คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : -Chapter lll-
-Chapter lll-
แม้จะอยู่ในช่วงสงครามแต่การไปนั่งชมดอกซากุระก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพราะดอกซากุระจะบานเพียง 1-2 อาทิตย์เท่านั้นแล้วก็จะร่วงโรยหลีกทางให้ดอกไม้อื่นๆได้ออกดอกอวดแก่สายตาผู้คนบ้าง วันนี้คุณน้าโนริโกะเลยพาเม็ดทรายออกมาเที่ยวชมซากุระนานาพันธุ์ที่พากันแข่งขันออกดอกชูช่อสวยงามทำให้ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยสีชมพูคละเคล้าไปกับสีขาว แต่ที่ทำให้เม็ดทรายมีความสุขที่สุดก็คือ โกโบริของเม็ดทรายยอมออกมาเดินเที่ยวด้วยนี่สิ วันนี้ทากะฮิโระคุงมาในชุดยูกาตะสีดำลายใบหลิวมันทำให้ผิวของเขาดูสว่างขึ้นแต่พักนี้ทากะฮิโระก็ดูคล้ำลงไปเยอะเหมือนกัน สงสัยงานจะหนัก....โถ น่าสงสาร
ทากะฮิโระหันหน้ามามองเด็กสาวหน้ากลมแก้มยุ้ยสีชมพูที่มองตนแล้วอมยิ้มมาตลอดทาง เธอคงไม่เต็มอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ แต่ตอนนั้นเธอเป็นลมเพราะหิวข้าวมิใช่หรอ? หรือว่าเราจะขับรถชนเธอจริงๆ ทากะฮิโระเหล่ตามองเม็ดทรายที่ตอนนี้หันหน้าไปมองดูดอกซากุระที่ข้างทางแทน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็สมควรที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนี้
เมื่อเริ่มเดินถึงจุดชมวิวดอกซากุระผู้คนก็เริ่มหนาแน่นจนเบียดเสียด เม็ดทรายพยายามแทรกตัวเข้าไปในงานแต่มันก็แสนจะลำบากสำหรับเด็กสาวตัวเล็กเจ้าของส่วนสูงเพียง150กว่าเท่านั้น
“หมับ” มือของใครคนหนึ่งที่หยาบกร้านยืนมาจับแขนของเม็ดทรายที่เดินเซไปเซมาไว้แน่น
“ระวังหน่อยคนมันเยอะ...ฉันไม่อยากเดินตามหาเด็กหลงทาง”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเย็นชาแต่เม็ดทรายก็อดอมยิ้มไม่ได้ นี่เค้าเป็นห่วงเราด้วยหรอ เม็ดทรายได้ทีเขยิบเข้าไปชิดตัวผู้การหนุ่มที่พาเธอเดินไปจนถึงจุดชมวิวที่สวยที่สุดของที่นี่
“ซากุระเต็มไปหมดเลย”เม็ดทรายยิ้มกว้าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโตด้วยความดีใจ ลานข้างหน้าที่เธอยืนอยู่เต็มไปด้วยกลีบซากุระที่ร่วงโรยลงมาจนเหมือนพรมกลีบดอกไม้สีชมพูที่ดูอ่อนนุ่มและต้นดอกซากุระที่ทอดยาวสุดสายตา
“คิเรอิ”เม็ดทรายหันไปพูดกับผู้การหนุ่มเป็นภาษาญี่ปุ่น ทากะฮิโระพยักหน้ารับแล้วเงยหน้าขึ้นมองดอกซากุระที่บานสะพรั่งอยู่บนต้น
“นี่ ทั้งสองคนมาทานอาหารได้แล้วจ่ะ” โนริโกะกวักมือเรียกทากะฮิโระกับเม็ดทรายที่ยืนอยู่อีกฝั่งให้เข้ามานั่งร่วมวง
“ต้องขอบใจทามะที่มาจองที่นั่งชมวิวตรงนี้ไว้ได้” โนริโกะเทน้ำชาให้ผู้การหนุ่มกับเม็ดทรายที่ยังนั่งเงยหน้าขึ้นมองต้นซากุระที่อยู่เหนือขึ้นไป
