ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเล่ห์บุพเพลวง [พิมพ์คำ new star]

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7 แผนคุกคาม II :: แฟนเก่า

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 58



    7

    แผนคุกคาม II :: แฟนเก่า

     

    กว่าภาวิกาจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่มเพราะการจราจรอันติดขัดในช่วงเวลาหลังเลิกงาน หญิงสาวรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดที่รัดกุมเพื่อตั้งหลักรอโจทก์หนุ่มที่จะบุกมาถึงบ้านในค่ำคืนนี้ ขณะที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อก็นึกแช่งชักหักกระดูกเตชิตไปด้วย เป็นเพราะเขาแท้ๆ ที่ทำให้เธออดเจอหมอสุดที่รัก

    “สาธุ...ขอให้อีตาบ้านั่นรถคว่ำคอหักตายระหว่างทางทีเถ๊อะ ถ้าสมหวังคราวนี้ลูกช้างจะรำแก้บนสามวันสามคืนรวด ถึงรำไม่เป็นก็จะลงทุนไปเรียนให้รู้แล้วรู้รอดเลยเจ้าค่ะ”

    พอสาปแช่งเขาไปแล้วก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ สองมือดึงทึ้งผมตัวเอง สีหน้าหมดอาลัยตายอยากสุดๆ

    “ตายๆๆ นี่เรายังไม่ได้เอาพิซซ่ากับไก่เคเอฟซีไปแก้บนเลยนี่หว่า มิน่าล่ะ ถึงสลัดผู้ชายบ้านั่นไม่หลุดซักที ภาวิกาเอ๊ย...ทำไมสะเพร่าอย่างนี้นะ คุณพระคุณเจ้าต้องไม่ฟังคำอ้อนวอนของเธอแน่ๆ โอ๊ย...ทำไมชีวิตมันถึงได้ซวยซ้ำ ซวยซ้อน ซวยบรรลัยอย่างงี้วะ”

    ในขณะที่ภาวิกากำลังจะคลั่งตาย เสียงบีบแตรที่หน้าบ้านก็ดังขึ้น หญิงสาวลุกไปแหวกผ้าม่านดูก็เห็นรถยนต์สีดำจอดรออยู่นอกรั้ว

    “พาหะนำความซวยมาแล้ว วันนี้ฉันจะปั่นหัวนายให้หมุนยิ่งกว่าลูกข่างซะอีก!” หญิงสาวกัดฟันอาฆาต ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้านต้อนรับแขก แต่ไม่ยอมให้เขาเอารถเข้ามาจอดด้านใน ชายหนุ่มจึงต้องจอดรถชิดกำแพงรั้วด้านนอกแล้วเดินเข้ามาแต่ตัวกับหลักฐาน

    “ไหนล่ะหลักฐานของคุณ” เจ้าของบ้านยื่นมือไปข้างหน้า ไม่ยอมเชิญแขกนั่งด้วยซ้ำ เปิดประเด็นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องรับแขก

    “ผมจะให้สิ่งที่คุณต้องการเมื่อรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เตชิตไม่ยอมหลงกลง่ายๆ เขาไม่สามารถเชื่อใจภาวิกาได้และจะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด

    “ฉันจะพูดเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อได้เห็นหลักฐานทั้งสองอย่างเต็มตา”

    ดวงตาวาววามสองคู่สบประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แล้วภาวิกาก็เป็นฝ่ายทำลายสงครามเย็นที่กำลังร้อนระอุในดวงตาของเขาและเธอ

    “คุณต้องเชื่อใจฉัน ไม่อย่างนั้นเราจะทำงานร่วมกันได้ไงล่ะ ฉันแค่จะดูว่าหลักฐานของคุณใช่ของจริงรึเปล่า นี่ฉันเชื่อใจคุณแค่ไหนที่ไม่คิดว่าคุณจะแอบก๊อปไว้น่ะ เอามาให้ฉันดูเถอะน่า” หญิงสาวยื่นมือไปข้างหน้า ใช้คำพูดเชิงจิตวิทยานิดหน่อยบวกกับสีหน้าจริงจังเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ

