คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Wish part 1 + Introduction
ปุถุชนผู้ยังไม่ละซึ่งกิเลสย่อมดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความปรารถนาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่ตลอดเวลา บางครั้งความปรารถนาก็เบาบางลงไปเองเมื่อกาลเวลาล่วงเลยจนความอดทนนั้นสิ้นสุดเหมือนกับไฟที่ค่อยๆมอดไหม้ลงเมื่อหมดเชื้อ แต่บางครั้งไฟแห่งความปรารถนาก็ยังลุกโชนอย่างแรงกล้าแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ไฟนั้นอาจจะทำให้เกิดความสว่างไสวในชีวิตหรืออาจจะเป็นไฟที่เผาใจให้เร่าร้อนก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะควบคุมไฟหรือจะให้ไฟเป็นผู้ควบคุมตน
ทุกชีวิตล้วนดำเนินไปตามความปรารถนา ทั้งที่รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ความปรารถนาที่แตกต่างกันทำให้แต่ละชีวิตเดินไปในทิศทางที่หลากหลายและพบเจอกับจุดหมายที่แตกต่าง ความปรารถนาในบางสิ่งอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่บางสิ่งก็ผิด ถึงกระนั้นมนุษย์ที่ยังพัวพันกับกิเลสอย่างลึกซึ้งก็ยังไม่สามารถจะตัดบ่วงแห่งความปรารถนานั้นไปได้แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
บางคนปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปได้ บางคนปรารถนาในสิ่งที่ยากเหลือเกินที่จะเป็นไปได้ แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะปรารถนา...
...แม้ว่าในชีวิตจริงจะไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามความปรารถนาก็ตาม...
Wish
ใจ ปรารถนา
1
รถยนต์สัญชาติเยอรมันคันงามเลี้ยวจากถนนเส้นหลักเข้ามาในซอยกว้างแห่งหนึ่งจนสุดทางก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วฮ่องกงถึงความงามและความหรูหราจนเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ ตัวอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบคฤหาสน์ในยุโรปตามอิทธิพลของอังกฤษที่ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม สนามหญ้าหน้าบ้านตกแต่งด้วยดอกไม้นานาชนิดที่สรรหามาปลูกประดับเสริมความงดงามให้แก่บริเวณบ้าน
เมื่อรถยนต์จอดลงตรงหน้าบ้านใกล้ๆกับน้ำพุ หญิงวัยกลางคนในเสื้อผ้าสีทึมๆก็เป็นคนเปิดประตูทางด้านหลังให้คนที่นั่งอยู่บนรถก้าวลงมา
เขาเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบเก้าปี รูปร่างเพรียวบางละม้ายสตรีมากกว่าบุรุษ ดวงหน้าอ่อนใสกระจ่างหวานชวนมอง ดวงตากลมโตทั้งคู่เป็นประกายแจ่มใสตามวัยที่เหมือนกับดอกไม้กำลังแย้มกลีบและแฝงไว้ด้วยความอ่อนไหวและช่างฝัน
“คุณครูฮีชอล...”เสียงใสของเด็กหญิงดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะถลาลงมาจากบ้านเข้ามากอดร่างบางของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างประจบประแจง
