คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ ๑ จากลาชั่วนิรันดร์
ภูแสงจันทร์
พวงพริก
แนว :: โรแมนติก + ดรามา + หวานนิดๆ มั้ง!
๑
จากลาชั่วนิรันดร์
รถตู้สีขาวแล่นไปตามถนนสายหลักจากสนามบินเชียงรายได้ราวครึ่งชั่วโมงก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเส้นเล็ก หายเข้าไปในหมู่แมกไม้ร่มครึ้มสองข้างทาง ‘ปิ่นมณี’ เหลือบมองหลานสาวที่นั่งตื่นตัวอยู่ริมกระจกตั้งแต่ลงจากเครื่องด้วยแววตาเศร้าลึกแต่ไม่พูดอะไร จวบจนรถตู้แล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณวัดเงียบสงบแห่งหนึ่ง ผู้สูงวัยจึงแตะแขนหญิงสาวแผ่วเบาเป็นเชิงให้เตรียมตัว
“ที่นี่ดูสงบจังเลยนะคะ”
‘อินทุภา’ ให้ความเห็น ขณะมองผ่านกระจกด้านข้าง วัดนี้ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ทั้งใหญ่เล็ก นกน้อยโผบินจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นได้อย่างเสรี แม้ยังไม่ลงจากรถก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงนกร้อง วัดนี้ทั้งสงบ ร่มรื่น และใกล้ชิดธรรมชาติ เหมาะอย่างยิ่งแก่การนอนพักชั่วนิรันดร์
“วัดต่างจังหวัดแถมอยู่ลึกก็อย่างนี้แหละ เป็นเรื่องดีที่ความศิวิไลซ์ยังมาไม่ถึง ป้าอยากให้แสงจันทร์หลับอย่างสงบจริงๆ ซะที”
แววตาของผู้เป็นป้ามีรอยเศร้าลึกจนอินทุภาต้องเบือนหน้าหนี บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับการจากไปของคนที่...จะว่ารู้จักก็ไม่ใช่ หรือไม่รู้จักก็ไม่ใช่อีก แม้ไม่เคยพบเจอหน้า แต่ปิ่นมณีก็เล่าเรื่องของ ‘แสงจันทร์’ ให้เธอฟังมากกว่าเล่าถึงตัวเองเสียอีก
ความผูกพันกับคนที่ไม่เคยพบกันก่อเกิดขึ้นช้าๆ และเติบโตอย่างมั่นคง จนวันหนึ่งเมื่อข่าวร้ายเดินทางมาถึง เธอก็เป็นอีกคนที่รู้สึกเสียใจกับการจากไปของแสงจันทร์ เพียงแต่ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนผู้เป็นป้า แค่มีน้ำตาซึมและใจหาย เหมือนบางส่วนของชีวิตหลุดลอยไป
อาจเป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้จักกับคำว่า ‘สูญเสีย’ เพราะในชีวิตนี้แทบไม่มีใครให้เธอต้องสูญเสียอีกแล้ว นอกจากป้าปิ่น
หญิงสาวกดข่มอารมณ์หม่นมัวของตัวเอง มองไปรอบด้านอีกครั้ง บริเวณลานวัดมีรถยนต์จอดประปราย เห็นผู้คนแต่งชุดดำจำนวนหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ศาลาใกล้เมรุ ใต้เต็นท์ใหญ่นับสิบตัวมีเก้าอี้จัดวางเป็นระเบียบ ทว่าไร้เงาแขกเหรื่อผู้มาร่วมงาน เห็นแล้วก็โหวงเหวงแปลกๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่อินทุภาได้มาร่วมงานศพแบบไทยซึ่งจัดขึ้นห่างไกลจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร เธอจึงไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเจอกับบรรยากาศแบบไหน แต่วินาทีนี้ได้รู้ซึ้ง ขึ้นชื่อว่างานศพให้จัดเตรียมยิ่งใหญ่เพียบพร้อมเพียงใดก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำได้เพื่อคนที่จากไปแล้วตลอดกาล
