหวางอี้บอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

     

     

    งั้นอาอี้ก็ต้องเลิกเรียกฉันว่าคุณครู ฉันไปเป็นครูของอาอี้ตั้งแต่เมื่อไรคำพูดของฮีชอลทำให้คู่สนทนาอดยิ้มออกมาไม่ได้

     

     

    ครับ...งั้นผมเรียกคุณฮีชอลก็ได้ครับฮีชอลยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะถามขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้

     

     

    แล้วนี่ มีธุระกับฉันหรือเปล่า

     

     

    อ้อ ครับ นายท่านให้มารับคุณไปดูชุดแต่งงานครับ พวกช่างเสื้อเขามารออยู่ที่บ้านกันตั้งหลายห้องเสื้อ

     

    ฮีชอลหน้าเผือดลงไปเมื่อได้ยินเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง แต่ก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามที่หานเกิงต้องการ ในเมื่อเขาตกลงยอมรับเงื่อนไขของมารดาไปเสียแล้ว

                   

     

    ฮีชอลเดินตามหวางอี้ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล รถยนต์ยุโรปคันงามราคาสูงอย่างที่น้อยคนจะสามารถเป็นเจ้าของได้ นอกเสียจากมหาเศรษฐีบ่งบอกฐานะผู้เป็นนายของหวางอี้ได้เป็นอย่างดี อวิ่นฮ่าวมองดูรถคันนั้นติดเครื่องแล้ววิ่งไกลออกไปจนลับสายตาพร้อมกับความรู้สึกเศร้าหมองที่ซึมลึกอยู่ในหัวใจอันอ่อนแอดวงนั้น

     

    *************

     

    คุณครูขา...เสียงใสของเด็กหญิงนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเข้ามาถึง ฮุ่ยหลานตรงเข้ามานั่งบนโซฟาข้างฮีชอล แล้วชะโงกหน้าไปมองแบบชุดสูทสีขาวที่ฮีชอลจะสวมในงานแต่งงาน

     

     

    คุณครูจะใส่ชุดนี้เหรอคะ...ว้า ทำไมคุณครูไม่ใส่ชุดเจ้าสาวแบบเจ้าหญิงล่ะคะ คุณครูต้องสวยแน่ๆเลยค่ะเด็กหญิงออกความคิดเห็นอย่างชำนิชำนาญ จนฮีชอลและบรรดาคนรับใช้ที่อยู่ด้วยตรงนั้นอดมันเขี้ยวกับความน่ารักแบบแก่แดดของเธอไม่ได้

     

     

    จะใส่แบบนั้นได้ยังไง คุณครูไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อยฮีชอลรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้พูดกับฮุ่ยหลาน ความรู้สึกกดดันเมื่ออยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเมื่อครู่นี้เบาบางลงไปมาก ฮุ่ยหลานยู่ปากจนกลมจู๋ มือเล็กๆนั้นก็พลิกดูแบบชุดแต่งงานสวยงามเหล่านั้นไปด้วย

     

     

    ...ฮุ่ยหลานชอบชุดนี้ค่ะ...ซ้วยสวย มีลูกไม้ มีโบว์ด้วย น่ารักจังเด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆด้วยความอ่อนใจ เมื่อเด็กหญิงยังคงชี้ไปที่ชุดเจ้าสาวอีกเหมือนเคย

     

     

    เอาไว้คุณหนูโตขึ้นแล้วแต่งงานดีกว่า...เด็กหนุ่มพูดกับเด็กหญิงตัวน้อย

     

     

    ฮื่อ...ฮุ่ยหลานไม่แต่งงานหรอกค่ะ ฮุ่ยหลานจะอยู่กับคุณพ่อแล้วก็คุณครูฮุ่ยหลานตอบอย่างฉะฉาน ละมือจากนิตยสารมากอดแขนคุณครูคนสวยที่กำลังจะเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นแม่เลี้ยงในอีกไม่นาน

     

     

