ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เข้าค่ายที่ลพบุรี

    ลำดับตอนที่ #1 : วันแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.65K
      6
      11 ธ.ค. 46

                   วันแรก                                                      

         การที่ฉันได้มาเข้าค่ายที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่   722   ค่ายพิบูลสงคราม   จังหวัดลพบุรีครั้งนี้

    ทำให้ฉันได้ประสพการณ์มันส์ๆมากมายที่ฉันจะไม่มีวันลืมการมาเข้าค่ายครั้งนี้เลย

         พวกเราออกเดินทางจากโรงเรียนประมาณ 9.00 น.   กว่าจะมาถึงค่ายก็ประมาณ 11.00 น.

    เมื่อมาถึงค่ายพวกเราก็มาเปิดกองกัน   โดยแยกยุวกาชาดกับลูกเสือเนตรนารีออกจากกัน  

    ทำพีธีเปิดของใครของมัน   แล้วจึงเข้าห้องประชุมเพื่อทำพีธีมอบอำนาจการบังคับบัญชาให้ทหาร

    ตอนที่มอบการบังคับบัญชาจากโรงเรียนให้ทหารนั้น   ฉันเห็นหมวดเดียกัดกรามกรอดๆ   เพราะค่าย

    เราเป็นค่ายแรกของฤดูกาลนี้   หลังจากการที่ว่างเว้นค่ายมานานคงจะคันไม้คันมือมั้ง

         ครูฝึกของผู้หญิงมี 4 คน   ประจำกองละ 1 คน   และมีผู้ช่วยครูฝึกอีกกองละ 1 คน

    ครูฝึกกอง 1 ชื่อครูอาร์ต   โหดแต่ยังไม่สุดๆ   ครูฝึกกอง 2 กองของฉันเอง ชื่อครูจ่อย

    ใจดีที่สุดในบรรดาครูฝึก   แต่ฉันจำชื่อครูฝึกกอง 3 ไม่ได้    ครูฝึกกอง 4 ชื่อครูเบิร์ด

    ไม่รู้เป็นไร   เห็นหน้าครูเบิร์ดทีไรคิดถึงหน้าน้าอ๊อดทุกที   คงเป็นเพราะเขามีโครงหน้าเหมือนกัน

    หรือไม่ก็เพราะเป็นทหารเหมือนกัน   ตอนแนะนำตัวครูเบิร์ดบอกว่า          

       “ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี อยากมีศิษย์ดี มันต้องโหด “

         หลังจากที่บรรดาครูฝึกแนะนำตัวเสร็จเขาก็จะแจกธง   ของกองฉันได้ธงสีแดง   ครูฝึกบอกว่า

    ให้รักษาธงนี้เท่าชีวิต   แล้วเขาก็มาแนะนำวิธีการถือธงโดยมาหยิบธงของกองฉันไป

    พวกฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร   เพราะคิดว่าเขายืมไปสาธิตให้กองอื่นดู   แล้วครูวุฒคนที่หยิบธงฉันไป

    ก็แบกธงของกองฉันหายไป   หมวดเลยบอกว่า “ยังไม่ทันไรธงหายซะแล้ว”   เขาให้โอกาสไปหาแล้วแต่หาไม่เจอ   และแล้วครูเบิร์ดก็แบกธงมาคืน   แต่เสาธงกลับไม่ใช่ไม้ง่ามเหมือนที่เขาแบกไป

    กลับกลายเป็นไม้ยูคาลิปตัสท่อนเบ้อเร่อ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 ซ.ม.สูงประมาณ3เมตรแทน

    แล้วก็ไม่มีใครแบก   ฉันเลยไปแบกเองและฉันก็เลยต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองไปโดยปริยาย

         พวกเราออกเดินได้ประมาณ 1 ก.ม. ก็พบกับด่าน 1ด่านเป็นด่านพรางตัว  โดยที่ครูฝึกจะใช้สีทาหน้าพวกเรา   บางคนก็โดนทำไฮไลท์สีผมก็มี  ฉันโดนหนักกว่าเพื่อนนิดหน่อย   แต่ยังโชคดีที่ไม่โดนทำไฮไลท์   และห้ามทุกคนล้างหน้าไม่งั้นจะอดอาหารมื้อเย็น   ตลอดทางฉันต้องเดินห่างจากขบวนประมาณ 1 เมตร   เพื่อไม่ให้ยอดเสาธงไปโดนคนข้างหลัง   ตลอดทางพวกเราโดนแซวว่า

    “จะแบกไม้ไปก่อสร้างที่ไหนหรือน้อง”   ฉันไม่โกรธหรอก   แค่หมั่นไส้ไม่ช่วยถือแล้วยังมา                หัวเรอะเยอะอีก  พวกเราเดินต่อไปอีกประมาณ 3 ก.ม.   เราก็เดินกลับทางเดิม   กว่าจะถึง               ก็เล่นเอาเหนื่อย   ฉันเหนื่อยกว่าเพื่อนเพราะต้องแบกธงไปด้วย  

        





    พอใกล้มืด ครูฝึกก็แจกหม้อข้าวสนาม   ให้พวกเราก่อไฟและทำอาหารกินเอง  

    พร้อมทั้งอธิบายวิธีการหุงข้าว   ว่าต้องใส่ข้าวเท่าไร   ใส่น้ำเท่าไร  จึงจะได้ข้าวกิน   เมนูคือ

    ปลาดุกย่างกับต้มยำไก่   กว่าพวกเราจะก่อไฟติดก็เป็นชั่วโมง   ก่อไฟติดแล้วกว่าไก่จะสุกก็ใช้เวลานาน  ไก่ของพวกเราไม่สุกเลยต้องกินปลาดุกย่างที่ไม่ค่อยสุกกับน้ำต้มไก่

         หลังจากจบการใช้ชีวิตในป่าแล้วก็มานั่งฟังหมวดอบรม พวกผู้ชายคุยกัน                                      เลยโดนลุกนั่งไป 200 ครั้ง   พวกผู้หญิงเลยต้องนั่งรอให้ยุงกัดไป เพราะเขาห้ามตบยุง                    ครูฝึกบอกว่า “ครูเลี้ยงมาตั้งนาน  กว่ามันจะโตจนมากัดเราได้   ยุงตัวนิดเดียวไปตบมันทำไม“    

         หลังจากที่ผู้ชายโดนทำโทษเสร็จแล้ว   ก็เป็นการทดสอบประสาทสัมผัสทางหู  

    เสียงอื่นไม่เท่าไร   แต่เสียงสุดท้ายนี่สุดยอด   มันเป็นเสียงลมหายใจของครูฝึก

    แล้วใครมันจะไปได้ยิน

         ต่อจากนั้นก็เป็นการทดสอบกำลังใจตอนกลางคืน   ให้แต่ละกองเข้าฐานได้กองละ 3 ฐาน

    ไอ้ธงไม้ยูคาฯ เนี่ยมันดีอยู่อย่าง   อยู่ที่ไหนก็มองเห็นเพราะธงมันสูงกว่าเขามองเห็นได้แต่ไกล

    แม้ในที่มืด   แต่มันหนักมากเดินไปไหนก็ต้องแบกไปด้วย  ทดสอบด่านแรกก็ไม่เท่าไร  ไอ้ด่านสองนี่สิมันน่าแค้นตอนแรกหมวดเดียออกมาอบรมเรื่องการทำความดี   พอหมวดเดียอบรมเสร็จจ่าผินก็มาสอนดูดาว  แล้วหมวดเดียมาชวนคุย   ถามว่า  “ทำไมธงกองเธอมันโตไวขนาดนี้ล่ะ   ใส่ปุ๋ยสูตรอะไร”

