คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : -Chapter l-
-Chapter l-
“อังศุมาลิน อะนะตะโอ อาอิ ชิเตะ มะสุ ”โกโบริเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่นั่งประคองตนอยู่ด้วยดวงตาอันอ่อนโยน อังศุมาลินกุมมือโกโบริในสภาพที่ร่างท่วมไปด้วยเลือดนอนหายใจรวนระรินอย่างอ่อนแรง “ฉันก็รักคุณคะ โกโบริ ”อังศุมาลินตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาของหญิงสาวเริ่มร่วงหล่นลงอาบแก้ม
“ ที่ทางช้างเผือก ผมจะไปเฝ้ารอคุณที่นั่น ” โกโบริรวบรวมพลังครั้งสุดท้ายที่เขาพอจะมียกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของอังศุมาลิน สิ้นคำสัญญามือของนายทหารหนุ่มก็ร่วงลง......
“ ว้าว...โรแมนติก จัง ” เม็ดทรายวางนวนิยายเรื่องโปรดลงบนโต๊ะไม้สีน้ำตาลนวลพรางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นี่เป็นครั้งที่สิบแล้วหล่ะมั้งที่เม็ดทรายหยิบนวนิยายเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน สายลมอ่อนพัดม่านโปร่งสีส้มลายดอกไม้พลิ้วไหวไปมา เม็ดทรายก้มลงนอนบนโต๊ะที่มีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านเข้ามากระทบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนช่างฝันของเธอ
“ ถ้าเราได้พบรักแบบนี้บ้างคงจะดีมากเลย แต่เอ.........” ดวงตาช่างฝันเบิกโตขึ้น
“ ตอนจบพระเอกต้องตายจากนางเอกนี่ ม่ายเอานะ “
“แต่ท้ายที่สุดเขาทั้งสองคนก็ได้ไปพบกันที่ทางช้างเผือกนี่จ๊ะ” หญิงวัยกลางคนเปิดประตูห้องเข้ามาทักทาย
“อ่านนวนิยายจนเช้าอีกแล้วนะ”
“แม๋...ก็มันสนุกดีนี่คะ” เม็ดทรายโผเข้ากอดหญิงวัยสามสิบเศษ แม่ที่อ่อนโยนและใจดีที่สุดของเธอ
“ดูสิเด็กคนนี้....ขอบตาซ้ำหมดแล้ว ”หญิงวัยกลางคนลูบหัวเม็ดทรายที่ยังคงเข้ามาออดอ้อนตนอยู่
“นอนลงสิจ๊ะ...แม่จะเอาถุงชามาประคบให้ ”
“แม่คะ...ถุงชานี่ช่วยให้ตาหายซ้ำได้ด้วยเหรอคะ ” เม็ดทรายถามขึ้นเมื่อถุงชาแช่เย็นถูกประคบลงบนเปลือกตาที่บวมปูด
จากการอ่านนวนิยายตลอดทั้งคืน
“จ้ะ แล้วก็ยังช่วยผ่อนคลายด้วย”
“อืม...จริงค่ะ....ตอนนี้เม็ดทรายรู้สึกสบาย......มาก.....” เม็ดทรายตอบด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อยยานคาง
“อาหารเช้าวันนี้มีข้าวไข่เจียวกับซุปสาหร่ายนะจ๊ะ”หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างรู้ทันว่าเม็ดทรายจะแอบหลับต่อก่อนที่จะเดินลงไป
“ ห๋า...!” เม็ดทรายสะดุ้งตื่นจากนิทราชั่วคราวเมื่อรู้ว่าอาหารเช้ามื้อนี้คืออาหารสุดโปรดของเธอ เม็ดทรายรีบกระโดดลงจากเตียง ตรงปรี่ไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ที่ห้องรับแขกด้านล่างชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อโปโลสีชมพูอ่อนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พร้อมจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟาหวาย
“ปีนี้ลูกเราอายุครบ 16 จริงๆรึ ที่รัก” ชายร่างใหญ่ส่งเสียงทุ้มไปหาภรรยาที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัวพลางอมยิ้มให้กับความซุกซนปนเปิ่นของลูกสาวสุดที่รักที่กำลังเอะอะโวยวายอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน
“เม็ดทรายมาแล้ว มีใครแอบทานข้าวเช้าก่อนมั้ยเอ่ย” เสียงสดใสดังมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่รีบจ้ำลงมาจากบันไดชั้นบน
“เม็ดทรายลงบันไดเสียงดังอีกแล้วนะจ๊ะ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ลูกสาวแม่จะมีแฟนซะที” คุณแม่ผู้แสนใจดีพูดแกมหยอก
“ไม่เห็นเป็นไร ไม่มีใครมาจีบเม็ดทราย เม็ดทรายก็จะอยู่กับพ่อและแม่อย่างนี้ไปตลอดเลย” เม็ดทรายตัวยุ่งเดินไปหอมแก้มทักทายคุณพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟา
“อ๋า นี่มันเสื้อที่เม็ดทรายซื้อมาให้นี่คะ...พ่อเอามาใส่แล้ว เห็นมั้ยคะว่าสีชมพูน่ะเหมาะกับคุณพ่อที่สุด” เม็ดทรายตะโกน โวกเวกด้วยความดีใจ ทำเอาสองสามีภรรยามองไปยังลูกสาวเพียงคนเดียวที่พูดไม่หยุดปากมาตั้งแต่เช้าด้วยความเอ็นดู แต่สุดท้ายแล้วยัยเม็ดทรายตัวยุ่งก็สงบลงด้วยข้าวไข่เจียวร้อนๆที่แสนหอมกรุ่นกับซุปสาหร่ายรสชาติกลมกล่อม
“พ่อคะ” หลังจากสงบนิ่งจากการพูดไปนาน เม็ดทรายก็เปิดปากถามขึ้นอีกครั้ง ชายร่างใหญ่หันมาตามเสียงเรียกของลูกสาวที่ดังขึ้น
“พ่อกับแม่พบรักกันครั้งแรกที่ไหนเหรอคะ” เม็ดทรายถามขึ้นด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
“ที่ไหนน่ะเหรอ.....อืม”
แทนที่เม็ดทรายจะได้คำตอบกลับมา แต่กลับเป็นการสร้างโลกส่วนตัวให้กับพ่อกับแม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่เธอถามพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องความรัก ทั้งคู่เป็นต้องสร้างโลกส่วนตัวจ้องตากันหวานเจี๊ยบ แล้วแม่ก็ต้องทำท่าเขินอาย
“ง่ะ...อย่างนี้ทุกที ตอบหนูก่อนสิ พ่อขา แม่ขา” ไม่ว่าเม็ดทรายจะตะโกนเรียกร้องความสนใจมากแค่ไหนก็มิอาจฝ่ากำแพงสีชมพูแห่งความรักนี้ไปได้
หลังจากหมดแรงที่ทะลวงกำแพงสีชมพู เม็ดทรายก็รีบออกจากบ้าน แต่แน่นอนเธอไม่มีวันลืมหยิบนวนิยายเล่มโปรดนี้ไปโรงเรียนด้วย ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหยิบขึ้นมาอ่านเสมอ
“คู่กรรม เรื่องนี้แกอ่านมากี่รอบแล้วฮะเม็ดทราย ไม่รู้จักเบื่อซะมั่ง” ใบหลิวเพื่อนสุดซี้พูดขึ้น
“นี่ เจอโกโบริ เมื่อไหร่อย่าลืมมาเล่าให้ฉันฟังบ้างนะยะ” ใบหลิวประชด
“อืม” เม็ดทรายตอบรับ
“ยัยบ๊อง ฉันประชดย่ะ” ใบหลิวส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
เม็ดทรายกับใบหลิวเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลและสนิทกันมากแม้จะทะเลาะกันบ่อยก็เถอะ โอปอร์เป็นวัยรุ่นหัวสมัยใหม่สุดโต่งเรื่องไสยศาสตร์ อภินิหาร หรือความรักต่างภพไม่มีทางที่จะทำให้เธอเชื่อถือได้เลย แต่เห็นอย่างนี้ก็มีแต่โอปอร์เท่านั้นที่ทนรับฟังความเฟ้อฝันของเม็ดทรายได้ อาทิตย์นี้ครอบครัวของเม็ดทรายจะไปเที่ยวกันที่หัวหิน ทะเลสวยสีครามที่เม็ดทรายออดอ้อนอยากมาอยู่นาน
-หัวหิน-
“ยะฮู้!! ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ทะเลจ๋า ” เม็ดรีบกระโจนออกจากตัวรถและตรงไปยังหาดทรายสีขาวสะอาดที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาก่อนที่จะวกกลับไปยังที่พัก
