คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 แผนปั่นหัวของนางมารร้าย
6
แผนปั่นหัวของนางมารร้าย
เมื่อแยกจากภาวิกาแล้วเตชิตก็โทร. หาเลขานุการส่วนตัวของมารดา การะเกดเป็นผู้ติดต่อจองห้องจัดเลี้ยงในงานแต่งงานของเขา พอสั่งความให้เธอช่วยติดต่อขอดูกล้องวงจรปิดของโรงแรมในคืนนั้นแล้วก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลที่มนสิการ์เข้ารับการรักษา
ชายหนุ่มเคยไปส่งหญิงสาวครั้งหนึ่งหรือสองครั้งเขาก็จำไม่ค่อยได้ แต่จำได้รางๆ ว่ามันตั้งอยู่ที่ถนนเส้นไหน แม้จะลืมไปแล้วว่าโรงพยาบาลชื่ออะไรก็ตาม เขาเพิ่งรู้ตัววันนี้เองว่าเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเลย
มนสิการ์มีโรคประจำตัวต้องเข้ารับการรักษาเป็นระยะ เขาเคยพาเธอไปหาหมอแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าหากได้เธอกลับคืนมา เขาจะแก้ตัวใหม่ จะเป็นคนรักที่ดีกว่านี้ให้ได้
เมื่อถึงโรงพยาบาลเตชิตจึงตั้งใจอ่านชื่อและบันทึกไว้ในสมองเป็นอย่างดี แล้วตรงไปสอบถามข้อมูลจากประชาสัมพันธ์เป็นอันดับแรก โรงพยาบาลเอกชนก็ดีตรงนี้คือมีการบริการยอดเยี่ยมสมกับเงินที่จ่ายไป โชคดีที่เขายังสามารถบอกชื่อและนามสกุลของคนรักได้ ทำให้ได้ข้อมูลที่ต้องการมาไม่ยาก
ชายหนุ่มตรงไปที่แผนกรักษาโรคทางเดินหายใจ เหมือนโชคจะเข้าข้างเขาอีกครั้งเมื่อเห็นร่างบอบบางคุ้นตาเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมนายแพทย์รูปร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อกาวน์
“มิ้ง” เขาเรียกเธอด้วยความดีใจ ทีแรกตั้งใจเพียงมาสอบถามวันนัดตรวจสุขภาพของมนสิการ์กับแพทย์เจ้าของไข้แล้วจะได้แวะมาดักรอหญิงสาวถูกจังหวะ ไม่นึกเลยว่าเขาจะพบเธอที่นี่
หญิงสาวตัวแข็งทื่อเมื่อสบตาคมที่มองมาอย่างอ้อนวอนคู่นั้น “พี่เต...”
“ขอเวลาพี่เดี๋ยวได้ไหม ขอให้พี่ได้อธิบายบ้าง” เขาขยับไปยืนใกล้ๆ รีบฉวยข้อมือเล็กไว้เพราะกลัวเธอจะวิ่งหนีไปก่อนได้คุยกัน
หญิงสาวกระตุกมือกลับ ถอยไปหลบอยู่หลังคุณหมอรูปหล่อ “มิ้งไม่มีอะไรจะคุยกับพี่เต กลับไปเถอะค่ะ เราอย่าพบกันอีกเลย”
“ฟังพี่ก่อนได้ไหมมิ้ง ขอโอกาสให้พี่บ้าง แค่สิบนาทีก็ได้” เขาขยับตามพร้อมเอื้อมมือไปหาหญิงสาว หากถูกใครอีกคนตะปบไว้มั่น
“มิ้งไม่อยากพูดอะไรกับคุณ ได้ยินชัดแล้วนี่ครับ”
เตชิตหันไปสบตาคนพูดนิด ชายหนุ่มผู้นั้นสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาแต่ดูเพรียวบางมากกว่า ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านจนดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำอาง ท่าทางจริงจังของฝ่ายนั้นทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ”
“แต่คุณมิ้งเป็นคนไข้ของผม อาการเธอไม่ค่อยดีนัก อย่าเพิ่งรบกวนเธอตอนนี้ หากคุณยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง”
“มิ้งเป็นอะไร หอบหืดกำเริบอีกแล้วเหรอ” เขาหันไปถามคนรักด้วยความห่วงใย
หญิงสาวหลบตา ก้มหน้าพลางบอกเสียงสั่น “มิ้งไม่อยากเห็นหน้าพี่เตอีก เลิกยุ่งกับมิ้งซะทีเถอะค่ะ เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน มันจบแล้ว”
“มิ้ง...” เขาครางเสียงแห้ง พยายามจะสบตาเธอเพื่อวอนขอความเห็นใจ หากมนสิการ์หันหลังให้แถมยังใช้หมอหนุ่มเป็นเกราะกำบังอีก นึกอยากตะบันหน้าหล่อๆ ของหมอนี่นัก หากเพราะได้ยินว่าอาการของเธอไม่ค่อยดีและที่นี่ก็เป็นโรงพยาบาลจึงไม่อยากก่อเรื่อง
“คุณมิ้งรออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวผมมา” หมออิสระบอกคนไข้ของเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปพูดกับชายหนุ่มอีกคน “ส่วนคุณตามผมมาสักเดี๋ยว เชิญครับ”
