ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูแสงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ ๗ ไม่มีทางเลือก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 636
      2
      13 พ.ย. 60


     

    ไม่มีทางเลือก

     

     

     

     

     

    อินทุภาลืมตาตื่นในเวลาใกล้เคียงกับเช้าวันก่อนๆ ทว่าวันนี้มีบางอย่างต่างไปจากเดิม เธอไม่ได้นอนคนเดียว แต่มี ผู้ชายอยู่บนเตียง!

     

    แม้สิ่งแรกที่มองเห็นเมื่อลืมตาจะเป็นหมอนใบที่เธอหนุนซบอยู่ แต่อ้อมแขนอุ่นที่กกกอดเธอไว้จากด้านหลังก็ตอกย้ำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง

     

    อินทุภาเอ๋ย อยู่รอดปลอดภัยจากหนุ่มเมืองผู้ดีมาสิบสามปี แต่ดันมาแพ้ทางหนุ่มไทยเสียหลุดลุ่ย แล้วทีนี้เธอจะบอกป้าปิ่นว่ายังไงล่ะ...

     

    “อินตื่นแล้วใช่ไหม” ภูริชกระซิบถามข้างใบหูของหญิงสาว เขารู้สึกว่าเธอขยับตัวแต่แล้วก็หยุด ร่างนุ่มนิ่มในวงแขนมีอาการเกร็งจนรู้สึกได้ 

     

    “ค่ะ” หญิงสาวงึมงำตอบรับและขดตัวให้เล็กลงอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี จะลุกหนีจากเตียงไปตอนนี้ก็ดันโป๊อยู่ซะด้วย

     

    “งั้นเราควรจะหันหน้ามาคุยกันนะ” เขาว่าพลางกดไหล่บอบบางให้หันมาเผชิญหน้ากัน

     

    อินทุภาไม่มีทางเลือก นอกจากหันหน้ามาหาเขา ชายหนุ่มอมยิ้มบางๆ ขณะไล้ข้อนิ้วไปบนพวงแก้มสีระเรื่ออย่างอ่อนโยน เธอเขินจนต้องหลบตาแต่ก็รู้สึกอบอุ่นระคนซาบซ่านจนอดยิ้มไม่ได้

     

    “ทีนี้...อินจะไม่กลับกรุงเทพฯ แล้วใช่ไหม”

     

    หญิงสาวชะงัก สบตาเขาแล้วนิ่งไปหลายอึดใจกว่าจะเรียบเรียงคำพูดได้

     

    “ไม่ได้หรอกค่ะ อินต้องกลับไปทำงาน”

     

    คิ้วเข้มขมวด สีหน้าอ่อนโยนเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “กลับไปทำงาน แล้วพี่ล่ะ?”

     

    “พี่ภูก็อยู่ที่ภูแสงจันทร์สิคะ อยากเจออินเมื่อไหร่ก็ลงไปหาที่กรุงเทพฯ หรือให้อินขึ้นมาเชียงรายในวันหยุดก็ได้ นั่งเครื่องชั่วโมงเดียวเอง”

     

    คนที่เขาคบกันก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ เรื่องเดียวที่เธอกังวลไม่ใช่การอยู่ห่างจากเขา แต่เป็นเรื่องที่ว่าจะตอบคำถามป้าปิ่นยังไงต่างหาก

     

    ภูริชนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง อินทุภาไม่ได้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดและเป็นทุกข์กังวลใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ปลอบและทำให้เธอสบายใจด้วยการ ขอแต่งงานอย่างที่มันควรจะเป็น

     

    แล้วที่เขาเอาเปรียบเธอเมื่อคืนล่ะ ไม่ได้ช่วยให้เขารั้งเธอไว้ได้หรอกหรือ?

