คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 นางละครออนแอร์
3
นางละครออนแอร์
สำเนาบัตรประชาชนที่เสี่ยธวัชชัยให้มามีรูปของแม่สาวชุดดำอยู่ด้วย แต่ไม่ค่อยชัดนักเพราะเป็นการถ่ายเอกสารแบบขาว-ดำ และกระดาษแผ่นนั้นก็ทั้งเก่าทั้งเหลืองเต็มที หากตอนนี้เตชิตมั่นใจว่าต่อให้เหลือแต่เถ้าถ่าน เขาก็ไม่มีวันลืม ‘ยายปีศาจอลิซ’ นั่นได้
ชื่อในบัตรประชาชนคือ ‘นางสาวพาณิณี รุ่งเรืองศิลป์’ เขาจะจดจำชื่อนี้ไว้จนวันตายทีเดียว
เมื่อได้ชื่อและที่อยู่ของเป้าหมายมาเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็บึ่งรถไปยังแหล่งกบดานของเจ้าหล่อนในทันที โชคดีที่ที่อยู่ในบัตรประชาชนนั้นอยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี เขาจึงไม่ต้องเสียเวลารอคอยอีกแม้แต่นาทีเดียว หากพอมาถึงหน้าบ้านตามที่อยู่ดังกล่าวแล้วชายหนุ่มก็ถึงกับอ้าปากค้างไปห้าวินาทีเต็มๆ เพราะสิ่งปลูกสร้างที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันคือ...บ้านร้างชัดๆ!
“โธ่เว้ย!” เตชิตสบถอย่างเดือดดาล กำมือทุบปังลงกับประตูรั้วไม้ผุๆ นั้นอย่างเจ็บใจ เมื่อต้องยอมรับอย่างกล้ำกลืนว่าเงินที่เสียไปนั้น ‘สูญเปล่า’ เขาก็หลับตาลง ส่งเสียงครางในลำคอคล้ายสัตว์บาดเจ็บที่ใกล้สิ้นใจเต็มที
“แสนห้า...แสนห้า!”
ใช่...เป็นเงินแสนห้าที่ปลิวหายไปกับสายลมอย่างไร้ประโยชน์!
เขาอยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอด ได้แต่ทึ้งผมตัวเองระบายความคับแค้นใจ ก่อนจะรีบขึ้นรถแล้วบึ่งกลับไปหาเสี่ยธวัชชัยที่เต็นท์เช่ารถอีกครั้ง เขาจะไม่ยอมเสียเงินแสนห้าไปฟรีๆ แน่!
ทันทีที่จอดรถและดับเครื่องเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็ผลักประตูรถออกไปอย่างแรง ก้าวพรวดๆ เข้าไปในออฟฟิศของเสี่ยรถเช่าด้วยสีหน้าถมึงทึงแบบคนที่ถูกครอบงำด้วยโทสะร้าย
ขณะนั้นเป็นเวลาสามทุ่มเกือบครึ่งแล้ว พนักงานทุกคนจึงกลับไปหมด เหลือเพียงผู้เป็นเจ้าของซึ่งกำลังจะกลับอยู่พอดี ตามปกติเสี่ยธวัชชัยไม่เคยอยู่โยงที่ออฟฟิศดึกขนาดนี้ แต่วันนี้เหมือนดวงเฉียดๆ จะถึงฆาตจึงได้อยู่รอจนกระทั่งเตชิตกลับมาอีกครั้ง
เสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างแรงทำให้ร่างอวบท้วมสะดุ้งแทบตกเก้าอี้ และเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกยามวิกาลมีสีหน้าอย่างไรก็ยิ่งลนลานเข้าไปอีก เอ่ยถามตะกุกตะกักแทบจับใจความไม่ได้ “คะ...คุณกะ...กลับมาทะ...ทำไม?”
ชายหนุ่มตบโต๊ะเสียงดัง รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่มือทั้งสองข้างหากก็เก๊กหน้าดุเอาไว้เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่กลัวแล้วคำข่มขู่ของเขาจะใช้ไม่ได้ผล “ที่อยู่ที่เสี่ยให้ผมมามันเป็นบ้านร้าง ร้างมาสิบปีแล้วมั้ง อยากตายใช่มั้ยถึงกล้าหลอกผู้กำกับดังอย่างผม ไหนบอกมาซิ?”
“วะ...ว่าไงนะ บ้านร้างเหรอ เป็นไปได้ยังไง?” เสี่ยรถเช่าที่ไม่รู้ตัวว่าโดนลูกค้าประจำหลอกมาเป็นปีๆ ย้อนถามอย่างนึกไม่ถึง
“มันเป็นไปแล้ว ผมต้องจ่ายไปแสนห้าแล้วไม่ได้อะไรเลย เสี่ยรู้มั้ยว่าผู้กำกับดังอย่างผมทำอะไรได้บ้าง รู้มั้ย?”
เตชิตพยายามทำเสียงเหี้ยมโหด อารมณ์ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องจริงเพราะเขาโกรธมาก แต่ที่ต้องแสร้งทำตัวเป็นผู้กำกับดังขี้โอ่เพราะอยากให้เสี่ยธวัชชัยคล้อยตามและยอมบอกทุกอย่างโดยปราศจากความระแวงแคลงใจในเหตุผลที่เขาต้องพลิกแผ่นดินตามหาหญิงสาว
“เอ่อมะ...ไม่รู้ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่อยู่ของเธอเป็นบ้านร้าง” เสี่ยใหญ่ตอบตามความจริง ดวงตายิบหยีจนแทบจะจมหายไปกับเนื้ออวบอูมของใบหน้ากะพริบขึ้นลงถี่ๆ บอกให้รู้ว่าทั้งงงและหวั่นวิตกไปพร้อมกัน
“แล้วเสี่ยติดต่อเธอได้ยังไง ติดต่อวิธีไหน อย่าบอกนะว่าส่งจดหมายไปที่บ้าน ลูกค้าประจำแบบนี้จะต้องมีเบอร์ที่ติดต่อกันได้บ้าง มีใช่มั้ย?”
“มีๆ มีเบอร์ที่ติดต่อได้” เสี่ยธวัชชัยละล่ำละลักบอกโดยไม่หมกเม็ด
“งั้นก็ติดต่อเธอซะ นัดเธอออกมาพบเสี่ยที่นี่ให้ได้” เขาบอกอย่างลิงโลด แทบเก็บความยินดีไว้ไม่มิดเมื่อมองเห็นหนทางที่จะได้พบแม่สาวชุดดำอีกครั้ง
“ให้ผมนัด?” เสี่ยรถเช่าถามงงๆ
“ใช่” เขาตอบพลางเม้มปากครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยขึ้น “เสี่ยต้องนัดเธอมาพบที่นี่ บอกว่ามีธุระเกี่ยวกับรถที่เธอเช่าไป มันมีปัญหา เธอต้องกลับมาดูและรับผิดชอบ”
“เอ่อ...แล้วทำไมผมต้องทำแบบนั้น?”