    “ก็ได้” เขามอบสำเนาบัตรประชาชนปลอมคืนให้เธอก่อน

    ภาวิการีบรับมาดูก็เห็นว่าเป็นของจริงเพราะสีเหลืองซีดบวกกับความยู่ยี่ของกระดาษยืนยันได้ดีพอๆ กับรอยหมึกเลอะที่เธอแกล้งทำไว้เป็นสัญลักษณ์บนกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะมอบให้เสี่ยธวัชชัย

    “แล้วซีดีล่ะ”

    “อยู่นี่” เขาสบตาเธอตลอดเวลาขณะหยิบแผ่นซีดีออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตแล้วโยนลงบนโต๊ะกลางระหว่างชุดรับแขกของหญิงสาว

    “ต้องพิสูจน์ก่อน”

    เธอหยิบแผ่นซีดีบรรจุในซองเรียบร้อยขึ้นมาดู พบว่ามีตัวอักษรกำกับไว้ว่าเป็นซีดีจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมมณีดินในคืนวันจันทร์ก่อนหน้านี้ มีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่กำกับไว้ด้วย ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจว่าใช่ลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ตัวจริงไหม หญิงสาวไม่มีทางไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายคือโจทก์จอมกัด

    หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที ทีวีจอแบนขนาดยักษ์ที่ต่อกับเครื่องเล่นซีดีก็ฉายภาพในคืนเกิดเหตุ มีทั้งภาพที่หน้างาน ในลานจอดรถ รวมถึงบริเวณทางออกด้วย เธอปรับให้เครื่องเล่นเร็วขึ้นเพื่อจะได้เห็นเหตุการณ์โดยรวมทั้งหมดเร็วๆ และเล่นแบบปกติในตอนที่เห็นภาพตัวเองและฮอนด้าแจ๊สสีเหลืองปรากฏขึ้นในจอ

    หญิงสาวมีสีหน้าไม่พอใจนักเมื่อพบว่าเห็นป้ายทะเบียนชัดเหลือเกิน ส่วนภาพของเธอแม้จะไม่ค่อยชัดเจนนัก หากรูปร่างที่เหมือนกันแบบเป๊ะๆ นั่นก็พาให้สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นเธอได้หากมีคนชี้ตัว และถ้าได้เสี่ยธวัชชัยมาให้ปากคำร่วมด้วย รับรองว่าเธอดิ้นไม่หลุดชัวร์ 

    ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าโจทก์รายล่าสุดจะตามจิกตามกัดแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอย่างนี้เธอคงไม่เช่ารถมาใช้หรอก แอบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงแรมและแฝงตัวออกมายังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยในห้องน้ำก็ไม่มีกล้องวงจรปิด

    ทุกอย่างผิดพลาดหมดก็เพราะไอ้ผู้ชายซาดิสม์นี่ทีเดียว เจ็บใจนัก!

    “ทีนี้ก็บอกผมได้แล้วว่าใครจ้างคุณ?” เขาเอ่ยเสียงเครียดเมื่อภาวิกาจนมุมกับหลักฐาน

    หญิงสาวกดปิดเครื่องเล่นและทีวีโดยเร็วก่อนจะบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไม่ได้”

    เขาหันขวับ จ้องหน้าเธอด้วยความคั่งแค้น “ผมไม่มีเวลามาเล่นเกมกับคุณหรอกนะภาวิกา คุณเห็นหลักฐานแล้ว ทีนี้ก็พูดความจริงมา ที่เหลือผมจะจัดการต่อเอง”

    หญิงสาวสบตาเขานิ่ง ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นวิตกกังวล “ไม่! ฉันพูดไม่ได้ เขาต้องฆ่าฉันแน่ คุณไม่รู้หรอกว่ากำลังต่อกรอยู่กับใคร ถ้าพูดออกไปฉันก็ตาย ขอร้องละนะ อย่าเอาเรื่องฉันเลย ฉันแค่รับจ้างมาทำงานเท่านั้น”

    “ผมไม่ได้ถ่อเอาหลักฐานมาคืนให้คุณถึงบ้านฟรีๆ หรอกนะ ถ้าคุณไม่พูดก็ตายเหมือนกัน ผมไม่ปล่อยให้คุณลอยนวลแน่!” เตชิตกัดฟันขู่อย่างไม่ปรานีปราศรัย ย่างสามขุมเข้าไปตะครุบตัวหญิงสาวไว้มั่นด้วยสองมือ