“ว้าว สวยจังเลย” เม็ดทรายเงยหน้าขึ้นมองบ้านพักตากอากาศที่ทำขึ้นจากไม้ทั้งหลัง มันเป็นบ้านชั้นเดียวเล็กๆสำหรับ 2 ครอบครัว ตัวบ้านทาด้วยสีฟ้าอ่อน ขอบหน้าต่างสีขาวประดับด้วยผ้าม่านลูกไม้สีขาวปักลายดอกคาเนชั่น หลังคาสีน้ำเงินเข้มดูกลมกลืนไปกับท้องฟ้าสีคราม เม็ดทรายเดินตรงไปยังห้องพักของตนแล้วนั่งลงที่ข้างหน้าต่างเอาใบหน้าอวบกลมยื่นรับลมทะเลที่พัดโชยมาเป็นระยะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองไปยังทะเลที่ทอดตัวอยู้เบื้องหน้าแล้วเริ่มวาดฝันอีกครั้ง
“ทะเลออกจะสวยอย่างนี้ ทำไมโกโบริกับอังศุมาลินไม่ชวนกันมาเที่ยวบ้างนะ”
ว่าแล้วเม็ดทรายก็หยิบหนังสือนวนิยายเรื่องเดิมขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ไม่มีนวนิยายเล่มไหนที่ทำให้เธอชอบและหลงใหลได้มากถึงขนาดนี้ ภาพของเด็กสาวกับหนังสือหนึ่งเล่มนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่ถูกเปิดกว้างปล่อยให้ลมพัดผ่านเข้ามาเป็นภาพที่คู่สามีภรรยาได้พบเห็นมาตลอดหลายปี ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เม็ดทรายเผลอหลับไป
“โครก--” เสียงท้องของเม็ดทรายร้องดังขึ้น
ในวันพรุ่งนี้ครอบครัวของใบหลิวจะตามมาสมทบ วันนี้เม็ดทรายเลยต้องเล่นคนเดียวไปก่อน เม็ดทรายวางหนังสือลงไว้ตรงขอบหน้าต่าง แล้วเดินตรงไปเปิดประตูเพื่อจะออกไปหาอะไรใส่ท้อง
“แอ็ด----ปัง!!” เม็ดทรายรีบปิดประตูห้องทันทีที่เปิดมันออก
“เมื่อกี้มันอะไรน่ะ....ตาฝาดแน่เลยเรา” เม็ดทรายลองเปิดประตูห้องอีกครั้ง มันไม่ใช่วิวห้องรับแขกที่สมควรจะเป็น แต่กลับเป็นวิวของถนนดินสีน้ำตาลเข้มที่ทอดตัวยาวไปข้างหน้าทั้งสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสีน้ำตาลอ่อนที่พริ้วไหวไปมาตามสายลม
“เธอต้องฝันอยู่แน่ เม็ดทราย....ตื่นสิ ตื่น” เม็ดทรายยกมือขึ้นตีหน้าตัวเองจนแดง แต่ภาพข้างหน้าก็ไม่หายไป
“ขืนตีต่อไปมีหวังหน้าระเบิด หน้ายิ่งกลมๆอยู่” เม็ดทรายพึมพำกับตัวเอง
“นี่เราไม่ได้ฝันจริง จริง เหรอ” เม็ดทรายก้าวเท้าออกไปยังที่ที่เธอไม่รู้จักด้วยความอยากรู้ ที่ที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธออย่างมหัศจรรย์มันคืออะไรกันแน่
“ปัง” เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเม็ดทรายก้าวลงบนดินแดนลึกลับ ประตูห้องของเธอก็ปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว เม็ดทรายสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ สาวน้อยรีบหันกลับไปทางด้านหลัง แต่ประตูห้องของเธอได้หายไปซะแล้ว
“ประตูห้องหล่ะ ประตูห้องหายไปไหนแล้ว” เม็ดทรายตะโกนโหวกเหวกพลางเดินควานหาประตูในตำแหน่งเดิมที่มันเคยอยู่ แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่า
“จะกลัวอะไรหล่ะ เม็ดทราย ไหนๆก็เข้ามาแล้ว ลองดูสักตั้งจะเป็นไรไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หันซ้ายหันขวา “ไม่มีใครเลยแฮะ”
เม็ดทรายเริ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ อากาศที่นี่ดูสดชื่นกว่าที่ที่เธอเคยอยู่มาก ลมก็เย็นสบาย เม็ดทรายเริ่มเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบทาง
“โครก....”เสียงท้องของเม็ดทรายดังขึ้นอีกครั้งแต่หนักกว่าเก่า เม็ดทรายทรุดลงนั่งกับพื้นพร้อมเอามือกุมท้องที่ปวดจี๊ดขึ้นมา
“โอ๊ย!! หิวข้าวที่สุดเลย หิวจะตายอยู่แล้ว ”เม็ดทรายจอมจุ้นร้องโหวกเหวกโวยวายด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่ข้างทาง