“ก็เพราะว่าเสี่ยรับเงินแสนห้าจากผมไปแล้วยังไงล่ะ ถ้าไม่ทำ ผมจะเอาเสียงที่เราคุยกันไว้ไปให้สื่อลงข่าว ผมใช้มือถืออัดเสียงไว้ด้วย ผมจะให้สื่อโจมตีเต็นท์เช่ารถของเสี่ยจนทำมาหากินต่อไปไม่ได้ ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าผู้กำกับดังอย่างผมทำอะไรได้บ้าง”
เขายิ้มเหี้ยมข่มขู่ นึกชื่นชมตัวเองไม่น้อยที่สามารถปั้นน้ำได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ รู้งี้น่าจะลองไปเป็นนักแสดงดู บางทีเขาอาจจะรุ่งก็ได้!
“ทำไมต้องโกหกเธอด้วยล่ะ คุณก็เอาเบอร์แล้วโทร. หาเธอเองว่าอยากให้เธอเป็นนางเอกหนังให้ แบบนี้ไม่ง่ายกว่าเหรอครับคุณผู้กำกับดัง”
คนที่เหมือนจะงงและตกใจจนคิดอะไรไม่ค่อยออกเกิดจะสงสัยได้ถูกจุดขึ้นมาเสี่ยนี่ เตชิตเลยต้องแถไปข้างๆ คูๆ เพื่อเอาตัวรอด
“ก็เพราะว่าคุณได้เงินไปแสนห้าแต่เหมือนว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ผมเป็นคนทำงาน เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปจะต้องใช้มันอย่างคุ้มค่า มันเป็นอุดมการณ์ของผู้กำกับดังอย่างผม อย่าถามมาก บอกให้ทำก็ทำเถอะน่า หรือจะให้ผมฟ้องสื่อ”
“เอ่อ...แต่นี่มันเกือบสี่ทุ่มแล้วนะครับ เธออาจจะไม่ได้อยู่แถวนี้ก็ได้ และถึงจะอยู่แถวนี้เธอก็คงไม่มาพบคุณตอนนี้แน่ มันค่อนข้างจะดึกไปสำหรับการคุยเรื่องงาน”
เมื่อรู้จุดประสงค์ที่ชัดเจนของผู้กำกับดัง เสี่ยธวัชชัยก็เริ่มวางใจว่าตัวเองจะไม่ถูกฆ่าหมกออฟฟิศเพราะเงินแสนห้า สติสตังเลยกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวพอจะคิดอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลได้มากขึ้น
เตชิตเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังก็เห็นจริงตามที่เสี่ยธวัชชัยว่า เขาเลยต้องข่มกลั้นความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลากคอแม่สาวชุดดำมาเค้นเอาความจริงในค่ำคืนนี้ไว้ก่อน ขืนให้เสี่ยโทร. จิกเธอออกมากลางดึก ยายปีศาจนั่นต้องสงสัยแน่ เขาไม่ควรบุ่มบ่ามมากเกินไป เดี๋ยวไก่ตื่นแล้วจะชวดโอกาสตามหาความจริง
“งั้นพรุ่งนี้เช้าเสี่ยต้องนัดเธอออกมาพบ นัดเวลาได้เมื่อไหร่โทร. บอกผมทันที ผมจะรีบมาที่นี่ แต่เสี่ยห้ามบอกเรื่องผมเด็ดขาด ให้คุยเรื่องรถหรือจะอ้างอะไรก็ได้”
“แล้วแบบนั้นผู้กำกับจะคุยเรื่องทำหนังกับเธอตอนไหนล่ะ” เสี่ยยังตามมุกของเตชิตไม่ทันก็ถามงงๆ
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครุ่นคิดหาข้ออ้างพักเดียวก็นึกออก “ผมจะแอบสะกดรอยตามเธอไปที่บ้าน เผื่อเธอไม่ยอมมาเป็นนางเอกหนังให้ผม วันหลังผมจะได้ตามไปอ้อนวอนเธอถึงบ้านยังไงล่ะ หนังของผมต้องให้เธอเป็นนางเอกคนเดียวเท่านั้น เข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ยครับเสี่ยธวัชชัย”
“อะ...เอ่อเข้าใจก็ได้” เสี่ยรถเช่าตอบรับงงๆ ไม่เข้าใจว่าการหานางเอกภาพยนตร์สักเรื่องมันต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ เช่นนั้นก็อาจแปลว่ารายได้จากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งคงไม่น้อยทีเดียว ไม่งั้นคนทำก็ขาดทุนแย่ เพราะแค่ก้อนแรกที่จ่ายไปก็แสนห้าแล้ว
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ หวังว่าเสี่ยจะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะครับ ไม่อย่างนั้นผมฟ้องสื่อให้เล่นงานเสี่ยแน่ เพราะว่าผมเป็นผู้กำกับดัง” เตชิตข่มขู่สำทับอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะกลับบ้านพร้อมความหวังที่เรืองรองในใจ พรุ่งนี้เขาต้องตามไปจนถึงแหล่งกบดานของเธอให้ได้
ระหว่างทางกลับบ้านชายหนุ่มก็โทร. หาปริญญ์เพื่อขอให้ช่วยสืบประวัตินางสาวพาณิณี รุ่งเรืองศิลป์ หากอีกฝ่ายกลับปิดมือถือจึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะอยู่ระหว่างการประชุมเร่งด่วน หรือไม่ก็กำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญ เขาจึงพักเรื่องนี้ไว้ทีหลัง
แต่ด้วยความเจ็บแค้นแบบฝังหุ่นและความมุ่งมาดปรารถนาอยากจะให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็วทำให้เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมพึมพำชื่อ ‘พาณิณี’ ไปด้วยราวกับบทสาปแช่งที่จะทำให้แม่สาวชุดดำลงไปนอนชักดิ้นชักงอน้ำลายฟูมปากและขาดใจตายในที่สุด
คุณพรรษาได้ยินเข้าก็เป็นงงจนต้องเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปน่ะเต พึมพำอะไรอยู่ได้”
“พาณิณีครับแม่...พาณิณี” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น เพราะหวังว่าพรุ่งนี้จะจัดการกับแม่สาวคนนี้ได้อยู่หมัด
“หมายถึงนางละครน่ะเหรอ?”