    เขาไม่ไว้ใจนางละครมืออาชีพอย่างเธอเด็ดขาด ต่อให้บีบน้ำตาเป็นกะละมังก็อย่าหวังว่าเขาจะเห็นใจ แม้ไม่นิยมรังแกใครโดยเฉพาะเพศหญิง หากสำหรับภาวิกา เขาจะไม่ใจอ่อนง่ายๆ แน่ เพราะแม่คุณแสบสะบัดเหลือทนจริงๆ

    ภาวิกานิ่วหน้าเมื่อถูกบีบแขนแรงๆ พยายามขืนตัวหนีแต่เขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด ยิ่งเธอต่อต้านน้ำหนักมือของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

    “คุณกำลังจะหักแขนฉันแล้วนะ ถ้าฉันพิการก็สู้ถูกเก็บด้วยลูกปืนไม่ดีกว่าหรือไง”

    เขาผ่อนน้ำหนักมือลงแต่ไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ ปั้นหน้าดุดัน เค้นเสียงขู่ “บอกมาว่าใครจ้างคุณ ผมโหดไม่แพ้นายจ้างของคุณหรอกนะ ให้ความร่วมมือกับผมดีๆ หรือไม่งั้นก็เป็นศัตรูกันไปเลย แต่เตือนไว้ก่อนว่าผมกัดไม่ปล่อยแน่ ตราบใดที่ผมยังต้องสูญเสียทั้งคนรักและชื่อเสียง คุณจะไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุข...ผมสาบาน!

    เธอสบตาเขาแล้วก็เชื่อว่าอีกฝ่ายพูดจริง ดังนั้นแทนที่จะตอบโต้กลับไปแรงๆ จึงหันมาใช้กลยุทธ์ใหม่ที่แยบยลกว่า

    หญิงสาวช้อนดวงตาขึ้นมองเขาอย่างอ้อนวอนแล้วพูดเสียงสั่น “ฉันกลัว เขาจับตามองฉันอยู่ ถ้าฉันบอกให้คุณรู้ ฉันต้องตายแน่ แต่ฉันยังไม่อยากตาย เห็นใจฉันเถอะนะ อย่าเอาเรื่องฉันเลย ฉันพูดไม่ได้จริงๆ ฮือๆ”

    น้ำใสๆ ร่วงเผาะลงจากดวงตาคู่สวยราวกับมีสวิตช์ปิดเปิด นางละครคนเก่งก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแม้แต่เตชิตยังตกใจ รีบปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้างของเธอแทบไม่ทัน

    “เฮ้ยคุณ ร้องไห้ทำไม อย่ามาบีบน้ำตากับผมนะ ผมโหดนะจะบอกให้ น้ำตาผู้หญิงไม่ใช่จุดอ่อนของผมแน่นอน สาบานได้” ขณะที่ปากพร่ำปฏิเสธว่าน้ำตาผู้หญิงไม่ใช่จุดอ่อนของตน สีหน้ากังวลใจของเขากลับเผยความจริงจนหมดเปลือก

    ภาวิกาเห็นท่าทางกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูกของชายหนุ่มจากหางตาก็ยิ่งได้ใจ บีบน้ำตาออกมาเรียกคะแนนสงสารได้เป็นวรรคเป็นเวร มือที่มีสำเนาบัตรประชาชนปลอมเริ่มกำ ม้วน ขยำๆ และยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ สบโอกาสก็ใช้มันคลุกเคล้ากับหยาดน้ำตาจนเปียกและเริ่มเปื่อยยุ่ย

    “นี่คุณหยุดร้องแล้วมาคุยกันดีๆ ได้ไหม ผมจะฆ่าคุณแน่ถ้ายังร้องไห้ไม่เลิก มันน่ารำคาญ เข้าใจรึเปล่า”

    เตชิตเห็นหญิงสาวร้องเอาๆ ก็ถึงกับกุมขมับ กัดฟันอย่างเจ็บใจ พยายามเตือนตัวเองว่าเขาจะเห็นใจเธอไม่ได้ ภาวิกาเป็นนางละครสุดแสบ เธออาจกำลังเล่นตุกติกนอกกติกา และถ้าเขายอมเชื่อง่ายๆ ก็โง่เต็มทน ควรหันไปกินหญ้าแทนข้าวได้แล้ว แต่ถึงจะบอกตัวเองเช่นนั้นโดยเนื้อแท้แล้วเขาไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร แม้จะไม่ค่อยชอบผู้หญิงสักเท่าไรยกเว้นมารดากับมนสิการ์ แต่เขาก็ไม่เคยรังแกใครจนร้องห่มร้องไห้แบบนี้