เตชิตได้แต่มองมนสิการ์ตาละห้อย หากหญิงสาวก็มิได้ชำเลืองแม้หางตามาที่เขา ชายหนุ่มจึงได้แต่เดินคอตกตามคุณหมอไปอีกด้านทั้งที่ไม่เต็มใจ
“มีอะไรไม่ทราบ” เขาถามด้วยเสียงห้วนสั้นเมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตัวต่อตัว
หมออิสระยกมือขึ้นกอดอก จ้องมองสีหน้าหาเรื่องของเตชิตด้วยแววตานิ่งลึกอ่านยาก “ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากคุณมิ้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากคุยกับคุณแล้ว คุณเลิกยุ่งกับเธอจะได้ไหม”
เตชิตกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคือง กระซิบตอบอย่างดุดัน “เป็นแค่หมอก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป เก่งนักก็รักษามิ้งให้หาย แต่อย่ามายุ่งกับแฟนชาวบ้าน ผมขอเตือนครั้งแรกและครั้งสุดท้าย อย่ายุ่งกับแฟนผม!”
คุณหมอหัวเราะเบาๆ ท่าทางใจเย็น อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังสุภาพนุ่มนวลไม่เดือดร้อนสักนิด “คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมขอร้องในฐานะที่เป็นหมอรักษาคุณมิ้งเท่านั้น ร่างกายคนเราสัมพันธ์กับจิตใจ ถ้าเธอเครียดหรือเป็นทุกข์ย่อมมีผลต่อสุขภาพ หากเป็นห่วงเธอจริงๆ คุณควรทำตามที่เธอต้องการมากกว่า”
“ด้วยการปล่อยให้หมอที่ชอบฉวยโอกาสเวลาคนรักเข้าใจผิดกันได้ทำคะแนนงั้นเหรอ ฟังนะคุณหมอ ตอนนี้ผมมีเรื่องเครียดมากพอแล้ว ถ้าคุณฉลาดก็ไม่ควรสร้างปัญหาให้ผมอีก ความอดทนของผมเหลือน้อยเต็มที”
หนุ่มเลือดร้อนกระชากเสียงย้อนหากไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ นัยน์ตาคมลุกวาว เพราะรู้สึกว่าหมอคนนี้ทำเกินหน้าที่ไปหน่อย ถ้าแก่คราวพ่อจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ทั้งหนุ่มทั้งหล่อแถมยังดูใจเย็นและทำท่าเหมือนจะรู้ใจมนสิการ์มากกว่าเขาด้วย แบบนี้มันส่อเจตนาจะตีท้ายครัวกันชัดๆ ใครจะยอมล่ะ
“ผมบอกแล้วว่าคุณเข้าใจผิด ผมพูดเพราะเป็นห่วงคุณมิ้งจริงๆ คุณควรเก็บสิ่งที่ผมพูดกลับไปทบทวนให้ดี ตอนนี้อาการหอบของเธอถี่ขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างน่าเป็นห่วง คุณควรเลิกสร้างปัญหาให้เธอได้แล้ว” คุณหมอรูปหล่อยังคงความใจเย็นได้เสมอต้นเสมอปลาย
“ว่าไงนะ มิ้งมีอาการหอบถี่ขึ้นงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มปล่อยมือจากปกเสื้อของอีกฝ่ายอย่างตระหนก ความร้อนใจแล่นพล่าน
“ครับ คงเป็นเพราะเธอไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น คุณมิ้งเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้ท่านอรุณพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย เธอเป็นทุกข์กับเรื่องนี้มาก คุณต่างหากที่สร้างปัญหา ไม่น่าให้เธอต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยเลย”
“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่รู้จักยายอลิซนั่น ผม...โธ่เว้ย มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องมาอธิบายกับคุณ” เตชิตลูบหน้าตัวเองอย่างหัวเสีย เป็นเพราะภาวิกาคนเดียวที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากแบบนี้
“แน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้แอบนอกใจคุณมิ้ง?” หมอหนุ่มหรี่ตาถามอย่างไม่เชื่อถือ
ผู้ถูกกล่าวหากลอกตาไปมาอย่างสุดเซ็ง ก่อนจะทำเสียงหงุดหงิดใส่คู่สนทนาอย่างไม่รักษามารยาท “บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ ผมต้องคุยกับมิ้ง”
ว่าแล้วร่างสูงก็หันหลังให้คุณหมอ หวังจะเดินกลับไปหามนสิการ์อีกครั้ง หากก็ถูกรั้งไว้อย่างน่ารำคาญ
“นี่คุณหมอ คุณอยากมีเรื่องกับผมจริงๆ ใช่มั้ย?”