“นางละครอะไรครับ” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายย้อนถามมารดาบ้าง
“ก็พาณิณีไง แปลว่านางละคร ชื่อนี้เพราะดีนะ แม่เคยคิดว่าถ้ามีลูกสาวจะตั้งชื่อนี้แหละ น่าเสียดายที่มีลูกชายซะได้”
คำตอบของมารดาทำให้เตชิตชะงักกึก สีหน้ากลับเข้าสู่โหมดอารมณ์เดือดอีกครั้ง
ชัดเลย! ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ว่าชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อจริงของแม่สาวชุดดำแน่นอน
เขานึกอยู่แล้ว มั่นใจมากถึงล้านเปอร์เซ็นต์ทีเดียว แต่ที่อยากให้เพื่อนสืบหาก็เพื่อความชัวร์ หากตอนนี้คงไม่ต้องรบกวนสารวัตรปริญญ์อีกแล้ว
พาณิณี...นางละคร เธอมันนักแสดงไร้สังกัด ผู้หญิงจอมลวงโลก ยายตัวแสบ พรุ่งนี้เขาต้องจับเธอให้ได้ คอยดูก็แล้วกัน!
ร่างเพรียวระหงเดินนวยนาดออกมาจากห้องน้ำอย่างระมัดระวัง สะโพกที่เคล็ดจนทำให้เธอต้องลางานไปสองวันตอนนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางและหายปวดแล้ว หากหญิงสาวเกรงว่าอาการปวดยอกนั้นจะกลับมาเล่นงานอีกจนทำให้ไปร่วมงานวันเกิดมารดาของแฟนหนุ่มในคืนนี้ไม่ได้จึงลางานเพิ่มอีกหนึ่งวัน และวันนี้เธอก็มีเวลาแต่งสวยอย่างเต็มที่
นายแพทย์อิสระ พินิจนันท์เป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดียิ่งกว่าพระเอกละครหลังข่าวบางคนเสียอีก ฐานะทางบ้านก็ไม่ธรรมดาเพราะเขามีมารดาเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ ส่วนบิดาก็เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มีผู้คนนับหน้าถือตากันมากมาย ที่สำคัญครอบครัวนี้ร่ำรวยทั้งตระกูล แต่เหนืออื่นใด หมออิสระเป็นผู้ชายนิสัยดี มีความรู้ความสามารถ และมีหน้าที่การงานที่มั่นคง ไม่ได้อาศัยบารมีพ่อแม่ทำตัวเหลวไหลไปวันๆ โดยไม่รู้จักทำงานทำการ สรุปว่าเขาเป็นลูกคนรวยที่มีความคิดและมีสมองมากที่สุดที่ภาวิกาเคยรู้จักมา
หญิงสาวพบเขาครั้งแรกเมื่อราวห้าเดือนก่อน ตอนนั้นเธอไม่สบายเป็นลำไส้ใหญ่อักเสบ ปวดท้องมาก กินยาแล้วก็ไม่หายจึงต้องกระเสือกกระสนพาตัวเองไปโรงพยาบาลให้ได้ด้วยความยากลำบาก แต่ยังไปไม่ถึงมือหมอก็แทบจะคลานสี่ขาลงจากรถ
นายแพทย์อิสระออกเวรแล้วและกำลังจะกลับบ้าน แต่พบเธอเข้าเสียก่อน เขาช่วยอุ้มเธอกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ทำการรักษาและคอยปลอบราวกับเธอเป็นเด็กห้าขวบ นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองอ่อนแอและต้องการคนปกป้อง เขาเป็น ‘คนนั้น’ ให้เธอได้
นอกจากจะเป็นหมอรักษาอาการป่วยทางกายของเธอแล้ว เขายังเหมือนผู้ให้ชีวิตใหม่กับเธอด้วย เพราะเขาทำให้เธออยากเป็นคนใหม่...ที่ดีขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอผู้ชายแสนดี หล่อ รวย และรักเรา ฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้ผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์คนนี้หลุดมือไปแน่นอน!
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หญิงสาววางมือจากการรับจ้างเป็นนางละครพันหน้าและพยายามใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ จริงๆ เธอวางมือจากงานนี้ได้ราวสามเดือนแล้ว หากการเป็นคนดีไม่ง่ายอย่างที่คิด จากที่เคยมีรายได้แต่ละเดือนไม่ต่ำกว่าแสน บางเดือนได้มากถึงเจ็ดหลักด้วยซ้ำ หรือบางเดือนไม่มีงานเลยแต่เธอก็ไม่เดือดร้อนเพราะงานเก่ายังให้คุณ แต่ตอนนี้เธอมีแค่เงินเดือนเก้าพันบาทบวกค่าครองชีพอีกสองพันจากการเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ของโรงแรมมณีดิน
นี่ถือว่าเยอะแล้วสำหรับการเริ่มต้นทำงานด้วยวุฒิการศึกษาปริญญาตรี แต่กลับน้อยนิดเหมือนเศษเงินเมื่อเทียบกับรายได้จากงานที่เคยทำ และยิ่งไปกว่านั้นการทำงานสุจริต รับเงินเดือนน้อยนิดตามวุฒิการศึกษา แต่ต้องยอมให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่ถือว่าตนเป็นคนเก่าแก่โขกสับสารพัดก็คือนรกดีๆ นี่เอง
เมื่อเดือนก่อนมีคนเสนองานแบบเดิมให้เธอทำด้วยค่าจ้างที่เห็นแล้วทำให้ตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน เธอไม่อยากกลับไปทำแบบเดิมอีกเพราะมุ่งมั่นจะเป็นคนใหม่เพื่อหวานใจสุดหล่อ แต่ปัญหาก็คือไหนจะบ้าน ไหนจะรถที่เธอดาวน์ไว้และต้องผ่อนจ่ายในทุกเดือนอีก
ถ้าซื้อแบบพอดีตัวก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่เธอเล่นซื้อบ้านราคาห้าล้าน เฉพาะรถยนต์ก็ปาเข้าไปสามล้านเศษแล้ว และไหนจะของแบรนด์เนมที่เธอคลั่งไคล้เป็นบ้าเป็นหลังพวกนั้นอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินซื้อหาทั้งสิ้น และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวตบะแตก กลับมาเป็นพาณิณี รุ่งเรืองศิลป์อีกครั้ง และบอกตัวเองว่านี่คือครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
เงินที่ได้มาจากงานนี้หญิงสาวนำไปโปะค่ารถจนหมดแล้วเมื่อวานตอนบ่าย ถือว่าโล่งอก หมดภาระไปหนึ่งอย่าง แต่ค่าบ้านยังเหลืออีกกว่าสี่ล้านไม่รวมดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายจิปาถะในแต่ละเดือนนั้นเยอะกว่าเงินเดือนปัจจุบันถึงสี่เท่า
นี่ขนาดเพราๆ ชุดสวย กระเป๋า และรองเท้าแบรนด์เนมลงไปตั้งเยอะแล้วนะ!
