หากจะให้สาวๆโหวตว่า ศิลปินหนุ่มเจ้าเสน่ห์ในยุคนี้ เชื่อว่าเห็นทีจะไม่พ้น 4 หนุ่มวง F4 ส่วนของไทยนอกจากวง D2B ที่ยุบวงไปแล้ว ก็อาจเป็นหนุ่มๆวง B MIX แต่ถ้าเราจะนับ “พระเอก” ในวรรณคดีไทยแล้ว คงจะไม่มีพระเอกคนไหนที่มีเสน่ห์เกิน “พระอภัยมณี” ของท่านสุนทรภู่เป็นแน่ หลายคนอาจเถียงว่า “ขุนแผนซิ มีเสน่ห์ที่สุดเพราะมีเมียตั้งหลายคน” แต่อย่าลืมว่าเมียขุนแผนทุกคน ล้วนแต่เป็นมนุษย์และบางคน ขุนแผนก็ได้มาเพราะเวทย์มนต์คาถา
แต่สำหรับ “พระอภัยมณี “แล้ว มีทั้งเมียมนุษย์ เมียยักษ์และเมียเงือก บางคนก็อาจจะว่า..งั้น
.
“หนุมาน”ล่ะ ก็มีทั้งเมียเงือก ยักษ์และคนเหมือนกัน แต่นั่นแหละ หนุมานก็เป็นลิงและก็เป็นเพียงตัวเอกมิใช่พระเอก อีกทั้งไม่ใช่มนุษย์เช่นพระอภัยมณีนักดนตรีที่มีเสน่ห์ที่สุด
“เสน่ห์”ของพระอภัยมณีเห็นได้จากเปิดคอนเสิร์ตเป่าปี่ครั้ง แรก ก็มีผลทำให้สามพราหมณ์และศรีสุวรรณพระอนุชาเกิดอาการ
“หวาดประหวัดสตรีฤดีดาล ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป
ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย”
เท่านั้นยังไม่พอมนต์เสียงปี่ของศิลปินเดี่ยวพระอภัยมณียังทำเอานางผีเสื้อสมุทรที่บังเอิญผ่านมาได้ยินเข้าถึงกับกรี๊ดด้วยความเสน่หา จนต้องอุ้มพระอภัยมณีไปเป็นสามี อยู่ด้วยกันในถ้ำและเกิด “สินสมุทร” ในเวลาต่อมา
พระอภัยมณีและศรีสุวรรณ เป็นโอรสของท้าวสุทัศน์แห่งกรุงรัตนา แต่ทั้งคู่ต้องถูกระเห็จออกจากเมืองก็เพราะแทนที่พระอภัยมณีจะไปเรียนศิลปศาสตร์อย่างลูกกษัตริย์เหมือนพระเอกในวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ ท้าวเธอกลับไปเรียนวิชาเป่าปี่ ส่วนศรีสุวรรณก็ดันไปเรียนวิชากระบี่กระบอง ซึ่งทั้งสองวิชา ท้าวสุทัศน์ผู้บิดามีทัศนะว่า
“อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง มันก็ยังร่ำเรียนได้ชำนาญ
อันวิชาอาวุธและโล่เขน ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร
เป็นกษัตริย์จักรพรรดิพิสดาร มาเรียนการเช่นนี้ด้วยอันใด”
กล่าวง่ายๆวิชาดนตรีที่พระอภัยมณีอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา พ่อเห็นว่าไร้สาระ หญิงชาววังไม่ต้องศึกษาก็เรียนรู้ได้ ส่วนวิชากระบี่กระบองก็เป็นของทหารที่ใช้กำลังอาวุธ มิใช่เรื่องของกษัตริย์ สรุปแล้วในความเห็นของพ่อ ไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ซึ่งจริงๆแล้ว หากท้าวสุทัศน์จะไม่โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเกินไปและยอมใจเย็น ฟังเหตุผลพร้อมชมการสาธิตเพลงปี่ของพระอภัยมณีสักหน่อย ก็อาจจะเข้าใจในวิชาเลือกของลูกก็ได้ว่า
วิชาเป่าปี่ของพระอภัยมณีไปเล่าเรียนมากับครูเฒ่า “พินทพราหมณ์ “ ณ หมู่บ้านจันตคามนั้น พระอภัยมณีเห็นว่า
“ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก ได้ดับโศกสูญหายทั้งชายหญิง\"
คือพระอภัยมณีเห็นว่าดนตรีช่วยดับทุกข์โศกได้ อีกทั้งการเรียนเป่าปี่นี้มืใช่เรื่องกล้วยๆแต่ครูพราหมณ์ต้องพาพระอภัยมณีไปเรียนถึงยอดเขา แถมบรรยายสรรพคุณให้ฟังอีกด้วยว่า
“แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่ ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
แต่เสือช้างกวางไพรที่ได้ยิน ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง”