     

    “พี่ภูคะ” อินทุภาเรียกเขาเบาๆ เมื่อเห็นว่าภูริชเงียบงันไป

     

    “หืม อินว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มดึงสติกลับมา แต่ในหัวยังกังวลกับสถานการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามคาด

     

    หญิงสาวอมยิ้มอย่างขัดเขิน “พี่ภูหลับตาซักสองนาทีได้มั้ย”

     

    “ทำไม?” เขาถามงงๆ

     

    “นะคะ สองนาทีเอง” เธออ้อนวอนพร้อมรอยยิ้มน่ารัก

     

    ภูริชไม่มีทางเลือก นอกจากตามใจหญิงสาว

     

    “สัญญานะคะว่าจะไม่ลืมตาจนกว่าจะครบสองนาที” เธอกำชับ

     

    “สัญญา...ก็ได้” เขารับปากด้วยความงุนงงอยู่เช่นเดิม

     

    “งั้นก็หลับตาค่ะ”

     

    เมื่อชายหนุ่มหลับตาลง เธอจึงตลบผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะของเขา ก่อนจะรีบลุกจากเตียง วิ่งไปเก็บรวบรวมชิ้นส่วนของเสื้อผ้าที่ถูกลอกคราบออกตั้งแต่เมื่อคืนโยนใส่ตะกร้า

     

    ภูริชทำผิดสัญญาเพราะงงที่อยู่ๆ ก็ถูกผ้าห่มคลุมหัว แต่กว่าจะสะบัดตัวออกและลุกขึ้นนั่งได้ อินทุภาก็หนีเข้าห้องน้ำแล้วเรียบร้อย เขาจึงเข้าใจว่าหญิงสาวขอให้หลับตาทำไม

     

    ชายหนุ่มโคลงศีรษะ อดขำระคนเอ็นดูไม่ได้ แต่เมื่อตระหนักว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เป็นมิตรต่อเขาเลยจึงกลับมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง

     

    จะรั้งเธอยังไงดี?

     

    เขารีบลุกไปเก็บกางเกงขึ้นมาสวมลวกๆ แล้วตามไปคุยกับหญิงสาวที่หน้าห้องน้ำ

     

    “อินหมายความว่าเราจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมทั้งที่...อินเป็นของพี่แล้วน่ะหรือ?”

     

    อินทุภาเปิดประตูออกมาโดยมีผ้าเช็ดตัวพันกาย อย่างน้อยก็ไม่ล่อนจ้อนพอจะกล้ามองสบตาเขาตรงๆ ได้

     

    “เมื่อกี้พี่ภูว่าอะไรนะคะ?”

     

    ภูริชวางสีหน้าไม่ค่อยถูกเมื่อโดนจ้องเอาตรงๆ แบบนี้ แต่ถึงขั้นนี้แล้วเขาต้องเดินหน้าสถานเดียว ชายหนุ่มปรับสีหน้าให้จริงจัง

     

    “อินเป็นของพี่แล้ว พี่ไม่ให้อินกลับกรุงเทพฯ ทั้งอย่างนี้หรอก เราจะแต่งงานกัน”

     

    หญิงสาวเบิกตากว้าง จ้องมองเขาเหมือนมองตัวประหลาด “แต่งงาน!

     

    “ใช่ พี่กับอิน เราจะแต่งงานกัน” ชายหนุ่มยืนยัน ไม่มีแววล้อเล่นในดวงตา

     

    “แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน เรา...”

     

    เขาไม่ยอมให้เธอยกข้ออ้างล้านแปดมาปฏิเสธ รีบตอกย้ำในสิ่งที่เกิดขึ้น “แล้วเรื่องเมื่อคืนล่ะ อินจะบอกพี่ว่ามันไม่มีความหมายอะไรกับอินเลยงั้นหรือ”

     

    อินทุภาหน้าแดงเรื่อ ทำไมจะไม่มีความหมายเล่า เธอไม่เคยรู้สึก ใกล้ชิดกับใครอย่างที่รู้สึกกับเขา ไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะ ยอมได้แค่ไหนเมื่อได้พบคนที่ถูกใจ เธอยอมถึงขนาดนี้มีหรือจะไม่อยากให้ความสัมพันธ์คืบหน้า แต่การผูกมัดกันด้วยพิธีแต่งงาน...เธอคิดว่าควรทำเมื่อมั่นใจว่าอยากจะอยู่กับคนคนนั้นไปจนตลอดชีวิต ตอนนี้เธอชอบเขา แต่เธอก็ยังต้องการเวลาเพื่อค้นหาคำตอบ อย่างน้อยก็ควรจะใช้เวลามากกว่าแค่ ไม่กี่วัน  