หญิงสาวถอนใจยืดยาว สีหน้าหดหู่เศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงภาระก้อนโตที่รออยู่ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องขัดจังหวะความคิด ด้วยความตกใจจึงกดรับโดยไม่ได้ดูว่าใครโทร. มา
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงหวานจ๋อยลงไปก่อน ในชีวิตเธอแจกเบอร์ให้คนอื่นนับหัวได้ ถ้าไม่ใช่ที่ทำงานก็ต้องเป็นแฟนหนุ่มนั่นแหละ
“สวัสดีครับคุณพาณิณี ผม...เสี่ยธวัชชัยนะครับ โทร. มาจากเต็นท์เช่ารถ คือว่า...”
ภาวิกาตัวแข็งทื่อ ลดมือถือลงจากหูโดยอัตโนมัติ เธอคิดจะเลิกใช้บริการรถเช่าไปตลอดชีวิตเพราะตั้งใจวางมือจากงานที่เสี่ยงต่ออนาคตอันสดใสของตัวเองแบบถาวร จึงไม่อยากติดต่อกับเต็นท์เช่ารถของเสี่ยธวัชชัยอีก เธอควรจะเปลี่ยนเบอร์ได้แล้ว ไม่น่าลืมเลย
“ฮัลโหลๆ คุณพาณิณีครับ ฟังอยู่รึเปล่าครับ”
เสียงที่ดังลอดออกมาจากลำโพงมือถือทำให้เธอลังเล แม้จะเช่ารถจากที่นี่มาหลายปีโดยไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย แต่คราวนี้เธอกลับรู้สึกกังวลใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้
“ฮัลโหล ได้ยินไหมครับ”
“เอ่อค่ะ ขอโทษที พอดีเปิดทีวีเสียงดังไปหน่อย ไม่ได้ยินที่เสี่ยพูดเลย เมื่อกี้ว่าอะไรนะคะ” สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจตอบโต้กลับไป แต่เธอตั้งใจว่าจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ทันทีหลังจากนี้
“ครับๆ คืออย่างงี้นะครับคุณพาณิณี รถที่คุณเช่าไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามันมีปัญหานิดหน่อย ผมอยากนัดคุณมาดูรอยถลอกที่ข้างรถครับ ไม่ทราบว่าคุณขับไปชนอะไรรึเปล่า มันเป็นรอยยาวมากเลย”
หญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็โทร. มาขอค่าซ่อมบำรุงนี่เอง น่าเบื่อชะมัด...
“แต่ฉันไม่ได้ขับชนอะไรนะคะ เสี่ยให้คนอื่นเช่าต่อแล้วเขาเอาไปชนรึเปล่า ตอนที่เอาไปส่งไม่เห็นมีใครว่าอะไร แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องค่าเสียหายได้ยังไง ฉันเป็นลูกค้าประจำ ใช้บริการเต็นท์เช่าของเสี่ยมานานแล้วนะคะ ฉันรู้ว่ามีขั้นตอนอะไรยังไงในการเช่าและคืนรถ”
ภาวิกาสวนกลับแบบไม่ไว้หน้า ไหนๆ จะเลิกใช้บริการแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ ที่สำคัญเธอมั่นใจว่าไม่ได้ขับไปชนอะไรเลย วันที่เอาไปคืนก็เรียบร้อยดีทุกอย่างแล้วจะมาเรียกร้องทีหลังได้ยังไง คิดจะเอาเปรียบแม่สาวเขี้ยวลากดินอย่างเธอน่ะ ฝันไปเถอะ!
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ พอดีมันเกี่ยวข้องกับพนักงานของผมด้วย รู้สึกจะมีคนแอบเอารถไปใช้ แต่เขาโบ้ยว่ามันเป็นรอยมาจากคุณแล้ว ทีนี้เลยต้องมีการยืนยันกันต่อหน้า คุณจะกรุณามายืนยันด้วยตัวเองได้ไหม ผมจะได้ลงโทษลูกน้องได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีใครว่าได้ ขอร้องละครับ ช่วยผมซักครั้งเถอะ”
เสียงของเสี่ยธวัชชัยฟังดูน่าสงสาร แต่นางละครพันหน้าอย่างภาวิกาไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรีๆ ทุกอย่างในชีวิตที่เธอมีล้วนแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งสิ้น
โลกนี้ไม่มีของฟรี นี่คือสิ่งที่เธอเรียนรู้มาเกือบทั้งชีวิต แล้วมีหรือที่คนอย่างเธอจะรู้จักเห็นใจคนอื่น
“ฉันไม่ว่างหรอกค่ะ ฉันมีงานต้องทำ ไม่มีเวลาไปช่วยเหลือใครทั้งนั้น และที่สำคัญฉันไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์จะได้เที่ยวช่วยเหลือคนอื่นเป็นงานประจำ ขอโทษเถอะค่ะ ฉันไม่มีเวลาแล้ว จะวางสายละนะคะ”
“เดี๋ยวครับเดี๋ยว ได้โปรดช่วยผมซักครั้งเถอะนะ ถ้าคุณต้องการค่าเสียเวลาผมก็จะจ่ายให้ อย่าหาว่าผมดูถูกหรือเอาเงินมาล่อเลยนะครับ แต่ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณจริงๆ ไม่งั้นผมจัดการเรื่องนี้ไม่ได้แน่”
เสียงอ้อนวอนราวกับจะขาดใจตายของเสี่ยธวัชชัยทำให้หญิงสาวเพียงแต่มุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าความเห็นใจหน้าตาเป็นยังไง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้จักคำนี้สักที เพราะเคยชินกับการใช้ชีวิตเพียงลำพัง คุ้นเคยกับการไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง และไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใครมาก่อนจึงไม่คิดว่าเธอจำเป็นต้องช่วยเหลือคนอื่น
แต่ในจังหวะที่กำลังจะตัดรอนเสี่ยรถเช่าอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่รู้สึกผิดสักนิดนั้นก็เหลือบไปเห็นรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทรงสามเหลี่ยมตัดปลายด้วยแท่นวางทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างเก๋ไก๋ ชายหนุ่มที่ยืนข้างเธอในรูปนั้นก็คือคุณหมอรูปหล่อนิสัยดี หวานใจของเธอนั่นเอง เมื่อนึกถึงรอยยิ้มเอื้ออาทรของเขายามที่จ้องมองคนไข้ หญิงสาวก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน
“ก็ได้ค่ะเสี่ย เอาเป็นตอนบ่ายโมงตรงก็แล้วกันนะคะ ฉันจะแวะไปแต่ครู่เดียวเท่านั้นนะ คืนนี้ฉันมีงานสำคัญรออยู่ ต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีกมาก”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก...”