“เรามาถึงก่อนเวลานิดหน่อย อีกเดี๋ยวคนคงแห่กันมาเต็มวัด ไปเถอะจ้ะ” ปิ่นมณีชี้แจงเพราะรู้ว่าหลานสาวไม่คุ้นชินกับงานพิธีการแบบไทย เปิดประตูรถลงไปและขอบคุณคนที่ขับรถไปรับเธอกับหลานสาวถึงสนามบิน
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว อีกอย่างคุณปิ่นกับคุณแสงจันทร์ก็เป็นเพื่อนรักกัน คุณภูให้ผมดูแลพวกคุณเป็นอย่างดี เชิญที่ศาลาเถอะครับ” ชัยยศตอบรับนอบน้อม เขาไม่ใช่คนขับรถ แต่เป็นพนักงานคนหนึ่งของรีสอร์ตภูแสงจันทร์มาสามปีแล้วจึงรู้จักปิ่นมณีดี
สองป้าหลานเดินเคียงกันไปยังศาลาการเปรียญเพื่อรวมกลุ่มกับเจ้าภาพที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมงานก่อนถึงเวลาเผา
อันที่จริงปิ่นมณีควรมาถึงก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว เธอน่าจะมาทันดูใจเพื่อนรักด้วยซ้ำ แต่เพราะแสงจันทร์ไม่ยอมให้ ‘ภูริช’ ส่งข่าวร้ายถึงเธอจนกว่าจะถึงวันเผา เธอจึงยังเริงร่ากับการชอปปิงที่ปารีสจนถึงเมื่อวันก่อน
ทันทีที่ปิ่นมณีกลับถึงเมืองไทยก็ได้รับข่าวร้ายจากลูกชายของเพื่อนรัก ภูริชบอกเธอทางโทรศัพท์ว่าแสงจันทร์เสียได้สามวันแล้ว และพรุ่งนี้เป็นวันเผา นี่เป็นจุดประสงค์ของผู้เป็นแม่ที่จะให้เพื่อนรักได้บอกลาเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่ต้องเสียเวลามาร่วมฟังพระสวดถึงสามวันสามคืน
ถ้าไม่ใช่เวลาแบบนี้เธอก็จะตำหนิชายหนุ่มอยู่เหมือนกัน แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดเขาก็เถอะ เธอรู้จักแสงจันทร์ดี เข้าใจว่าเพื่อนไม่อยากให้ยุ่งยากวุ่นวาย แต่เรื่องเป็นเรื่องตายไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสักหน่อย จะจากกันตลอดกาลแบบนี้ยังจะมาคิดเรื่องเกรงอกเกรงใจอยู่อีก เชื่อเขาเลยจริงๆ
ปิ่นมณีคิดไปก็น้ำตาซึมจนต้องกรีดปลายนิ้วที่หางตาและสูดน้ำมูกแรงๆ เธอรู้จักแสงจันทร์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น สนิทสนมมาหลายสิบปี รู้น้ำใจกันดีที่สุด แค่คิดว่าจากนี้ไปจะไม่มีแสงจันทร์อีกแล้ว น้ำตาก็พานจะไหลออกมาอีก ทั้งที่เมื่อคืนก็ได้ร้องไห้ฟูมฟายไปบ้างแล้ว แต่การทำใจคงต้องอาศัยเวลาช่วยเยียวยา เธอเองยังเศร้าหมองถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าภูริชจะเสียใจสักแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเก็บกลืนคำตำหนิกลับลงคอในตอนที่ชายหนุ่มแจ้งข่าวร้าย
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าศาลาก็พบสตรีต่างวัยสองคนกำลังช่วยกันแกะถุงใส่ดอกไม้จันทน์ออกมาจัดวางบนถาดเงิน พอเห็นพวกเธอ ทั้งสองคนก็วางมือจากงานและไหว้ทักทาย