    แล้วก็มีจ่าอีกคนมาคุยด้วยว่า “เอามานี่มาเดี๋ยวครูไปเปลี่ยนให้“   ฉันเลยตอบไปว่า   “ถ้าอาจารย์จะเอาไปเปลี่ยนให้ละก็   อาจารย์ไปเอาไม้มาก่อนซิ   เดี๋ยวหนูเปลี่ยนเอง”   จ่าเลยถามต่อว่า

       “แล้วเวลาเข้าห้องน้ำกับตอนนอนจะทำยังไงละเนี่ย”   ฉันเลยบอกว่า “นอนกอดไว้เลยคะ”   แล้วจ่าก็ชวนคุย   แล้วฉันก็เห็นหมวดมาอยู่บริเวณยอดไม้ที่ผูกธงไว้   ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร  หารู้ไม่ว่าขณะนั้นหมวดเดียกำลังแกะธงอยู่   แล้วฉันก็มานั่งทับเสาธงไว้    แล้วหมวดเดียกับจ่าก็ออกไปแอบหัวเราะกัน

    ชนิดที่พูดได้ว่าฮาขี้แตกขี้แตนเลยทีเดียว   ฉันเลยถามหมวดว่า   “อาจารย์หัวเราะอะไรกัน”

    เขาก็ไม่ยอมบอก    แล้วจ่าก็เดินมาถามว่า   “นั่งทับอะไรไว้”   ฉันก็บอกว่า “นั่งทับธงไว้ค่ะ”

    “ไหนล่ะธง”   แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าธงหาย    “เอาแล้วธงหายอีกแล้ว  ธงหายไปได้ยังไง”  

      ฉันตอบว่า   “อาจารย์หมวกแดงมาแกะไปค่ะ”   “อะไรกันมากล่าวหาครูได้ยังไง”   “ไม่ได้กล่าวหาค่ะ

    อาจารย์ให้หนูค้นไหมคะ”   จ่าแม้นซึ่งสอนจบพอดีมาถามว่า   “หนูชื่ออะไร”   “นฤมลค่ะ”  

    “เอาชื่อเล่นซิ”   “ผึ้งค่ะ“      “แหม! ชื่อเหมาะดีนี่   แล้วเป็นผึ้งอะไรล่ะ”   “ผึ้งที่ต่อยเจ็บค่ะ”











    “อ๋อ! ไอ้ผึ้งที่เฝ้ารังน่ะเหรอ” “ค่ะ” จ่าเลยบอกว่า “ใช่สิ ผึ้งที่เฝ้ารังมันก็เฝ้าแต่ไม้ไว้  

    ไม่ได้เฝ้าน้ำหวาน”   แล้วหมวดก็เอาไฟฉายมาส่องหน้าฉัน   “ไหนขอดูหน้าหน่อยซิ”  

    แล้วจ่าแม้นก็มาถามว่า  “บ้านหนูอยู่ไหนเนี่ย “  “ บ้านหนูอยู่หลักสี่คะ “   แล้วก็ถามอีกว่า   “แถวหลักสี่ไม่มีไม้ยูคาขายเหรอ”   “ไม่มีค่ะ”   จ่าแม้นเลยพูดต่อว่า “แล้วแบกเข้าไปได้ไงเนี่ย   หนักนะ”  

    แล้วแกก็จับไม้โยนทิ้ง   “โอ้โห! เสียงดัง ตุ๊บ!”   “แล้วอาจารย์มาเอาของหนูไปทำไมล่ะ”  

    “ก็เธอไม่รักษาเองนี่”     “แล้วหนูต้องทำยังไงถึงจะได้คืนคะ”   “เดี๋ยวฝึกเสร็จค่อยคุยกัน”

         ด่าน 2 น่าแค้น   แต่ด่า 3 นี่ซิน่ากลัว   เป็นด่านบ้านผีสิง   ฉันสังเกตว่าทุกครั้งก่อนจะมีเสียงกรี๊ดนั้นจะต้องมีเสียงดังก่อนเสมอ   ทั้งๆที่รู้ว่าโดนเขาแกล้งแต่ก็กลัวอยู่ดี   เขาให้เข้าไปครั้งละ 10 คน

