ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกรียนๆ Online

    ลำดับตอนที่ #8 : เกรียนที่ ๘

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 59







    ทางเข้าเมืองมันอยู่อีกทาง! ส่วนตอนนี้ ทิศที่ผมวิ่งไป ก็เป็นป่า! ซึ่งไม่ใช่ทางที่โผล่ออกไปแล้วเจอกิลด์นะ ทิศที่เป็นป่าจริงๆ!! ป่าสีหากอีกด้วย! ถ้าไม่แน่จริงก็อย่าเข้า เพราะถือว่าเป็นหนึ่งใน ๔ ป่า ที่อันตรายที่สุด นั่นก็คือ ป่าสีหาก ป่าสีแหบ ป่าสีหัก และป่าสีเหย

     

    แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ดูเหมือนทานตะวันคงอยากจะร้องไห้ แต่ก็ทำได้แต่วิ่งตามไป เพราะไอ้วิญญาณพวกนี้มันดั๊นนน โจมตีผู้เล่นได้อีก! ทานตะวันลองโจมตีด้วยดาบประจำตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง แต่ของที่ดรอปได้ มันของหายากชัดๆ! แต่ก็ไม่มีเวลาให้เก็บ! เพราะต้องวิ่งตามอาเมนเพื่อนรักไป แต่ที่วิ่งตามมาเพราะคิดว่าผมรู้ทาง และเมื่อเข้าไป ก็น่าจะพากันกลับออกมาได้

     

    แต่หารู้ไม่ ผมยังไม่เคยสำรวจแมพเลยว่ะ - -

     

    ทั้งสองคนจึงวิ่งลึกเข้าไปในป่าต้องห้ามนั้นเรื่อยๆ โดยทิ้งผลงานเอาไว้เบื้องหลังเป็นเหล่าผีๆ ที่โจมตีเหล่าผู้เล่นที่เดินผ่านไปมาในระยะรัศมี ๑ กิโลเมตรจากสุสาน

     

    แต่เมื่อผู้เล่นสามารถโจมตี และฆ่าพวกมันได้ เพียงไม่นาน แต่มันกลับดรอปของที่ดีมากมาให้ ทำให้ผู้เล่นหลาย ต่างแหกันตีมอนวิญญาณที่เกิดจากผลงานของผู้เล่นด้วยกัน แต่พวกเขากลับคิดว่า นี่เป็นอีเว้นของทางระบบแน่ๆ แต่ทำไมไม่เห็นมีแจ้ง สงสัยเป็นอีเว้นลับ หากแต่มีมอนวิญญาณให้ตีได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง วิญญาณเหล่านั้นก็สลายหายไปทันที

     

    ผู้เล่นหลายคนต่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครติดใจเอาความอะไร เพราะของที่ได้จากการดรอปมานั้น แสนจะคุ้มค่า แต่หารู้ไม่ว่า ไอ้ตัวการที่พากันวิ่งหนีนั้น กำลังเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย และทิ้งชะตากรรมอันเลวร้ายไว้ให้ผู้เล่นคนอื่นด้วยเช่นกัน

     

    หลังจากนั้นไม่นาน โรคอีสุกอีไสก็เริ่มระบาดอย่างหนัก และคนที่เริ่มเป็นส่วนมาก ก็จะเป็นผู้เล่นที่เข้าไปตีมอนเตอร์วิญญาณนั่นเอง!

     

     


    “ไอ้อาร์ม! แฮกๆ แกจะวิ่งไปไหนว่ะ!” ทานตะวันที่วิ่งตามมาติดๆ เอ่ยถามผม ที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างสุดฝีเท้า เพราะผมบอกคุณสมบัติไม่หมดน่ะสิ!