เธอสวมกระโปรงชุดสีชมพูหวานประดับลูกไม้สีขาว ผมยาวหยักศกน้อยๆถักเป็นเปียสองข้างผูกริบบิ้นผ้าสีเดียวกับชุด ดวงหน้ากลมใสแจ๋วเหลือบมองคุณครูของเธอที่ยิ้มตอบมาด้วยความเอ็นดูก่อนจะผละออกแล้วจูงมือของเขาเดินเข้าไปในบ้านอย่างเจ้ากี้เจ้าการตามประสาลูกสาวคนเดียวที่ถูกตามใจ
“ฮุ่ยหลานคิดถึงคุณครูม้ากมากค่ะ...อยากจะกลับมาเต็มทนแต่คุณพ่อบอกว่ายังกลับไม่ได้ ...เพลงที่เล่นค้างไว้ฮุ่ยหลานก็จำไม่ได้แล้วด้วย...”เด็กหญิงช่างเจรจาพูดขณะพาคุณครูคนสวยมายังห้องเปียโนที่ใช้เป็นสถานที่เรียน
“ไปเที่ยวอังกฤษน่าสนุกออก คุณหนูไม่สนุกเหรอฮะ”ฮีชอลพูดกับเธอพลางนั่งลงบนม้านั่งหน้าแกรนด์เปียโนสีขาวสะอาด โดยมีเด็กหญิงยืนดูอยู่ข้างๆด้วยแววตาชื่นชม
นิ้วเรียวเริ่มบรรเลงเพลงคลาสสิกที่เล่นจนชำนาญกระทั่งเปลี่ยนเป็นเพลง Can’t help falling in love with you ของเอลวิส เพรสลีย์ ที่กำลังโด่งดังในขณะนั้น
“คุณครูเก่งจังเลยค่ะ ฮุ่ยหลานอยากเก่งแบบคุณครู โตขึ้นฮุ่ยหลานจะเป็นนักเปียโน”เด็กหญิงว่าเจื้อยแจ้วเมื่อเสียงเพลงที่บรรเลงทอดจังหวะช้าจนหยุดลง
“คุณพ่อคุณหนูคงไม่ยินดีสักเท่าไร...ทำไมคุณหนูถึงอยากเป็นนักเปียโนล่ะ”เด็กหนุ่มหันมาพูดกับเธออย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นทั้งที่ความจริงก็ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรของเขานัก
“ฮุ่ยหลานชอบฟังเสียงเปียโน...เวลาคุณครูเล่นเปียโน คุณครูเหมือนนางฟ้าเลยค่ะ ฮุ่ยหลานอยากเป็นแบบคุณครู”
คราวนี้ฮีชอลอดหัวเราะออกมากับความไร้เดียงสาของเด็กหญิงไม่ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานนั้นยิ่งทำให้เขาดูงดงามและมีเสน่ห์มากขึ้น ทว่ารอยยิ้มของเด็กหนุ่มก็ชะงักไปเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาคู่หนึ่งจากทางประตูห้อง ดวงตากลมโตเหลือบไปมองเจ้าของสายตาคู่นั้นก่อนจะรีบหลบตาทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร
“คุณชาย”ฮีชอลเรียกเขาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วโค้งศีรษะเป็นการแสดงความเคารพ ต่างจากเด็กหญิงที่เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าก็วิ่งเข้าไปกอดเขาไว้อย่างออดอ้อน
“คุณพ่อมาฟังฮุ่ยหลานเล่นเปียโนเหรอคะ...”
ชายหนุ่มผู้เป็นบิดาเด็กของหญิงตัวน้อยนั้นอายุย่างสามสิบสามปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างขาว
บรรพบุรุษของเขาผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์คนแรกมีภูมิลำเนาอยู่ในมณฑลทางเหนือของจีน แต่มาได้ดิบได้ดีทำการค้าและธุรกิจจนรุ่งเรืองในเกาะฮ่องกงแห่งนี้ ถ้าหากจะเอ่ยชื่อ “รอเจอร์ หาน หรือ หานหลง” นักธุรกิจมหาเศรษฐีผู้พ่อ น้อยคนนักในฮ่องกงที่จะไม่รู้จัก แม้ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปเกือบยี่สิบปีแล้วก็ตาม