“ผมช่วยได้นะ ถ้าคุณต้องการ” อีกฝ่ายบอกเสียงเรียบ
เตชิตขมวดคิ้วเป็นปมยุ่งเหยิง จ้องหน้าคุณหมอรูปหล่ออย่างกับเห็นสัตว์ประหลาด “คุณว่าอะไรนะ?”
“ผมอยากช่วยคุณมิ้ง ไม่อยากเห็นเธอทุกข์ใจ มันไม่ดีต่อสุขภาพของเธอ ถ้าคุณทำให้ผมเชื่อได้ว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลง ผมจะช่วยพูดกับคุณมิ้งให้”
“นี่คุณเพี้ยนไปแล้วรึไง ผมเป็นคนรักของมิ้งนะ เรื่องอะไรจะต้องขอความช่วยเหลือจากหมอที่เพิ่งรู้จักกับแฟนผมไม่เท่าไหร่ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้ามิ้งไม่เชื่อผมแล้วจะเชื่อคุณได้ยังไง พูดอะไรหัดใช้สมองซะบ้าง”
หมออิสระอมยิ้มขบขัน ไหวไหล่น้อยๆ พลางถอนใจยาว “แน่ใจหรือว่าคุณรู้จักคุณมิ้งดีกว่าผม?”
คำถามสบประมาทนั้นราวกับไม้หน้าสามฟาดลงกลางศีรษะเขา เตชิตเลยฉุนขาด
“มันจะมากไปแล้วนะหมอ กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้ จริงๆ แล้วคุณแอบคิดอะไรกับมิ้งใช่มั้ย คิดจะแย่งแฟนคนอื่นเหรอ เราสองคนกำลังจะเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องแล้วด้วยซ้ำ คนมาทีหลังน่ะหลบไป!”
“ผมมีแฟนแล้ว” คุณหมอตอบยิ้มๆ
เตชิตหรี่ตาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความหวาดระแวง ด้วยบุคลิกที่ดูสุขุมนุ่มนวลของคุณหมอดูไม่เหมือนคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนัก แล้วเขาจะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนไข้ทำไม หากไม่มีเจตนาแอบแฝง?
ราวกับอ่านใจเตชิตออก หมออิสระจึงรีบอธิบาย “ผมมีแฟนแล้วจริงๆ ครับ เธอสวยกว่าคุณมิ้ง แถมยังเป็นผู้หญิงน่ารัก เข้าอกเข้าใจผมที่สุด ที่ผมยุ่งเรื่องของพวกคุณก็เพราะรู้สึกเอ็นดูคุณมิ้งเหมือนน้องสาว คุณน่าจะรู้ดีว่าเธอบอบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แม้จะสวยงามแต่ก็แตกหักง่าย ผมไม่อยากเห็นเธอเป็นทุกข์อีก ว่าแต่คุณเถอะ พร้อมจะพิสูจน์ตัวเองรึเปล่าล่ะ”
“ผมพร้อมเสมอ แต่ไม่ใช่กับคุณ!” เขากระแทกเสียงใส่หน้าหมอจอมแส่อย่างไม่เกรงใจ คำพูดที่สื่อความหมายว่าตนมีความสำคัญต่อมนสิการ์มากกว่าเขาทำให้ไม่อยากเสวนากับหมอผู้นี้อีก
ชายหนุ่มเดินกลับไปหาคนรักที่นั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ หากทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมาพบเขาก็ลุกพรวดพราด วิ่งไปหลบด้านหลังคุณหมอที่เดินตามเขามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“พี่หมอคะ ช่วยมิ้งด้วยค่ะ ไล่เขาไปที”
เตชิตมองท่าทีของคนรักอย่างมึนงงแกมน้อยใจ เขารู้จักมนสิการ์มาเกือบเท่าอายุของตัวเอง แต่เธอกลับไว้ใจคนอื่นมากกว่าเขาได้อย่างไร?