ปิ่นมณีแนะนำให้อินทุภารู้จักคนสูงวัยก่อน นางคือป้าเจียม เป็นแม่บ้านที่อยู่กับครอบครัวของแสงจันทร์มานานแล้ว
อินทุภาประนมมือไหว้ ทักทายเพียงผิวเผินเพราะเห็นกำลังยุ่งกันอยู่ แล้วผู้เป็นป้าก็แนะนำให้เธอรู้จักคนอ่อนวัยกว่า เป็นผู้หญิงรูปร่างบอบบาง ใบหน้าชวนมอง มองแล้วให้ความรู้สึกเพลินตาเพลินใจเหมือนนั่งอยู่ริมน้ำ เธอไม่เคยพบใครที่ให้ความรู้สึกเย็นชื่นแบบนี้มาก่อน
“นั่นหนูกลีบบัวจ้ะ หลานสาวของพี่แสงดาว”
เธอส่งยิ้มให้ ‘กลีบบัว’ อย่างเป็นมิตร แม้จะไม่เคยเหยียบย่างมาถึงเชียงราย แต่อินทุภาเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของแสงจันทร์และครอบครัวมาพอควร จึงรู้ว่า ‘แสงดาว’ เป็นพี่สาวของแสงจันทร์ เมื่อกลีบบัวเป็นหลานสาวของแสงดาวก็เท่ากับเป็นหลานของแสงจันทร์ด้วย แต่ทำไมป้าปิ่นจึงแนะนำแบบนั้น
หญิงสาวเก็บความข้องใจเอาไว้ นี่ไม่ใช่เวลามาติดใจกับคำพูดแค่ประโยคเดียว บางทีป้าปิ่นอาจจะแนะนำโดยไม่ทันคิดก็ได้
“พี่ภูอยู่ทางโน้นค่ะน้าปิ่น”
กลีบบัวบุ้ยใบ้ไปข้างในสุดของศาลา อินทุภามองตาม เห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดดำโดดเด่นขึ้นมาทันที ข้างเขามีผู้ชายท่าทางนอบน้อมยืนอยู่ด้วย ใกล้กันนั้นคือพระภิกษุสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่ง ทั้งสามหันหน้าไปทางเมรุเหมือนกำลังปรึกษาหารือกันเรื่องขั้นตอนพิธีการต่างๆ
“อ้อ จ้ะ ขอบใจมาก ตาภูคงกำลังคุยเรื่องพิธีการกับหลวงพ่อ น้าไม่อยากกวน มีอะไรให้ช่วยไหม บอกมาเลยนะ อย่าคิดว่าเป็นแขก”
“ไม่มีหรอกค่ะ วันนี้พนักงานที่รีสอร์ตมาช่วยกันหลายคน น้าปิ่นกับคุณอินไปนั่งก่อนดีกว่า อ้อ เพิ่งมาถึง ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวบัวหยิบให้”
กลีบบัวจัดแจงส่งขวดน้ำดื่มให้ปิ่นมณีกับอินทุภาพร้อมหลอดดูด ในงานแบบนี้การบริการน้ำดื่มแบบตักน้ำแข็งใส่แก้วแล้วรินน้ำตามเป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยาก และยังเปลืองกำลังคนในการจัดการด้วย จึงใช้น้ำขวดเล็กแช่ในถังน้ำแข็งแทน
“ขอบใจจ้ะ” ปิ่นมณีส่งยิ้มให้กลีบบัวอย่างอ่อนโยนพร้อมรับน้ำดื่มมาถือไว้ ก่อนจะชวนหลานสาวไปหาที่นั่ง เพื่อไม่ให้เกะกะคนอื่นทำงาน พอไม่มีแสงจันทร์ เธอก็ไม่ต่างอะไรจากแขกทั่วไป ต่อให้ภูริชยอมรับเธอในฐานะเจ้าภาพก็ยังมีใครคนหนึ่งไม่เห็นด้วย
‘ใครคนนั้น’ กำลังเดินตรงมาทางนี้พร้อมแขกเหรื่อจำนวนหนึ่ง คาดว่าคงเป็นคนสำคัญระดับจังหวัด เมื่อดูจากการแต่งกาย กระเป๋าที่ใช้และกระบังผมที่ตั้งสูงอย่างเห็นได้ชัด
แสงดาวชะงักเพียงเล็กน้อยตอนที่เห็นว่ามีแขกสองคนมาถึงก่อนงานเริ่ม เธอให้หลานสาวพาคณะคุณนายนายอำเภอกับแม่บ้านของลูกน้องในสังกัดไปหาที่นั่งและจัดน้ำดื่มไปบริการ ก่อนแวะมาทักทายปิ่นมณี
“สวัสดีค่ะพี่แสงดาว”
ปิ่นมณียกมือไหว้ก่อน แต่คำทักทายและกิริยานั้นไม่เหมือนคนที่กำลังทักทายพี่สาวของเพื่อนรัก แต่ดูห่างเหินและเป็นทางการจนอินทุภารู้สึกได้
