ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเล่ห์บุพเพลวง [พิมพ์คำ new star]

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 แผนคุกคาม I :: ข่มขู่

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 58



    5

    แผนคุกคาม I :: ข่มขู่

     

    เตชิตแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ไก่โห่เพื่อไปดักเฝ้าแม่สาวแสบถึงหน้าบ้านตามแผนการที่วางเอาไว้ หลังตามจับเธอสองครั้งและพลาดทั้งสองครั้งทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าความบุ่มบ่ามใจร้อนไม่ช่วยอะไร จะต่อกรกับแม่สาวตัวร้ายคนนี้มันต้องวางแผนอย่างรอบคอบและรัดกุม

    ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างชายหนุ่มในช่วงนี้เพราะเขาไปทันตอนที่เจ้าของบ้านปิดประตูรั้วและขึ้นรถคู่ใจขับออกไปพอดี หญิงสาวอยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีเขียวแกมเทาซึ่งเขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    “วันนี้ฉันจะได้รู้จักทั้งบ้านและที่ทำงานของเธอ คอยดูซิว่าคราวนี้จะหนีไปไหนรอด”

    รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้าคมคาย ขณะขับรถตามหญิงสาวไปห่างๆ วันนี้เขาใช้คัมรี่สีดำในการตามติดคู่กรณีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน และมันก็ได้ผลดีเพราะดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกคุกคามชีวิตส่วนตัว

    “โรงแรมมณีดิน?” ชายหนุ่มครางอย่างนึกไม่ถึงเมื่อรถของหญิงสาวเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมที่เขาใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน

    “ถึงว่าสิ ทำไมชุดสีเขียวแกมเทานั่นถึงได้ดูคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นพนักงานของที่นี่น่ะเอง” เขาพึมพำแล้วรีบขับรถตามเข้าไปด้านใน

    เมื่อวนหาจนเจอมินิคูเปอร์เอสคันเป้าหมาย เขาก็จอดรถไว้ที่ชั้นเดียวกัน แต่ก่อนจะเข้าไปด้านในโทรศัพท์มือถือก็กรีดร้องขึ้น รอยยิ้มยินดีปรากฏที่มุมปากเมื่อพบว่าเป็นสายจากปริญญ์

    “ว่าไง?”

    “ได้เรื่องละ แกจะมาดูเองที่โรงพักหรือจะให้ฉันส่งแฟกซ์ให้วะ”

    “ฉันจะไปหาแกเดี๋ยวนี้ ขอบใจมากนะเพื่อน” เขายิ้มอย่างสะใจก่อนจะกลับเข้าไปนั่งในรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    “สวยดีนี่หว่า” สารวัตรหนุ่มว่ายิ้มๆ ขณะโยนซองเอกสารทั้งหมดของเจ้าของรถที่เตชิตให้สืบหาลงบนโต๊ะทำงาน

    ชายหนุ่มรีบหยิบเอกสารขึ้นมาดูด้วยความสนใจ โดยเฉพาะใบหน้าที่แท้จริงของหญิงสาว เขาจะจดจำเอาไว้ เพื่อคราวหน้าที่พบกันอีกจะได้เล่นงานไม่ผิดตัว

    “ชื่อตามบัตรประชาชนคือนางสาวภาวิกา ปภาณิน ฉันให้ลูกน้องไปสืบมา ข้อมูลเท่าที่พอจะหาได้ก็อยู่ในซองนั่นทั้งหมด ทีนี้แกจะทำยังไงต่อ”

    รอยยิ้มสมใจปรากฏที่มุมปากหยัก “ฉันเจอบ้านและรู้จักที่ทำงานของผู้หญิงคนนี้แล้ว วันนี้ได้เห็นหน้าชัดๆ ซะทีจะได้จับไม่ผิดตัว”

    “ดูแกจะให้ความสำคัญกับการตามล่าผู้หญิงคนนี้มากกว่าจะเอาเวลาไปง้อแฟนอีกนะ ถามจริง ตอนนี้ได้คุยกับมิ้งบ้างรึยังวะ”

    เตชิตหันไปสบตาเพื่อนแล้วถอนใจยาว “มิ้งไม่ยอมพบฉัน มือถือก็ปิด ไปหาที่บ้านก็ไม่มีใครต้อนรับ อธิบายตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก จนกว่าจะมีหลักฐานไปยืนยัน ถึงตอนนั้นฉันจะไปง้อมิ้งอีกที”