“บรื้น บรื้น” เสียงเร่งเครื่องของรถจี๊บตรวจการคันหนึ่งดังขึ้นด้านหน้าถนนที่ห่างไปจากเม็ดทรายไม่มากนักและ
“เอี๊ยด”รถจี๊บตรวจการทหารเบรกกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น สิบโท” เสียงนุ่มทุ้มพูดขึ้นจากเบาะหลังของรถ
“ไม่ทราบครับ ท่านผู้การ มีบางสิ่งวิ่งตัดหน้ารถ เดี๋ยวผมจะลงไปดูเอง ครับผม” สิบโทมิซึบากิรีบลงจากรถไปทันที
“ท่านผู้การ ” สิบโทมิซิบากิตะโกนร้องด้วยความตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ผู้การทหารที่นั่งอยู่ทางด้านหลังต้องรีบลงตามมา
“เราขับรถชนผู้หญิง ครับ ท่านผู้การ”สิบโทมิซึบากิรายงานสิ่งที่เห็นด้วยอาการร้อนรน ผู้การทหารเดินตรงไปนั่งข้างร่างสาวน้อยที่นอนอยู่ตรงหน้า
“ข้าว.......” เสียงพูดแผ่วเบาดังขึ้นจากหญิงสาวร่างเล็กที่นอนขดตัวงออยู่ด้านหน้ารถ
“อุ้มเธอขึ้นรถ เราจะพาเธอไปฮานะซากุ” ผู้การมาดนิ่งพูด
“ฮานะซากุ ไปทำไมรึครับ ท่านผู้การ เราต้องรีบกลับค่ายไม่ใช่เหรอครับ แล้วเธอก็ได้รับบาดเจ็บจากการโดนรถชน เราน่าจะพา เธอไปรักษากับหมอที่ค่ายไม่ใช่รึครับ ”สิบโทมิซึบากิมองตามผู้การที่เดินกลับไปที่รถด้วยความสงสัย
“สิบโทมิซึบากิ” ผู้การทหารคำรามเสียงเข้ม
“ครับ ผม” สิบโทมิซึบากิรีบวิ่งขึ้นรถแล้วเร่งเครื่องตรงไปยังฮานะซากุทันที
กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งอันน้อยส่งเสียงแผ่วเบาเป็นจังหวะตามแรงลมที่พัดมาต้องเป็นครั้งคราว บนที่นอนฟูกหนานุ่มสาวน้อยร่างเล็กทำจมูกฟุดฟิดกลับกลิ่นหอมที่อบอวนไปทั่วห้อง เม็ดทรายค่อยๆปรี่ตาขึ้นมองไปรอบๆห้องที่ตนนอนอยู่ ห้องที่ทำขึ้นด้วยไม้อะไรสักอย่างที่เธอไม่รู้จักสีน้ำตาลเข้ม ประตูและหน้าต่างทำจากไม้และกระดาษ รอบๆห้องประดับตกแต่งด้วยภาพเขียนพูกันและโถลายครามโบราณ เม็ดทรายลุกขึ้นนั่งและเอามือลูบไปยังเสื้อหญ้าสานที่ใช้ทำพื้นห้อง
“กลิ่นนั่นหอมมาจากเสื่อนี่จริงๆด้วย” เม็ดทรายก้มหน้าลงดมกลิ่นหอมจากเสื่อสาน
“กลิ่นหอมเสื่อตาตามิ เราเพิ่งเปลี่ยนพื้นใหม่เมื่อวานนี้” หญิงวัยสามสิบต้นๆในชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาพร้อมสำรับอาหารที่หอมจนเม็ดทรายต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“นี่จ้ะ อาหารเย็น เห็นทากะฮิโระบอกว่าเธอหิวข้าวจนเป็นลมล้มตัดหน้ารถของเขาเข้า” หญิงในชุดยูกาตะยกมือขึ้นป้องปากที่ส่งเสียงหัวเราะเชิงเอ็นดูออกมาเบาๆ เม็ดทรายไม่เข้าใจกับสิ่งที่หญิงคนนี้พูด ภาษาที่เธอใช้เป็นภาษาญี่ปุ่นแน่นอน แม้เม็ดทรายจะแปลไม่ได้ก็ตามแต่เธอก็พอรู้จักอยู่บ้าง
“ไม่จริงน่า นี่เราอยู่ที่ญี่ปุ่นหรอเนี่ย โอ้ มาย ก๊อด” เม็ดทรายอุทานออกมา
“เอ๋..นี่หนูไม่ใช่คนญี่ปุ่นรึจ๊ะ”หญิงในชุดยูกาตะพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“แล้วมันญี่ปุ่นสมัยกันหล่ะ” เม็ดทรายพึมพำกับตัวเองก่อนเงยหน้าขึ้นและถามออกไปอย่างมาดมั่น
“Cloud you tell me? What’s this years? ”นี่เป็นไงผลจากการตั้งใจเรียน เหอ เหอ
“1944” หญิงในชุดยูกาตะตอบอย่างไม่ลังเล
“1944 นั่นมันยุคสงครามโลกไม่ใช่หรอ สุดยอด....นี่เราย้อนยุคมาหรอเนี่ย” เม็ดทรายรีบลุกออกจากที่นอนและ.........
“โครม!!”