    ตอนเข้าเขาจะแจกธูปให้คนละ 1 ดอก   เขาบอกว่า “เอาธูปไปไหว้จ่าเขา จ่าแกตายมาหลายปี

    ไม่ยอมไปผุดไปเกิดซักที   ครูเนี่ยโดนหลอกมาทุกปี”   ก่อนถึงบ้านจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง

    บนต้นไม้จะมีคนห้อยลงมาเวลาเราเดินผ่าน   พวกที่เดินมาด้วยกันกรี๊ดกันใหญ่   แต่ฉันไม่กรี๊ด

    แค่ร้อง เฮ้ย! เฉยๆ   พอมาถึงบ้านปักธูปหน้าโลงศพเสร็จแล้วมีเสียงเคาะข้างฝาดัง ปัง! แล้วก็มี

    คนโผล่มาจากโลง   พวกที่มาด้วยกรี๊ดกันใหญ่   แต่ฉันไม่กรี๊ดแต่ก็ตกใจเหมือนกัน  

    คนในโลงโผล่มา 2 – 3 รอบแล้วแต่ก็ยังไม่ออกมา   ฉันเลยต้องลากหนึ่งในนั้นออกมา   พวกที่เหลือ

    จึงตามออกมา   กว่าจะออกมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อย   ถ้าถามว่าทำไมฉันไม่กรี๊ด   จะกรี๊ดได้ยังไง

    ในเมื่อเวลาที่เขากรี๊ดกันฉันหลับตาปี๋เลย

         พอออกจากบ้านก็ต้องมานั่งรอเพื่อนๆที่ยังไม่ออกมา   และตอนนี้เองฉันก็ได้รู้ว่างบประมาณที่มีให้กองทัพมันน่าจะไม่เพียงพอ   เพราะสังเกตจากระยะห่างของหลอดไฟฟ้า   ซึ่งห่างกันถึง 4 เสาไฟฟ้า

    ทำให้บริเวณนั้นค่อนข้างมืด   มืดจนฉันแทบจำหน้าเพื่อนไม่ได้   แล้วฉันก็เห็นครูฝึกคนหนึ่งกำลังคุยกับหมวดเดีย   เรื่องน้ำในห้องน้ำไหลไม่หยุด   แล้วฉันก็จำได้ว่าครูฝึกคนนั้นคือผู้บังคับกองพันนั่นเอง

    กว่าจะจำได้ก็นึกอยู่นาน   ก็บอกแล้วไงว่าที่ตรงนั้นมันมืดมาก

         ซักพักหมวดโดมก็มารายงานว่าตอนนี้น้ำในห้องน้ำหยุดไหลแล้ว   แล้วหมวดก็มาคุยกับพวกเรา

    ห้องน้ำห้องที่น้ำไหลไม่หยุดนั้นคือห้องน้ำห้องที่ 3 นับจากซ้ายมือทำให้พวกที่กลัวผีขนลุก

    เพราะหมวดเล่าให้ฟังว่าที่ห้องน้ำห้องที่ 3 นี้มีคนผูกคอตาย   เป็นพนักงานทำความสะอาด

    ตายวันเสาร์   กว่าจะมีคนมาเจอก็วันจันทร์   หมวดบอกว่าตอนมาเจอศพกำลังขึ้นอืด ลิ้นจุกปาก

    ตาถลนออกมานอกเบ้า   ทำให้พวกขวัญอ่อนจะอ๊วกเอา  

         พอหมวดโดมกลับไปได้ซักพักแกก็กลับมา   ถามว่าเห็นพวกกอง 3 ไหม   พวกเราบอกว่าไม่เห็น