     

    “พี่ภูคะ อินว่าพูดถึงการแต่งงานตอนนี้ออกจะเร็วไปหน่อย”

     

    “ไม่เร็วหรอก พี่ไม่อยากรอ อินเตรียมตัวไว้แล้วกัน เราจะแต่งงานให้เร็วที่สุดเท่าที่พี่จัดการได้” เขาสรุปอย่างเอาแต่ใจ ก่อนหันไปหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวมและติดกระดุมด้วยท่าทีเป็นปกติที่สุด

     

    เป็นคราวที่อินทุภาต้องเดือดร้อนบ้าง หญิงสาวรีบออกมาจากห้องน้ำ เธอยอมให้เขาตัดสินใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์คนเดียวไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่คนสองคนต้องตัดสินใจร่วมกันต่างหาก

     

    “อินยังไม่พร้อมค่ะ อินไม่แต่งกับพี่ภูเร็วๆ นี้แน่ อินจะกลับกรุงเทพฯ ไว้พี่ภูคิดทบทวนเรื่องนี้ใหม่แล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า” เธอประกาศจุดยืนอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตูลงอีกครั้ง

     

    ภูริชเห็นแววดื้อดึงปรากฏชัดในดวงตากระจ่างใสที่เขานึกชมว่าจริงใจ ริมฝีปากหยักเม้มแน่นอยู่ชั่วครู่ ก่อนคลายออกพร้อมการตัดสินใจที่แม้แต่ตัวเองยังแทบไม่เชื่อว่าจะต้องทำถึงขนาดนี้

     

    ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า กวาดเอาชุดที่แขวนอยู่ทั้งหมดยัดลงกระเป๋าเดินทางของอินทุภา ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดที่เธอเพิ่งโยนใส่ตะกร้าก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ รวมถึงกระเป๋าสะพายใบเล็กที่บรรจุข้าวของสำคัญเอาไว้ด้วย 

     

    “ถ้าอินกลับไปทั้งอย่างนี้ได้ก็เอาสิ” ว่าแล้วก็สะพายเป้ใบเขื่องออกไปทันที!

     

     

     

    กว่าอินทุภาจะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าถูกขโมยไปหมดเกลี้ยง ภูริชก็กลับถึงห้องพักแล้ว แถมยังโทรศัพท์สั่งอาหารเช้ามาส่งให้หญิงสาวถึงหน้าห้องด้วย ลำบาก คนหมดตัวต้องสวมชุดคลุมอาบน้ำของรีสอร์ตและโผล่แต่ศีรษะออกไปรับของจากเด็กส่งอาหาร 

     

    “พี่ภูบ้า! ไม่นึกเลยว่าจะทำตัวเด็กแบบนี้” หญิงสาวเข่นเขี้ยว ไม่ถึงกับโกรธจนไม่อยากมองหน้า แต่เป็นอารมณ์ทั้งขำทั้งฉุนมากกว่า เพราะคิดไม่ถึงว่าผู้ชายตัวโตขนาดเขาจะทำอะไรแบบนี้ได้ 

     

    อินทุภาตัดสินใจโทร. ไปที่ฟร้อนต์เพื่อขอความช่วยเหลือจากดอกแคร์ เพื่อนคนเดียวในตอนนี้ที่เธอกล้าพอจะขอยืมเสื้อผ้าสักชุด

     

    ราวสิบนาทีต่อมาดอกแคร์ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาอินทุภาที่เรือนแสงจันทร์พร้อมเสื้อผ้าที่เธอสวมมาทำงานเมื่อเช้า ก่อนเปลี่ยนเป็นชุดยูนิฟอร์มของรีสอร์ต หลังเคาะให้สัญญาณสองที เจ้าของห้องพักก็เปิดแง้มประตูออกมารับของ

     

    “คุณอินคะ...”