นอกจากนี้
“ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง”
อาจารย์บอกแค่เป่าปี่เท่านั้น เสือ ช้าง ยังเคลิ้มลืมกินอาหารส่วนคนเล่า ถ้าได้ยินก็จะงงงวยใจอ่อน
สรรพคุณของดนตรีดีอย่างนี้ พระอภัยมณีคงเป็นหนุ่มน้อยอารมณ์อ่อนไหว พอฟังคารมอาจารย์ก็เลยตกลงใจ เลือกวิชาเป่าปี่นี้แหละน่าจะเข้าท่า
อาจจะนับได้ว่า พระอภัยมณีเป็นพระเอกคนแรกที่เป็นศิลปินนักดนตรี เพราะพระเอกในวรรณคดีอื่นๆ เขาก็เลือกเรียนศิลปะการต่อสู้ ไสยเวทย์หรือการเมืองการปกครองทั้งนั้น ก็คงมีแต่พระอภัยมณี
พระเอกของเรานี้แหละ ที่เรียนวิชาเป่าปี่ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่ามันมีดีอย่างไร นอกจากที่อาจารย์ได้ว่าไว้แล้ว
เรื่องนี้พระอภัยมณีมีคำตอบ
“อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดั่งจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิน
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทสาที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์ จงนิททราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง”
อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจคิดว่า ถ้าพระอภัยสามารถเป่าปี่ให้คนที่ได้ยินหายโกรธได้ ทำไมไม่เป่าให้พระบิดาฟังซะเลย พระองค์จะได้ใจอ่อน ไม่ทรงยัวะจนถูกขับไล่ออกจากเมืองอย่างนั้น
แหม! ถ้ามันง่ายอย่างนั้น นิทานก็ไม่สนุกน่ะซี่ แล้วอยากจะอ่านต่อให้สนุกๆ หรือจะจับผิดล่ะ
จะว่าไปแล้ว พระอภัยมณีเป่าปี่แต่ละครั้ง มิใช่อยากจะเป่าก็เป่า แต่จะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน เพราะถ้าอ่านเรื่องนี้จนจบเรื่อง เราก็พอจะนับได้ว่า พระอภัยมณีเป่าปี่ไปประมาณ 12 ครั้งเท่านั้น เช่น
ครั้งแรกที่เป่าบรรยายสรรพคุณวิชาเป่าปี่ให้สามพราหมณ์ฟัง ครั้งที่ 2 ประมาณว่า ต้องการขับไล่นางผีเสื้อสมุทรให้กลับไป แต่นางไม่ยอมไป เมื่อหมดหนทางก็เลยต้องเป่าปี่ ซึ่งเพลงที่เป่าคงบีบคั้นหัวใจนางผีเสื้อสมุทรเป็นแน่แท้ นางเลยขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา
ครั้งต่อๆมาก็เป่าเพื่อสะกดทัพข้าศึกให้หลับ จนรบชนะบ้าง หรือบางครั้งก็เป่าจีบสาว อย่างตอนที่สู้กับนางละเวงจนนางเสียทีขี่ม้าหนีไป พระอภัยมณีเห็นนางก็นึกชอบ จึงเป่าปี่เรียก ถ้าสมัยนี้น่าจะเรียกเป่าอ้อนสาวซะมากกว่า ซึ่งก็ได้ผลเพราะนางละเวงเองก็เกิดรัญจวนใจจน
“ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี ด้วยเพลงปี่เป่าเชิญให้เพลินใจ
จนลืมองค์หลงรักชักสินธพ กลับมาพบพิศวงด้วยหลงไหล”
ครั้นพอพบพระอภัยมณีเข้า พระเอกของเราก็เข้าไปประกบ นางเกิดรู้สึกตัว ก็เกิดความหวั่นใจชักม้าหนีเพราะ
“ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง ฉวยพลั้งเพลี่ยงเพลงปี่ต้องมีผัว
จะพลอยพาหน้าน้องให้หมองมัว เหมือนหญิงชั่วชายเกี้ยวประเดี๋ยวใจ”
จะเห็นได้ว่าเพลงปี่ของพระอภัยมณีมีอิทธิพลต่อจิตใจผู้ฟังไม่น้อย และพระอภัยมณีเองก็คงต้องเลือกเพลงปี่ให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆที่จะเป่าในแต่ละครั้ง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดการเคลิบเคลิ้ม เรียกว่าเป่าให้”โดนใจ”