“อา อูก อี้ อด แอ้ว( จมูกบี้หมดแล้ว )”เม็ดทรายเอามือถูจมูกไปมา พร้อมก้มมองเสื้อที่สวมใส่มันถูกเปลี่ยนเป็นยูกาตะสีชมพูอ่อนปักดอกซากุระ
“ยูกาตะมันแคบ เดินลำบากสักหน่อย คงไม่เคยใส่เลยยังไม่ชินสินะ” หญิงวัยสามสิบอมยิ้มและช่วยพยุงเม็ดทรายที่หน้าแดงก่ำด้วยความอายลุกขึ้น
“ทานข้าวเถอะจ่ะ เดี๋ยวเป็นลมไปอีกนะ” หญิงในชุดยูกาตะเลื่อนถาดอาหารให้เม็ดทรายที่นั่งจ้องอย่างไม่ละสายตา เม็ดทรายรับถาดข้าวมาทานอย่างเอาเป็นเอาตาย อาหารญี่ปุ่นนี่ก็อร่อยเหมือนกันแฮะ เม็ดทรายนั่งกินข้าวอย่างมีความสุขจนกระทั่ง
“มาแล้วหรอจ๊ะ ทากะฮิโระ” เม็ดทรายหันหน้าไปตามเสียงเรียกทักใครบางคนของหญิงในชุดยูกาตะ
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นสีกากี ผมรองทรงสั้นสีดำ ผิวขาว ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อนและดวงตาสีดำคมกริบดูทรงอำนาจและเข้มขรึม
“เท่บาดใจเจ๊ มั่ก มั่ก”เม็ดทรายอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงกับชายหนุ่มมาดเนี๊ยบที่ก้าวเข้ามาร่วมวงจนกุ้งเทมปุระที่ค้างอยู่ในปากของเม็ดทรายร่วงหล่นลง เม็ดทรายรีบเก็บกุ้งเท็มปุระที่หล่นกลับเข้าปากเหมือนเดิมโดยไม่ได้สังเกตุแววตาคู่คมเฉียบที่จ้องมอง
“อุ้ย..!!” เม็ดทรายทำหน้าเหลอหลาพร้อมยิ้มแห้งๆเมื่อหันมาเห็นชายหนุ่มมองมาทางตนอย่างไม่สบอารมณ์ ก็มันช่วยไม่ได้นี่ คนมันหิวนะ ข้าวทุกจานอาหารทุกเม็ดห้ามกินทิ้งขว้างเป็นของมีค่า ไม่เคยท่องรึไงฮ่ะ เม็ดทรายเบียนหน้าหนีจากแววตาคู่เฉยชาสีดำสนิท
“จะกลับแล้วหรอจ๊ะ อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนสิ” หญิงวัยสามสิบยิ้มถามชายหนุ่ม
“ไม่หล่ะครับ ขอบคุณครับ” ทากะฮิโระโค้งคำนับ
“ถ้าอย่างนั้น แม่มีเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้จะบอกลูก ทากะฮิโระ พอจะมีเวลามั้ยจ๊ะ”
เม็ดทรายเหล่มองตามนายทหารหนุ่มที่เดินออกไปจากห้องพร้อมหญิงในชุดยูกาตะจนลับตาก่อนจะอมยิ้มออกมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนส่องเป็นประกาย
“ฉันเจอโกโบริแล้วหล่ะ ใบหลิว ...... โกโบริของเม็ดทราย ”
เช้าวันรุ่งขึ้นเม็ดทรายตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ อันที่จริงมันก็อิ่มจนจะระเบิดอยู่แล้ว เม็ดทรายลุกขึ้นเก็บที่นอนและเดินออกไปจากตัวห้อง
“เอ...นั่นคุณน้าคนนั้นนี่ ” เม็ดทรายมองลอดเข้าไปยังห้องหนึ่งที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
“เข้ามาสิจ๊ะ” หญิงในห้องยิ้มเรียกเม็ดทรายที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่หน้าห้อง เม็ดทรายค่อยๆเดินเข้าไปและนั่งลงตรงด้านหน้าหญิงที่เม็ดทรายคิดว่าเธอคือเจ้าของบ้านหลังนี้
“สวัสดีตอนเช้าจ่ะ หลับสบายดีมั้ย”
“เอ๋...คำนี้เรารู้จักนะ คุณน้าบอกสวัสดีกับเรา” เม็ดทรายโค้งคำนับพร้อมเปล่งสำเนียงแปร่งๆตอบกลับไป หญิงเจ้าของบ้านหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางของเด็กสาวที่นั่งอยู่ต่อหน้า
“ฮานะซากุ โนริโกะ ฮะจิเมะมาชิเตะ”หญิงเจ้าของบ้านเริ่มแนะนำตัว
“เม็ดทรายค่ะ ฮะจิเมะมาชิเตะค่ะ” เม็ดทรายยิ้มกว้างตอบ
“อืม...คงเป็นชื่อของหนูสินะ แต่เรียกอยากจัง” โนริโกะทำท่าครุ่นคิดสักพัก
“ ซากุระ ”
“ ซากุระ ”เม็ดทรายทวนคำ
“ ฉันจะเรียกหนูว่า ซากุระ แล้วกันนะ ”โนริโกะหันหน้าไปมองต้นซากุระภายในบ้านที่เริ่มออกดอก
“ มันออกดอกตอนที่หนูมาที่บ้านนี้พอดี ”เม็ดทรายลุกขึ้นเดินออกไปดูดอกซากุระสีชมพูอ่อนเช่นเดียวกับสียูกาตะของตนเอง