แสงดาวพยักหน้ารับโดยปราศจากรอยยิ้ม ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างปิ่นมณีแทนคำถาม คนถูกมองจึงหันไปทางหลานสาว แนะนำเพียงสั้นๆ
“นี่ยายอิน หลานสาวปิ่นเองค่ะ พี่แสงดาว พี่สาวของแสงจันทร์ไงจ๊ะอิน”
อินทุภาประนมมือไหว้อย่างมีมารยาท เธอรู้สึกถึงความตึงเครียดระหว่างคนทั้งสองได้ชัดเจนจึงสงบปากสงบคำเอาไว้
“เคยได้ยินว่าน้องสาวเธอมีลูกชายแค่คนเดียว แล้วหนูอินนี่เป็นหลานทางไหนล่ะ” แสงดาวมองหน้าปิ่นมณีอย่างขอคำตอบ
เธอรู้จักเพื่อนรักของน้องสาวดีพอควร ด้วยความที่ปิ่นมณีเป็นทายาทคนโตของเจ้าของโรงแรมมณีดิน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลของลูกชาย ‘มนรดี’ น้องสาวของปิ่นมณี เนื่องจากครอบครัวนี้ไม่มีลูกชายและปิ่นมณีก็ยังไม่แต่งงาน ‘เมธี’ น้องเขยของหล่อนจึงเป็นคนดูแลธุรกิจแทนพ่อตา กระทั่งเขาเสียชีวิตลง ‘เมธาดล’ ลูกชายคนเดียวจึงเข้ามาดูแลกิจการโรงแรมทั้งหมด แต่เธอไม่เคยรู้ว่าปิ่นมณีมีหลานสาว
“เด็กกำพร้าที่ป้าปิ่นเมตตาอุปการะไว้ค่ะ” อินทุภาเป็นคนตอบ ด้วยเกรงผู้เป็นป้าจะลำบากใจ ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของเธอ แต่ที่ป้าปิ่นไม่รู้คือเธอไม่ได้เจ็บปวดกับความจริงข้อนี้ อย่างน้อยก็ไม่เจ็บปวดเท่าที่ผู้เป็นป้าคิด เธอเข้มแข็งกว่านั้นมาก
แสงดาวนิ่งไปนิด ก่อนเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “อ้อ งั้นเหรอจ๊ะ ขอบใจที่มานะ เชิญตามสบาย วันนี้แขกเยอะ คงไม่มีเวลาต้อนรับ หวังว่าจะไม่ถือสากัน”
ปิ่นมณียิ้มตอบ “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ปิ่นรู้ดีว่าจะดูแลตัวเองยังไง เชิญพี่แสงดาวไปรับแขกเถอะ เริ่มทยอยมากันแล้ว”
แสงดาวผละไปทันทีเหมือนว่าเธอไม่มีธุระตรงนี้อีกแล้ว ขณะที่ปิ่นมณีนั่งเฉย ไม่พูดถึงพี่สาวของแสงจันทร์อีก
อินทุภาเข้าใจว่าทั้งสองคนคงไม่กินเส้นกันอย่างแรง และเวลานี้ก็ไม่เหมาะจะหาคำตอบ หรือไม่บางทีพรุ่งนี้เธอก็อาจจะลืมไปแล้ว หญิงสาวไม่มีนิสัยชอบเก็บเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจพอๆ กับที่ไม่ชอบหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเองนานๆ และที่ที่เธอเติบโตมาก็เอื้อให้ใช้ชีวิตแบบนั้น
แขกเหรื่อเริ่มทยอยมาร่วมงาน อินทุภาเพิ่งสังเกตว่ารอบเมรุพราวไปด้วยดอกลีลาวดีสีขาว กลิ่นหอมอบอวลลอยมาตามลม เธอรับรู้ได้ตั้งแต่เดินเข้ามาในศาลา เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสมองหาที่มาเท่านั้น เดาว่าคนที่จากไปแล้วคงชอบดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ
เธอเองก็ชอบเหมือนกัน นับเป็นความบังเอิญที่น่ายินดี เสียดายก็แต่เธอไม่เคยพบเจอคุณน้าแสงจันทร์สักครั้งก่อนถึงวันนี้ วันที่ท่านลาโลกไปอย่างสงบ หมดโอกาสพบเจอพูดคุยกันสืบไป