    เธอสูดน้ำมูกฟืดฟาด ช้อนดวงตาแดงๆ ขึ้นมองเขา “ก็ฉันกลัวนี่ เขาขู่ว่าจะฆ่าฉันปิดปาก คุณก็ยังมาขู่เอาๆ อีก ทางโน้นก็จะฆ่า ทางนี้ก็จะฆ่า ฉันไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไง ฉันไม่น่ามาเจอพวกคุณเลย ให้ตายเถอะ!

    “ก็ถ้าคุณไม่ทำลายชีวิตผมแล้วผมจะยุ่งกับคุณมั้ยฮะ เป็นเพราะคุณนั่นแหละที่โลภมาก อยากได้เงินโดยไม่สนใจว่างานที่ทำจะทำลายชีวิตใครบ้าง ถ้าคุณคิดว่ากำลังเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ก็เข้าใจซะด้วยว่าคุณทำตัวเองทั้งนั้น เอาละ ผมไม่อยากมาสั่งสอนอะไรคุณตอนนี้หรอกนะ ผมแค่อยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

    “ก็ฉันบอกแล้วไงว่าพูดไม่ได้ หูตึงรึไงฮะ ถ้าพูดฉันก็ตาย ไม่พูดก็ตายเหมือนกัน งั้นก็ตายๆ ไปซะให้จบเรื่อง เอาเลย อยากจะฆ่าฉันนักใช่มั้ย เอาเลยสิ ฆ่าฉันเลย” หญิงสาวท้าเหยงๆ น้ำตาเลอะแก้ม เดินเข้าหาไปเขาอย่างไม่เกรงกลัว แสดงเป็นคนจนตรอกที่กำลังสติแตกได้สมบทบาทที่สุด

    เตชิตเห็นท่าทางบ้าบิ่นนั้นแล้วยังต้องก้าวถอยหลัง ยกมือขึ้นปรามช้าๆ “เอาละภาวิกา ใจเย็นๆ นะ คุณหยุดร้อง สงบสติอารมณ์ซักครู่ แล้วเราค่อยคุยกันต่อดีไหม ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ผมจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ โอเค้?”

    น้ำตาของเธอยังไหลไม่หยุด แต่เมื่อเขาหยิบยื่นโอกาสงามๆ ให้ มีหรือที่หญิงสาวจะไม่ฉวยเอาไว้

    “คุณไม่อยากฆ่าฉันแล้วเหรอ”

    “ผมจะตัดสินใจอีกที ตอนนี้คุณไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ชายหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้ เขารู้ตัวว่าไม่ใช่คนใจดำนัก แต่ถ้ายอมเธอง่ายๆ ที่เคยแสดงเป็นคนโหดเหี้ยมก่อนหน้านี้ก็หมดกันน่ะสิ

    เธอพยักหน้าหงึกๆ ซ่อนยิ้ม ก่อนจะลากขาเดินไปเข้าห้องน้ำ ทันทีที่ปิดประตูลง กระดาษยับยู่ยี่ในมือก็เริ่มหมดสภาพและถูกโยนลงชักโครก กดน้ำ ทำลายหลักฐานหนึ่งชิ้นที่ได้มาจนสิ้นซาก

    หญิงสาวเดินมาหยุดหน้ากระจกเงา ปาดน้ำตาทิ้งแล้วสีหน้าก็กลับมาแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย “คุณไม่มีวันฉลาดไปกว่าฉันหรอกนะ รู้เอาไว้ซะ เราน่ะยังห่างชั้นกันหลายขุม หึๆ”

     

    เมื่อหมออิสระขับรถมาถึงหน้าบ้านของภาวิกาก็ปาเข้าไปสามทุ่มเศษๆ แล้ว เขาตัดสินใจจอดรถไว้นอกรั้วเพื่อจะเดินไปกดออดเรียกหญิงสาวให้เปิดแค่ประตูเล็กสำหรับคนเข้าออก เธอจะได้ไม่ต้องลำบากปิดประตูรั้วใหญ่ตอนที่เขาจะกลับ