ส่วน “หานเกิง”ผู้ลูกนั้น ทุกวันนี้ก็เป็นที่รู้จักในวงการสถาบันการเงินและธุรกิจโรงแรมไม่น้อยหน้าผู้เป็นพ่อสักเท่าใด
คุณชายเจ้าของบ้านโอบบ่าลูกสาวตัวน้อยเดินเข้ามาในห้อง ย่อตัวลงจนความสูงนั้นใกล้เคียงกับเด็กหญิงแล้วพูดปลอบเธอ
“คุณพ่อต้องไปธุระ แต่คุณพ่อจะกลับมาฟัง ฮุ่ยหลานจะเล่นให้คุณพ่อฟังทีหลังได้ไหมคะ”น้ำเสียงที่ฮีชอลเคยได้ยินไม่บ่อยนัก แต่เมื่อได้ยินแล้วรู้สึกประหม่าราวกับมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้เขาเกรงกลัว ในยามที่พูดกับลูกสาวของเขากลับอ่อนโยนลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ได้ค่ะ คุณพ่อจะผ่านโรงแรมวินเชสเตอร์ไหมคะ ฮุ่ยหลานอยากทานเค้กส้มจัง”ลูกสาวตัวน้อยเข้าไปกอดแขนผู้เป็นบิดาอย่างประจบประแจง บทสนทนาระหว่างพ่อลูกทำให้คุณครูหนุ่มน้อยรู้สึกเหมือนตัวเองมาเป็นส่วนเกิน แต่จะเดินหนีออกไปก็ทำไม่ได้
“เดี๋ยวคุณพ่อจะให้อาอี้ไปซื้อมาให้ หรือฮุ่ยหลานอยากจะออกไปทานที่ร้าน...แต่ต้องรอให้เลิกเรียนเปียโนก่อนนะ”หานเกิงลูบศีรษะลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“งือ...ไม่เอาค่ะ ถ้าคุณพ่อไม่ไปด้วยฮุ่ยหลานก็ไม่อยากไป”เด็กหญิงทำหน้างอ
“งั้นรอทานอยู่ที่บ้านนะเด็กดี...เดี๋ยวคุณพ่อมา”ชายหนุ่มจูบหน้าผากกลมใสของลูกสาวครั้งหนึ่งเป็นการปลอบโยนก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไป ฮีชอลเหลือบไปมองเขาโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่คิดว่าเขาจะมองมาที่ตนพอดี
ยังไม่ทันที่เจ้าของบ้านจะออกจากบ้าน รถยุโรปคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เด็กหญิงรีบเดินไปเกาะที่ขอบหน้าต่างแล้วชะโงกมองออกไป ทันทีที่เห็นรถโดยไม่ทันจะต้องเห็นตัวคนขับสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ฮุ่ยหลานเบะปากอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่เปียโนซึ่งฮีชอลนั่งคอยอยู่
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ คุณหนู”ฮีชอลถามยิ้มๆ นึกเอ็นดูท่าทางเลียนแบบผู้ใหญ่ของเด็กสาววัยเจ็ดขวบที่แก่แดดเกินวัยคนนี้อยู่เหมือนกัน
“คุณน้าชารอนมาอีกแล้วค่ะ ฮุ่ยหลานไม่ชอบให้คุณน้าชารอนมาหาคุณพ่อเลย”เด็กหญิงว่า ทำหน้าทำตาจริงจัง
“ทำไมล่ะฮะ”ฮีชอลถามกลับไปอย่างไม่จริงจังนัก
“ก็ฮุ่ยหลานไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับคุณพ่อนี่คะ แล้ว...แล้วฮุ่ยหลานก็เคยแอบได้ยินพวกเมดในบ้านพูดกันว่า คุณน้าชารอนจะมาเป็นแม่ใหม่ของฮุ่ยหลาน”เด็กหญิงกอดอกเชิดหน้าอย่างถือตัว ก่อนจะหันมาทางคุณครูคนสวยแล้วตรงเข้าไปเกาะแขนของเขาไว้แทน
“ฮุ่ยหลานไม่อยากได้แม่ใหม่ แต่ถ้าเป็นคุณครูฮีชอลฮุ่ยหลานไม่ว่าหรอก...”