“สวัสดีครับป้าปิ่น”
เสียงนุ่มทุ้มของใครบางคนดังขึ้น กระชากความคิดไปจากหัวของอินทุภา หันกลับมาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งย่อตัวลงนั่งที่เก้าอี้ถัดจากผู้เป็นป้า เพียงแวบแรกที่สบตาเขาก็รู้ทันทีว่าใช่ผู้ชายตัวสูงที่เธอเห็นเพียงแผ่นหลังก่อนหน้านี้ เขามีบุคลิกที่ดูดีสะดุดตา แม้เห็นได้ชัดจากแววตาคมหม่นว่าอยู่ในอารมณ์โศกเศร้ากับการจากไปของมารดา
ปิ่นมณีรับไหว้พร้อมรอยยิ้มเศร้าที่ส่งให้ชายหนุ่มอย่างคนเข้าใจกันดี เพราะเธอกับเขานับเป็นผู้สูญเสียร่วมกัน “ยุ่งมากเลยสิวันนี้”
“ครับ บัวบอกผมว่าป้าปิ่นอยู่ตรงนี้เลยปลีกตัวมาไหว้ เดี๋ยวต้องไปต้อนรับแขกหน้างาน คงไม่มีเวลาคุยกัน” ชายหนุ่มตอบขรึมๆ แล้วเหลือบมองผู้หญิงอีกคนที่นั่งถัดจากปิ่นมณี
ผู้สูงวัยนึกได้ว่าภูริชกับอินทุภายังไม่เคยเจอกันจึงรีบแนะนำ “อ้อ นี่ยายอินจ้ะ ที่ป้าเคยเล่าให้ฟัง นี่ตาภู ลูกชายของแสงจันทร์จ้ะอิน”
“สวัสดีค่ะพี่ภู” อินทุภาพนมมือไหว้เพราะรู้ว่าภูริชอายุห่างจากเธอหลายปี
ป้าปิ่นเคยเล่าเรื่องของลูกชายคุณน้าแสงจันทร์ให้ฟังอยู่บ้าง แต่ไม่เคยบอกว่าเขามีรูปร่างหน้าตาดีขนาดนี้ และเหนืออื่นใดนัยน์ตาซ่อนโศกคู่นั้นช่างเต็มไปด้วยแรงดึงดูดจนเธอแทบถอนสายตาจากเขาไม่ได้
“เคยได้ยินเรื่องอินจากป้าปิ่นกับคุณแม่มาบ้าง เพิ่งมีโอกาสได้พบกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ภูริชรับไหว้พร้อมรอยยิ้มที่อินทุภารู้สึกได้ว่าเขาพยายามฝืนเต็มที่แล้ว
“ไม่ต้องห่วงป้า ไปดูแลแขกเถอะ ทยอยมากันแล้ว อีกเดี๋ยวเก้าอี้คงไม่พอนั่ง” ปิ่นมณีบอกอย่างเข้าใจ ในงานแบบนี้เจ้าภาพที่เหมือนไม่ได้หยิบจับทำอะไรนั้นวุ่นวายกว่าคนช่วยงานมากนัก เพราะต้องคอยตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เขายกมือไหว้ อีกฝ่ายบีบมือนั้นเบาๆ ส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้
“ทำใจนะภู แสงจันทร์เขาไปสบายแล้ว ดูแลตัวเองด้วย ป้าเป็นห่วง”
“ขอบคุณมากครับป้าปิ่น”
ภูริชลุกจากไปอย่างไม่อิดออด แต่อินทุภาก็รู้สึกได้จริงๆ ว่าชายหนุ่มซาบซึ้งกับความห่วงใยของป้าปิ่นมาก ไม่เสียแรงที่ป้าเธอขึ้นๆ ลงๆ เชียงรายเป็นว่าเล่นเพื่อมาใช้เวลาในวันว่างกับสองแม่ลูกคู่นี้ บางทีเขาอาจจะสนิทสนมและรู้ใจป้าปิ่นมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
หญิงสาวกะพริบตา ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไปก่อนที่มันจะกลายเป็นความริษยา บอกตัวเองว่าเธอได้ทุกอย่างมามากพอแล้ว อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับเด็กกำพร้าคนหนึ่ง เธอต้องพอใจและขอบคุณสวรรค์ที่ประทานทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในวันนี้มาให้