    “ฉันว่าแกพยายามหาหนทางพบมิ้งให้ได้แล้วปรับความเข้าใจกันก่อนไม่ดีกว่าเหรอวะ ถึงมิ้งจะยังไม่เชื่อ แต่อย่างน้อยเธอจะได้เห็นว่าแกมีความพยายามที่จะคืนดีจริงๆ ปล่อยทิ้งไว้แบบไม่อธิบายอะไรเลยเดี๋ยวมิ้งก็เข้าใจผิด คิดว่าแกไม่รักหรอก ส่วนเรื่องผู้หญิงคนนี้เดี๋ยวฉันจะสืบให้ว่าเธอติดต่อกับใครบ้าง เผื่อจะสาวไปถึงตัวผู้บงการได้” สารวัตรหนุ่มแนะนำด้วยความห่วงใย

    “ก็มิ้งไม่ยอมให้ฉันพบแล้วจะง้อยังไงวะ ฉันจนปัญญาแล้ว ไม่เคยง้อผู้หญิงด้วย ปกติมิ้งก็ไม่เคยงอน บอกตรงๆ ไม่รู้จะทำยังไงดีว่ะ” เตชิตสารภาพเสียงอ่อย

    เขาคิดเพียงว่าถ้ามีหลักฐานไปยืนยันกับมนสิการ์ เธอก็จะเชื่อแล้วเรื่องทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หญิงสาวเป็นคนง่ายๆ ไม่เคยโกรธหรืองอน เขาว่าอะไรเธอก็ว่าตามตลอดจึงไม่เคยมีเรื่องขัดใจกันให้ต้องง้องอนสักครั้ง

    “มิ้งมีโรคประจำตัวไม่ใช่หรือไง ถึงไม่อยากออกจากบ้านก็ต้องไปพบหมอตามนัดอยู่ดี แกก็ไปดักรอที่โรงพยาบาลสิ อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้ว่าผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานด้วยมีหมอประจำอยู่ที่ไหน”

    “เออ จริงของแกว่ะ ฉันลืมสนิทเลย ขอบใจมากนะปริญญ์ แกนี่ความจำดีชะมัด” เตชิตยิ้มร่า ตบไหล่เพื่อนรักแรงๆ อย่างขอบคุณ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มฉับไวเมื่อนึกถึงว่าเขาจะอธิบายยังไงดี ในเมื่อเขายังไม่รู้เลยว่าภาวิกาทำแบบนี้เพื่ออะไร

    “แกนี่มันเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ถ้ามิ้งไม่ยกโทษให้ ฉันก็ไม่แปลกใจหรอกนะ”

    เตชิตทำตาขวางใส่เพื่อน “น้อยๆ หน่อยเหอะ แกเอาอะไรมาวัดว่าฉันเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่อง ฉันไม่เคยมีกิ๊ก ไม่เคยนอกใจ ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนนอกจากมิ้ง เท่านี้ยังดีไม่พออีกรึไงวะ ทำมาเป็นสั่งสอน แกลองมีแฟนก่อนเถอะ ฉันจะคอยดูว่าแกจะทำได้ดีสักแค่ไหน”

    “อย่างน้อยฉันก็จำเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่ตัวเองสนใจได้มากกว่าแกแน่ๆ”

    “เถียงคอเป็นเอ็นเลยนะ ถามจริง นี่แกแอบปิ๊งใครอยู่ล่ะสิ บอกมาเลยนะเว้ยคุณสารวัตร ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ฉันรู้จักรึเปล่าวะ” เตชิตอมยิ้มล้อเลียนพลางทำเสียงคาดคั้นเต็มที่

    “สนใจเรื่องของตัวเองเถอะน่า กลับไปได้แล้วไป ฉันจะทำงาน บ้านไม่ได้รวยเหมือนแกจะได้มีเวลาไปตามล่าคู่กรณีทั้งวี่ทั้งวัน” สารวัตรหนุ่มตัดบทแกมจิกกัดเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอพลางโบกมือไล่ แต่ไม่ยอมสบตาเพื่อนรัก