“ทามะเข้ามานั่งทานด้วยกันสิ” ทากะฮิโระพูดเชิญทามะหญิงชราแม่ครัวเก่าแก่ของบ้านเข้ามานั่งร่วมวงอีกคน
“ฮานามิ”
“จ้ะ ฮานามิ ”โนริโกะยิ้ม
“ดีที่ยังได้ชมซากุระในช่วงที่มีสงครามเช่นนี้ ถ้านายท่านได้อยู่ชมพร้อมหน้ากันก็คงดีนะเจ้าคะ”ทามะเอ่ยขึ้น
เสียงบรรเลงเพลงที่ดังแว่วมาจากเครื่องขยายเสียงตัวใหญ่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการนั่งชมดอกซากุระในครั้งนี้ ครอบครัวแต่ละครอบครัวพากันเฮฮาสนุกสนานไปกับเสียงเพลงบ้างร้องตามบ้างพากันลุกขึ้นเต้นรำ แต่มันไม่ใช่กับครอบครัวฮานะซากุคำพูดที่ทามะเอ่ยขึ้นคำพูดที่เม็ดทรายไม่เข้าใจ มันทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ ใบหน้าของคุณน้าโนริโกะดูเรียบเฉยลงทันที ทามะคงพูดอะไรสักอย่างที่สะกิดโดนจิตใจของคนกลุ่มนี้เข้าโดยเฉพาะคุณน้าโนริโกะ
“โอ้โห...นี่คุณน้ากับทามะซังเป็นคนทำรึเนี่ย หอมน่ากินจัง”เม็ดทรายหยิบปิ่นโตขึ้นดมพร้อมส่งเสียงดังปลุกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์
“แล้วมันแกะยังไงหล่ะ”เม็ดทรายพยายามแงะที่ปิดล็อคของปิ่นโต
โครม!!”
อาหารทั้งหมดที่อยู่ในปิ่นโตทั้งของแห้งและเปียกหกกระจายลงไปยังตักของผู้การหนุ่ม
“อ่ะ..........”เม็ดทรายมองดูผลงานของตัวเองที่หกเปรอะเละเทอะยูกาตะของทากะฮิโระที่รีบลุกยืนขึ้นด้วยความตกใจ
“เธอ” เสียงพูดของผู้การหนุ่มดังลอดผ่านไรฟันที่ขบกันไว้แน่น เม็ดทรายรีบหนีไปแอบที่หลังของโนริโกะ ทากะฮิโระปัดเศษอาหารออกจากยูกาตะของตนอย่างหัวเสียก่อนนั่งลงตามเดิม
“อย่าโมโหซากุระไปเลยทากะฮิโระ เธอยังเด็กอยู่นะจ๊ะ” โนริโกะยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเม็ดทรายที่หนีผู้การหนุ่มมาซ่อนอยู่ด้านหลังของตน ทากะฮิโระเหล่มองไปทางเม็ดทรายยื่นผ้ามาตนให้ช้าๆ ชายหนุ่มเจ้าอารมณ์ถอนหายใจกับความเปิ่นซุ่มซ่ามของคนที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่มีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัวเลยแม้แต่น้อย
“จะหลบอย่างนั้นไปอีกนานมั้ย”ผู้การหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาพร้อมคลายคิ้วสีดำได้รูปที่ขมวดกันออก เม็ดทรายเมื่อเห็นทีท่าของผู้การหนุ่มดูอ่อนลงจึงรีบคลานกลับมานั่งที่เดิม
“อ๋า...! ที่หก มีซุปสาหร่ายด้วยนี่ ยัยเม็ดทรายเอ้ย ไม่น่าซุ่มซ่ามเลยเรา” เม็ดทรายมองคราบเศษสาหร่ายที่หลงเหลือเปรอะอยู่บนเสื่อ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสดงความเสียดายออกมาชัดเจน
“เมี๊ยว ”
“มิเกะ” ผู้การหนุ่มโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ มิเกะแมวเหมียวสีขาวนวลอ้วนตุ๊ต๊ะเดินเข้าไซ้คลอเคลียเจ้านายของตนไปมาจนพอใจแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนตักของนายหนุ่มพร้อมใช้ปากเลียยูกาตะที่มีกลิ่นอาหารติดอยู่