     

    “ขอบใจมากนะดอกแคร์” หญิงสาวบอกก่อนจะรีบงับประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความงุนงงของอีกฝ่าย

     

    ดอกแคร์ลังเลว่าควรจะทำอะไรต่อ กลับไปทำงานหรือรออินทุภา แต่ถ้ากลับไปทั้งแบบนี้เธอคงทนเก็บความสงสัยไม่ไหวแน่ มันคันปากยิบๆ อยากถามให้หายคาใจ ยืนรีๆ รอๆ อยู่ไม่นาน อินทุภาก็เปิดประตูออกมาในเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงยีนเข้ารูปของเธอ

     

    “คุณอินใส่ได้พอดีเลยนะคะ” เด็กสาวทักด้วยดวงตาเป็นประกาย หวังว่าอีกฝ่ายจะบอกเหตุผลที่ต้องหยิบยืมเสื้อผ้าของเธอไปใช้

     

    “เดี๋ยวเอามาคืนนะดอกแคร์ ตอนนี้ขอไปจัดการธุระก่อน”

     

    “ได้ค่ะ แต่ทำไม...”

     

    “อย่าถาม ขอร้องล่ะ” อินทุภาตัดบท ก่อนจะเดินเร็วๆ ไปยังส่วนของออฟฟิศ เพราะไม่รู้ว่าภูริชพักที่ไหน

     

    ดอกแคร์ถอนใจเฮือกด้วยความเสียดาย วันนี้เธอต้องแน่นอกไปทั้งวันเป็นแน่แท้

     

     

     

    ด้วยความที่อากาศในยามเช้าค่อนข้างเย็นจัด และดอกแคร์ก็ไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวที่สวมทับเสื้อยืดตอนขับมอเตอร์ไซค์มาทำงานเมื่อเช้ามาให้อินทุภาด้วย หญิงสาวจึงเดินกอดอกลูบแขนตัวเองไปตลอดทาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนต้องมองเธอด้วยความประหลาดใจแน่ ก็อากาศเย็นซะขนาดนี้แต่เธอกลับไม่สวมเสื้อแขนยาวนี่นา

     

    ปณาลีเห็นหญิงสาวที่มาถามหาเจ้านายตนเมื่อวานปรากฏตัวที่หน้าออฟฟิศอีกครั้งในวันนี้ จึงรีบทักทาย “สวัสดีค่ะคุณ มาติดต่อธุระอะไรคะ”

     

    “นั่นห้องทำงานพี่ภูใช่ไหมคะ” อินทุภายิงคำถามอย่างไม่อ้อมค้อม ขณะมองไปยังห้องที่ประตูปิดสนิทเช่นเดียวกับเมื่อวาน

     

    “ใช่ค่ะ แต่ว่าคุณภูยัง...” พูดไม่ทันจบคนในหัวข้อสนทนาก็มุ่งตรงมาทางนี้พอดี ปณาลีจึงส่งยิ้มข้ามไหล่แขกสาวไปยังผู้เป็นนาย “มาพอดีเลยค่ะ”

     

    อินทุภาหันขวับ ปั้นหน้าตึงจัด ดวงตาวับวาวขณะจ้องมองหัวขโมยในคราบเจ้าของรีสอร์ต เขาเอาไปหมดทั้งเสื้อและกระเป๋าสะพายที่เต็มไปด้วยเอกสารสำคัญ รวมถึงเงินของเธอด้วย

     

    ภูริชรีบเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กและถอดเสื้อแขนยาวที่สวมอยู่มาคลุมให้หญิงสาวแทน เขาไม่คิดว่าเธอจะหาเสื้อผ้าชุดใหม่ได้เร็วขนาดนี้ เห็นเสื้อยืดลายหัวหมูสีชมพูตัวนั้นก็จำได้ทันทีว่าเป็นเสื้อตัวเก่งของดอกแคร์