    คัมรี่สีดำมันปลาบที่จอดชิดริมรั้วบ้านของหญิงสาวทำให้คิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาคมขมวดมุ่นด้วยความสงสัย เขาไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครเอารถมาจอดตรงนี้และไม่น่าจะมีด้วย เพราะพื้นที่ของบ้านแถวนี้ถูกออกแบบให้กว้างขวางพอสำหรับรถยนต์สองคัน หรือหากมีถึงสามก็ควรจะจอดหน้าบ้านตัวเองมากกว่า ไม่ใช่เอามาจอดชิดรั้วบ้านคนอื่น

    หรือเพื่อนของเธอจะแวะมา?

    ชายหนุ่มประหลาดใจยิ่งกว่ากับความคิดนี้ ตั้งแต่รู้จักภาวิกา เขาไม่เคยเห็นเพื่อนของเธอสักคน หรือแม้แต่เอ่ยถึงก็ไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เพื่อน แม้กระทั่งคนในครอบครัวหญิงสาวก็ไม่เคยพูดถึง ชีวิตเธอเหมือนตัวคนเดียว อ้างว้างและโดดเดี่ยว แม้เจ้าตัวจะไม่เคยคร่ำครวญหรือแสดงออกให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น แต่เขาดูออก ภาวิกาเหงาและต้องการเพื่อนมากกว่าที่เธอจะรู้ตัวเสียอีก

    แล้วนี่รถใคร เกี่ยวกับเหตุผลที่เธอไม่ต้องการให้เขามาพบในวันนี้หรือไม่?

    หมอหนุ่มถอนใจยืดยาวหลายหน คิดอยู่นานเกือบสิบนาทีกว่าจะตัดสินใจกดออด

     

    เสียงออดที่ดังขึ้นเป็นเหมือนเสียงเพรียกจากนรก ภาวิกาตัวแข็งทื่อ เธอไม่อยากคิดว่าใครคือแขกยามวิกาลที่อยู่หน้าบ้านในตอนนี้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือแขกคนเดียวที่แวะเวียนมาหาตั้งแต่เธอซื้อบ้านหลังนี้ก็คือหวานใจสุดหล่อ คุณหมออิสระของเธอนั่นเอง

    เมื่อตั้งสติได้หญิงสาวก็เปิดประตูพรวดพราดออกมาจากห้องน้ำ ในขณะที่แขกหนุ่มอีกคนยืนตัวตรงด้วยสีหน้าหวาดระแวงแคลงใจ

    “ใครมา?” เขาถามเสียงเครียด

    เจ้าของบ้านถลันไปยืนชิดหน้าต่าง แหวกผ้าม่านออกดูก็พบคำตอบที่ทำให้เธออยากมีเวทมนตร์หายตัวได้ หญิงสาวหลับตาลงพลางส่งเสียงครางในลำคอเหมือนคนใกล้ตาย

    “ใคร? คนที่จ้างคุณรึเปล่า?” คราวนี้เสียงของเตชิตฟังดูตื่นเต้นแฝงความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะกระโจนออกไปเผชิญหน้ากับคนข้างนอกอย่างเห็นได้ชัด

    “ไม่ใช่!” หญิงสาวสวนขึ้นทันควัน สีหน้ายุ่งยากใจสุดบรรยาย ตบหน้าผากตัวเองหลายๆ ที ไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์นี้

    “งั้นใคร?” เขาตามมาหยุดยืนข้างๆ เพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไปด้านนอกเพื่อมองหาแขกของภาวิกา

    “ไม่ใช่เรื่องของคุณ” เธอกัดฟันฮึ่มฮั่มในลำคอ ปิดม่านลงทันใดแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจัง “รออยู่ข้างใน ฉันจะออกไปคุยกับเขา เดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว คุณอยู่เฉยๆ อย่าให้เขารู้เป็นอันขาดว่ามีคนอยู่ในบ้านฉัน”

    “ทำไมผมต้องทำตามที่คุณบอกด้วย” เขาเลิกคิ้วกวนๆ เมื่อเธอเลิกบีบน้ำตา ความเหี้ยมโหดปลอมๆ ของเขาก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

    “ฉันจะร่วมมือกับคุณ ช่วยคุณตามหาคนที่จ้างฉัน” เธอยื่นข้อเสนอที่คิดว่าเขาต้องสนใจแน่

    ชายหนุ่มหรี่ตาจับผิดแม่สาวแสบจอมวายร้าย ก่อนที่โทสะจะพุ่งพรวดเมื่อเข้าใจคำพูดของเธอแจ่มแจ้งแดงแจ๋ “แปลว่าคุณไม่รู้?”