หมออิสระมองหน้าเตชิตด้วยแววตานิ่งๆ ก่อนจะหันมาปลอบหญิงสาวที่ยืนกำชายเสื้อของเขาไว้แน่น “ไม่เป็นไรนะครับคุณมิ้ง เดี๋ยวผมจะพูดกับเขาอีกที”
ชายหนุ่มถอนใจยืดยาวระบายความหงุดหงิด เขาไม่อยากจะพูดอะไรกับหมอนี่อีก แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจึงจำใจเดินกระแทกส้นปึงปังตามคุณหมอจอมแส่กลับไปคุยกันที่จุดเดิม
“นี่นามบัตรของผม ถ้าคุณพร้อมจะยอมรับความช่วยเหลือเมื่อไหร่ก็ติดต่อมาได้เสมอ” นายแพทย์หนุ่มยัดเยียดกระดาษแผ่นเล็กใส่มือคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ
เตชิตเม้มปาก ขบฟันแน่น จำต้องรับทางเลือกเดียวที่มีอย่างกล้ำกลืน ก่อนจะเดินหัวเสียจากไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองมนสิการ์อีกเลย เขาทำใจยอมรับไม่ได้ว่าเธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเขาแล้ว
คุณหมอรูปงามทอดถอนใจยาว ขณะมองส่งร่างสูงโดดเด่นของเตชิตไปจนลับตา ก่อนจะเดินกลับมาหามนสิการ์พร้อมรอยยิ้มปลอบโยน
“เขากลับไปแล้วละครับ คุณมิ้งสบายใจเถอะนะ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า “ขอบคุณนะคะ มิ้งรู้สึกเหมือนเป็นภาระของพี่หมออีกเรื่องแล้ว”
“คิดอะไรอย่างนั้นครับ ถ้าคุณมิ้งยังไม่สบายใจเดี๋ยวเราไปเดินเล่นที่สวนก่อนดีไหม”
“พี่หมอไม่ทานข้าวเหรอคะ นี่มันเวลาพักของพี่หมอนะ” หญิงสาวท้วงอย่างเกรงใจ หากลึกลงไปเธอก็อยากให้เขาอยู่ด้วยนานๆ เพราะการได้พบเตชิตในวันนี้นำมาซึ่งความว้าวุ่นใจอย่างที่สุด ถึงกลับบ้านไปเธอก็ต้องจมจ่อมอยู่กับสายตาอ้อนวอนของอดีตคนรักไม่จบสิ้น มันคือความทุกข์ทรมานใจที่เธอไม่อยากเผชิญหน้าเพียงลำพัง
หมออิสระส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนไข้พิเศษของตนพร้อมยื่นมือให้เธอเกาะ “อย่าห่วงไปเลยครับเพราะวันนี้ผมได้หยุดพักช่วงบ่าย ไปกันเถอะ”
“งั้นให้มิ้งเลี้ยงข้าวเที่ยงพี่หมอได้มั้ยคะ” สีหน้าของมนสิการ์ดูสดใสขึ้นเมื่อทราบว่าจะมีเวลาอยู่กับเขาและได้รับกำลังใจดีๆ มากขึ้น
“เอางั้นก็ได้ครับ แต่ผมขอเปลี่ยนชุดและเก็บของก่อน คุณมิ้งรอที่นี่เดี๋ยวนะ เดี๋ยวผมมา”
หญิงสาวพยักหน้า ยิ้มอ่อนๆ มองส่งร่างสูงเพรียวไปจนลับตา รู้สึกอุ่นใจที่สุดเมื่อคุณหมอใจดีคนนี้ไม่เคยละเลยต่อความสุขทุกข์ของเธอ ไม่เหมือนเตชิตที่ตามใจเธอทุกอย่างหากก็ไม่เคยพยายามที่จะเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของเธอเลย
นี่คือความแตกต่างที่เธอเพิ่งค้นพบเมื่อได้รู้จักกับหมออิสระ...