    แกเกาหัวแกรกๆ  ถามอีกว่า “ครูถามจริงๆ  พวกเธอเห็นไหม”   แล้วฉันก็นึกออกว่าก่อนที่หมวดจะมา

    มีพวกหนึ่งเดินผ่านหน้าโรงนอนพวกผู้ชายไป   แล้วผู้ช่วยครูฝึกก็บอกว่าเขาพาเดินอ้อมไป

    หมวดเลยโล่งอกไป   แกบอกว่า ”ตกใจหมดเลย   เด็กทั้งกองเดินหายไป   นึกว่าผีหลอกซะแล้ว”  

    แล้วแกก็ขับรถออกไป

        กว่าพวกที่เหลือจะออกมาหมด   ก็กินเวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมง   ไอ้พวกที่นั่งรออยู่ก่อน

    ก็นั่งจับวงเม้ากันเกี่ยวกับเรื่องที่เจอมาเมื่อซักครู่อย่างเมามันส์   ส่วนฉันไม่มีอะไรทำ

    ก็นอนรอไป   ตรงที่พวกเราอยู่นั้นเงียบมาก   ชนิดที่มีทหารนั่งเล่นเกมส์อยู่บนเรือนนอนได้ยินมาถึงที่พวกเรานั่ง   เพราะเกมส์โนเกียเสียงค่อนข้างดังแล้วระยะห่างก็ไม่มากเท่าไร

    ชนิดที่ว่ารู้เลยว่ากำลังเล่นเกมส์ตะลุยอวกาศอยู่   เพราะเสียงมันค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว

          เมื่อทุกคนออกมาครบแล้วพวกเราก็ต้องเดินแถวมาที่นัดไว้   หมวดเดียรออยู่แล้ว   รอที่จะทำโทษพวกเรา   เรื่องแก้วน้ำที่ทิ้งไว้เกลื่อนกลาดตลอดทางที่เดินทางไกล   พอทำโทษเสร็จหมวดก็คุยเรื่อง

    บิ๊กดีทูบีที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทว่า พวกที่ไปนั่งร้องไห้หน้าห้องไอซียูนั้นมันบ้า   ถ้าพ่อแม่เรามีอาการอย่างบิ๊กพวกเราจะมานั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืนอย่างบิ๊กหรือเปล่า   แล้วหมวดยังบอกอีกว่า

    “ให้บิ๊กตายไปได้ก็ดี   ครูจะได้หล่อขึ้นมาอีกนิด”   แล้วตอนกำลังอบรมอยู่ครูเบิร์ดก็มารายงานว่า

    “มีข่าวร้ายครับ”   “ข่าวอะไร”   “ภารดรแพ้ครับ”   พวกเราบางคนก็เฉยๆ   บางคนก็โห่

    แล้วหมวดเดียก็สั่งทำโทษ   ข้อหาแรก   ทิ้งขยะเกลื่อนกลาด   ข้อหาที่ 2 มาเข้าแถวช้า

    ข้อหาที่ 3 พูดคุยในเวลาที่หมวดอบรม   ข้อหาที่หมั่นไส้ข้อแรก ไปนั่งเฝ้าบิ๊กหน้าห้องไอซียู

    ข้อหาที่ 2 โห่ที่ภารดรแพ้   ถ้าเราไม่เชียร์คนไทย แล้วเราจะไปเชียร์ใคร

         แล้วหมวดเดียก็ปล่อยไปกินข้าวต้ม   พอแกปล่อยแกก็ถามว่า   “ไหน น้องผึ้งอยู่ไหน”

    พอฉันยกมือแกก็หัวเราะ   “อะฮ้า! กองสอง โดน!”   พอไปกินข้าวแกก็ยังมาตามล้ออีก   เนื่องจากธงกองฉันเป็นสีแดง   เมื่อพับแล้วจึงเหมือนผ้าเช็ดน้ำหมาก   แกก็ล้อว่า ”เอาผ้าเช็ดปากไหม”