    “ฉันบอกได้เท่านี้ ถ้าคุณทำตามที่ฉันขอ ฉันจะช่วยคุณสืบหา”

    “คิดว่าผมยังจะไว้ใจคุณได้อีกเหรอภาวิกา คุณหลอกผมมาที่นี่พร้อมหลักฐานที่จะมัดตัวคุณได้โดยอ้างว่าจะยอมบอกชื่อคนจ้าง แล้วตอนนี้กลับมาบอกว่าไม่รู้ ถ้าผมเชื่อคุณอีกก็ควายแล้ว!

    “ฉันทำได้จริงๆ และคุณก็ไม่มีทางเลือก เพราะฉันเป็นคนเดียวที่จะช่วยคุณสืบหาตัวตนที่แท้จริงของคนที่จ้างฉันมาทำลายงานแต่งของคุณได้ ไปนั่งรอที่โซฟา ฉันจะกลับมาภายในสิบนาที” เธอตัดบทเสียงเฉียบแล้วรีบเดินแกมวิ่งออกไปหน้าบ้านทันที

    เตชิตกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นใจ

    “ถ้าเธอเป็นผู้ชายละก็...”

    ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำในลำคอ จินตนาการถึงวิธีเอาคืนที่แสบสันต่างๆ นานา แต่ก็ไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น สุดท้ายจึงตัดสินใจย่องเงียบตามไปที่หน้าบ้านเผื่อจะหาช่องทางตลบหลังแม่สาวจอมลวงโลกได้บ้าง

    เมื่อเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาและเงียบกริบมาจนถึงประตูเล็กสำหรับคนผ่านเข้าออกก็ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างหญิงสาวกับชายหนุ่มอีกคนอยู่แว่วๆ

    “คุณมีแขกเหรอครับ”

    “เอ่อ...เปล่านี่คะหมอ วิกกี้อยู่คนเดียวค่ะ กำลังจะเข้านอนแล้ว วันนี้รู้สึกเพลียจริงๆ แถมกินยาแก้ปวดเข้าไป หนังตาก็ชักหย่อนๆ แล้ว หมอไม่น่าลำบากมาเลย วิกกี้ขอโทษนะคะ”

    “ถ้าคุณเหนื่อยผมก็ไม่อยากรบกวนหรอกนะวิกกี้ แต่คุณแน่ใจนะว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ผมเป็นห่วงนะครับ”

    “ขอบคุณค่ะ แต่วิกกี้ไม่เป็นไรจริงๆ วันนี้หมอกลับไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้เราค่อยเจอกัน รีบกลับตอนนี้จะได้ไม่ดึกมาก หมอจะได้มีเวลาพักผ่อนเยอะๆ ไงคะ เมื่อคืนคงแทบไม่ได้นอนเลย นี่ยังอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลอีก วิกกี้ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

    เตชิตเบ้ปาก ส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ ฟังบทสนทนาเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าหมอนั่นมีความสัมพันธ์แบบใดกับภาวิกา

    กับแฟนละทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แสร้งสวมบทเป็นผู้หญิงแสนดี ตีบทแตกกระจุยจริงๆ นะแม่คุณ เฮอะ ยายผู้หญิงเจ้ามารยา!’

    เขาค่อนแคะเธอในใจพลางทำคอยืดคอยาวเพื่อมองหน้าผู้ชายคนนั้นให้ชัดๆ อยากรู้ใจจะขาดว่าผู้ชายโชคร้ายที่สุดในโลกจะมีหน้าตายังไง จะมีเงาราหูดำทะมึนให้เห็นจะจะหรือไม่ แต่พอยื่นหน้าออกไปจนเห็นอีกฝ่ายชัดตาเท่านั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อด้วยความตกตะลึง ก่อนที่สมองจะประมวลผลอย่างรวดเร็วและได้ข้อสรุปน่าพอใจออกมาในที่สุด

    โลกมันกลมและแคบอย่างไม่น่าเชื่อ!