“ของจริงนี่สวยกว่าในหนังสือตั้งเยอะแนะ” เม็ดทรายเก็บดอกซากุระใส่ในปกเสื้อยูกาตะหวังจะเอาไปให้โอปอร์เพื่อนสุดที่รัก และก็เป็นหลักฐานว่าเธอมาญี่ปุ่นจริงๆ
“ทากะฮิโระ”
เม็ดทรายรีบหันหน้าไปตามเสียงเรียกของคุณน้าเจ้าของบ้าน ทากะฮิโระในเครื่องแบบทหารเรียบเนี๊ยบเช่นเดิมยืนมองเม็ดทรายที่พยายามเก็บดอกซากุระตามพื้น เม็ดทรายเหล่ตามองหนุ่มมาดเนี๊ยบที่เดินตรงมาที่เธอ
“ ว้าย เดินตรงมาหาเราด้วย คงหลงเสน่ห์เม็ดทรายสุดเซกซี่คนนี้เข้าแล้วหล่ะสิ ” เม็ดทรายเริ่มปั้นหน้าตัวเองให้ดูแอ๊บแบ๋วน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทากะฮิโระเดินมาหยุดลงด้านหน้าของสาวน้อยที่ยืนยิ้มแป้นให้ตน ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่มุมปากของตนเองพร้อมแววตาที่เย็นชาเช่นเคยก่อนจะเดินผ่านเม็ดทรายไป
“ชี้อะไรของเขา....อยากจุ๊บเม็ดทรายก็บอกมาสิ ”เม็ดทรายเอามือขึ้นลูบตรงมุมปาก ที่มุมปากของเม็ดทรายปรากฏรอยคราบน้ำลายที่ยังคงติดเกรอะกังอยู่ เม็ดทรายเอี้ยวคอหันกลับไปมองนายทหารหนุ่มที่นั่งคุยกับคุณน้าเจ้าของบ้านอย่างสนิทสนม และหน้าของเม็ดทรายก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ น่าอายที่สุดเลย ” เม็ดทรายร้องโวยวายก่อนรีบวิ่งกลับไปยังห้องที่โมเมว่าเป็นของตัวเอง
“เธอน่ารักดีว่ามั้ย ทากะฮิโระ” โนริโกะพูดขึ้นด้วยความเอ็นดู
“อย่างนั้นรึครับ”
“ทำไมวันนี้ ท่านผู้การหนุ่มถึงมาทานข้าวเช้ากับแม่หม้ายได้หล่ะจ๊ะ” โนริโกะหันมาหยอกลูกชายที่นานทีจะมาทานข้าวเช้ากับตนที่บ้าน
“เรื่องของเด็กสาว....”ทากะฮิโระพูดขึ้นแต่ก็ถูกผู้เป็นแม่ตัดบททันควัน
“พักผ่อนบ้างเถอะจ้ะ ลูกมีภาระทางด้านการรบมากพอแล้ว เดี๋ยวทางด้านเด็กสาวคนนี้แม่จะรับผิดชอบเอง”
“ครับผม”
“แม่ตั้งชื่อเธอว่า ซากุระ ลูกว่าเหมาะสมดีมั้ยจ๊ะ”
“แล้วแต่โนริโกะสิครับ” ผู้การหนุ่มโค้งคำนับมารดาตามมารยาทเพื่อขอตัวออกไปทำงาน
“พ่อกับลูกไม่ต่างกันเลยน้า”โนริโกะยิ้มให้ลูกชายจอมเย็นชาที่นิสัยถอดด้ามมาจากพ่อไม่มีผิดเพี้ยนแล้วจึงลุกเดินตามไปส่งที่ประตูบ้าน
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนายฮานะซากุ”เสียงทักทายหนักแน่นของสิบโทมิซึบากิที่ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านดังขึ้น
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ สิบโท วันหลังเข้ามาทานข้าวด้วยกันสิจ๊ะ”โนริโกะเชิญชวนทหารคนสนิทของลูกชาย สิบโทเงยหน้าขึ้นมองผู้การหนุ่มที่ไปมีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา
“ครับผม” สิบโทมิซึบากิกระแทกเท้าพร้อมตะเบ๊ะตอบรับ
“ครับผม!!” เม็ดทรายที่ไปล้างหน้ามาเรียบร้อยแล้วทำท่าเรียนแบบนายทหารคนสนิทของผู้การหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ารถจี๊บ
“บ้าพลังกันจริงเล้ยพวกทหารเนี่ย”เม็ดทรายยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ
“ดูถ้าเธอคงอยากมาส่งลูกนะ ทากะฮิโระ”โนริโกะที่มองไปเห็นเม็ดทรายเข้าควักมือเรียกสาวน้อยที่ยืนแอบอยู่หลังต้นซากุระให้เข้ามา
“อ๋า...ตรงตามแผน”เม็ดทรายทำหน้าเจ้าเล่ห์ โกโบริต้องตกหลุมรักเม็ดทรายด้วยแผนการนี้แน่ ฮึ ฮึ เราจะรีบวิ่งไปตามที่คุณน้าสุดสวยเรียก แต่ด้วยความที่เจ้ายูกาตะเนี่ย มันแคบเอามากๆ เลยทำให้เราเกิดพลาดสะดุดล้ม แล้วโกโบริก็จะอ้าแขนรองรับเม็ดทรายคนนี้เข้าสู่อ้อมกอด และก็.............ปิ๊ง ปิ๊ง.............