เสี่ยธวัชชัยพรั่งพรูคำขอบคุณออกมาอีกยาวเหยียดราวกับเธอได้ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ภาวิกาไม่สนใจจะฟัง เธอกดวางสายแล้วเดินไปหยิบรูปหวานใจขึ้นมากอดแนบอกพร้อมรอยยิ้มเคลิบเคลิ้ม
“หมออิสคะ วิกกี้จะเป็นคนใหม่เพื่อหมอนะ”
เตชิตรีบแต่งตัวออกจากบ้านหลังได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยธวัชชัยเรื่องแม่สาวชุดดำ วันนี้เขาจะดูหน้าเธอให้ชัดและจะตามไปให้ถึงแหล่งกบดานของหญิงสาว จากนั้นต่อให้ต้องสวมบทมหาโจรสุดโหด เขาก็ต้องเค้นคอเอาความจริงจากปากเธอให้ได้
ชายหนุ่มช่วยเสี่ยธวัชชัยซักซ้อมบทบาทเพื่อแสดงละครตบตาแม่นางละครคนเก่งจนเสี่ยรถเช่ายิ่งเชื่อสนิทใจว่าเตชิตเป็นผู้กำกับดังจริงๆ เมื่อถึงเวลานัดพบ เขาก็หลบไปรอในรถยนต์ส่วนตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสะกดรอยอย่างจริงจัง
ทันทีที่เห็นมินิคูเปอร์เอสสีแดงคาดดำแล่นเข้ามาจอดหน้าเต็นท์เช่าเขาก็อดจะเหลือบมองไม่ได้ นึกสงสัยว่าคนที่ขับรถราคาแพงขนาดนี้จะแวะมาเต็นท์เช่ารถทำไม แต่เมื่อร่างเพรียวระหงของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมายืนอวดเรือนร่างงดงามสมส่วนด้วยมาดราวกับนางพญาเท่านั้นแหละ สายตาของเขาก็เบนไปทางไหนไม่ได้อีกเลย
‘ชัด’ และ ‘ชัวร์’ ที่สุด เมื่อเจ้าหล่อนสวมแว่นกันแดดสีดำที่ปกปิดใบหน้าไปเกือบครึ่งเอาไว้ ภาพนี้ซ้อนทับภาพของแม่สาวชุดดำได้พอดิบพอดีราวกับการวางจิ๊กซอว์ลงไปในช่องสุดท้ายและทำให้ภาพนั้นเสร็จสมบูรณ์
“ยายปีศาจชุดดำ!” ชายหนุ่มคำรามในลำคอ มือกำพวงมาลัยแน่น เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่อยากจะลงไปบีบคอเธอให้หายแค้น แล้วค่อยเค้นเอาความจริงทีหลัง (ถ้าเธอไม่ขาดใจตายไปซะก่อน) ด้วยความอดทนยิ่งยวด
เมื่อร่างระหงเดินเข้าไปในส่วนของออฟฟิศแล้วชายหนุ่มก็รีบลงมาดูป้ายทะเบียนรถของหญิงสาวไว้เป็นตัวประกัน เผื่อเกิดความผิดพลาดในระหว่างการสะกดรอยตาม
“คราวนี้เธอเสร็จฉันแน่!”
เขาหัวเราะหึๆ ด้วยความสะใจ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมใกล้เคียงกับบทมหาโจรสุดโหดที่คิดว่าอาจจะต้องเล่นในวันนี้เลยทีเดียว
เมื่อคนที่รอคอยผลักประตูห้องทำงานเข้ามา เสี่ยธวัชชัยก็รีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ไม่ค่อยแจ่มใสนัก ทว่าเขาก็จำบทที่เตชิตให้ซ้อมพูดได้จนขึ้นใจ
“ต้องขอบคุณคุณพาณิณีมากนะครับที่อุตส่าห์เสียเวลามา แต่พนักงานคนนั้นยอมรับผิดและขอลาออกไปแล้วก่อนหน้าที่คุณจะมาถึงไม่กี่นาที ผมกำลังจะโทร. บอกก็ไม่ทัน ถ้ายังไงผมจะจ่ายค่าเสีย...”
หญิงสาวเชิดหน้าน้อยๆ และยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ แม้จะฉุนนิดหน่อยที่ตั้งใจมาทำความดีแต่กลับเสียเวลาเปล่า หากเธอก็โล่งใจที่ไม่ต้องเสียเวลานานนัก
“โอเคค่ะ เป็นอันว่าหมดปัญหาแล้ว อย่ามาพูดกับฉันเรื่องค่าเสียเวลา เล็กน้อยแค่นี้ช่วยเหลือกันได้ก็ควรทำ คนเราสวยอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีน้ำใจด้วยถึงจะน่ารัก จริงมั้ยคะ”
รอยยิ้มหวานหยดของสาวสวยทำให้เสี่ยธวัชชัยได้แต่พยักหน้าเงอะงะ พูดอะไรไม่ออกเพราะมัวแต่ตกตะลึงกับใบหน้างดงามหลังแว่นกันแดดสีดำที่เจ้าหล่อนเพิ่งถอดออกเพื่อโปรยยิ้มให้เขาโดยเฉพาะ
“จากนี้ไปฉันคงไม่ได้มาใช้บริการรถเช่าของเสี่ยอีกแล้ว ขอให้กิจการรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ ถ้ายังไงขอสำเนาบัตรประชาชนคืนด้วยค่ะ” เธอแบมือไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มหวานแต่ดุ บอกถึงความจริงจังเป็นอย่างมาก
เสี่ยใหญ่ถึงกับสะดุ้ง เหงื่อแตกพลั่ก เพราะสิ่งที่หญิงสาวต้องการตอนนี้ไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว “เอ่อ...คือ...คือว่า...”