    ร่างสูงก้าวออกไปประจันหน้ากับหนุ่มสาวทั้งสองอย่างองอาจมาดมั่น รอยยิ้มยั่วแกมเยาะที่มุมปากบอกชัดว่าเจ้าตัวมีความสุขและสะใจแค่ไหน

    ภาวิกาเบิกตาโต อ้าปากค้าง ในขณะที่หมออิสระเองก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจสุดแสน

    “ขอโทษนะครับ ผมเห็นว่าวิกกี้หายมานานเลยตามออกมาดู รู้สึกเป็นห่วงเธอน่ะ ผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้มันอันตราย คุณหมอว่าจริงมั้ยครับ”

    หมออิสระกะพริบตางงสองสามครั้ง ก่อนจะหันไปมองหน้าคนรักอย่างข้องใจ “วิกกี้รู้จักคุณเตด้วยเหรอครับ?”

    คนที่งงเป็นไก่ตาแตกมากที่สุดในสถานการณ์นี้เห็นจะหนีไม่พ้นภาวิกา เธอมองหน้าชายหนุ่มทั้งสองคนสลับกันไปมา “หมอรู้จักเขาด้วยเหรอคะ?”

    เตชิตยิ้มกริ่ม เข้าไปยืนใกล้ๆ หญิงสาว “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับคุณหมอ ผมเพิ่งรู้ว่าวิกกี้กับหมอรู้จักกันดีขนาดนี้”

    “หุบปากไปเลยนะ” หญิงสาวกัดฟันกระซิบบอกคนข้างๆ อย่างดุเดือด ก่อนจะหันไปยิ้มแหยให้ชายคนรักอย่างพูดอะไรไม่ออก

    “เมื่อกี้คุณบอกว่าอยู่คนเดียว” หมออิสระเอ่ยเสียงเรียบขณะสบตาเธอ

    “หมอคะ คือว่า...” ภาวิกาไม่รู้จะดำน้ำไปทางไหน ที่คิดออกอย่างเดียวในตอนนี้คือ...อยากฆ่าคน!

    เตชิตอมยิ้มในหน้า ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของภาวิการาวกับคุ้นเคยกันมานานแสนนาน “วิกกี้คงไม่อยากให้หมอรู้ว่าผมอยู่ด้วยน่ะครับ”

    “นี่คุณพูดบ้าอะไรฮะ เสียสติไปแล้วรึไง” หญิงสาวกัดฟันคำรามอย่างเกรี้ยวกราดพลางปัดมือใหญ่ออกจากหัวตัวเองฉับไว

    ถ้าไม่ติดว่าคุณหมอสุดหล่อยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเธอจะถลกหนังหัวเขาออกมาทำพรมเช็ดเท้า ควักลูกตาออกมาขยี้ให้แหลกคามือ ที่สำคัญตัดปากชวนหาเรื่องนั่นออกมาสับให้เละเป็นโจ๊กเลยทีเดียว ฮึ่ม!

    “ทำไมวิกกี้ถึงจะไม่อยากให้ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ด้วย?” คุณหมอรูปหล่อไม่สนใจอาการร้อนรนของคนรัก แต่หันไปถามเตชิตด้วยเสียงเข้มและจริงจัง

    ชายหนุ่มยิ้มกว้าง มีความสุขเหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆในตอนที่ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำและชัดเจนที่สุด

    “ก็เพราะผมเป็นแฟนเก่าของวิกกี้น่ะสิครับ”

    กรี๊ด!!!’

    คนที่ถูกยัดเยียดตำแหน่งแฟนเก่าให้ถึงกับร้องลั่นอยู่ในใจอย่างเดือดดาล

    ไอ้ผู้ชายบ้า คนสารเลว ฉันไปเป็นแฟนเก่าของนายตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ ถ้าหมอทิ้งฉันละน่าดู ศพนายไม่สวยแน่ ฉันสาบาน!’

     

     

    ___________________________________

     

    ตอนที่เหลือจากนี้ติดตามได้ในหนังสือหรือ e-book นะคะ

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

    ^___________^

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×