    ตอนนี้คุณหนูยังเด็ก พอโตขึ้นก็อยากแต่งเอง...ฮีชอลหยอกเธอ

     

     

    เหมือนคุณพ่อกับคุณครูใช่ไหมคะ...ฮุ่ยหลานถามประสาซื่อแต่ทำให้ฮีชอลชะงักไป ก่อนจะฝืนยิ้มให้เธอเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง

     

    อยากแต่งงานเหรอ? ก็ใช่...แต่ฮีชอลอยากจะแต่งงานกับคนที่รักเขา ไม่ใช่คนที่แทบจะไม่ได้พูดคุยสัมผัสกันเลยเช่นฮันกยอง

                   

     

    เสียงรถยนต์เคลื่อนเข้ามาใกล้บ้านจนกระทั่งจอดสนิท สาวใช้หลายคนที่อยู่ในห้องรีบกระวีกระวาดกันออกไปต้อนรับแขก ฮีชอลไม่ได้สนใจนักว่าคนที่มาเยือนบ้านนี้จะเป็นใครทว่าดูจากปฏิกิริยาของเด็กหญิงที่ทำหน้าทำตาไม่ค่อยพอใจก็พอจะเดาได้ไม่ยากนัก ยังไม่ทันเอ่ยถามร่างสูงระหงของหญิงสาวก็เดินผ่านประตูห้องรับแขกเข้ามา

     

     

    คุณน้าชารอนเด็กหญิงลุกขึ้นจากโซฟา เดินเข้าไปใกล้ผู้มาเยือนเล็กน้อยแล้วทักทายเธอตามมารยาทที่ถูกกวดขันมา ในขณะที่ฮีชอลเพียงแต่ยืนขึ้นต้อนรับอีกฝ่ายเนื่องจากไม่คุ้นเคย

     

     

    อ้าว ฮุ่ยหลาน...คุณพ่ออยู่ไหมจ๊ะหญิงสาวพูดกับเด็กหญิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

     

     

    อยู่ที่ห้องทำงานค่ะ คุยธุระอยู่

     

     

    อ้อ...งั้นน้านั่งรอก่อนก็ได้พูดจบก็เดินนวยนาดมานั่งที่โซฟาใกล้กับที่ฮีชอลนั่งลง เด็กหญิงกลับไปนั่งลงข้างฮีชอล ลอบมองแขกของบิดาด้วยความไม่ชอบใจนักเพียงแต่ไม่แสดงออกมาจนชัดเจน และหญิงสาวก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเด็กหญิงมากอยู่แล้ว นอกจากจะทำไปเพื่อเอาใจหานเกิง

     

     

    คุณแม่ขา...ฮุ่ยหลานชอบดอกกุหลาบสีชมพูค่ะ วันงานให้เขาจัดด้วยกุหลาบสีชมพูทั้งหมดเลยได้ไหมคะเด็กหญิงหันไปพูดกับฮีชอลอย่างจงใจ ทำให้ทั้งคนที่ถูกพูดด้วย และคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทว่าคนพูดจงใจจะให้ได้ยินหันมามองเด็กหญิงด้วยความประหลาดใจ

     

     

    คุณหนูพูดอะไรน่ะ...ฮีชอลถามด้วยความสับสน ในขณะที่ชารอนก็จ้องเด็กหญิงเขม็งโดยไม่รู้ตัว

     

     

    ก็คุณครูจะแต่งงานกับคุณพ่อนี่คะ...ก็ต้องมาเป็นคุณแม่ให้ฮุ่ยหลานซิคะเด็กหญิงตอบด้วยท่าทางซื่อๆจนฮีชอลไม่อาจตำหนิลง ฮุ่ยหลานโผกอดฮีชอลโดยไม่สนใจว่าพวกเขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้มาเยือน

     

     

    ฮุ่ยหลานรักคุณแม่ค่ะ...ดีใจจังที่คุณแม่จะแต่งงานกับคุณพ่อฮีชอลอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ถูก พอเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยแล้วก็ตกใจ เพราะสายตาที่เธอมองเขามันช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