ภาวิกาหรี่ตาลึก จ้องมองเสี่ยร่างท้วมใบหน้าอวบอูมที่อยู่ในภาวะหวาดผวาด้วยความสงสัย ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเธอว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
“อยู่ไหนล่ะคะเสี่ย สำเนาบัตรประชาชนที่ฉันเคยใช้ในการเช่ารถน่ะ ขอคืนด้วยค่ะ” เธอยื่นมือไปแทบจะชนอกอูมๆ ของอีกฝ่าย สีหน้ามุ่งร้ายแบบไม่แคร์สื่อ
“มะ...มันหายไปแล้ว” อีกฝ่ายทนแรงกระตุ้นจากความหวาดผวาไม่ไหว รีบตอบตะกุกตะกัก เพราะผู้กำกับดังคนนั้นไม่ได้บอกว่าเขาควรจะพูดอะไรบ้างในกรณีนี้
“หาย...รู้ได้ยังไงว่าหาย ในเมื่อยังไม่ได้หา!” หญิงสาวกัดฟันถามเสียงเข้ม รู้ทันทีว่าเรื่องนี้มีอะไรผิดปกติแน่นอน
“คือ...”
“เสี่ยเอาไปทำอะไร ใช้สำเนาบัตรประชาชนของฉันทำเรื่องผิดกฎหมายใช่มั้ย ต้องใช่แน่ๆ เลย กล้าดียังไงทำกับฉันแบบนี้ฮะ วอนซะแล้ว ไม่เคยตายใช่มั้ยไอ้หมูตอนน่าเกลียด!”
หญิงสาวกัดฟันกรอด บีบคออีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย เสี่ยธวัชชัยร้องลั่นเหมือนหมูถูกเชือดคอ พยายามแกะมือเธอออก หากก็ไม่เป็นผลเพราะภาวิกากำลังโมโหเลือดขึ้นหน้าจึงมีเรี่ยวแรงมหาศาล เมื่อขาดอากาศหายใจนานๆ เสี่ยใหญ่ก็ชักจะทนไม่ไหว ผลักหญิงสาวด้วยแรงเฮือกสุดท้ายอย่างไม่ปรานี ทั้งที่ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงมาก่อน
ภาวิกากระเด็นไปติดข้างผนังห้องจนจุกแอ้ก ก่อนจะเหลือบไปเห็นแจกันลายครามขนาดเหมาะมือจึงถลันไปคว้าไว้ หวังจะเขวี้ยงใส่หัวอีกฝ่ายให้เลือดสาดค่าที่บังอาจทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่แสนจะอ่อนแอน่าทะนุถนอมเช่นเธอ
เสี่ยธวัชชัยเห็นแล้วถึงกับตาโต ส่งเสียงร้องลั่นออฟฟิศ “อย่านะอย่า ของมันแพง บอกแล้ว ยอมบอกแล้ว วางแจกันลงก่อนเถอะแม่คู้ณ ยอมสารภาพแล้ว ฮือๆ ลูกพ่อ...”
พนักงานที่อยู่ด้านนอกกรูกันเข้ามาดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าแตกตื่น ภาพที่เห็นคือเจ้านายของตนกำลังคุกเข่าอ้อนวอนลูกค้าสาวสวยที่ยืนหอบหายใจหนักๆ อยู่กลางห้องพร้อมชูแจกันแสนรักของเสี่ยขึ้นสูง สีหน้าของเธอเกรี้ยวกราดราวกับโกรธใครมาสักร้อยชาติได้
“ไม่มีอะไร ออกไปได้!” เสี่ยตวาดลั่น เก๊กหน้าดุใส่ลูกน้องแล้วถลันไปปิดประตูโครมใหญ่ รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่สุด ใบหน้าอวบอูมแดงก่ำขณะหันกลับมาสบตาแม่สาวบ้าดีเดือดคนนี้อีกครั้ง
“ผมบอกความจริงทั้งหมดก็ได้ แต่คุณอย่าเอาเรื่องผมเลยนะ แล้วก็วางแจกันลงก่อน ขอร้องละ”
“ไม่ มีอะไรจะสารภาพก่อนตายก็ว่ามา แต่ถ้าสิ่งที่ฉันคิดเป็นเรื่องจริงล่ะก็...” เธอหยุด แสยะยิ้ม มองแจกันลายครามเก่าแก่ที่อยู่ในมือแล้วกระแทกเสียงเพื่อความสะใจ “แหลก!”
เสี่ยใหญ่หลับตาครางอย่างอึดอัดขัดใจอยู่ในลำคอ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
นี่มันคราวซวยอะไรนักหนาวะ ทั้งผู้กำกับดังจอมข่มขู่ ทั้งว่าที่นางเอกสาวจอมบ้าเลือด ทำไมจะต้องมาพบคนพวกนี้ด้วย ถ้าหลุดจากเงาราหูนี้ไปได้ เห็นทีจะต้องทำบุญล้างซวยเก้าวัดเก้าวา!
เสี่ยธวัชชัยสารภาพความจริงเรื่องผู้กำกับชื่อดังให้หญิงสาวฟังจนหมดเปลือก และตบท้ายด้วยการอ้อนวอนขอความเห็นใจจากเธอ เขาเข็ดจนตาย สาบานว่าต่อไปใครเอาเงินกินเปล่ามาให้อีกต้องปฏิเสธเสียงแข็งท่าเดียว ไม่งั้นความซวยจะมาเยือนเหมือนวันนี้
ภาวิกาหรี่ตาครุ่นคิดถึงผู้กำกับชื่อดังที่เสี่ยใหญ่เอ่ยถึง ก่อนจะหลับตาลงพร้อมเสียงครางในลำคอเมื่อแน่ใจว่าเขาคือใคร
‘กัดไม่ปล่อยจริงๆ นะ ไอ้คนซาดิสม์!’
“แปลว่าตอนนี้ผู้กำกับดังของเสี่ยก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นสิ?” หญิงสาวเน้นทีละคำด้วยความโมโหที่พยายามระงับไว้
“ใช่ๆ เขารอเพื่อสะกดรอยตามคุณกลับไปที่บ้าน ถ้ายังไงคุณก็รับแสดงเป็นนางเอกหนังให้เขาเถอะนะ ท่าทางเขาจะไม่เอาใครแล้วจริงๆ” เสี่ยรถเช่าช่วยไกล่เกลี่ย ถ้าทั้งสองคนตกลงกันได้ ชีวิตเขาก็จะปลอดภัยด้วย
“รับเหรอ?” เธอย้อนเสียงสูง รู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายเดือดปุดๆ สุดระงับแล้ว เพราะความโลภของผู้ชายคนนี้บวกกับความอยากจะเป็นคนดีเพื่อหวานใจแท้ๆ ที่ทำให้เธอออกมาติดกับเตชิตอย่างง่ายดาย
‘ภาวิกานะภาวิกา เธอมันโง่จริงๆ เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด ทีนี้ก็จำไว้ ต่อไปอย่าได้คิดจะช่วยเหลือใครอีกเลยชาตินี้!’