“ฝ่ากลุ่มคนมาเองรึเนี่ย” โนริโกะทึ่งกับความสามารถของมิเกะแมวที่แสนจะขี้เกียจตัวนี้
“คงเหงาที่โดนทิ้งให้อยู่คนเดียว” ทากะฮิโระเอามือเกาคางมิเกะที่ยื่นหน้าทู่ๆออกและครางออกมาอย่างพอใจ
“ดู ดู๊ ทำเข้า ฮึ” เม็ดทรายจ้องมิเกะตาเป็นมัน
“น่าหมั่นไส้ น่าอิจฉาที่สุดเลย เม็ดทรายก็อยากขึ้นไปนอนตักโกโบริให้สุดที่รักเกาคางให้เหมือนกันนะ เค้าไม่ยอม นี่เราแพ้แมวตุ๊ต๊ะจ้ำม้ำหรอเนี่ย อยากเกิดเป็นแมวแล้วง่ะตอนนี้ เอาตักสุดที่รักของเค้าคืนมานะเจ้าแมวบ้า....” ดวงตาสีน้ำตาลเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาและความเคียดแค้น
“มันต้องเจออย่างนี้” จอมวางแผนการเริ่มวางกลอุบายอันลึกล้ำอีกครั้ง
“มิเกะ มาทางนี้เร็ว เมี๊ยวๆ” เจ้าแมวอ้วนหันหน้ามองไปทางเสียงเรียก เทมปุระชิ้นโตแกว่งไปแกว่งมา เหมียวมิเกะกระโดดลงจากตักของนายหนุ่ม ดวงตาสีฟ้าจ้องมองกุ้งตัวใหญ่ที่โบยบินไปมาอย่างไม่ละสายตา
“เห็นมั้ย ไม่มีใครรักโกโบริ เท่าเม็ดทรายหรอก ดูสิแค่เทมปุระชิ้นเดียวก็ทำให้มิเกะยอมละทิ้งตักอันทรงเสน่ห์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เท่านี้ตักนั้นก็ว่างและจะเป็นของเราเพียงผู้เดียว” เม็ดทรายแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“สวัสดีครับ”
เสียงทุ้มของชายที่ไม่คุ้นเคยดังทักขึ้น ทุกคนวางมือจากการทานอาหารแล้วมองไปยังผู้มาเยือน ชายวัยสี่สิบต้นๆในชุดเสื้อเช็ตแขนยาวสีขาวมอตัวโครกกับกางเกงสแลคสีเทา และรองเท้าหนังสีดำที่เปื้อนฝุ่นเกรอะกรัง ที่มือของเขาถือกล้องถ่ายรูปอันใหญ่เอาไว้
“ขอประทานโทษที่มารบกวนนะครับ สนใจถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกมั้ยครับ” ชายในเสื้อเชิ้ตสีขาวมอกล่าวอย่างสุภาพ
“กล้อง...... จะมาถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์หรอ เอาสิๆ แต่งตัวอย่างนี้นักข่าวชัวร์”
“Hai !!”เม็ดทรายโพล่งออกไปโดยไม่ได้ปรึกษาใครแต่ก็ไม่มีใครค้านเช่นเดียวกัน
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยขยับเข้ามาชิดๆกันหน่อยนะครับ” ตากล้องสมัครเล่นยกมือขึ้นทำสัญญาณให้ทุกคนขยับเข้ามาในระยะของโฟกัสกล้อง
“คุณผู้ชายกรุณายิ้มหน่อยครับ” แม้ว่าตากล้องจะพูดอย่างไรผู้การหนุ่มก็ยังคงรักษามาดนิ่งของตนเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
“เมื่อไหร่จะถ่ายเนี่ย ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว” เม็ดทรายนั่งบ่นทั้งๆที่ปากยังยิ้มกว้างอยู่ ความสามารถระดับนางงามเชียวนะ
“อ๊ะ...จะลืมท่านี้ไม่ได้”เม็ดทรายชูสองนิ้วขึ้นมาพร้อมเอนหัวไปทางท่านผู้การหนุ่ม
“ แชะ ”
“เรียบร้อยครับ ไม่ทราบว่าที่อยู่ของบ้านคือ.....”