     

    ผมเลี้ยงมองรอบตัว และกะด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องว่านี่คงห่างมาไม่ต่ำกว่าสิบกิโลเมตรเป็นแน่ เพราะวิ่งกันมาหลายชั่วโมงโดยคงความเร็วและไม่หยุดพัก จนทำให้ค่าความเหนื่อยล้าของผมเกือบจะเป็นศูนย์อยู่แล้ว ค่าเลือดก็ลด เพราะระหว่างทางมีเศษไม้ กิ่งไม้ รวมถึงตอไม้หลายแห่ง ที่พากันเกี่ยวพวกผมซะจนจะตายได้ง่ายๆ เพราะไอ้พวกตระกูลไม้พวกนี้ ดีที่ว่าสำรองเลือดเอาไว้ในช่องสำรองในนาฬิกา ไม่งั้นอายุผมไม่ยืดแน่ๆ

     

    “น่าจะไกลพอล่ะ กีโมงล่ะว่ะ” ผมหันไปถามทานตะวัน ที่ใบหน้าปรากฏร่องรอยที่อิดโรย เพราะวิ่งมานาน

     

    “อ่า เกือบจะสี่โมงล่ะ ไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่าวิ่งมาราธอนอีกว่ะ วิ่งตั้งแต่แปดโมง จนถึงสีโมง ว่าแต่พามาที่นี้ทำไม”

     

    “เดี๋ยวแกคอยดูนะ 5…4…3…2…” ผมจ้องนาฬิกาและนับถอยหลังไปเรื่อยๆ โดยชี้ไปทางป่าทิศที่พวกเราเพิ่งวิ่งผ่านกันมา “และ... 1

     

    บู้มมมมมมมมมมม

     

    เสียงระเบิดดังกึงก้อง ไอ้ที่ระเบิดก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน ของที่ดรอปมาได้นั่นแหละ เพราะผมอ่านมาระหว่างทางว่า ระเบิดมายาหมอก สามารถทำให้เห็นวิญญาณในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรจากจุดศูนย์กลาง เมื่อผู้เล่นทำการโจมตีมอนเตอร์วิญญาณ จะดรอปเกรด D – B เมื่อผ่านไป 8 ชั่วโมงหลังจากระเบิดเริ่มทำงาน จะเกิดการระเบิด และก่อให้เกิดโรคระบาดที่เรียกว่า อีสุกอีใส

     

    “ฉันว่า ค่าหัวพวกเราคงเป็นหมื่นล่ะ” ทานตะวันเอ่ยอย่างปลงๆ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกคันไปทั่วร่างกาย ก่อนจะมีตุ่มเม็ดใสๆ ขึ้นตามตัวอย่างรวดเร็ว “ไอ้อาร์ม! ฉันเป็นไรไม่รู้ว่ะ! แม่ง!

     

    -0- อย่าเกาดิ” ผมบอกมัน เพราะสิ่งที่มันเป็นอยู่นี่ ก็คือโรคอีสุกอีใส หากไม่ได้ทำร้ายมอนเตอร์ ก็จะไม่มีผลอะไร รวมถึงแรงระเบิดด้วย อย่าบอกนะว่า... “แกตีมอน?”

     

    ทานตะวันเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ทำไม”

     

    “สมล่ะ! ฉันไม่ช่วยแกล่ะ แม่ง อุตส่าห์พาหนี ไม่ให้แกไปตีพวกมัน”

     

    “อย่าบอกนะว่า... ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ...”

     

    “เพราะแกตีมอนนั่นแหละ ไอ้ทาน!

     

    “ไอ้อาร์มมมมม ช่วยฉันหน่อยเร็วววว ฉันยังไม่อยากหมดหล่อนะเว้ยยย” ทานตะวันเริ่มเกาตามเนื้อตามตัว ที่เริ่มจะแดงและมีตุ่มเม็ดเล็กๆ ใสๆ ขึ้นเต็มตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า

     

    “ไม่เอาไม่ช่วย จะไปเก็บไม้ ฉันว่าคืนนี้เราต้องค้างที่นี่กันแล้วล่ะว่ะ วิ่งกลับไม่ทันล่ะ”

     