ฮีชอลเบิกตากว้างด้วยความตกใจเล็กๆกับคำพูดของเด็กหญิง ไม่รู้ว่าเธอไปอาความคิดเช่นนี้มาจากไหน
“คุณหนู! ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”เด็กหนุ่มอุทาน
“ก็คุณครูใจดี...นมจ๋าก็บอกว่าคุณครูเป็นคนดี คุณครูไม่อยากอยู่กับฮุ่ยหลานเหรอคะ...”ดวงตากลมใสบริสุทธิ์ของเด็กหญิงจ้องมองอีกฝ่ายแป๋วจนฮีชอลใจอ่อน
“ไม่ใช่แบบนั้น...แต่คนที่จะแต่งงานต้องรักกันถึงจะอยู่ด้วยกันได้”ฮีชอลบอกกับเธอ
“แล้ว...คุณครูไม่รักคุณพ่อของฮุ่ยหลานเหรอคะ”เด็กหญิงซักต่อ
“คุณชายเป็นผู้ใหญ่ เป็นคุณพ่อที่ดีของคุณหนู แล้วก็...คงจะเป็นนักธุรกิจที่เก่งและดีมากๆ แต่...เรื่องความรักมันพูดยากนะฮะ คนเราไม่ได้รักกันไม่ได้แปลว่าจะต้องเกลียดกันเสียหน่อย”
ฮุ่ยหลานนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“แต่ฮุ่ยหลานว่าคุณพ่อรักคุณครูนะคะ...คุณพ่อชอบถามถึงคุณครูบ่อยๆ แล้วก็บอกให้ฮุ่ยหลานอย่าดื้อ คุณครูจะได้ไม่เหนื่อยแล้วก็ไม่เบื่อจนไม่อยากมาสอนที่บ้าน”
ฮีชอลไม่รู้ตัวว่ารู้สึกหวิวใจขึ้นมาได้อย่างไรกับแค่คำพูดของเด็ก ทั้งๆที่สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันถูกต้องอย่างที่เด็กหญิงคิด
“คุณชายเป็นคนดี...สิ่งที่คุณชายทำเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณชายรักคุณครูหรอกนะคุณหนู...เอาล่ะ เรามาเริ่มเรียนกันเสียที เดี๋ยวคุณพ่อกลับมาแล้วคุณหนูยังเล่นไม่คล่องจะขายหน้าเอานะ...”
พอฮีชอลตัดบทเปลี่ยนเรื่องเด็กหญิงก็เลยหมดความสนใจในเรื่องเดิมแล้วหันไปตั้งใจซ้อมดนตรีเช่นเดิม ฮีชอลเสียอีกที่ยังควบคุมตัวเองไม่ให้จิตใจวอกแวกไม่ได้
*************
“น้ำชาค่ะคุณพ่อ”เด็กหญิงตัวน้อยประคองถ้วยน้ำชาในมือเดินเข้ามาหาผู้เป็นพ่อที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดภายในสวนเล็กๆข้างบ้าน
ชายหนุ่มวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ รับชาจากลูกสาวขึ้นมาจิบแล้วก็วางลงบนโต๊ะก่อนจะกระชับกอดเด็กหญิงที่ปีนขึ้นมานั่งบนม้านั่งตัวเดียวกัน
“ว่าไงคะ...หืม”มือหนาลูบศีรษะที่วันนี้มัดครึ่งศีรษะและปล่อยสลายอีกครึ่งหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายใสซื่อของลูกสาวทำให้ความหยาบกระด้างในใจของเขามลายหายไป
“คุณพ่อจะจ้างคุณครูฮีชอลต่อหรือเปล่าคะ”ลูกสาวเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อม
“แล้วฮุ่ยหลานยังอยากเรียนเปียโนหรือเปล่าล่ะคะ หรืออยากเรียนแต่อยากจะเปลี่ยนคุณครู...”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคเด็กหญิงก็รีบสวนขึ้นมาทันที
“ไม่ค่ะ...ไม่ ฮุ่ยหลานรักคุณครูฮีชอล อยากให้คุณครูอยู่กับเราตลอดเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ...ฮุ่ยหลานรักคุณครูมากเลยเหรอคะ”น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มทอดช้าลงราวกับใช้ความคิด ดวงตาคมมองลูกสาวนิ่งเหมือนจะมองให้ทะลุไปถึงหัวใจดวงน้อยๆนั่น
“ค่ะ...คุณพ่อขา คุณพ่อรักคุณครูไหมคะ...ฮุ่ยหลานอยากให้คุณพ่อรักคุณครู อยากให้คุณพ่อแต่งงานกับคุณครูค่ะ ฮุ่ยหลานไม่อยากมีแม่ใหม่...แต่คุณครูฮีชอล ฮุ่ยหลานรักเหมือนคุณแม่ค่ะ”
หานเกิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว
“เรื่องแบบนี้เราบังคับใจใครไม่ได้หรอกลูก...แต่ถ้าเป็นเรื่องที่จะจ้างคุณครูฮีชอลต่อ คงไม่มีปัญหาอะไร”
ฮันกยองไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ลูกสาวพูดถึงอีกเลยตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่งมีโอกาสมาเยี่ยมลูกน้องที่ล้มป่วยที่โรงพยาบาลในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับก็บังเอิญสวนกับแม่บ้านสตรีวัยกลางคนประจำโรงพยาบาลคนหนึ่ง เธอไม่ได้มีอะไรสะดุดตาชายหนุ่มผู้ที่แทบจะเมินเฉยต่อสิ่งที่ห่างไกลตัว เขาเกือบจะผ่านเลยไปโดยไม่มีอะไรผิดปกติเสียแล้วถ้าหากเธอไม่บังเอิญเป็นลมล้มลงข้างๆเขา
ชายหนุ่มตกใจหันไปจะเข้าไปช่วยประคองเธอ ก็พอดีที่ลูกน้องซึ่งรู้หน้าที่ปรี่เข้าไปประคองเธอไว้ก่อนเพียงไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็รับตัวเธอไปนอนในห้องพักฟื้นรวม
“...แกเป็นแบบนี้บ่อยค่ะ เป็นโรคประจำตัวรักษาไม่หายขาดหรอก...ถ้าจะรักษาอย่างจริงจังก็ต้องส่งไปเมืองนอกโน่น แกเองก็ไม่ค่อยมีเงิน แต่ทุกวันนี้คุณหมอก็ดูแลแกเท่าที่ทำได้นะคะ คุณชายไม่ต้องเป็นห่วง”นางพยาบาลอาวุโสรายงานให้ชายหนุ่มทราบเมื่อเขาเข้ามาเยี่ยมไข้พนักงานทำความสะอาดคนนั้น ใบหน้าของเธอมองดูคลับคล้ายคลับคลากับใครบางคนที่เขาเคยเห็น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนท้องถิ่นที่นี่หรืออาจจะไม่ใช่คนจีนเสียด้วยซ้ำ
“ผมคิดว่าเธอไม่ใช่คนฮ่องกง”หานเกิงเปรยขึ้นกับนางพยาบาล
“ค่ะ ชื่อของเธอคือ โกจินซู ย้ายมาอยู่ฮ่องกงหลายปีแล้ว อยู่กับลูกชายสองคนเท่านั้นเองค่ะ”นางพยาบาลบอกเขา
ได้ยินเพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็รู้สึกสะกิดใจขึ้นมาในทันที ...คนเกาหลี ...มีลูกชาย ที่จริงแล้วในฮ่องกงก็ไม่ได้กว้างใหญ่เกินไป และคนเกาหลีที่มีอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีมากมายนัก
“อาตง...ไปตามอาอี้เข้ามาหน่อยสิ น่าจะอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล”ชายหนุ่มหันไปสั่งลูกน้องที่ให้ตามเข้ามา เพียงไม่กี่อึดใจคนที่ถูกตามตัวมาก็มายืนอยู่ในห้องผู้ป่วยรวม
“นายท่านมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”หวางอี้ หรือ อาอี้ถามอย่างนอบน้อม
“แกไปส่งคุณครูเปียโนของฮุ่ยหลานบ่อยๆใช่ไหม...เคยพบแม่ของเขาบ้างหรือเปล่า”ผู้เป็นนายถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“เคยพบหลายครั้งครับ ได้พูดคุยอยู่เหมือนกัน”เขาตอบ ไม่ได้ย้อนถามเกินสิ่งที่ผู้เป็นนายสั่งให้ตอบ และนิ่งรอฟังคำถามของเขาโดยสงบ
“งั้นแกคงจำเธอได้...ดูสิว่าใช่คนที่นอนอยู่บนเตียงนี้ไหม”
หวางอี้เดินเข้ามาใกล้เตียงทันทีที่ได้รับอนุญาต เขาเพ่งมองไปยังร่างของสตรีวัยกลางคนที่นอนนิ่งอยู่อย่างพินิจพิจารณา
“ถึงเธอจะนอนหลับอยู่ แต่ผมมั่นใจว่าใช่ครับ”หวางอี้ตอบแล้วก็ถอยออกมายืนอยู่ที่เดิม แม้ในใจจะสงสัยถึงที่มาที่ไปที่มารดาของคุณครูเปียโนคนสวยที่นอนอยู่ตรงหน้าก็ตาม
“เธอหมดสติไปต่อหน้าต่อตา...”หานเกิงอธิบายสั้นๆเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันมาพูดกับนางพยาบาล
“รบกวนช่วยติดต่อผมทันทีที่เธอได้สตินะครับ แล้วก็...ถ้าต้องมีค่าใช้จ่ายหรือค่ายาอะไร ผมจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด”
อาอี้ส่งนามบัตรของผู้เป็นนายให้นางพยาบาลทันทีที่หานเกิงพูดจบ ชายหนุ่มหันไปมองร่างของผู้ที่นอนหมดสติอยู่อีกครั้ง ก่อนจะเดินนำลูกน้องอีกสามคนออกไป
*************
หวางอี้จอดรถริมถนนแล้วรีบกระวีกระวาดลงมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนายเดินลงมา ชายหนุ่มเดินนำผู้เป็นนายมายังห้องแถวที่สร้างด้วยไม้ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ริมสุด หน้าบ้านที่ถัดเข้าไปจากทางเท้าเป็นมีเพียงเก้าอี้ไม้เก่าๆทว่าสภาพยังคงแข็งแรงตั้งอยู่สองตัว กับกระถางต้นไม้เล็กๆซึ่งกำลังออกดอกสีชมพูสดใส ประตูบ้านซึ่งเป็นบานเฟี้ยมเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย พอมองลอดเข้าไปเห็นสภาพบ้านภายในได้บางส่วน
“มาหาใครคะ...อ้าว! อาอี้”หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านเปิดกระตูออกกว้างเพื่อเดินออกไปด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงคนที่หน้าบ้าน ในคราวแรกเธอเห็นหานเกิงก่อนจึงรู้สึกไม่คุ้นหน้า ทว่าเมื่อมองเห็นหวางอี้จึงจำได้
“คุณน้าครับ นี่คุณชายหาน เจ้านายของผมครับ”หวางอี้บอกเธอ
“...คุณนี่เองที่กรุณาดิฉันอย่างยิ่ง ขอบพระคุณมากนะคะ ...คุณก็เป็นเจ้านายของฮีชอลด้วยซีนะคะ...กรุณานั่งคอยสักครู่ ดิฉันจะไปหาน้ำชามาให้ค่ะ”
หานเกิงไม่ขัดเธอ ด้วยเห็นว่าธุระที่จะมาสนทนาในวันนี้คงจะกินเวลานานพอสมควร เขาลุกขึ้นเดินดูสภาพรอบๆที่อยู่ของฮีชอลเมื่อเจ้าของบ้านเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว
ตลอดถนนสายเล็กที่ทอดผ่านชุมชนแห่งนี้คือบ้านเรือนที่ค่อนข้างแออัด ทุกมุมถนนและตรอกซอยเต็มไปด้วยร้านสุราและบ่อนการพนัน พวกนักเลงที่เรียกจ่ายค่าคุ้มครองเดินยืดอกระรานชาวบ้านอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจกฎหมาย ในเมื่อผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังนั้นใหญ่ค้ำฟ้า ชาวบ้านตาดำๆที่ไหนจะกล้ายื่นมือเข้าไปเสี่ยง แม้แต่หานเกิงเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะมีการ“ล้ำเส้น”อำนาจกันให้เกิดปัญหายุ่งยากใจ
ชายหนุ่มเองก็แทบไม่รู้ตัวว่ารู้สึกใจหายเมื่อคิดว่าฮีชอลเติบโตมาได้อย่างไรกับสภาพแวดล้อมอันเสื่อมโทรมเช่นนี้ ทั้งยังเติบโตมาราวกับในชีวิตของเขาไม่เคยแผ้วพานกับสภาพอันน่าหดหู่เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
“ดื่มน้ำชาก่อนนะคะ”เจ้าของบ้านกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกาน้ำชากระเบื้องดินเผาเนื้อดี แม้หานเกิงจะไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องสิ่งของเครื่องใช้สักเท่าไรเขาก็รู้ได้ว่า ชุดน้ำชาชุดนี้ไม่ได้ผลิตในฮ่องกงและมันก็คงมีราคาสูงอยู่พอสมควร
“ฮีชอลไม่อยู่บ้านหรือครับ”ชายหนุ่มถามอย่างเป็นปกติ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆที่จับได้จากน้ำเสียงและแววตา