“ฮานะซากุ” ผู้การหนุ่มตอบ
“ครับ แล้วทางเราจะจัดส่งรูปกลับไปให้นะครับ ขอบคุณครับ” ตากล้องสมัครเล่นโค้งคำนับแล้วเดินจากไป
“อะริงาโตะ คะ” เม็ดทรายลุกขึ้นยืนโค้งคำนับบ้าง
“ที่ญี่ปุ่นตอนนี้ไม่มีกล้องโพลารอยด์หรอ ไอ้แบบที่ถ่ายปุ๊ป สะบัดๆแล้วก็ได้รูปเลย จะได้เห็นไวๆ แต่สมัยนี้ญี่ปุ่นมีกล้องวีดีโอแล้วนี่ภาพสีซะด้วย ร้ายกาจกันจริง”
“ฟังไม่ออกอะดิ ว่าเค้าพูดว่าอะไร อยากฟังออกมะเดี๋ยวเค้าไปสอนให้ตัวต่อตัวเลยมะ อิอิ”เม็ดทรายพูดแหย่ผู้การหนุ่มอย่างสนุกสนาน ทากะฮิโระยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มแล้ววางลง
“ถ้าไม่อยากตกเป็นเป้าสายใครต่อใครก็ควรรีบพูดภาษาญี่ปุ่นให้เป็นซะ”ผู้การหนุ่มหันมาพูดกับเม็ดทรายที่พยายามเอื้อมมือไปคีบอาหารที่อยู่ไกลออกไป
“ไรหรอ” เม็ดทรายทำหน้าใสซื่อกับคำพูดของผู้การหนุ่ม
“ได้เวลากลับเข้าประจำการแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ โนริโกะ”ผู้การหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมโค้งคำนับให้โนริโกะแม่เลี้ยงของตน เม็ดทรายมองตามผู้การหนุ่มที่เดินจากไปจนลับตา
“ไม่ลากันสักคำ”
เวลาเคลื่อนคล้อยมาจนบ่าย ทามะเก็บเสื่อเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เม็ดทรายก้มลงอุ้มมิเกะที่นอนท้องอืดลุกขึ้นไม่ไหวขึ้นมาซบไว้บนบ่า แม้จะเป็นเวลาบ่ายแล้วแต่จำนวนของผู้คนที่มานั่งชมดอกซากุระก็ไม่มีทีท่าที่จะลดลงเลยแม้แต่น้อย
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดหอบเอากลีบของดอกซากุระล่องลอยไปตามแรงลม เม็ดทรายยกมือข้างที่ยังว่างขึ้นไล่จับกลีบดอกซากุระที่ร่วงโรยลงมา
“อยากพูดภาษาญี่ปุ่นได้เร็วๆจังเลยน้า จะได้คุยกับเขาได้มากกว่านี้”เม็ดทรายเอากลีบดอกซากุระที่คว้ามาได้โยนขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อกลับไปถึงบ้านเม็ดทรายรีบไปหยิบสมุดไดอะรี่ของตนออกมาจากลิ้นชักและเปิดกระดาษหน้าต่อไปขึ้น
วันนี้ได้ไปชมดอกซากุระที่เรียกว่าฮานามิกับเขามาด้วย ทากะฮิโระคุงตามจริงเม็ดทรายควรเรียกเขาว่าฮานะซากุซัง มาในชุดยูกาตะมันก็แปลกตาดีเพราะทุกวันเม็ดทรายจะเห็นเขาในมาดทหารซะมากกว่า ถ้าไม่ใช่ในช่วงสงครามเม็ดทรายคงได้เห็นทากะฮิโระคุงในชุดยูกาตะทุกวันแน่เลย อาหารที่น้าโนริโกะทำอร่อยมากเลยแต่เม็ดทรายดันทำหกซะนี่สิแถมยังหกรดใส่ทากะฮิโระด้วยเขาโกรธมากจ้องเม็ดทรายตาเขียวเลย ตอนนั้นเม็ดทรายกลัวมากเลยนะ กลัวจริงๆแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เม็ดทรายนั่งมองแต่ละครอบครัวที่ออกมาชมดอกซากุระเม็ดทรายก็รู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมาเหมือนกัน ป่านนี้คุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็ใบหลิวคงเป็นห่วงเม็ดทรายมากแน่ๆ แต่เม็ดทรายก็ไม่รู้วิธีที่จะติดต่อกลับไป การติดต่อข้ามมิติไปหากันนี่มันทำยังไงนะ แล้วเวลาที่นี่กลับเวลาที่โลกปัจจุบันจะเดินตรงกันมั้ย