     

    ผูกมิตรเก่งพอๆ กับป้าปิ่นทีเดียว โชคดีที่เอากระเป๋าสะพายของเธอมาด้วย ไม่งั้นเธออาจจะหนีเขากลับกรุงเทพฯ ในชุดนี้ไปแล้ว

     

    หญิงสาวขืนตัวต่อต้านเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ แต่ชายหนุ่มกระชับสาบเสื้อไว้ไม่ยอมให้เธอสลัดออกพร้อมก้มลงกระซิบขู่

     

    “จะต่อต้านพี่หรือเข้าไปคุยกันในห้องทำงาน พี่ไม่อายที่จะบอกให้ทุกคนรู้เรื่องของเราหรอกนะ”

     

    คนตัวเล็กเม้มปากนิด แต่ก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเมื่อชายหนุ่มโอบไหล่พาเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา มองดูสายตาของเลขาฯ สาวก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่เธอไม่มีเวลาใส่ใจความคิดเห็นของคนอื่นหรอก ตอนนี้ต้องตกลงกับภูริชให้ได้เสียก่อน

     

    ชายหนุ่มบอกเลขาฯ ว่าขอกาแฟร้อนสองที่ ก่อนจะปิดประตูห้องลง อินทุภาขืนตัวออกจากการโอบประคองของเขาและกดล็อกห้องทันที

     

    “ขอข้าวของของอินคืนด้วยค่ะ” เธอเชิดหน้าบอกเสียงเรียบ

     

    ภูริชถอยไปนั่งกอดอกบนโต๊ะทำงานและมองตอบหญิงสาวด้วยสายตาจริงจังไม่แพ้กัน “พี่จะคืนให้หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว”

     

    หญิงสาวถอนใจเฮือก “อินบอกพี่ภูไปแล้วนะคะว่ายังไม่พร้อมจะแต่งงาน”

     

    “พี่ว่าป้าปิ่นคงไม่เห็นด้วยกับอินแน่”

     

    คราวนี้อินทุภาเบิกตากว้าง จากที่เพียงแค่ฉุนก็เริ่มมีอารมณ์กรุ่นๆ แทรกเข้ามา “นี่พี่ภูเอาป้าปิ่นมาขู่อินเหรอ?”

     

    “ไม่ได้ขู่ พี่ขออินกับป้าปิ่นแล้ว แค่ยังไม่ได้บอกเรื่องเมื่อคืน อยากให้พี่บอกไหม?”

     

    ใบหน้าของอินทุภาแดงก่ำ ทั้งด้วยความโกรธและความอาย ที่มากกว่านั้นมีความกลัวแทรกมาด้วย เธอเติบโตขึ้นในโลกที่เปิดกว้างกว่านี้ คิดว่าป้าปิ่นเองก็ไม่เห็นว่าการอยู่ก่อนแต่งมีสาระสำคัญกับชีวิตยังไง ตราบใดที่เธอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น หรือแม้แต่ตัวเอง

     

    แต่...ภูริชเป็นคนใกล้ตัว เป็นหลานรักของป้าปิ่นเช่นกัน เธอกับเขาอาจเรียกได้ว่าเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเท่านั้น และเขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอจะเที่ยวมานอนด้วยแล้วทิ้งขว้างโดยไม่สร้างความอึดอัดลำบากใจให้ป้าปิ่นได้ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้เป็นป้าแน่นอน

     

    “พี่ภูบอกเรื่องนี้กับป้าปิ่นไม่ได้นะคะ อย่าทำแบบนั้นกับอินเลย” คราวนี้หญิงสาวแทบจะต้องอ้อนวอนเขาเลยทีเดียว

     

    ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนๆ มองเห็นโอกาสที่จะทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี “พี่จะไม่บอกป้าปิ่น ถ้าอินยอมแต่งงานกับพี่ดีๆ ไม่ดื้อ ไม่ออกฤทธิ์”