“ค่ะ...ฮีชอลออกไปทำงานที่บ้านศาสตราจารย์เจิ้งน่ะค่ะ ท่านให้ฮีชอลไปช่วยแปลเอกสารภาษาเกาหลี”
“ผมไม่ทราบมาก่อนว่าฮีชอลทำงานอย่างอื่นอีกนอกจากสอนเปียโนให้ลูกสาวผม”ผู้มาเยือนกล่าว
“อะไรที่ทำได้เขาก็ทำหมดล่ะค่ะ ดิฉันทำงานอะไรมากไม่ได้ เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ ก็มีแต่เขานี่ล่ะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง”จินซูบอก หานเกิงยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ขณะที่นิ่งคิดอยู่ในภวังค์สักครู่หนึ่ง
“...จะเป็นการละลาบละล้วงมากไปหรือเปล่าครับ ถ้าผมอยากจะทราบถึงนิสัยของลูกชายคุณ เท่าที่เห็น ผมก็ว่าเขาไม่เลวเลย ดูเป็นคนอ่อนโยนแล้วก็มองโลกในแง่ดี”
คราวนี้มารดาฮีชอลมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสนเท่ห์ ไม่ใช่เธอไม่เต็มใจจะตอบหรือมีเรื่องต้องปิดบัง ทว่าเธอรู้สึกแปลกใจกับคำถามของอีกฝ่ายมากกว่า
“ฮีชอลเป็นเด็กดีค่ะ...แต่แกเป็นเด็กอาภัพ หลายคนบอกว่าชีวิตที่เกิดมาไม่มีอะไรเลยยังดีเสียกว่าชีวิตที่เคยมี... มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะคะ ...พ่อของฮีชอลเขาเป็นนักเปียโนที่มีชื่อในวงการดนตรีของเกาหลี ฉันแต่งงานกับเขาแล้วเริ่มชีวิตครอบครัวด้วยกับอย่างมีความสุข ไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่อัตคัด พอฮีชอลเกิดมาเขาก็หวังอยากจะให้ลูกเป็นนักเปียโนอย่างเขา สอนลูกเล่นเปียโนตั้งแต่เริ่มจะจำความได้...”
จินซูเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมายสะท้อนความรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่ปิดบัง ชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้ขัดเธอ พวกเขาปล่อยให้เธอทำใจจนพร้อมจะเล่าต่อ
“พอฮีชอลอายุได้สิบขวบ พ่อของเขาก็จากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ เราพอจะมีเงินอยู่บ้างส่งให้ฮีชอลเรียนจนจบชั้นประถม แล้วดิฉันก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่...กับพ่อค้าคนหนึ่ง เราย้ายไปอยู่ที่ทางใต้ด้วยกันทั้งหมด ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่สามีใหม่ของดิฉันมีนิสัยชอบดื่มเหล้าจนเมามาย แล้วก็ชอบทำร้ายดิฉันบ้าง ทำร้ายฮีชอลบ้างจนดิฉันทนไม่ไหว จะขอหย่าเขาก็ไม่ยอม... ตอนนั้นมีคนรู้จักเขาเป็นคนคุมเรือสิ้นค้าจะไปฮ่องกง ดิฉันจึงพาลูกหนีมาเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่...”
เจ้าของบ้านนิ่งเงียบด้วยความสะท้อนใจในอดีตที่แสนขมขื่น ฝ่ายหานเกิงและหวางอี้ก็พูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนๆกันคือสงสารและเห็นใจ
“ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดอีก”หานเกิงกล่าวเรียบๆแต่ด้วยหัวใจจริงไม่ใช่ตามมารยาท
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทุกวันนี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว...ดิฉันเองก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จะห่วงก็แต่ฮีชอลล่ะค่ะ บอกตรงๆว่ากลัวคนจะมารังแก แถวนี้อยู่กันไม่ดีก็โดนหมายหัวกันได้ง่ายๆ จะย้ายออกไปก็คงต้องใช้เงินเยอะ แล้วฮีชอลเขาก็มีงานอยู่ที่นี่...”