หลังจากหมกมุ่นครุ่นคิดกับการค้นหาทางหนีทีไล่มาตลอดครึ่งค่อนวัน ภาวิกาก็คิดอะไรบางอย่างออก หญิงสาวเข้าไปฉอเลาะถามการ์ดหนุ่มคนหนึ่งจนทราบว่าโรงแรมมณีดินเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดไว้ในฮาร์ดดิสก์ ทุกๆ สิบวันระบบจะทำลายข้อมูลเก่าแล้วเริ่มบันทึกข้อมูลใหม่ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นและมีคนขอดูก็จะไรต์ใส่แผ่นซีดีให้ต่างหาก
นั่นแปลว่าภาพในคืนแต่งงานของเตชิตจะหายไปเองภายในสองสัปดาห์นี้ ส่วนสำเนาที่เขาขอไปคือหลักฐานเดียวที่ชายหนุ่มมีมายืนยันว่าเธอคือคนเดียวกับอลิซ และถ้าเธอกำจัดมันได้ คำพูดของเตชิตก็จะกลายเป็นแค่ข้อกล่าวหาที่ไร้หนทางพิสูจน์ เว้นแต่จะมีพยานบุคคลมาชี้ตัว ซึ่งหากเธอแต่งหน้าอ่อนๆ ตามปกติก็คงไม่มีใครจำได้ ทุกคนที่นี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาวชุดดำในคืนนั้นก็คือพนักงานคนหนึ่งของโรงแรมมณีดินนี่เอง
ต่อให้เตชิตลากคอเธอไปถึงสถานีตำรวจ แต่ถ้าเธอยืนกรานไม่รู้ไม่ชี้แล้วเขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่าเธอคือสาวชุดดำที่ขับฮอนด้าแจ๊สสีเหลืองคันนั้น
ส่วนสำเนาบัตรประชาชนปลอมที่อยู่กับเตชิตคือหลักฐานอีกชิ้นที่อาจจะทำให้เธอเดือดร้อนได้ แม้รูปจะไม่ชัดเพราะเธอจงใจให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้หรอก ทางที่ดีเธอต้องกำจัดหลักฐานทั้งสองชิ้นที่อยู่กับเตชิตให้สิ้นซาก
ไม่ว่ายังไงเธอก็จะซัดทอดถึงผู้ว่าจ้างไม่ได้เด็ดขาด แม้ไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและงานที่ทำก็ไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย แต่เธอก็มีจรรยาบรรณในการทำงานนับตั้งแต่เจอบทสวดของมุกตาภา [1] เมื่อปีก่อนว่าด้วยการเลิกรับงานสร้างความร้าวฉานให้ชาวบ้านเสียที แต่ที่เธอพอจะทำได้คือสแกนงานให้ดีก่อนรับเท่านั้น เพราะ ‘งาน’ หมายถึง ‘เงิน’ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเธอ
เธอตั้งใจทำงานนี้มากเพราะ ‘ผู้ว่าจ้าง’ มีเหตุผลน่าเห็นใจ เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องซื่อสัตย์ต่อเจ้าของเงินที่ทำให้เธอได้เป็นเจ้าของมินิคูเปอร์คันงามอย่างสมบูรณ์ เธอต้องช่วยปกปิดความลับของนายจ้างและหาทางเอาตัวรอดจากโจทก์จอมกัดรายล่าสุดนี้ให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็คงต้องเล่นเกมกันหน่อยแล้ว มาดูกันว่าคุณกับฉัน ใครมันจะแน่กว่า!”