     

    อินทุภาเงียบงัน พอดีกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น

     

    “คุณน้ำคงเอากาแฟมาให้” ชายหนุ่มเตือน

     

    หญิงสาวจึงปลดล็อกประตูและเปิดให้

     

    ปณาลีมาพร้อมกาแฟร้อนสองแก้วพร้อมน้ำตาลและนมสดในถาดแก้ว เธอกล่าวขอบคุณหญิงสาวซึ่งน่าจะเป็นคนรักของเจ้านายที่ช่วยเปิดประตูให้ ก่อนจะยกกาแฟไปวางลงบนโต๊ะ

     

    “ต้องการอะไรอีกไหมคะคุณภู”

     

    “ไม่แล้วครับ ขอบคุณมาก”

     

    เลขาฯ สาวถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ อินทุภาจึงปิดประตูและกดล็อกอีกที เธอยังไม่หมดธุระ

     

    หญิงสาวยืนกอดอกพิงหลังกับประตูห้องและจ้องมองภูริชด้วยแววตาจริงจังพร้อมตั้งคำถาม “ทำไมพี่ภูถึงอยากแต่งงานกับอินนักคะ”

     

    ภูริชนิ่งไปนิด ไม่คิดว่าจะต้องตอบคำถามนี้ เขามีคำตอบที่สามารถตอบเธอได้โดยไม่ต้องโกหก แต่มันก็คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงตัดสินใจตอบไปตามเนื้อผ้า “พี่รังแกอิน พี่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น”

     

    อินทุภากัดริมฝีปาก ใจหล่นวูบเหมือนตกจากที่สูง นี่ไม่ใช่คำตอบที่เธอคาดว่าจะได้ยิน หากเขาตอบว่า รักหรือ ขาดเธอไม่ได้แม้มันออกจะรวดเร็วไปสักหน่อยกับความรู้สึกที่แสนพิเศษและลึกซึ้งถึงขั้นนั้น แต่อย่างน้อยคงทำให้เธอรู้สึกดีกว่านี้

     

    “อินไม่ได้เรียกร้อง” เธอตอบอย่างถือดีกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่มั่นคงของตัวเอง

     

    เขารู้ แค่มองตาเธอก็อ่านออก อินทุภาไม่ต้องการแต่งงานในเวลานี้ แต่เธอไม่มีทางเลือก เช่นเดียวกับเขา

     

    “พี่บอกป้าปิ่นแล้วว่าอินจะไม่กลับกรุงเทพฯ และเราจะแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด ป้าปิ่นกำลังเดินทางมาที่นี่”

     

    “โดยไม่ได้รับความยินยอมจากอินงั้นเหรอคะ?”

     

    “อินรู้ว่าพี่จะทำอะไร ถ้าอินไม่ยอมแต่ง เลือกเอาก็แล้วกัน” เขาโยนระเบิดลูกสุดท้าย รู้ว่าไม่มีทางเกลี้ยกล่อมให้เธอคล้อยตามได้ มีแต่ต้องบังคับกันเท่านั้น

     

    “อินไม่นึกเลยว่าพี่ภูจะเป็นคนแบบนี้ อินมองพี่ภูผิดไปจริงๆ” เธอมองเขาด้วยแววตาผิดหวัง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทำงานของภูริชด้วยความโกรธ 

     

    ชายหนุ่มทอดสายตามองตามร่างบอบบางที่กำลังห่อไหล่ กอดตัวเองเดินฝ่าลมหนาวจากไป ผ่านกระจกใสของหน้าต่างห้องทำงาน ทำได้แค่มองโดยไม่อาจทำอะไรมากกว่านี้

     

    เขาหลับตาลงด้วยความรู้สึกผิดและสับสน เมื่อคืนไม่ได้ตั้งใจให้เกินเลยไปขนาดนั้น แต่ความอ่อนหวานน่ารักของอินทุภาก็ทำให้เขาไม่มีทางเลือก

     

    “พี่ขอโทษนะอิน”

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×