    “ไม่กล้าสบตาแบบนี้มันน่าสงสัยนะ แต่ฉันไม่มีเวลามาจับผิดตำรวจปากแข็งอย่างแกแล้ว เมื่อคืนยายนี่คนนี้ไปงานวันเกิดของคุณหญิงเปรมจิต ฉันอยากรู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวนี้ยังไง ฝากแกสืบให้ด้วย ขอตัวก่อนนะเว้ย ขอบใจมากเพื่อน”

    เตชิตยักคิ้วยิ้มๆ ฉวยซองเอกสารติดมือกลับไปด้วยโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องไล่เป็นครั้งที่สอง

    ตอนนี้เขาจดจำใบหน้าของแม่สาวชุดดำได้แม่นยำ มั่นใจว่าพบกันอีกทีเขาชี้ไม่ผิดตัวแน่นอน เมื่อแยกจากเพื่อนรักแล้วชายหนุ่มก็ขับรถกลับไปที่โรงแรมมณีดินอย่างมุ่งมั่น

    วันนี้เขาขอเป็นฝ่ายวางแผนไล่ต้อนเธอบ้างก็แล้วกัน!

     

    ภาวิกาเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์จึงต้องยืนฉีกยิ้มต้อนรับแขกอยู่หน้าเคาน์เตอร์บริการเป็นงานหลัก ทันทีที่เห็นชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาและตรงดิ่งมาที่เธอ หญิงสาวก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม โปรยยิ้มหวานตามหน้าที่

    “โรงแรมมณีดินยินดีต้อนรับค่ะ มาติดต่อจองห้องพักหรือทำอะไรคะ”

    เตชิตถอดแว่นดำออกแล้วสบตาคนถามด้วยรอยยิ้มเป็นต่อที่มุมปาก ในขณะที่หญิงสาวอ้าปากค้าง หุบยิ้มแทบไม่ทัน เธอจำเขาไม่ได้ในแวบแรกเพราะชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนง่ายๆ ไม่ใช่สูทเจ้าบ่าวเต็มยศอย่างที่เคยพบในวันแรก แต่ตอนนี้เห็นหน้าชัดแจ๋วแถมใกล้มาก มากเกินกว่าจะชิ่งไปทางไหนได้ทัน

    “ติดต่อจองห้องพักครับ ไม่ทราบว่าผมต้องทำยังไงบ้าง”

    เขาอมยิ้มน้อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงล้านเปอร์เซ็นต์

    รอยยิ้มในสีหน้าของแขกหนุ่มทำให้ภาวิกาไม่แน่ใจว่าเขาจำเธอได้หรือไม่ ทว่าตั้งแต่คราวแรกที่เตชิตตามจับตัวเธออย่างเอาเป็นเอาตายมันบอกให้รู้ว่าเขาพร้อมจะฆ่าหักคอเธอแน่หากได้พบกันจังๆ อีกครั้ง

    “ว่าไงครับคุณ ผมจะจองห้องพักต้องทำยังไงบ้าง” เขาถามซ้ำเมื่อเธอเงียบไปนาน รู้สึกสะใจลึกๆ ที่เห็นเจ้าหล่อนอึ้งกิมกี่จนไปไม่เป็นบ้าง

    หญิงสาวหลุบตาต่ำพลางเม้มปากครุ่นคิด ตอนนี้จะหนีไปไหนก็ไม่ทันแล้ว บางทีเขาอาจจะจำเธอไม่ได้ หากกระโตกกระตากไปก็รังแต่จะเป็นการส่งสัญญาณให้เขาฉุกใจคิดเปล่าๆ จึงแสร้งยิ้มหวาน ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อน

    “งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ เดี๋ยวเลือกห้องและบอกรายละเอียดกับพนักงานหลังเคาน์เตอร์...”

    “พี่ฝากเคาน์เตอร์เดี๋ยวนะวิกกี้ ปวดท้องอย่างแรงเลย ไม่ไหวแล้ว” แวววลีกระซิบข้างหูพนักงานรุ่นน้องก่อนจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำโดยเร็ว

    ภาวิกาได้แต่พูดค้างอยู่เท่านั้น เพราะตอนนี้ไม่มีพนักงานประจำที่เคาน์เตอร์สักคนนอกจากเธอ

    “งั้นก็เหลือแต่คุณกับผมน่ะสิ คุณภาวิกา ปภาณิน” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ขณะพิงหลังกับเคาน์เตอร์บริการ กอดอกจ้องมองใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่เดาใจไม่ออก

    ภาวิกาใจหายวาบเมื่อเขาเรียกทั้งชื่อและนามสกุลของเธอได้ถูกเผง “คุณรู้ชื่อฉัน?”