หญิงสาวอมยิ้มชั่วร้าย นึกถึงการปั่นหัวเตชิตให้หมุนเป็นลูกข่าง เขาต้องเสียใจแน่ที่ไม่ยอมปล่อยเธอไปดีๆ ตั้งแต่แรก
เตชิตมาดักรอภาวิกาหลังเวลาเลิกงานตามที่ตกลงกันไว้ หญิงสาวขับรถตามเขาไปโดยไม่อิดออด สถานที่ในการพูดจาตกลงกันคือสวนสาธารณะแห่งหนึ่งซึ่งชายหนุ่มเป็นคนเลือก
เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากันอีกครั้งเขาก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็น “เอาละ ทีนี้เราก็มาคุยกันแบบเปิดอกได้แล้วนะภาวิกา ผมต้องการความจริงทุกอย่าง เน้นว่าความจริงเท่านั้น ใครจ้างคุณมา?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณมีหลักฐานนั่นจริงๆ คุณอาจจะแค่ข่มขู่ให้ฉันพูดก็ได้ ใครจะไปรู้” เธอยักไหล่ สีหน้ากวนประสาทสุดๆ
“ผมไม่ชอบขู่ใครเล่นๆ หรอกนะ ตอนนี้ชื่อเสียงของผมป่นปี้หมดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของผมกับท่านอรุณก็ย่ำแย่ แถมเจ้าสาวของผมยังมาทิ้งผมไปอีก ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือดีๆ ผมก็คงต้องใช้วิธีรุนแรง”
มือใหญ่คว้าหมับที่ต้นแขนกลมกลึงภายใต้ชุดยูนิฟอร์มของหญิงสาว บีบแรงๆ หมายจะข่มขวัญคู่กรณี ภาวิกาขืนตัวหนีพลางนิ่วหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด แต่ยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ
“ถ้าไม่เห็นหลักฐานฉันก็ไม่ตกลงอะไรกับคุณทั้งนั้น ถึงคุณฆ่าฉันให้ตายตอนนี้แล้วจะได้อะไร คุณจะไม่รู้ทั้งความจริงแล้วก็จะไม่ได้ทุกอย่างคืนด้วย”
“งั้นเหรอ?” เขาทำเสียงเย้ย อมยิ้มเครียดๆ ก่อนจับแขนทั้งสองข้างของเธอกระชากเข้าหาตัวอย่างไม่ปรานี “คุณจะยอมติดคุกคนเดียวก็ได้ ผมไม่แคร์หรอกนะ ถ้าคนที่คิดร้ายกับผมจะลอยนวล สักวันมันก็ต้องเผยตัวออกมาอีก ถึงตอนนั้นผมจะจับให้มั่นคั้นให้ตาย แต่คุณอาจจะต้องตายไปก่อนในคุกโน่น รู้มั้ยว่าชีวิตในคุกมันโหดร้ายแค่ไหน ผมว่าคุณอย่ารู้เลยเดี๋ยวจะทำใจไม่ได้ซะเปล่าๆ รอเข้าไปเรียนรู้เองจะได้ซึ้ง”
รอยยิ้มเป็นต่อผุดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าซีดลงๆ ของหญิงสาว
เธอเม้มปากแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะยอมเสียเปรียบเล็กน้อยเพื่อผลกำไรที่คุ้มกว่า
“ฉันตอบคำถามคุณก็ได้ แต่ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่ถูกโกง ฉันแค่ทำตามคำสั่งนายจ้าง ฉันไม่อยากเอาชีวิตที่เหลือไปทิ้งในคุกหรอก เพราะฉะนั้นฉันต้องมั่นใจว่าฉันจะรอด ไม่งั้นฉันก็ไม่พูด”
เขาจ้องหน้าผู้หญิงกลับกลอกอย่างเดือดดาล ภาวิกาไม่ใช่คนที่จะประมาทได้เลยจริงๆ
“ก็ได้ ผมจะให้คุณดูหลักฐาน แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่ผม”
เธอเชิดหน้าขึ้น ยื่นคำขาดเสียงเข้ม “งั้นคุณก็เอาหลักฐานมาก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
“ได้ คืนนี้ผมจะเอาหลักฐานไปให้ดูถึงบ้าน” เขากระแทกเสียงหงุดหงิด ปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้างของเธอ
“ต้องเป็นฉบับจริงเท่านั้นนะ ห้ามคุณก๊อปปี้สำเนาบัตรประชาชนปลอมของฉัน และห้ามไรต์ซีดีภาพจากกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วย ไม่งั้นฉันไม่มีทางไว้ใจคุณเด็ดขาด”
“น้อยๆ หน่อยเถอะ คุณไม่อยู่ในฐานะที่จะมาต่อรองอะไรทั้งนั้น ผมต่างหากที่ถือไพ่เหนือกว่า”
เขาชักสีหน้าไม่พอใจ เธอมีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้อง เข้าใจฐานะตัวเองผิดไปรึเปล่า?