“กรี๊ด
คิดได้ไงเนี่ยเรา ”
“โกโบริจ๋า...เม็ดทรายมาแล้วจ้า”เม็ดทรายเริ่มปฏิบัติการตามแผนการที่วางไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน สาวน้อยใบหน้าอวบอิ่มวิ่งออกมาจากหลังต้นซากุระอย่างเริงรื่น( ทำอย่างกะหนังอินเดีย )และขาของเม็ดทรายก็สะดุดล้มลง สาวน้อยโผตัวตรงไปทางผู้การหนุ่มที่ยืนมองวัตถุก้อนกลมพุ่งตรงมาทางตนด้วยความเร็วสูง...อย่างรู้ทัน
“ตุบ”
“ซากุระ” โนริโกะรีบเข้ามาพยุงตัวเม็ดทรายที่ล้มกระแทกลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกซากุระด้วยความตกใจ
“โอย น้ำอะไรเนี่ย”เม็ดทรายเอามือเช็ดน้ำที่ไหลออกมาจากจมูกของตนขึ้นดู
“เลือดนี่หน่า”หัวสมองของเม็ดทรายเริ่มหมุนคว้าง
เม็ดทรายเงยหน้าขึ้นมองผู้การหนุ่มที่มองมาทางตนด้วยความตกใจ ทากะฮิโระรีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่โนริโกะยื่นให้อุดเลือดที่จมูกของเม็ดทรายเอาไว้
“สิบโทมิซึบากิ ไปที่ค่ายบอกท่านผู้พันว่าวันนี้ฉันจะเข้างานช้าหน่อย” ผู้การหนุ่มหันไปสั่งการทหารคนสนิท
“ครับผม”
ทากะฮิโระอุ้มเม็ดทรายที่ตัวอ่อนปวกเปียกเมื่อได้เห็นเลือดของตัวเองขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปในบ้านด้วยความรีบร้อน
“ผิดแผนไปนิดแต่ก็โอเค”
แม้จะเจ็บปางตายแต่เม็ดทรายก็ไม่ลืมที่จะเอาหน้าอันอวบอ้วนซบลงไปที่หน้าอกของผู้การหนุ่ม
“หอมจัง......” และแล้วสาวน้อยก็หมดสติลงไปพร้อมกับใบหน้าที่ดูเคลิบเคลิ้ม
“ไปเปลี่ยนเสื้อเถอะจ่ะ เดี๋ยวแม่สั่งคนให้ไปเอาเครื่องแบบที่ที่พักของลูกมาให้” ทากะฮิโระก้มลงมองดูเครื่องแบบอันทรงเกียรติของตนที่ตอนนี้เปื้อนคราบเลือดเป็นดวง ผู้การหนุ่มผละตัวออกจากเม็ดทรายที่นอนสลบอยู่บนที่นอนไปยังห้องพักของตัวเอง
“ซุ่มซ่ามจริงๆ”โนริโกะเอาผ้าชุบน้ำเย็นประคบจมูกของเม็ดทรายที่บวมปูดอย่างเบามือ
หลายชั่วโมงต่อมาเม็ดทรายถูกปลุกขึ้นมาด้วยกลิ่นหอมของบางสิ่งที่ทำให้ท้องของเธอร้องดังออกมา เม็ดทรายล่องลอยไปตามกลิ่นที่โชยมาจากห้องครัวของบ้าน
“หายปวดรึยังจ๊ะ ซากุระ” โนริโกะพูดทักมาทางด้านหลัง เม็ดทรายที่ยืนเกาะประตูครัวอยู่หันมาพยักหน้ารับ ด้วยเข้าใจว่าโนริโกะถามเธอว่าหิวรึยัง
“แม่ครัวกำลังเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น ไปรอข้างนอกหรืออกไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะจ๊ะ”โนริโกะพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องครัวโดยไม่ได้หันมาสนใจเม็ดทรายที่ยืนรออยู่
“อ้าว ? ไม่ได้ถามว่าหิวมั้ยหรอกหรอ ”
สาวน้อยผู้หิวโซเดินโซเซไปยังหน้าบ้านที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มจากแสงของอาทิตย์อัสดง เม็ดทรายเดินไปนั่งเล่นยังชานระเบียงไม้สีน้ำตาลเข้มตามอายุของเนื้อไม้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองไปยังดวงอาทิตย์กลมโตดวงใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ
“เป็นเวรหรือไร แต่ประไหนนั่น สุขเพียงชั่ววันแต่ช้ำทวีคูณ......” เม็ดทรายนั่งร้องเพลงคู่กรรมที่เธอโปรดปราณแก้เซ็งไปพลางๆ
“เมี๊ยว
.. เมี๊ยว
” แมวสีขาวนวลรูปร่างอ้วนตุ๊ต๊ะสวมปลอกคอหนังติดกระพรวนเดินมาคลอเคลียออดอ้อนขาของเม็ดทรายไปมา
แมวใครเนี้ย..!? เม็ดทรายก้มลงอุ้มแมวน้อยที่เข้ามาคลอเคลียขึ้นมาไว้บนตักของตน
“เจ้านาย ไม่อยู่หรอฮ่ะถึงมาเดินเล่ล่อนอยู่อย่างนี้ หรือหลงทางมา”
“เมี๊ยว......”