    ชายหนุ่มหัวเราะคล้ายขบขัน แต่เธอไม่เชื่อว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์นั้นจริงๆ แววบางอย่างในดวงตาคมบอกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ

    “ดูทำหน้าเข้าสิ คิดว่าผมเป็นพวกสิบแปดมงกุฎรึไง ผมอ่านชื่อคุณตามป้ายไงครับ” เขาเหลือบมองที่ป้ายชื่อบนปกเสื้อของเธอ

    หญิงสาวก้มมองตามสายตาเขาแล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดป้ายชื่อไว้โดยเร็ว รีบหันข้างให้พลางเข่นเขี้ยวเบาๆ อย่างหงุดหงิด “ไอ้ผู้ชายบ้า จะโผล่มาทำไมก็ไม่รู้ ใจคอจะตามรังควานกันให้ตายไปข้างเลยใช่มั้ย”

    “คุณวิกกี้ครับ”

    เธอสะดุ้ง หันไปทำตาขวางกับแขกอย่างลืมตัวพร้อมบอกเสียงเข้ม “ฉันชื่อภาวิกา...ค่ะ”

    “ผมได้ยินเพื่อนคุณเรียกวิกกี้ก็เลยเรียกตามเท่านั้น ถ้าคุณไม่พอใจต้องขอโทษด้วย” เขาไหวไหล่ ยิ้มแฉ่ง กวนประสาทได้อีก

    เธอหลับตาลงพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจด้วยความอดทนอดกลั้น ก่อนจะเดินกระแทกส้นไปยืนหลังเคาน์เตอร์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

    “คุณต้องการห้องพักแบบไหน จะอยู่กี่คืน ขอทราบชื่อและนามสกุลด้วยค่ะ”

    “พนักงานของโรงแรมมณีดินพูดจาห้วนๆ กับแขกแบบนี้ได้เหรอครับ?” เตชิตโน้มตัวอยู่หน้าเคาน์เตอร์และถามเสียงดังฟังชัด คนที่อยู่ในล็อบบีต่างได้ยินถนัดโดยไม่ต้องเงี่ยหูฟังให้ลำบาก

    ประชาสัมพันธ์สาวสวยจ้องตากับแขกหนุ่มอย่างไม่พอใจ อยากจะตอกกลับไปให้เขาหน้าหงาย แต่ก็รู้ดีว่าทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะมีสายตาหลายคู่จ้องมองมาอย่างสนใจ จึงได้แต่กัดฟันถามใหม่ด้วยสุ้มเสียงอ่อนหวานอย่างเสแสร้ง

    “ขอโทษด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการห้องพักแบบไหน ต้องการจองกี่คืน ขอทราบชื่อและนามสกุลของคุณด้วยค่ะ”

    เขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ตอบกลับเสียงเบา จริงจัง “คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าผมชื่ออะไร จริงมั้ยอลิซ?”

    หญิงสาวเบิกตากว้าง เสียวสันหลังวาบเหมือนมีใครเอามีดปลายแหลมมาจ่อเอว แต่ก่อนที่เธอจะแสดงอาการของวัวสันหลังหวะมากไปกว่านี้ก็แกล้งทำหน้าซื่อตาใส ย้อนถามเสียงหวาน “คุณพูดเรื่องอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ”

    “อยากให้ผมเอากล้องวงจรปิดในคืนแต่งงานจากโรงแรมมาตรวจสอบมั้ยภาวิกา ผมมีเพื่อนเป็นตำรวจ เขาช่วยผมสืบหาข้อมูลของคุณด้วยตัวเอง อยากให้ผมแจ้งความหรือบอกเรื่องที่คุณก่อไว้กับเจ้านายคุณรึเปล่าล่ะ?”