เสน่ห์ของพระอภัยนอกจากจะอยู่ที่มนต์เสียงปี่แล้ว คารมก็คมคายมิใช่น้อยเพราะตอนจีบเงือกสาวให้ยอมเป็นเมีย นัยว่าตอนแรกเงือกจะไม่ยอม บอกว่าอยู่กันคนละไฟลั่มกัน พระอภัยก็ไม่ยอมแพ้ อ้างว่า
“ประเวณีมีทั่วทุกตัวสัตว์ ไม่จำกัดห้ามปรามตามวิสัย
นาคมนุษย์ครุฑาสุราลัย สุดแต่ใจปรองดองจะครองกัน”
ฟังแล้วเงือกน้อยก็หลงคารม จนเกิดสุดสาครโอรสอีกองค์หนึ่ง นอกจากคารมจะเป็นต่อแล้ว พระอภัยมณียังรูปหล่อไม่เป็นรองใคร มิฉะนั้นแม่ผีเสื้อสมุทรคงไม่ปิ๊ง เข้าใจว่าเมื่อได้ยินเพลงปี่ในตอนแรกอาจแค่ยากรู้ว่าใครหนอเป่าปี่เพราะใจ พอเข้ามาใกล้ เห็นหน้าก็ใช่เลย
ข้อพิสูจน์อีกอย่างว่าเป็นคนรูปหล่อคือ นางมณฑามารดาของนางสุวรรณมาลีภรรยาคนที่ 3 ของพระอภัยมณี เมื่อเห็นพระอภัยครั้งแรกก็หลงไหลในรูปโฉม อ้ออย่าเพิ่งคิดไปไกลว่าเป็นไก่แก่แม่ปลาช่อนล่ะ นางมณฑาปิ๊งอยากได้พระอภัยมณีเป็นลูกเขยต่างหากล่ะ และยังยกเมืองผลึกให้ครอง เพราะท้าวสิลราชพระสวามีตายไปตอนที่นางผีเสื้อสมุทรอาละวาดจนเรือแตก แต่นางสุวรรณมาลีเกิดงอนพระอภัยมณีที่จะยกนางให้กับอุศเรนคู่หมั้นเดิม เลยหนีไปบวชไม่ยอมแต่งด้วย ร้อนถึงนางวาลีสนมเอกที่เป็นเมียอีกคน ภายหลังต้องออกอุบายจนได้แต่งงานกันในที่สุด
พูดถึงนางวาลีเป็นเมียที่ขี้เหร่ที่สุดและมาเสนอตัวขอให้พระอภัยมณีเป็นสามี พระอภัยมณีเองก็คงไม่เต็มใจในตอนแรก แต่นางวาลีเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาและวาจาเป็นเลิศ เพราะสามารถเกลี้ยกล่อมชักแม่น้ำทั้งห้า โน้มน้าวใจให้รับนางเป็นเมียจนได้ โดยนางอ้างว่าแม้นางจะรูปชั่วตัวดำ แต่การที่มาขอเป็นเมียพระอภัยมณี ก็มิใช่เพื่อความสุขทางโลกีย์ เพราะแบบนั้นพระอภัยมณีก็มีนางในที่สะสวยมากมายอยู่แล้ว
แต่นางมาเพื่อสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้ เพราะนางมีปัญญาและวิชาความรู้ พระอภัยมณีฟังคารมของนางคงมึนตึ๊บ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขืนไม่รับคงถูกหาว่าชอบแต่คนสวยและบ้าเซ็กส์ ก็เลยรับไว้เป็นเมียอีกคน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะนางวาลีสามารถทำให้นางสุวรรณมาลียอม แต่งงานกับพระอภัย และได้ครองเมืองผลึก ภายหลังยังสามารถใช้คารมเชือดเฉือนอุศเรนจนอกแตกตายไปเอง
จากเนื้อเรื่องพระอภัยมณี เราจะเห็นว่าพระอภัยมณีเป็นพระเอกที่มีเสน่ห์และเนื้อหอมไม่เบา ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องเรียกว่ามี
เซ็กส์แอพพีล (Sex Appeal) หรือเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม เพราะแม้จะมีเมียเพียง 5 คนแต่ว่าแต่ละคนล้วนต่างกันโดยสิ้นเชิง
นับตั้งแต่เมียคนแรกคือนางผีเสื้อสมุทรซึ่งเป็นยักษ์ คนที่ 2 เป็นนางเงือก คนที่ 3 นางสุวรรณมาลีเป็นมนุษย์ เมียคนที่ 4 นางวาลี เป็นเมียคนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เจ้าปัญญา และนางละเวงเมียคนที่ 5 ก็เป็นฝรั่ง แล้วแต่ละคนก็หลงรักพระอภัยทั้งสิ้น
เหตุผลเหล่านี้แหละที่เรายกให้ พระอภัยมณีเป็นศิลปินเจ้าเสน่ห์แห่งยุค
ตารางเมียพระอภัย
ชื่อ สายพันธ์ (เชื้อชาติ) ลูก
นางผีเสื้อสมุทร ยักษ์ สินสมุทร
นางเงือก เงือก สุดสาคร
นางสุวรรณมาลี มนุษย์ (ไทย) สร้อยสุวรรณ,จันทรสุดา
นางวาลี มนุษย์ (ไทย) -
นางละเวง มนุษย์ (ฝรั่ง) มังคละ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น