“ไม่ต้องตอบก็ได้ เม็ดทรายฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ”
“อ๊ะ!! จะไปไหน แค่นี้ต้องงอนด้วยหรอ เจ้าเหมียว” เม็ดทรายลุกขึ้นเดินตามแมวสีขาวนวลที่กระโดดออกจากตักของตนไปยังอีกทางของบ้าน ที่อีกฝั่งของบ้านข้างรั้วไม้ไผ่ที่ไม่สูงนัก เสื้อของผู้การหนุ่มถูกตากไว้บนราวตากผ้าที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่เช่นเดียวกัน
“เสื้อของโกโบริเม็ดทรายจำกลิ่นได้...เค้าไม่ได้ว่าตัวเองกลิ่นตัวแรงนะ อิอิ” เม็ดทรายเดินเข้าไปใกล้เสื้อที่ถูกตากเอาไว้พลางอมยิ้มออกมาเมื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
“เมื่อดวงใจมีรัก ดั่งเจ้านกโผบิน บินไปไกลแสนไกล.....”เม็ดทรายร้องเพลงออกมาอีกครั้งพร้อมเต้นรำไปมารอบราวเสื้อ
“อึ๊ย...หมั่นเขี้ยว คนอะไรไม่รู้เท่บาดใจ” เม็ดทรายสวมกอดเสื้อและฟัดไปฟัดมา
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมไอดังขึ้นมาจากอีกฟากของรั้วไม้ไผ่ เม็ดทรายรีบหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่
“โกโบริ” เม็ดทรายส่งยิ้มกว้างให้ผู้การหนุ่มที่ตรงปรี่เข้ากระชากเสื้อออกจากอ้อมกอดของเม็ดทราย
“เมี๊ยว” แมวสีขาวนวลตัวเดิมเดินเข้ามาคลอเคลียขาของผู้การทากะฮิโระที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน
“มิเกะ” ผู้การหนุ่มก้มลงอุ้มแมวน้อยสัตว์เลี้ยงของตนขึ้นมาแล้วเดินกลับไปยังบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ถัดไป
“แม๋ ทำเป็นหวงไปได้ กลัวกลิ่นเค้าติดเสื้อไปรึไงฮ่ะ แบร่ ~” เม็ดทรายทำหน้าแลบลิ้นปริ้นตาใส่ตามหลังผู้การหนุ่มจอมเย็นชา
“อ๊ะเดี๋ยวค่ะ.....!!”เม็ดทรายวิ่งไปคว้าแขนผู้การหนุ่มเอาไว้ ทากะฮิโระหยุดเดินแล้วหันมามองเม็ดทรายด้วยความแปลกใจ
“ขอบคุณนะ” เม็ดทรายจ้องหน้าผู้การหนุ่มสักพักแล้วรีบวิ่งหนีไป
“ภาษาไทย?”ความสงสัยในตัวสาวน้อยสำหรับทากะฮิโระยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
“เฮ้อ..... ขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังโกโบริเสียความบริสุทธิ์แน่เลย.....ดีนะที่ห้ามใจอยู่” เม็ดทรายที่วิ่งหนีมานั่งหอบตรงชานระเบียงของตัวบ้านก่อนจะถูกคุณน้าโนริโกะหญิงเจ้าของบ้านเรียกให้ไปทานข้าวเย็น
เมื่อ 5 ปีที่แล้วหลังการประกาศสงครามผู้การทากะฮิโระนำกองทัพญี่ปุ่นขึ้นตั้งฐานทัพที่ประเทศไทยในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น เพื่อจะไปบุกยึดพม่าและหมู่เกาะโดยรอบ โดยมีไทยเป็นฐานทัพกลางรองจากที่ญี่ปุ่นอันเป็นฐานทัพแม่ ทากะฮิโระจึงพอจับคำได้ว่าภาษาที่เม็ดทรายใช้อยู่นั้นต้องเป็นภาษาไทยแต่ก็ไม่สามารถแปลออกมาได้ว่าสาวน้อยผู้นั้นพูดสิ่งใด ทากะฮิโระหยิบชุดเครื่องแบบที่รีดจนเนีบยเช่นเคยแขวนไว้ที่ผนังห้องพลางเดินไปหยิบอาหารที่เตรียมไว้ให้ มิเกะ แมวเหมียวตัวอ้วนตุ๊ต๊ะที่มารอทานข้าวอยู่ ถ้าวันไหนที่เจ้านายกลับบ้านมาช้าเกินรอ มิเกะก็จะไปส่งเสียงร้องเรียกทามะแม่ครัวของบ้านใหญ่ให้เอาอาหารมาให้แทน ทากะฮิโระในชุดยูกาตะหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเตรียมเข้านอน หันหน้าไปมองซามิเซ็งเครื่องสายที่เป็นความทรงจำเกี่ยวกับแม่เพียงหนึ่งเดียวที่เขามีอยู่แต่ทากะฮิโระก็ไม่เคยที่จะหยิบมันขึ้นมาเล่นเลยสักครั้ง แสงไฟภายในตัวบ้านถูกดับลงทิ้งไว้เพียงแสงสว่างรำไรจากตะเกียงอันเล็กที่แขวนทิ้งไว้ มิเกะเดินขึ้นไปบนผ้าห่มของเจ้านายแล้วนอนหลับหนุนปลายเท้าอย่างมีความสุข
ความคิดเห็น