    เขายิ้มเยือกเย็น กอดอกจ้องตาหญิงสาวไม่ลดละ 

    ภาวิกาหน้าซีดลงทุกขณะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองจนมุมเข้าแล้วจริงๆ ถ้าเตชิตมีเพื่อนเป็นถึงตำรวจแถมยังรู้ชื่อและที่อยู่ของเธอก็จบเห่ ขืนหนีไปอีกเขาได้วิ่งโร่ไปแจ้งความแน่ หลังจากนั้นอนาคตที่สดใสของเธอก็จะดับวูบ หมออิสระต้องรับไม่ได้แน่หากรู้ว่าในอดีตเธอเคยทำงานแบบไหนมาก่อน

    บ้าชะมัด ไม่น่ารับงานนี้เลย คราวนี้ต้องตายแน่ๆ ภาวิกาเอ๋ย...

    ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างชั่วร้ายเมื่อเห็นเธอเงียบงันไร้ข้อแก้ตัว “ทีนี้ก็บอกผมมาซะดีๆ ว่าทำแบบนั้นทำไม ใครจ้างคุณ?”

    ก่อนที่ภาวิกาจะคิดออกว่าต้องทำอย่างไร แวววลีก็เดินกลับมาประจำที่เคาน์เตอร์พอดี

    “ขอบใจมากนะวิกกี้ เอ๊ะ...นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอ แขกต้องการอะไร”

    “จองห้องพักค่ะ ฝากพี่วลีช่วยจัดการต่อทีนะคะ” หญิงสาวฉวยโอกาสนี้หลบไปตั้งหลัก

    “ผมไม่ได้มาจองห้องพัก แต่ผมมาหาวิกกี้ครับ”

    เสียงนั้นดังพอจะทำให้คนทั้งล็อบบี้ได้ยินถนัด หญิงสาวหันขวับไปจ้องหน้าคนพูดตาวาว

    “ผมมาง้อถึงขนาดนี้ ใจคอจะไม่ยกโทษให้จริงๆ เหรอวิกกี้”

    เธออ้าปากค้าง มองหน้าคนพูดราวกับว่าเขาเสียสติไปแล้ว “พูดบ้าอะไรของคุณฮะ?”

    “เบาๆ วิกกี้ แขกมองกันใหญ่แล้ว” แวววลีกระซิบเตือนขณะกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมส่งยิ้มขอโทษขอโพยแทนหนุ่มสาวทั้งสองคนที่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น

    เตชิตเหลือบมองป้ายชื่อของหญิงสาวอีกคนแล้วอ้อนวอน “ขอโทษด้วยนะครับคุณแวววลี ผมมีเรื่องอยากคุยกับวิกกี้ ไม่งั้นผมต้องบ้าตายแน่ ขอผมคุยกับเธอสักครู่ได้มั้ยครับ”

    “เอาไงดีวิกกี้ พี่ว่าเธอไปคุยกับเขาก่อนดีไหม ขืนยื้อกันอยู่ตรงนี้แขกเหรื่อตกใจหมด ถ้ารู้ไปถึงหูเจ้านายจะแย่เอานะ ทางนี้เดี๋ยวพี่จัดการเอง รีบไปเถอะ”

    แวววลีช่วยตัดสินใจเพราะเห็นว่านั่นคือทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ ขืนไม่รีบทำอะไรสักอย่างภาวิกาอาจตกที่นั่งลำบาก โรงแรมใหญ่ขนาดนี้มีพนักงานเยอะแยะ เรื่องซุบซิบนินทาในทางเสียหายกระพือไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง และหากรู้ถึงหูเจ้านายรับรองว่าภาวิกาเดือดร้อนแน่

    หญิงสาวเม้มปากแน่น ขณะเดินเลี่ยงออกไปทางด้านหลังของโรงแรมโดยมีเตชิตตามไปติดๆ เมื่อพบมุมปลอดผู้คนเธอก็หยุดและหันกลับมาจ้องหน้าเขาอย่างชิงชัง

    “คุณจะเอายังไงกับฉัน?”