    “แกเก็บมาเยอะๆ เลย นี่มันป่าสีหาก เรายังต้องอยูกันอีกนาน”ทานตะวันเริ่มอยู่ไม่สุข เกานั่นเกานี่ ถึงขนาดต้องล้วงเข้าไปเกา ไม่เข้าใจว่าเป็นอีสุกอีใสหรือโดนหมามุ่ยมากันแน่ ถ้าไม่มีตุ่มใสนะ ผมคิดว่าโดนหมามุ่ยมาชัวร์

     

    “ทำไมว่ะ”

     

    4 ป่าต้องห้าม ไม่เคยได้ยินอ่อ” ทานตะวันก็ยังเกาไม่หยุดมือ

     

    “แกไม่ต้องพูด เขาบอกว่าต้องห้ามขนาดนี้ ต้องห้ามพลาดแน่ๆ งั้นฉันไปหาอะไรให้แกกินก่อนล่ะกัน นั่งอยู่นี่นะ ห้ามกระดุกกระดิก”

     

    “คันจะตายอยู่แล้ว แกนี่ไม่คิดจะช่วยเพื่อนเลยหรอ”

     

    “แล้วทำไมฉันต้องช่วย?”

     

    “อาร์ม... คำว่าเพื่อนมันสั้นนะเว้ย”

     

    “ไอ้สันขวาน! แล้วแกจะไปตีมอนทำไม”

     

    “ไอ้ด้ามขวาน ก็แกไม่บอกฉัน! อีกอย่างนะ ถ้าแกไม่ช่วยฉัน ฉันก็จะเกาอยู่แบบนี้ พอฉันเกามากๆ ผิวหนังก็จะเริ่มถลอก พอผิวหนังเริ่มถลอก มันก็จะมีเลือดออกมา พอมีเลือดออกมา กลิ่นเลือดก็จะลอยไปเตะจมูกมอนเตอร์เข้า ที่นี้มันก็จะตามกลิ่นมา พอตามกลิ่นมา พระอาทิตย์ก็ตกดิน พอพระอาทิตย์ตกดิน มอนก็จะคลั่ง! มีกำลังมากกว่าเดิม พอมันมีกำลังมากกว่าเดิม แกจะสู้กับมันไม่ได้ เพราะเลเวลแกต่ำเตี้ยเรี่ยโคลนมาก ในเมื่อแกเลเวลน้อย แกก็จะสู้อะไรมันไม่ได้ พอสู้อะไรมันไม่ได้ แกก็จะต้องหันมาขอความช่วยเหลือจากฉัน แล้วฉันก็คันไม่หยุด ไม่มีแรงไปช่วยแก แล้วที่นี้กลิ่นเลือดก็จะยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ พอแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกมอนเตอร์มันก็จะมาตามกลิ่นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นในป่าสีหากอีกนะ ป่าต้องห้ามเชียวนะเว้ย! แล้วพอแกสู้มันไม่ได้ แกก็จะตายอย่างอนาถา! แล้วฉัน! ก็จะรอด เพราะตอนที่พวกมันขย้ำแก ฉันก็จะวิ่งหนี แล้วทีนะ...”

     

    “พอ! แกพล่ามเยอะล่ะ ไอ้ทาน ไปยืนตากแดดสักสามสิบนาทีไป เอายาไปกินด้วย” ผมหยิบเอายาเขียวที่เอาไว้ใช้ขับน้ำมันพรายให้มันกิน แต่มันไม่รู้หรอก ผมก็เลยไล่ให้มันไปตากแดด ให้สิ่งที่มันขับออกมามันแห้ง จากนั้นผมก็เดินไปสำรวจต้นไม้รอบๆ พอที่จะค้างคืนนี้ได้ไหม ผมไม่เสี่ยงที่จะก่อกองไฟ แล้วนอนบนพื้นหรอกนะ ผมจะนอนบนต้นไม้ แต่ถึงจะนอนข้างบน ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ยิ่งเป็นป่าต้องห้ามของเมือง ก็ยิ่งต้องระวังตัว

     