    ฉันก็เฉย   หมวดเลยยื่นธงคืน   ฉันดีใจมาก  ฉันต้องรักษาธงนี้ไว้อย่างดี   ถ้าทำหายอีกคราวนี้คงโดนให้แบกเสาไฟฟ้าแน่

         ถึงจะได้ธงคืนแล้วก็ตาม  แต่ฉันก็ยังกังวลอยู่ดีว่าเขาจะหาเรื่องทำโทษฉันกับเพื่อนอีกหรือเปล่า

    แต่ที่โดนทำโทษกลับไม่ใช่เรื่องธง   แต่กลับเป็นเรื่องอื่น   เรื่องของเรื่องก็คือ  กอง 1 และกอง 2

    ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดบริเวณโรงนอน   โดยที่กอง 1 ต้องดูแลห้องน้ำหลังจากที่ไม่มีคนใช้แล้วให้สะอาดไม่มีสิ่งของห้อยหรือตากในห้องน้ำ   ห้ามมีรอยเท้าหรือคราบดินในห้องน้ำ

    ส่วนกอง 2 ต้องดูแลเรื่องขยะทั้งบนโรงนอนและรอบๆโรงนอน   พวกเราก็ทำความสะอาดกันแล้ว

    แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมีคราบดินและขยะอีกอยู่ดีพวกเราเลยโดนทำโทษหลังจากสวดมนตร์เสร็จแล้ว

    โดยมานอนกางมุ้ง*ชมจันทร์อยู่นอกอาคาร  เลยโดนหมวดเดียแซวว่า   “นั่นข้างนอกกางมุ้งนอนกันแล้วเหรอ”   กว่าจะได้ขึ้นนอนก็เล่นเอาเมื่อย  

         แม้จะนอนแล้วแต่ก็ยังไม่จบเรื่อง   เมื่อครูฝึกดับไฟแล้วทุกคนต้องเข้านอน   ห้ามมีเสียงพูดคุย

    ห้ามมีเสียงกินขนม   และห้ามมีแสงไฟฉายแต่กลับมีหมดทุกอย่าง   เลยโดนทำโทษกันอีกครั้ง  

    หลังโดนทำโทษแล้วหมวดก็ยังไม่ปล่อยเข้านอน   เขารอจนกว่าจะเงียบ   โดยบอกว่า



    “ ใครอยากคุยก็คุยไปถ้าคุยไหว   ใครไม่อยากคุยก็นอนไป   นอนในท่าที่คิดว่าสบายที่สุด

    แต่ห้ามเหยียดยาว “   พวกข้างหน้าก็หลับๆตื่นๆ   ในขณะที่พวกข้างหลังไม่มีสลด   กลับนั่งเล่นปั่นแปะกันเฉยเลย   หมวดแกก็ปล่อย   แกบอกว่า   “ครูเบื่อ   ครูไม่อยากลงโทษเขาหรอก

    ครูจะปล่อยให้สังคมลงโทษเขาเอง”   พวกเราก็นั่งรอไป   กว่าจะเงียบบางคนก็หลับไปแล้ว

    หมวดก็เลยอบรมต่ออีก 1 ชุดแล้วจึงปล่อยขึ้นนอน  

         คืนนั้นทุกคนเข้านอนประมาณตี 2   เป็นค่ายแรกที่เข้านอนเวลานี้     ค่ายอื่นอย่างมากตี 1

    เขาก็ปล่อยนอนแล้ว  

         จากความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าจาการที่ต้องฝึกมาทั้งวัน  เมื่อหัวถึงหมอนก็หลับกันเป็นตายเลยทีเดียว   แล้วพวกที่คิดว่าจะได้ยินเสียงลากโซ่   หรือเสียงตีปิงปองแบบที่หมวดบอกน่ะอย่าหวัง เพราะแต่ละคนหลับสนิทชนิดที่ว่าเขามาอุ้มไปฆ่าทิ้งยังไม่รู้ตัวเลย

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×