สีหน้าของคนพูดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเธอเป็นแววตาของคนที่หมดสิ้นความหวังแล้วทุกสิ่ง เพียงแค่ใช้ชีวิตรอจนวันสิ้นลมหายใจ แตกต่างจากผู้เป็นลูกชายที่ในดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยประกายแห่งความปรารถนาเหมือนเปลวไฟที่โชติช่วงในความมืดมิด
“คุณไม่อยากจะรักษาตัวหรือครับ”ชายหนุ่มถาม แววตาของจินซูยิ่งหมองลงไปอีก แต่เธอก็ยังคงฝืนยิ้ม
“จะเอาเงินที่ไหนล่ะคะ ถ้าจะรักษาให้หายก็ต้องไปเมืองนอก ให้ดิฉันตายอยู่ที่นี่ยังดีกว่าจะให้ฮีชอลต้องไปลำบากหาเงินมากมายขนาดนั้น”
“ที่จริง...ที่ผมมาพบคุณในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะคุยด้วย...”หานเกิงเกริ่นเข้าเรื่องของตน
“...ฮุ่ยหลาน ลูกสาวของผมแกชอบฮีชอลมาก แล้วพวกเขาก็เข้ากันได้ดี ตลอดระยะเวลาเกือบปีที่ผมจ้างฮีชอลให้มาสอนฮุ่ยหลาน ผมก็ยังไม่เห็นข้อบกพร่องอะไรของเขา...”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ประเมินท่าทีของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณจะรังเกียจไหม ถ้าผมจะขอฮีชอลให้มาเป็นภรรยาของผม...เป็นภรรยาที่เปิดเผยต่อสังคมแม้ในทางกฎหมายจะทำไม่ได้ ผมจะให้เกียรติและเลี้ยงดูเขาอย่างสุขสบาย และจะส่งคุณไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ...”
จินซูตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้ยินข้อเสนอของชายหนุ่ม เธอนิ่งอึ้งจนคำพูดที่จะเอ่ยออกไป รู้สึกมึนงงราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
“แต่...ฮีชอลเป็นผู้ชาย”เธอพึมพำออกมาเบาๆ ทั้งที่แน่ใจว่าชายหนุ่มเองก็รู้ดีอยู่แล้ว
“ครับ...ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะยกลูกชายให้แต่งงานกับผม ผมสัญญาว่าจะไม่ให้ใครมาดูถูกศักดิ์ศรีของเขาได้”หานเกิงยืนยันหนักแน่น
“ดิฉันเชื่อค่ะ...ดิฉันมั่นใจในตัวคุณ แต่...ดิฉันยังสับสน”เจ้าของบ้านสารภาพตามความจริง ทุกอย่างมันรวดเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ติด ฮีชอลไม่เคยมาพูดอะไรกับเธอเกี่ยวกับเจ้านายของเขาเลย อยู่ๆเขาก็มาขอฮีชอลกับเธออย่างไม่มีท่าทีมาก่อน
“ผมจะรอคำตอบจากคุณภายในสองอาทิตย์นะครับ และขอยืนยันว่าผมไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด”หานเกิงกล่าว
“ดิฉันเชื่อค่ะ เราสองคนแม่ลูกก็ไม่ได้มีอะไรเลยที่ใครจะมาได้ผลประโยชน์ ดิฉันเชื่อว่าคุณบริสุทธิ์ใจ แต่เรื่องการแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่...”จินซูพูดด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ฮีชอลคงไม่ได้มีคนรักอยู่ใช่ไหมครับ”ชายหนุ่มถามอีก
“เท่าที่เขาบอกกับดิฉัน ...ไม่มีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงจะรบกวนเพียงเท่านี้ ...อาอี้ ฉันจะกลับแล้ว ผมลาครับคุณโก”หานเกิงบอกลาเจ้าของบ้าน แล้วเดินตามคนสนิทที่ล่วงหน้าไปเตรียมรถโดยไม่ได้หันกลับมามอง
จินซูมองตามรถยนต์หรูของผู้มาเยือนไปจนลับสายตา ภาพสภาพแวดล้อมรอบๆที่อาศัยทำให้เธอนึกหดหู่ใจขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งที่อยู่ที่นี่มาเกือบจะสิบปี ถ้าหากวันหนึ่งเธอตายจากไป ฮีชอลจะอยู่ท่ามกลางความเสื่อมโทรมของทั้งคนและสถานที่เช่นนี้หรือ เธอผู้เป็นมารดา...จะนอนตายตาหลับได้อย่างไร
*************
ความคิดเห็น