    “ผมต้องการความจริงทั้งหมด คุณทำลายงานแต่งของผมทำไม มีใครจ้างวาน ถ้ายอมสารภาพดีๆ และไปพูดให้แฟนผมเข้าใจ ผมจะไม่เอาเรื่องคุณ แต่ถ้าไม่ตกลง ผมแจ้งความ!” เขาว่าแล้วรอดูท่าทีของหญิงสาว

    “คุณมีหลักฐานอะไรมากล่าวหาฉันไม่ทราบ?” เธอย้อนถามเพื่อความแน่ใจ ถ้าจะต้องยอมรับว่าทำจริง เธอต้องรู้ให้ชัดว่าดิ้นไม่หลุดชัวร์ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะจับคนอย่างภาวิกาได้เลย

    เขาอมยิ้มอย่างเป็นต่อขณะจ้องตาเธอ “วันนี้ผมมาขอภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมในคืนเกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน ทั้งภาพของคุณที่ใส่ชุดดำเข้ามาก่อกวนและภาพที่คุณขับฮอนด้าแจ๊สสีเหลืองทั้งขาเข้าและขาออกจะถูกบันทึกอยู่ในนั้น แล้วตำรวจก็จะตามสืบจากรถที่คุณใช้ไปจนถึงเต็นท์เช่าของเสี่ยธวัชชัย แล้วพวกเขาก็จะเจอสำเนาบัตรประชาชนปลอมของคุณที่ตอนนี้อยู่ในมือผมแล้ว ทั้งก่อกวนสร้างความวุ่นวายและเสียหายให้ผมกับครอบครัว ไหนจะปลอมแปลงบัตรประชาชนอีก เอ๊ะ...เดี๋ยวนี้เขามีบทลงโทษแบบไหนนะ ผมชักอยากรู้แล้วสิ”

    หญิงสาวเม้มปากแน่น เจ็บใจ แน่นอนว่าความผิดของเธอไม่ได้มีเท่านี้ ขืนให้ตำรวจสืบต่อรับรองว่าสาวไปถึงประวัติในอดีตของเธอแน่ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็เสียหายหลายล้าน หมดอนาคตแบบไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลยทีเดียว

    “ว่ายังไง คุณจะรับข้อเสนอของผมดีๆ หรือจะให้ผมแจ้งความ” คราวนี้ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม นัยน์ตาคมลุกวาวเอาเรื่อง บ่งบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริงและจะไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาหยิบยื่นให้แล้ว

    ภาวิกาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห เธอทำงานเสี่ยงๆ มาหลายปีแต่ไม่มีสักครั้งจะอับจนหนทางแบบนี้

    “เอาละ ผมให้เวลาคุณหาคำตอบก่อนก็ได้ เย็นนี้ค่อยคุยกัน คุณเลิกงานกี่โมง ผมจะมารับ ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าคิดหนีเรื่องนี้ถึงตำรวจแน่ หรือถ้าตำรวจจัดการช้าเกินไปผมก็จะใช้ศาลเตี้ย ว่าแต่ก่อนที่คุณจะรับงานนี้ได้ศึกษาประวัติผมมาก่อนรึเปล่าภาวิกา หวังว่าคุณจะทำแบบนั้นนะ เพราะคนอย่างผมพูดจริงทำจริง ทุกวงการไม่ได้ใสสะอาดไปซะหมด คุณน่าจะรู้ดี อย่าทำให้ผมโมโหมากกว่านี้ ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย”

    เขายิ้มเหี้ยมเกรียม รู้สึกชื่นชมตัวเองลึกๆ ที่แสดงบทมาเฟียธุรกิจได้แนบเนียนขนาดนี้

    “ก็ได้ ฉันเลิกงานหกโมงเย็น แล้วค่อยคุยกัน ฉันต้องไปทำงานแล้ว”

    ถึงตอนนี้การหนีไม่ใช่หนทางรอดของเธออีกต่อไป หญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับข้อเสนอของเขาไปก่อน

    “ตกลงตามนั้น อย่าคิดหนีให้เหนื่อย เพราะผมจะตามจองล้างจองผลาญคุณไม่เลิกแน่” เขาขู่ทิ้งท้ายด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมแล้วเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน

    ภาวิกากำมือแน่น ถลึงตามองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ อย่างเกลียดชัง

    “ไอ้ผู้ชายซาดิสม์ กัดไม่ปล่อยจริงๆ อยากถลกหนังหัวออกมาทำพรมเช็ดเท้านัก แม่จะเหยียบซ้ำๆๆ ให้จมดินไปเลย ฮึ่ย!

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×