“ใช่ๆ รับๆ ไปเถอะนะ ได้ค่าจ้างแล้วก็อาจจะดังและมีชื่อเสียงด้วย มีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น” เสี่ยรถเช่ารีบยกมือเป็นฝ่ายสนับสนุนทันที
ภาวิกายิ้มหวาน พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ “เห็นแก่เสี่ยเลยนะคะเนี่ย รับก็รับ”
ว่าแล้วแจกันลายครามในมือก็หล่นตุ้บลงบนพื้นทันใด เกิดเสียงดังและมีเศษกระเบื้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นับชิ้นไม่ได้ เธอแสร้งทำหน้าเศร้า “อ้าว...ทำไมไม่รับล่ะคะเสี่ย?”
เสี่ยใหญ่แทบจะทรุดเข่าลงไปแดดิ้นกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อแจกันสุดรักสุดหวงเหลือเพียงเศษซากกระจุยกระจายอยู่บนพื้น
“แสนห้าคงพอซื้อแจกันแบบนี้ได้ซักสองสามใบนะคะเสี่ย” หญิงสาวเหยียดปากเย้ย ก่อนจะสวมแว่นดำแล้วก้าวฉับๆ ออกไปจากที่นี่อย่างด่วนจี๋
ไม่มีทางเลือกสำหรับเธออีกแล้ว ยังไงซะวันนี้ก็ต้องหนีแบบซึ่งหน้า!
เมื่อเห็นร่างเพรียวระหงเดินออกมาจากออฟฟิศ เตชิตก็สวมแว่นดำและเตรียมพร้อมสำหรับการไล่ล่าไปให้ถึงรังศัตรูโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วว่ามีคนคอยจะสะกดรอยตาม ทันทีที่มินิคูเปอร์คันงามเคลื่อนตัวจากเต็นท์เช่ารถ ฟอร์จูนเนอร์สีดำก็เคลื่อนตัวตามไปช้าๆ ไม่ใกล้มาก หากก็ไม่ไกลจนตามไม่ทัน
ภาวิกาหรี่ตามองฟอร์จูนเนอร์คันงามที่แล่นตามมาตั้งแต่เต็นท์เช่ารถของเสี่ยธวัชชัยจากกระจกมองหลัง ริมฝีปากอิ่มบิดเบ้เยาะเย้ยขณะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ บนถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศไทย
“อยากจะลองดีกับฉันนักใช่มั้ย ได้...คนสวยจัดให้!”
รถราบนถนนเส้นนี้ไม่เยอะนักเนื่องจากเป็นวันธรรมดาและไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน หญิงสาวหักพวงมาลัยแฉลบไปทางซ้าย ก่อนจะย้ายมาทางขวา ปาดไปปาดมาเพื่อขึ้นแซงรถคันหน้าไปเรื่อยๆ คล้ายกำลังไต่ระดับพุ่งสู่เส้นชัยในสนามแข่งรถ สักพักเธอก็ทิ้งห่างรถของเตชิตไปสักระยะ ก่อนจะทอดจังหวะให้เขาตามทันอย่างใจเย็น
หญิงสาวทำงานที่เสี่ยงแบบนี้มาหลายปี เริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่สมัยเรียนด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นไม่มีปัญญาซื้อรถขับเองแต่มีปัญญาเช่าก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นฝีมือในการขับรถของเธอจึงเรียกว่าไม่ธรรมดา หากคิดจะเอาดีทางด้านนี้ก็น่าจะรุ่งเลยทีเดียว
เตชิตมุ่นคิ้วเมื่อนางละครของเขาซิ่งรถบนถนนที่ไม่ใช่สนามแข่งได้อย่างน่าทึ่ง บางจังหวะเจ้าหล่อนก็พุ่งพรวดไปด้านหน้าราวพายุ หากบางจังหวะก็คล้ายจะขับสบายๆ กินลมชมวิวไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อน และบางทีก็คล้ายว่าเธอกำลังรอให้ใครสักคนแซงหน้าไป
เขาเริ่มมั่นใจว่าคิดถูกเมื่อรถเล็กแต่ราคาแสนแพงคันนั้นผ่อนความเร็วลงมาอยู่ในระดับเดียวกันในช่วงที่รถราเริ่มหนาตาขึ้น กระจกรถของเธอถูกลดลง ใบหน้าภายใต้แว่นดำหันมามองเขาพร้อมรอยยิ้ม ‘ยั่ว’
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เพิ่งจะเข้าใจว่าหญิงสาวรู้ตัวตั้งแต่อยู่ที่เต็นท์เช่ารถ และที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือเขาเพิ่งรู้ตัวว่าถูกท้าทายซึ่งหน้าจากแม่สาวชุดดำจอมแสบ
“แน่จริงก็จับฉันให้ได้สิ” ภาวิกาขยับริมฝีปากบอกเขา อีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน แต่เธอเชื่อว่าเขาจะเข้าใจ ก่อนเหยียดยิ้มแล้วโบกมือยั่วโมโห จากนั้นก็เหยียบคันเร่งเพื่อออกตัวนำไปก่อนอย่างท้าทาย
“ซ่านักเหรอยายตัวแสบ เราได้เห็นดีกันแน่!” เขาคำรามก่อนจะเหยียบคันเร่งตามไปอย่างไม่ยอมแพ้
หากเป็นสนามแข่งรถคงสะดวกในการไล่จี้เอาชนะกันมากกว่านี้ แต่นี่คือท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถรามากมายให้ระมัดระวังจึงไม่ง่ายเลยที่เตชิตจะไล่กวดหญิงสาวไปให้ทันในเวลาอันรวดเร็ว
เธอได้เปรียบกว่าด้วยพาหนะคันเล็กกะทัดรัด สะดวกแก่การเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและหาช่องพักระหว่างที่มีรถสวนมา หลายครั้งที่เขาเกือบจะพารถสุดที่รักไปจูบกับรถคนอื่นเข้า แต่เหมือนว่าดวงยังไม่ถึงฆาตทำให้รอดหวุดหวิดทุกครั้งไป
แม่สาวชุดดำเองก็เช่นกัน การแข่งรถบนถนนที่ใช้จริงไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่กับเธอเอง หากมันก็ท้าทายและทำให้ร่างกายตื่นตัวกระฉับกระเฉง เกิดความรู้สึกสนุกสนานเหมือนว่าได้ปลดปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่ และตอนนี้เธอก็บอกได้เต็มปากว่าสนุกเป็นบ้า!