ตะวันราแสงลงแล้วในตอนที่แขกเหรื่อเริ่มทยอยนำดอกไม้จันทน์ไปวางหน้าโลงศพ อินทุภาได้เห็นในที่สุดว่ามีผู้คนแห่แหนกันมาร่วมไว้อาลัยแด่แสงจันทร์จนเต็มเก้าอี้ที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียม มองไปทางไหนก็เจอแต่คนแต่งชุดดำเนืองแน่นเต็มพื้นที่ นับเป็นงานใหญ่งานหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อแขกเริ่มบางตา ปิ่นมณีค่อยสะกิดหลานสาวให้ลุกบ้าง ทั้งสองคนหยิบดอกไม้จันทน์ที่ถาดเงินหน้าบันไดเมรุขึ้นไปสมทบกับเจ้าภาพ ดอกลีลาวดีกระจายกลิ่นหอมฟุ้งจนอินทุภารู้สึกว่ามันหอมกว่าตอนแรกเสียอีก
หญิงสาวเหลือบมองรูปถ่ายหน้าโลงศพ คุณน้าแสงจันทร์เป็นผู้หญิงในวัยสี่สิบห้าที่มีใบหน้าหวานละมุนไปจนถึงดวงตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าของรอยยิ้มอ่อนหวานผู้นี้จะนอนนิ่งไร้วิญญาณอยู่ในโลงศพด้านหลังภาพถ่ายนี่เอง เธอรู้สึกวูบลึกในอกเมื่อเผลอสบดวงตาอ่อนโยนของคนในภาพนานนับนาที
“อินจ๊ะ วางดอกไม้จันทน์ได้แล้วละ”
เสียงเตือนของปิ่นมณีฉุดหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ เธอกะพริบตาถี่ วางดอกไม้จันทน์ที่ถาดหน้าโลงศพ ก่อนจะถอยมายืนข้างผู้เป็นป้า
อินทุภาเพิ่งรู้ว่ามีอีกหลายใบหน้าที่เธอไม่รู้จักอยู่บนเมรุนั้นด้วย หนึ่งในนั้นคือสาวสวยที่เกาะแขนภูริชแจราวกับกลัวว่าหากปล่อยเขาสักนาที ผู้ชายคนนี้อาจจะหลุดลอยไป นั่นทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าหล่อนคงจะเป็นคนรักของชายหนุ่ม
ปิ่นมณีจับมือภูริชอีกครั้งโดยไม่ได้กล่าวอะไร แต่เธอเชื่อว่าชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มอบให้เขา ทั้งสองส่งยิ้มเศร้าให้กัน ครู่เดียวก็ชวนอินทุภากลับไปนั่งที่เดิม ปล่อยให้คนในครอบครัวจัดการพิธีต่อจากนี้
เมื่อกลับมานั่งที่เดิมได้พักหนึ่งอินทุภาก็เหลือบมองขึ้นไปบนเมรุอีกครั้ง รอยยิ้มของคุณน้าแสงจันทร์ในภาพถ่ายเหมือนจะส่งมาให้เธอโดยเฉพาะ สายลมเย็นชื่นพัดกรูมาปะทะใบหน้าพร้อมหอบเอากลิ่นหอมของดอกลีลาวดีลอยมาด้วย เธอชะงัก ใจเต้นผิดจังหวะ
“เป็นอะไรไปจ๊ะอิน”
หญิงสาวกะพริบตา เรียกสติ หันไปทางผู้เป็นป้า
“อินรู้สึกเหมือนภาพของคุณน้าแสงจันทร์ส่งยิ้มให้อินเลยค่ะ ป้าปิ่นว่าอินควรไปพบจิตแพทย์ได้รึยังคะ”
ปิ่นมณียิ้มและบีบมือหลานสาว “แสงจันทร์คงอยากจะบอกลาอินเป็นครั้งสุดท้ายมั้งจ๊ะ”
เธอสบตากับผู้เป็นป้าด้วยความงุนงง แต่อีกฝ่ายก็ตัดบทด้วยวิธีแสนสุภาพ คือผินหน้ากลับไปมองที่เมรุและอยู่ในท่าสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก
อินทุภายังรู้สึกแปลกๆ และอธิบายไม่ถูก แต่ในเมื่อผู้เป็นป้าทำเหมือนไม่อยากพูดถึง หญิงสาวจึงต้องทำตามบ้าง
เธอนั่งสงบนิ่ง ไว้อาลัยให้คุณน้าแสงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างกายของท่านจะถูกเผาไหม้ เหลือไว้เพียงเถ้ากระดูกให้ดูต่างหน้า
ความคิดเห็น