    ผมเดินมาได้สักพัก ระหว่างทางก็มีดพับกากๆ ที่เป็นของที่ได้จากการไปรับกระเป๋าผู้เล่นใหม่นั่นแหละ ทำสัญลักษณ์เอาไว้ ก่อนจะเดินมาเจอต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่กิ่งก้านท่าทางแข็งแรง และสามารถรับน้ำหนักสำหรับสองคนได้ ผมจึงทำสัญญาลักษณ์เอาไว้ด้วยการบากต้นไม้ให้เป็นสัญญาลักษณ์ที่แตกต่างกันกับที่ทำระหว่างสำรวจ เพื่อให้รู้ว่าเป็นต้นไม้ต้นนี้ ก่อนจะเดินทางย้อนกลับไปทางเดิม

     

    ระหว่างทางก็มีพวกผลไม้ป่าบางประปราย ผมก็ไม่ลืมที่จะเก็บมันใส่กระเป๋าเอาไว้ แล้วเดินหน้าเพื่อไปยังจุดที่ทิ้งทานตะวันเอาไว้ก่อนหน้านี้

     

    แสงแดดเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ผมก็เดินมาเจอทานตะวัน ที่เริ่มหายคัน และแผลเองก็เริ่มหายแล้ว แต่บริเวณที่มันยืนอยู่นั้น กลับเปียกชุ่มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันขับน้ำออกมาเยอะมาก โดยทานตะวันก็ไม่ได้ขยับไปไหนตามที่ผมสั่งแม้แต่นิดเดียว

     

    ก่อนไปเห็นมันท่าไหน กลับมาก็เห็นมันท่านั้น ราวกับว่าถูกสตาฟเอาไว้

     

    “ไง ดีขึ้นยัง” ผมเอ่ยทักมัน ก่อนที่จะเดินไปเก็บของที่ทานตะวันวางเรี่ยราดเอาไว้ที่พื้น

     

    “แม่ง เมื่อยชิบหาย แต่ก็โอเคล่ะ หายคัน” ทานตะวันที่มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เดินตามผมมาทันที เมื่อผมควักมือเรียกมันให้เดินตามมา “ไปไหน?”

     

    “ที่ซุกหัวนอนแกกับฉันเนี่ยแหละ”

     

    “อ่อ เออ พรุ่งนี้ฉันจะไปเก็บระดับนะ แกสวดมนต์ขอพรดีๆ ขอให้พรุ่งนี้ดวงขึ้นพรูดพราด” ทานจะวันบอกกับผม ด้วยสีหน้ากวนๆ

     

    “อย่างกับขี้”

     

    “ก็เผื่อพรุ่งนี้ถ้าโชคดีๆ แกอาจจะตีมอนสักห้าหกตัวแล้วระดับขึ้นพรวดๆ สักยี่สิบอะไรประมาณนี้อ้ะ”

     

    “งั้นฉันขอภาวนาของให้มีชีวิตรอดต่อไปในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน - -” ถึงแม้ผมจะระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่สกิลหนีของผมก็ไม่เป็นสองรองใครนะขอบอก

     

    ผมพาทานตะวันมาถึงต้นไม้ต้นที่ผมหมายตาไว้เรียบร้อย ระหว่างทางก็เก็บเอากิ่งไม้เล็กๆ ตามทางไปด้วย และเป็นเวลาประจวบเหมาะพอดีที่พระอาทิตย์ตกดิน ทำให้ทุกอย่างเริ่มมืดลงอย่างเห็นได้ชัด

     

    เสียงมอสเตอร์ในป่า ก็เริ่มดังโหยหวน จนแยกไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นมอสเตอร์ชนิดอะไร เพราะเสียงมันผสมปนเปกันไปหมด รู้เพียงแต่ว่า มันดังกึ่งก้อง น่ากลัว แต่สำหรับผมสองคนแล้ว

     

    แม่งโคตรน่ารำคาญเลยว่ะ!!

     

    ร้องไรนักหนา! ญาติตาย? หรือว่าขี้ไม่ออก?