     

     

    นี่มันเรื่องะไรกันจ๊ะฮุ่ยหลาน น้าไม่เห็นรู้เรื่องเลยชารอนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจเอาไว้จนแทบจะปิดไม่มิด

     

     

    ก็เรื่องคุณพ่อจะแต่งงานกับคุณครูฮีชอลไงคะใบหน้าใสแจ่มแจ๋วของเด็กหญิงเงยขึ้นมองเธอ ไม่ได้รับรู้ความเดือดเนื้อร้อนใจของหญิงสาวเลยสักนิด

     

     

    แต่งงาน!”ชารอนอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ หญิงสาวมั่นใจมาโดยตลอดว่าหากพ่อหม้ายเนื้อหอมอย่างหานเกิงคิดจะแต่งงานอีกครั้งคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเธอที่จะเป็นเจ้าสาว เพราะเธอเทียวไปเทียวมาหาเขาเสมอ และก็ไม่เคยเห็นเขาใกล้ชิดกับใครที่ไหนขนาดถึงขั้นคบหาดูใจกันมาก่อน

     

     

    จะเป็นไปได้ยังไง...หญิงสาวพูดเสียงดังด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

     

     

    ...คุณเกิงยังไม่ได้บอกใคร บอกแต่คนใกล้ชิดฮีชอลตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดวงตากลมโตแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อมองตอบหญิงสาวที่มองเขาราวกับจะกดให้จมดิน ชารอนถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดของหนุ่มน้อยที่ดูท่าทางนุ่มนิ่มเรียบร้อย

     

     

    ฉันจะไปพบคุณเกิงหญิงสาวว่าพลางลุกไปทันที ทว่ายังไม่ทันจะไปได้ไกล ร่างของชายหนุ่มที่หล่อนปรารถนาจะพบก็ก้าวเข้ามาในห้องรับแขกเสียก่อน

     

     

    คุณเกิง...ชารอนเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ยั้งมือที่จะเกาะแขนเขาเอาไว้ทันเมื่อรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ลำพังในห้อง

     

     

    จริงเหรอคะที่คุณเกิงจะแต่งงานหญิงสาวถามเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม

     

     

    ครับหานเกิงตอบสั้นๆ ทว่าหนักแน่นและชัดเจน

     

     

    แล้วทำไมฉันเพิ่งจะรู้...สีหน้าของชารอนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอรู้สึกอย่างไร

     

    หญิงสาวรู้สึกว่าความหวังกำลังจะดับสิ้น ชายหนุ่มกำลังจะหลุดลอยไปเป็นของคนอื่น คนที่เธอไม่คิดไม่ฝัน ไม่แม้แต่จะนึกถึงหรือจดจำไว้ในสมองเลยด้วยซ้ำ

     

     

    ผมยังไม่ได้บอกใครมากนัก กะจะเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนชายหนุ่มตอบอย่างเรียบเฉย ไม่มีท่าทางกระวนกระวายกับอาการตื่นตระหนกของหญิงสาวผู้นี้เลย

     

     

    คุณหนู...เราออกไปข้างนอกกันดีกว่าฮีชอลบอกเด็กหญิงเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องระหว่างทั้งสองคนด้วย ฮุ่ยหลานลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่ต้องให้เขารบเร้า

     

     

    อย่าไปไหนไกลนัก...เดี๋ยวฉันจะพาออกไปข้างนอกชายหนุ่มหันมาสั่ง

     

    ฮีชอลไม่ได้พูดกับเขา เพียงแต่ก้มหน้าน้อยๆเป็นเชิงรับรู้แล้วจูงมือเด็กหญิงเดินจากห้องไป

     

     

    อ้อ! เดี๋ยวเสียงจากชายหนุ่มเรียกให้ทั้งเด็กหนุ่มและเด็กหญิงหันกลับมา ฮีชอลข่มความรู้สึกเหนื่อยใจที่ตัวเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