“คุณไม่รู้หรอกว่ากำลังรับมืออยู่กับใคร ตอนนี้เราเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว คุณต้องการความช่วยเหลือจากฉัน ส่วนฉันก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เราเสมอกัน อย่าคิดว่าคุณเหนือกว่า”
เธอยิ้มเยาะ เขาต้องนึกไม่ถึงแน่ว่า ‘ใคร’ ที่จ้างให้เธอทำงานนี้
ชายหนุ่มหรี่ตาจ้องหน้าแม่สาวแสบสะบัดช่อคนนี้อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เธอต้องนึกไม่ออกแน่ว่าเขาอยากจะฆ่าหักคอเธอมากแค่ไหน
หญิงสาวยกมือกอดอก ลอยหน้าลอยตาพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน
“รู้หรอกน่าว่าคนรักของคุณไม่ยอมเชื่อ ให้ฉันเดานะ เธอคงไม่ยอมพบหน้าคุณด้วยซ้ำ อยากให้ฉันไปอธิบายล่ะสิ นี่คือเงื่อนไขที่จะปล่อยฉันไปใช่มั้ยล่ะ รู้ไว้ด้วยนะ ถ้าฉันไม่พูดซะอย่างคุณก็จะไม่ได้อะไรเลย ฉันจะบอกคนรักของคุณว่ายังไงดีนะ คุณบังคับให้ฉันไปเอาเด็กออกแล้วใส่ร้ายฉันจนต้องติดคุก แบบนี้เป็นไง น่าสนุกใช่มั้ยล่ะ”
“นี่ขู่ผมเหรอ?”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด กำมือแน่นและซุกลงในกระเป๋ากางเกงยีน ก่อนจะอดใจไม่ไหว ใช้มันหักคอยายตัวแสบนี่ให้รู้แล้วรู้รอด
“เปล๊า...ไม่ได้ขู่ แต่ฉันทำแน่ถ้าต้องไปนอนในคุกจริงๆ”
เธอไหวไหล่ เบ้ปากอย่างกวนประสาท ไหนจะรอยยิ้มยั่วนั่นอีก เตชิตเห็นแล้วแทบคลั่งด้วยความเจ็บใจ
“ได้!” เขากระแทกเสียง โกรธจนควันออกหู หน้ามืดตาลายไปหมด
“ผมจะไม่ก๊อปปี้อะไรไว้ทั้งนั้น แต่คุณต้องพูดความจริงนะภาวิกา คุณต้องบอกว่าใครจ้างคุณมาทำลายงานแต่งของผมกับมนสิการ์ คุณต้องยอมรับผิดกับเธอและพูดให้เธอเข้าใจว่าผมกับคุณในคราบของยายอลิซนั่นไม่ได้เป็นอะไรกัน เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณต้องยอมรับผิดกับเธอเพราะคุณทำผิดจริง เข้าใจมั้ย”
“รู้แล้วน่า ทำไมต้องแหกปากเสียงดังขนาดนั้นด้วย คนอื่นมองใหญ่แล้ว ฮึ่ย! ถ้าเข้าใจตรงกันแล้วฉันกลับละ รีบเอาหลักฐานทั้งสองอย่างมาให้ฉันก็แล้วกัน ฉันจะรอที่บ้าน หวังว่าคุณจะทำตามคำพูด ไม่งั้นเราเห็นดีกันแน่”
“โอเค งั้นแยกกันตรงนี้ ผมจะกลับไปเอาหลักฐานทั้งหมดแล้วไปพบคุณที่บ้าน”
ชายหนุ่มอมยิ้มในหน้า ท่าทางผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก ยกมือซ้ายขึ้นโบกไล่หญิงสาวเหมือนไม่กลัวสักนิดว่าเธอจะมีแผนตุกติกอะไรหรือไม่
ภาวิกาดูสงสัย แต่เขาโบกมือไล่อีกครั้งด้วยสีหน้ารำคาญ เธอจึงเบ้ปาก ทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เตชิตกระตุกยิ้มมุมปากขณะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา กดฟังเสียงที่บันทึกไว้อีกครั้งจนจบกระบวนความแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป เหลือไว้เพียงความจริงจังและแววตาอาฆาต
“คุณตุกติกกับผมไม่ได้แน่ภาวิกา อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียว”