     

    “คืนนี้เรานอนบนไม้” ผมชี้นิ้วไปยังจุดที่คิดว่ารับน้ำหนักตัวของผู้ชายสองคนได้ โดยที่ทานตะวันมีหน้าที่ก่อกองไฟ

     

    “ทำไมไม่นอนข้างล่างล่ะว่ะ ถ้านอนข้างบนแล้วให้ฉันก่อกองไฟเพื่อ?”

     

    “ได้บอกมั้ย? ว่าให้ก่อไฟ ไอ้สมองน้องหมี แกทำของแกเอง” ผมหันไปถามทานตะวันด้วยน้ำเสียงกวนๆ

     

    “ไอ้สังคัง แล้วแกเก็บเศษไม้มาทำไมว่ะ” มันถาม ก่อนจะหันไปมองกองเศษไม้ที่ผมเก็บมาระหว่างทาง

     

    “สังเกตนะ เศษไม้ที่เก็บมา ส่วนมากมันจะเล็กๆ แหลมๆ จะเอาไว้ทำกับข้าว!

     

    “อ้าวไอ้กระรอกบิน ถ้าแกไม่ก่อไฟ แล้วแกจะทำกับข้าวยังไง”

     

    ผมไม่ตอบ แล้วหันไปปีนต้นไม้เพื่อขึ้นไปยังกิ่งที่หมายตาทันที ทานตะวันก็ไม่รอช้า รีบปีนตามผมขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ปานว่าชาติที่แล้วมันเกิดเป็นลิงเป็นวอก

     

    “เมื่อกี้เก็บผลไม้ได้ เอาไปยัดก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”

     

    “อยากกินเนื้ออออออ” ทานตะวันบ่น ขณะที่รับผลไม้ที่ผมเก็บมาระหว่างทางกินกันหิว

     

    “กัดแขนตัวเองกินพลางก่อนแล้วกันนะ” ผมหันไปบอกมัน ก่อนจะเริ่มกันผลไม้ป่ากิน ถึงแม้รสชาติจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ผมก็เห็นว่ามันปลอดภัยล่ะนะ ก็ไอ้มอนที่กินเข้าไปมันยังไม่ตาย แล้วทำไมผมจะกินไม่ได้

     

    “ยี๊ ไม่อร่อย เหม็นมาก เอาเป้ฯว่า พ่อครัวใหญ่ แต่พรุ่งนี้ต้องไปเก็บระดับกับฉันนะ ไอ้อาร์ม”

     

    “ให้ไปฆ่ามอนที่ไหนได้ แค่สไลม์มาชนขา ตูก็ลงไปนอนแล้ว” ผมหันไปถามมัน

     

    “งั้นเอางี้ ฉันจะเป็นคนโจมตีมัน แล้วพอมันใกล้ตาย แกก็จัดการ แค่เนี้ยะ ง่ายๆ แกก็ได้ EXP เพิ่มล่ะ”

     

    “มัน... ดูเหมือนฉันเอาเปรียบแกเลยว่ะ อีกอย่าง ฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้วนี้หว่า”

     

    “ดีพร่อง! แค่ฉันถีบแก แกก็ลงไปนอนคุยกับไส้เดือนจนได้เสียกันล่ะ แล้วแกคิดหรอว่าที่เป็นอยู่ทุกวันจะทำให้แกรอดชีวิตว่ะ”

     

    “แค่เกมน่า ไอ้ทาน เครียดไรมาก”

     

    “ข้อดีอีกอย่างของระบบเกรียนนะ คือใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบไม่จำกัดว่ะ ต่อให้แกเป็นนักเวทย์ แกก็ใช้ดาบอัศวินได้ ดังนั้น... ฉันจะให้แกยืมอาวุธล่ะกัน”

     

    “แกเป็นอัศวิน?”

     

              “ฉันเป็นพระราชา...”


    TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
      #ไสลด์ตัวก้มลมกราบแทบเท้ารีดเดอร์ทุกท่่าน และอยากจะบอกว่า "ข้าน้อยสมควรตายยิ่งนัก"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×