     

     

    ...ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเรียกฮุ่ยหลานว่าคุณหนู...ให้เรียกว่าฮุ่ยหลานเหมือนที่ฉันเรียกลูก

     

    *************

     

                    ฮีชอลไม่ได้พบชารอนอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ทุกวันตลอดระยะเวลาสี่สัปดาห์เขาวุ่นวายอยู่กับการแก้ชุดแต่งงาน เลือกแหวนแต่งงาน รูปแบบของงาน รวมทั้งติดตามหานเกิงไปส่งบัตรเชิญแด่ญาติผู้ใหญ่และผู้อาวุโสที่เขาเคารพนับถือ หนังสื่อพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในฮ่องกง รวมทั้งจีนภาคพื้นทวีปบางสำนักต่างจับตามองการแต่งงานในครั้งนี้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องตื่นตาตื่นใจ

     

     

                    ตอนที่หานเกิงแต่งงานครั้งแรก ฮีชอลเพิ่งมาอยู่ฮ่องกงได้ไม่นาน ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบสอง ประกอบกับฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างอัตคัดทำให้ไม่มีช่องทางจะรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับงานแต่งงานของนายจ้างหนุ่ม หากแต่ยังเคยได้ยินคนเล่าลือกันว่าโอ่อ่าอลังการยิ่งกว่างานแต่งงานใดๆในฮ่องกง

     

     

                    งานแต่งงานครั้งที่สองนี้หานเกิงบอกกับเขาว่าจะจัดแต่พอเป็นพิธีและพอให้เหมาะสมกับฐานะเท่านั้น ทว่าเพียงเท่าที่ชายหนุ่มว่า ฮีชอลก็ยังรู้สึกว่าทุกอย่างนั้นเตรียมการไว้อย่างมากมายจนเขาแทบจะทำอะไรไม่ถูก ญาติผู้ใหญ่ของชายหนุ่มหลายคนเมื่อเข้าไปหาก็มักจะวางท่าทางเฉยชาในตอนแรก แต่เมื่อได้พบได้พูดคุยกับฮีชอลอย่างใกล้ชิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรยกับชายหนุ่มในทำนองว่า

     

     

    น่ารักเหมือนกันนะ...เจ้าสาวของเธอน่ะแล้วพลันสายตาที่มองมายังเด็กหนุ่มก็อ่อนลงและเปี่ยมด้วยความเมตตา

     

     

                    ก่อนงานแต่งงานเพียงสองวันหานเกิงก็รับว่าที่เจ้าสาวของเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากชานเมืองออกไปหลายสิบกิโลเมตร

     

    สถานที่นั้นเป็นที่โล่งกว้างอยู่ระหว่างทะเลสาบและภูเขา พื้นดินทั่วบริเวณกว่ายี่สิบไร่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา มีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ลมพัดเฉื่อยฉิวหอบเอาความสดชื่นจากสายน้ำขึ้นมาปะทะร่างของเด็กหนุ่มที่เดินชมความงามนั้นด้วยความเพลิดเพลิน ปล่อยอารมณ์ไปตามธรรมชาติให้พอลืมความกังวลเรื่องการแต่งงานไปได้ชั่วครู่

     

     

    ฉันพาเธอมาที่นี่ เพื่อให้เธอพบกับคนคนหนึ่งหานเกิงเปรยขึ้น เรียกสติของฮีชอลให้กลับมาสู่ความจริงอีกครั้ง ขณะนั้นชายหนุ่มเดินนำเด็กหนุ่มเลียบริมทะเลสาบมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพที่ฮีชอลเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย

                   

     

    บนป้ายหินอ่อนสีขาวมีภาพถ่ายขาวดำของหญิงสาวหน้าตางดงาม ใบหน้าของเธอเหมือนจะมองมาด้วยท่าทางสงบทว่าก็มีความอ่อนโยนจากรอยยิ้มอ่อนๆของเธอ ข้างใต้รูปถ่ายสลักด้วยตัวหนังสือสีทองบอกชื่อเจ้าของร่างที่นอนสงบอยู่ในสถานที่ที่สวยงามแห่งนี้ วันเดือนปีที่เกิด และวันที่อำลาจากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