“คราวนี้สนุกแน่ ตามมาเลยไอ้หนู” เธอพึมพำกับตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ก่อนจะหักเลี้ยวไปบนถนนอีกเส้นด้วยความว่องไวจนอีกฝ่ายแทบเลี้ยวตามไม่ทัน จากนั้นไม่นานก็ตัดขึ้นทางด่วนเพื่อสะดวกต่อการประลองความเร็วมากยิ่งขึ้น
“เล่นแบบนี้ใช่มั้ยยายตัวแสบ” เขาคำราม ก่อนจะไล่จี้ท้ายรถคันเล็กไปติดๆ เมื่อไม่มีรถคันอื่นแทรกกลางระหว่างรถของเขาและเธอแล้วรอยยิ้มสะใจก็ผุดขึ้นบนใบหน้า “เธอเสร็จฉันแน่!”
แต่แล้วเขาก็ต้องครางกระหึ่มในลำคอเมื่อแม่สาวตีนผีกระชากรถจากไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เธอตัดหน้ารถอีกคันด้วยจังหวะที่ทำเอาเขาต้องกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
เสียงบีบแตรด่าดังลั่นถนน หากหญิงสาวก็หาได้แคร์ไม่ เธอแซงหน้ารถคันต่อไปแบบไม่ชะลอความเร็ว ปาดซ้ายปาดขวาอย่างน่าหวาดเสียว
“อย่างนี้ก็สนุกละ” ถึงขนาดนี้แล้วชายหนุ่มก็ยอมแพ้ไม่ได้เช่นกัน เขาเหยียบคันเร่งหวังจะแซงแม่สาวตีนผีขึ้นไปให้ได้ โชว์ลีลาปาดซ้ายปาดขวาแบบไม่ยอมน้อยหน้าเธอเช่นกัน
“หมดเวลาเล่นสนุกแล้วลูกแม่”
ภาวิกาเผยยิ้มเครียดๆ เมื่อมองเห็นทางแยกฝั่งซ้ายมืออยู่ห่างออกไปห้าร้อยเมตรก่อนจะเหลือบตาดูกระจกมองหลัง และเมื่อเห็นว่าเขาจวนจะแซงหน้าเธอไปได้ภายในไม่กี่เมตรนี้ก็เร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อไม่ให้เขาตามทัน
“ฉันขยี้เธอแหลกแน่!”
เตชิตกำลังบ้าระห่ำกับการคว้าชัยชนะจึงไม่ทันคิดว่าแม่สาวชุดดำมีแผนซ้อนแผนรอคอยอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่เขาคิดในตอนนี้คือเป็นตายร้ายดีก็จะปราชัยให้แก่นางละครจอมแสบอย่างเธอไม่ได้
เมื่อได้จังหวะในการแซงชายหนุ่มก็เร่งความเร็วขึ้นอีก รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นเมื่อรู้สึกว่าส่วนหน้าของฟอร์จูนเนอร์คันงามกำลังจะพุ่งไกลกว่าส่วนหน้าของมินิคูเปอร์คันจิ๋ว
“เยส!”
เขาชูกำปั้น ส่งเสียงร้องดังลั่นรถด้วยความสะใจแบบสุดเหวี่ยงที่เป็นฝ่ายนำเธอบ้าง หากแล้วก็ต้องหุบยิ้มลงก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ เลิ่กลั่กร้อนรน เมื่อเหลือบดูกระจกมองข้างฝั่งซ้ายมือแล้วพบว่ามินิคูเปอร์คันงามหายลับไปกับทางแยกด้านซ้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ภาวิการะเบิดหัวเราะออกมาด้วยความสะใจอย่างที่สุด “ลาก่อนเด็กน้อย คิดจะวิ่งตามฉันเหรอ ไปฝึกอีกซักสิบชาติก่อนเหอะ ฮ่าๆๆ”
เตชิตกัดฟันกรอด ทุบพวงมาลัยรถด้วยความเดือดดาล ใบหน้าแดงก่ำและบูดบึ้งขึ้งเคียดอย่างน่ากลัว นึกอยากกรีดร้องเหมือนนางอิจฉาในละครเพื่อระบายความโกรธแค้นที่สุมแน่นในอกออกมาบ้าง หากที่ทำได้เพียงส่งเสียงครางขัดใจในลำคอ เจ็บใจสุดบรรยายจริงๆ
ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าที่ชายหนุ่มจะสามารถสงบจิตสงบจิตที่เดือดพล่านลงได้บ้าง เมื่อสติเริ่มคืนกลับมาเขาก็รีบหยิบมือถือมาติดต่อปริญญ์อย่างเร่งด่วน
“แสบนักนะยายปีศาจชุดดำ แต่อย่าคิดว่าเธอจะหนีฉันพ้น!”
ทันทีที่เพื่อนกดรับ ชายหนุ่มก็รีบกรอกเสียงลงไปอย่างเข้มงวดและจริงจัง “ช่วยตามหาเจ้าของรถคันนึงให้ทีนะปริญญ์”
อีกฝ่ายซักไซ้ไล่เลียงกลับมาจนทราบว่าเกี่ยวข้องกับแม่สาวชุดดำคนนั้นจึงจดป้ายทะเบียนรถพร้อมทั้งสีและยี่ห้อเอาไว้จากคำบอกเล่าของเพื่อน รับปากจะช่วยสืบหาให้พบโดยเร็วที่สุด
“ขอบใจมาก ขอประวัติเจ้าของรถอย่างละเอียดด้วย ฉันต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ รู้ถึงไส้ว่ามีกี่ขดได้เลยยิ่งดี”
สารวัตรหนุ่มหัวเราะมาตามสาย แต่ก็ยอมรับปากอีกตามเคย แล้วบทสนทนาก็จบลงในเวลาอันสั้น แต่ความมุ่งมั่นที่จะไล่ล่าแม่สาวชุดดำของเตชิตไม่มีวันจบสิ้น
เขาตั้งใจว่าชาตินี้ถ้าไม่ได้แก้เผ็ดเธอคืนบ้างจะไม่ยอมตายเด็ดขาด!
ความคิดเห็น