“ขอโทษด้วยนะคะพี่หมอ ไปๆ มาๆ มิ้งเบียดเบียนเวลาพักผ่อนของพี่หมอแทบทั้งวันเลย” มนสิการ์ออกตัวด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ
เธอตั้งใจจะเลี้ยงข้าวเขาและใช้เวลาด้วยกันอย่างสบายใจสักพักค่อยกลับบ้าน แต่หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จเขาก็ชวนเข้าวัด ทำบุญทำทานกับสัตว์ และนั่งคุยกันเพลินจนลืมเวลา
“นี่แหละเวลาพักผ่อนของผม ต้องขอบคุณคุณมิ้งมากกว่าที่มาด้วยกัน พอได้ทำบุญแล้วสบายใจขึ้น คุณมิ้งล่ะครับ รู้สึกดีขึ้นรึยัง” หมอหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกับรอยยิ้มอุ่นๆ เช่นเคย
หญิงสาวหัวเราะ “รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณพี่หมอมากๆ เลยนะคะ มิ้งคงสบายใจมากพอจะนอนหลับเต็มตาได้สักคืน”
“งั้นเรากลับกันเลยนะ นี่ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวพ่อคุณมิ้งจะเป็นห่วงเอา”
“ค่ะ งั้นเราแยกกันตรงนี้นะคะ พี่หมอขับรถดีๆ นะ” หญิงสาวโบกมือลาแล้วเข้าไปนั่งในรถของตัวเองซึ่งมีคนขับรถคอยอยู่
หมออิสระช่วยปิดประตูรถให้มนสิการ์ ยืนโบกมือส่งจนยานพาหนะคันเล็กวิ่งออกไปจากลานวัดจึงค่อยกลับขึ้นรถตัวเองบ้าง ช่วงนี้การจราจรติดขัดทำให้เดินทางได้ช้า เขาเปิดเพลงฟังไปด้วยแล้วก็นึกถึงภาวิกาขึ้นมาจึงโทร. หาเธอ รอครู่เดียวปลายสายก็กดรับพร้อมส่งเสียงใสคุ้นหูทักทายมา
“หมอเหรอคะ เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนเหนื่อยรึเปล่า ได้นอนบ้างมั้ย วิกกี้ไม่ได้โทร. หาเลย กลัวจะรบกวนเวลานอนของหมอ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ยคะ”
คำถามแสดงถึงความห่วงใยนั้นทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ “ผมสบายดีครับ คุณเลิกงานรึยัง ผมไปหาได้มั้ย”
“อุ๊ย! ไม่ต้องมาค่ะไม่ต้อง วิกกี้เลิกงานแล้วนี่ก็กำลังขับรถกลับบ้านแล้วค่ะ”
เสียงปฏิเสธร้อนรนของคนรักทำให้เขาแปลกใจ ทุกครั้งที่เขาบอกว่าจะไปหา หญิงสาวต้องดีใจจนเขารู้สึกได้จากน้ำเสียง แต่วันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น
“ทำไมครับ โกรธเหรอที่ผมทิ้งคุณไว้ที่บ้านเมื่อคืน”
“ไม่ใช่ค่ะหมอไม่ใช่ วิกกี้เห็นว่าช่วงนี้หมอทำงานหนักก็เลยอยากให้หมอพักผ่อนมากๆ เท่านั้นเอง หมอกลับบ้านเถอะนะคะ วันนี้วิกกี้รู้สึกเหนื่อยๆ เหมือนกัน อยากเข้านอนเร็วหน่อยน่ะค่ะ”
“เท่านั้นแน่นะครับ” เขาถามอย่างไม่ไว้ใจ
“แน่สิคะ วิกกี้เพลียนิดหน่อยเพราะเมื่อคืนนอนดึก แค่นี้ก่อนนะคะ วิกกี้กำลังขับรถ บายค่ะ”
เธอวางสายไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจมากขึ้น ปกติภาวิกาจะเป็นฝ่ายชวนคุยเสียมาก น้อยครั้งจนแทบจำไม่ได้ที่เธอจะเป็นฝ่ายตัดบทก่อน
หรือว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน?
ความคิดนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน จากที่คิดจะกลับบ้านตัวเองก็ตัดสินใจไปบ้านภาวิกา แม้ว่าจะต้องขับรถอ้อมไกลแค่ไหนก็ตาม
_____________________
[1] มุกตาภา นางเอกจากเรื่อง แผนร้าย อุบายรัก
ความคิดเห็น