ปล. รูปที่ถ่ายวันนี้เมื่อไหร่จะได้รับนะ
คิดถึงทุกคน
เม็ดทราย
เม็ดทรายวางปากกาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝูงเครื่องบินรบที่บินผ่านไป ทำไมโลกนี้ต้องมีสงครามด้วยนะ 1944 มันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วตอนนี้เราอยู่ที่เมืองอะไร แล้วสงครามจะจบลงเมื่อไหร่นะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยความสงสัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยกพลขึ้นไทย ป่านนี้โกโบริคงกำลังจีบอังศุมาลิน อยู่แน่เลย....คิดไปได้ เข้านอนดีกว่า เม็ดทรายหยิบสมุดบันทึกเก็บเข้าที่ลิ้นชักเช่นเดิม ตะเกียงน้ำมันถูกหรี่ลงให้เหลือแสงเพียงเบาบาง มือเล็กเนียนนุ่มดึงผ้าที่วางไว้ขึ้นมาห่ม ปากจิ้มลิ้มแต่ดูอวบอิ่มขยับไปมาเล็กน้อยก่อนปิดสนิท
“อะ.....คะ....อิ” สำเนียงแปร่งๆดังขึ้นในช่วงเช้าของอีกวัน
“โอ๊ย!! ทำไมถึงมีแต่คันญิกับตัวอักษรที่เม็ดทรายอ่านไม่ออกนะ ยากจัง”เม็ดทรายทำปากบู้ใส่หนังสือพิมพ์ฉบับเก่าที่ไปรื้อมาอ่าน แต่สาวน้อยก็ยังคงไม่ยอมแพ้เธอยังคงดันทุลังอ่านต่อไป
“พรึบ” หนังสือเล่มโตถูกยื่นมาตรงหน้าของเม็ดทราย
“โนริโกะบอกว่าเธอพอจะอ่านภาษาอังกฤษออก ไอ้นี่คงช่วยได้มาก”ผู้การทากะฮิโระในชุดเครื่องแบบเต็มยศส่งหนังสือสำหรับหัดพูดภาษาญี่ปุ่นให้กับเม็ดทราย เด็กสาวรีบรับหนังสือมาเปิดออกดู
“โดโมะ อะริงาโตะ........”เม็ดทรายเลยหน้าขึ้นเอ่ยขอบคุณผู้การหนุ่มแต่เขาได้เดินจากไปแล้ว
“อยู่รับคำขอบคุณก่อนก็ไม่ได้”
“ดีจังเลย.....เม็ดทรายจะอ่านทุกวันยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบเลย” เม็ดทรายกอดหนังสือที่ผู้การหนุ่มมอบให้ด้วยความดีใจ
ผู้การหนุ่มหันหน้ามามองเม็ดทรายที่นั่งอ่านหนังสืออย่างขมักขะเม้นจากภายในตัวรถจี๊บทหาร
“รีบพูดภาษาญี่ปุ่นให้เป็น ฉันจะได้รู้สักทีว่าเธอเป็นใคร”
ค่ายทหารกองพันที่ 304 ณ เมืองฮิโรชิมา การประชุมที่ตึงเครียดเริ่มต้นขึ้นเมื่อทางการญี่ปุ่นได้รับข่าวร้ายมาว่าเรือบรรทุกน้ำมันและอาวุธถูกดักรอบโจมตีโดยกำลังฝ่ายตรงข้าม ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากยิ่งกว่าตอนที่เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินถูกทิ้งระเบิดที่กรุงโตเกียว การประชุมกินเวลายืดยาวจนถึงช่วงเย็นก็ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ ผู้การทากะฮิโระเดินออกมาจากที่ประชุมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ในช่วงนี้ญี่ปุ่นถือว่าอยู่ในช่วงไม่มั่นคงนักเหมือนในตอนเริ่มประกาศสงครามเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทากะฮิโระเสนอตัวที่จะออกไปรบแนวหน้าอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่ากองพลของผู้การหนุ่มจะเป็นกองพลที่สูญเสียทหารไปน้อยที่สุดแต่การนั่งวางแผนการอย่างเดียวไปวันๆนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการในการเข้ามารับราชการทหารต่อจากผู้เป็นพ่อที่ออกไปรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพลทหารของตนอย่างห้าวหาญจนสิ้นชีพในสนามรบเยี่ยงชายชาติทหาร
ทากะฮิโระวางหมวกลงบนโต๊ะ มือใหญ่หยาบกร้านยกขึ้นลูบหน้าและผมที่เริ่มยาวมากขึ้นแล้วเท้ามือลงบนขอบโต๊ะพร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแก้เครียด ร่างสูงใหญ่ทอดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ภายในห้องทำงาน เท้าที่สวมคอมแบตคู่โตยกขึ้นพาดไว้บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแผนที่การรบและเอกสารคำร้องที่ไร้การแยแสจากนายทหารชั้นสูง สร้อยรอคเก็ตสีเงินแกะสลักตราประจำตระกูลรูปดอกซากุระที่สวมใส่ติดตัวมาตลอดตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบถูกดึงออกมาเปิดดู ภายในเป็นรูปของนายทหารยศผู้พันที่ดูเข้มงวดใบหน้าสีเข้ม หนวดที่มุมปากสีขาวตวัดขึ้นนั่นเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในตัวผู้พันคนนี้แต่ในแววตาที่คมกริบดูดุดันก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนให้กับอีก 2 ชีวิตที่อยู่ร่วมในภาพ หญิงสาวใบหน้าเรียวได้รูปสีขาวนวลเนียน คิ้วอ่อนบางโค้งราวกับใบหลิว จมูกโด่งรั้งและปากเรียวบางสีชมพูดั่งกลีบดอกซากุระแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ที่มืออันใหญ่โตของผู้พันและมือขาวนวลของหญิงสาวได้เกาะกุมเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนยิ้มกว้างในชุดสวมฮาโอริสีน้ำเงินคลุมกิโมโนเอาไว้ แต่รอยยิ้มของเด็กชายในภาพมันได้หายไปแล้วหลังจากที่บุคคลทั้งสองได้จากไป
“นี่ผมทำได้ดีเหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับรึยัง”
ผู้การหนุ่มจิ้มบุหรี่ลงบนจานรองด้านข้าง เท้าที่วางพาดไว้บนโต๊ะถูกยกลง ข้าวของที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบถูกจัดวางใหม่ ทากะฮิโระมองไปยังเอกสารคำร้องที่กำลังจะถูกเก็บลงไปในลิ้นชักแต่ไม่ว่าอย่างไร สักวันเขาต้องได้ออกไปรบยังสนามรบเยี่ยงนักรบอย่างผู้เป็นพ่อ ลิ้นชักถูกปิดลงแผนที่สนามรบ เอกสารด้านการรบอื่นๆถูกนำขึ้นมาวางไว้แทนที่ ผู้การหนุ่มเลื่อนเก้าอี้เข้ามาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ฝ่ายตรงข้ามเริ่มโจมตีหนักเข้าทุกวันการวางแผนการที่ดีและแม่นยำเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ อีกไม่นานกองพลทหารของทากะฮิโระจะเข้าสู่สนามรบเขาจะต้องวางแผนให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดกับกองทหารเท่าที่จะทำได้แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้ต้องสูญเสียใครไปแต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง
ทางด้านเม็ดทรายก็นั่งหัดออกเสียงกับโนริโกะที่ค่อยๆสอนอย่างใจเย็น หนังสือที่ทากะฮิโระเอามาให้ค่อนข้างจะอ่านง่ายเม็ดทรายจึงเรียนรู้ได้รวดเร็วกอปรกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศของเจ้าของภาษาได้พูดคุยกันทุกวัน ในช่วงพักเม็ดทรายได้ลองย่างโมจิในแบบฉบับต้นตำหรับเด็กน้อยสนุกสนานไปกับการย่างโมจิจนถึงเย็น
“กริ๊ง กริ๊ง”เสียงกดกริ่งของจักยานดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน เม็ดทรายจอมจุ้นรีบวิ่งออกไปดู บุรุษไปรษณีย์ในชุดข้าราชการสีกากีเอี้ยวตัวหยิบซองพัสดุสีน้ำตาลยื่นให้กับเม็ดทรายพร้อมกับจ้องมองแปลกๆไปที่ผมของเด็กสาวก่อนจะขี่จักรยานเก่าคร่ำเคร่อจากไป เม็ดทรายยกมือขึ้นลูบผมของตัวเองที่ซอยสั้นต่างจากเด็กสาวทั่วไปผมที่ขาดการจัดทรงให้เข้าที่มันยุ่งเหยิงชี้ฟูจนขนาดเจ้าตัวยังรู้ดีว่ามันคงดูแย่ เม็ดทรายเดินเอาซองพัสดุไปให้โนริโกะที่นั่งปักผ้าอยู่ในห้อง
“ขอบใจจ่ะ ซากุระ” โนริโกะรับซองมาจากเม็ดทราย
“โอตาริ มาซาบุโระ ใครกันนะ” โนริโกะใช้มีดกรีดที่ขอบซอง รูปถ่ายในวันชมดอกซากุระถูกดึงออกมาช้าๆ รูปถ่ายสีขาวดำให้ความรู้สึกเป็นความทรงจำในวันวาน เม็ดทรายรับรูปจากโนริโกะมาดูต่อเด็กสาวอมยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นตนเองในรูป เม็ดทรายที่ยิ้มกว้างชู 2 นิ้วและเอียงหัวไปทางผู้การทากะฮิโระที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นรูปปั้นหินเหมือนเช่นเคย โนริโกะมองดูเม็ดทรายที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับชายหนุ่มในรูปเธอรู้ได้ทันทีว่าเส้นใยแห่งความรักได้ถูกถักทอขึ้นแล้วที่นิ้วก้อยน้อยๆแต่เส้นใยนี้จะถูกถักทอสานต่อจากอีกฝั่งหรือไม่เธอก็มิอาจคาดเดาได้
“เก็บเอาไว้เถอะจ่ะ”โนริโกะยื่นรูปคืนให้เม็ดทรายที่ยื่นรูปส่งคืนให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”เม็ดทรายเก็บภาพถ่ายใส่เข้าในซองเหมือนเดิม เท้าน้อยๆรีบวิ่งไปสวมรองเท้าเกี๊ยะ ก๊อก แก๊ก เสียงร้องเท้าดังเป็นจังหวะตามฝีเท้าที่รีบวิ่งไปยืนรออยู่ที่ด้านหน้าบ้านของผู้การหนุ่ม เม็ดทรายยืนหันหลังพิงกำแพงไม้ไผ่ในมือกำรูปถ่ายที่ได้รับมาในวันนี้ไว้แน่น
“กลับมาเร็วๆสิ” เม็ดทรายฉะเง้อหน้ามองหารถจี๊บทหารที่ทากะฮิโระชอบนั่งกลับมา เม็ดทรายยืนรอจนมืดแต่ก็ไม่มีวี่แววของผู้การหนุ่มเด็กสาวเดินคอตกกลับไปยังที่พักของตน เม็ดทรายหยิบสมุดบันทึกออกมาแล้วสอดซองพัสดุเข้าไป
“อุตส่าห์ไปยืนรอ ทีนี้ถ้าอยากดูก็มาขอดูเองละกัน ฮึ”เม็ดทรายทำแก้มปูดใส่บ้านของผู้การที่มีเพียงไฟจากตะเกียงส่องสว่างอยู่
ความคิดเห็น