     

     

    เสวี่ยจิงตายตอนที่ฮุ่ยหลานยังไม่ได้ขวบดี...ชายหนุ่มพูดขึ้น ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่รูปถ่ายของภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว

     

    ฮีชอลสังเกตเขาอยู่เงียบๆ แม้ในยามธรรมดาหานเกิงจะดูเป็นคนที่เฉยชา ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่ตอนนี้ฮีชอลกลับอ่านสายตาของเขาออกอย่างง่ายดาย สายตาที่แสดงความสะท้อนใจและรู้สึกผิด

                   

     

    เขารู้สึกผิดกับเธอผู้นั้นด้วยเรื่องอะไร ฮีชอลก็ไม่อาจจะคาดเดาและรู้ดีว่าไม่ควรจะซักถามไม่ว่าเรื่องใดๆเกี่ยวกับกับเธอ ไม่ควรแม้แต่จะอยากรู้หากชายหนุ่มไม่เป็นฝ่ายบอกเขาเอง

     

     

    เธอร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ที่จริงการที่เธอคลอดลูกก็นับว่าเสี่ยงมาก อยู่เลี้ยงลูกมาได้จนเกือบปีก็เก่งแล้ว...หานเกิงลอบถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะแต่งงานกับฮีชอลในวันมะรืนนี้แต่เขาก็ยอมรับว่าเขายังไม่สนิทและผูกพันกับฮีชอลมากพอที่จะระบายเรื่องในใจให้ฟัง

                   

     

    ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เธอต้องเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาเองจะบอกกับเธอว่าเขาไม่กังวลเรื่องการมีลูกทว่าหญิงสาวผู้เป็นภรรยาก็ดึงดันที่จะเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เพื่อมีลูกให้กับสามีให้ได้ หานเกิงคิดว่าถ้าหากเขาไม่ตามใจเธอมากเกินไปเรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้ การจากไปของภรรยาทำให้ชายหนุ่มหดหู่ใจอยู่นานนับปีแม้ว่าการแต่งงานของเขากับภรรยานั้นจะไม่ได้เกิดจากความรักก็ตาม

                   

     

    จำเป็นด้วยหรือที่ต้องรักกัน?

     

    หานเกิงคิดว่าการแต่งงานนั้นเป็นหน้าที่หนึ่งในชีวิตของเขา ไม่ต่างจากการงาน หรือความรับผิดชอบ จนกระทั่งถึงวันนี้เขาก็ยังไม่เคยสัมผัสกับความรัก ที่ไม่ใช่โดยสายเลือดเช่นพ่อแม่และลูกสาว

     

    จะมีความรักไปทำไมกัน... ขนาดไม่ได้รักแค่เพียงผูกพัน จากกันก็ยังหดหู่ถึงเพียงนี้

     

     

    ฮุ่ยหลานแกขาดแม่ แม่นม...แม่ของอาอี้เป็นคนดูแลแกมาตลอด ทางบ้านเสวี่ยจิงเขาอยู่อังกฤษก็อยากจะขอหลานไปเลี้ยง แต่ฉันผัดให้แกโตจนเรียนจบประถมเสียก่อนชายหนุ่มพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ

     

     

    ลูกสาวฉันชอบเธอมาก ฉันหวังว่าเธอจะดูแลแกให้ดี...เขาพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะหันหลังกลับ แต่เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง

     

     

    ผมจะดูแลคุณหนูให้ดี อย่าเป็นห่วงเลยฮะฮีชอลกล่าวกับเธอผู้ล่วงลับเป็นเหมือนกับคำสัญญา ก่อนจะเดินตามว่าที่เจ้าบ่าวของเขาไปด้วยความสะท้อนใจ

     

    *************

     


     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×