ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fill me in เติมรักใสให้หนุ่มHot

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ ไม่ครบ 100%

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 48




        ในคืนที่พายุฝนพัดกระหน่ำ ผมที่วิ่งฝ่าสายฝนที่โถมเข้ามากลับถึงอพาร์ทเมนท์ได้อย่างสวัสดิ์ภาพ แม้จะตัวเปียกโชกแต่ก็ครบสามสิบสอง  ขณะที่ผมกำลังวุ่นวายกับการหากุญแจในกระเป๋าเป้  ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนม.ปลายนอนขวางประตูอยู่



        “เฮ้ย !” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อเดินสะดุดร่างบางที่นอนขวางทางอยู่ ก่อนมองเด็กหญิงที่ทอดตัวนอนอยู่หน้าห้อง แล้วตัดสินใจเขย่าตัวปลุก



        “เฮ้! นี่ๆ ตื่นสิ” ผมส่งเสียงปลุกเธออยู่นาน  ก่อนที่จะตัดสินใจอุ้มเธอเข้าไปในห้อง  เพราะจะปล่อยไว้ตรงนี้ก็คงไม่ดีแน่ ในจะเสื้อผ้าที่เปียกปอนของเธอ ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงจะไม่ได้



        ผมอุ้มเธอมาวางไว้บนโซฟา แล้วจัดแจงนำผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เธอ ก่อนสังเกตเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ขนตาหนายาวที่เรียงตัวสวยบนเปลือกตาสีขาวนวล สีเดียวกับใบหน้าโครงหน้ากับริมฝีปากได้รูปนั้นทำให้คิดถึงใครคนหนึ่งนัก คนที่เขาคุ้นเคย แล้วเปลือกตานั้นก็เริ่มกระพริบถี่ๆ ก่อนลืมขึ้นเต็มตา ทำเอาผมตกใจผละหน้าออกห่างจากเดิมขึ้นเล็กน้อย



        “เอ่อ.. พอดีฉันเห็นเธอนอนอยู่หน้าห้อง..” ผมรู้สึกเหมือนถูกสายตาสีน้ำตาลนั้นจ้องบีบคั้นเอาความจริงอยู่ เลยพูดออกไปเพื่ออธิบายสิ่งที่อาจทำให้เธอเข้าใจผมผิด “ตัวเธอเปียกโชก… จะปล่อยไว้หน้าห้องก็คงไม่ดี  ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอจริงๆ” ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังพูดคำแก้ตัวกับผู้ปกครองยังไงยังงั้น



        ดวงตาคู่สีน้ำตาลนั้นยังคงจับจ้องผมอยู่อย่างไม่วางตา ทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆเหมือนคนกำลังทำความผิด  แล้วร่างบางบนโซฟาก็ดีดตัวขึ้นมาเข้ามากอดผมเอาไว้ แล้วเรียกชื่อของผม



        “เคนจัง” เสียงเล็กใสๆของเด็กสาวมัธยมปลายเอ่ย ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวแล้วพยายามดันตัวเธอให้ออกห่างไป ซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แล้วดวงหน้าได้รูปนั้นก็ยังส่งยิ้มมาให้ผมอยู่



        “เอ่อ เราเคยเจอกันมาก่อนเรอะ” เมื่อผมหลุดจากอ้อมกอดของเธอได้ก็ก้าวถอยหลังทิ้งระยะห่างระหว่างเธอกับผม



        “สิกิจังเองจ๊ะ เคนจังจำสึกิไม่ได้เหรอ” เธอกล่าวก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ซึ่งผมก็ถอยหลังออกจนติดกำแพง



        นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงมานอนตัวเปียกโชกอยู่หน้าห้องของผม แต่ไอ้เรื่องที่มีผู้หญิงแปลกหน้ามาแกล้งทำเป็นรู้จักนี่เป็นครั้งที่สิบได้แล้วมั้ง  ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นคนหน้าตาดีมากนัก แต่ก็ไม่น่าเกลียดจนรับไม่ได้ การมีผู้หญิงมาติดพันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  และถ้าหากเธอคนนี้มาหาผมก่อนหน้านี้เสียสักสองปี ผมอาจจะเล่นด้วยกับนิยายน้ำเน่าเรื่องนี้ก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะทำอย่างนั้นอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้ผมได้พบกับผู้หญิงที่ผมอยากจะปกป้องมากที่สุดแล้ว และไม่อยากเสียเธอไปโดยเรื่องชู้สาว ไม่อยากทำให้เธอเสียใจ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีค่าเกินกว่าต้องมาเสียใจกับเรื่องไร้ค่าเช่นนี้  การยั่วยวนครั้งนี้ของเด็กสาวมัธยมปลายคนนี้จึงไม่เป็นผล



        “จำไม่ได้ เธอตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว ฉันไม่อยากยุ่งยาก” ผมพูดตัดบท ก่อนจะเดินไปเปิดประตู เชิญให้เธอออกจากห้อง  ดวงตาสีน้ำตาลหมองลงเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินมาทางประตูแต่โดยดี ใบหน้าก่อนเดินออกจากห้องก็ยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่แสนจะเสแสร้ง นึกรังเกียจผู้หญิงใจง่ายคนนี้อยู่ในใจ  พอเธอเดินผ่านธรณีประตูห้องได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง แล้วโค้งตัวลงก่อนเงยหน้าขึ้นมาแนะนำตัว



        “อาโอยาม่า สึกิริ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งค่ะ แล้วพรุ่งนี้จะมารบกวนใหม่นะค่ะ” แล้วโค้งตัวอีกครั้ง  ก่อนที่จะวิ่งจากไป



        พรุ่งนี้จะมารบกวนใหม่งั้นเหรอ…



        ผมถอนหายใจเบาๆกับคำกล่าวของเด็กสาววัยแรกรุ่น นึกในใจว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักระวังเนื้อระวังตัวเสียบ้างเลย คิดไปคิดมาก็นึกขำตัวเอง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าแต่ก่อนผมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เผลอๆอาจจะยิ่งกว่าเด็กนั้นก็เป็นได้ แต่ก็ช่างเถอะ ถึงพรุ่งนี้เธอจะมาอีกแต่ก็คงจะไม่เจอผมอีกแล้ว เพราะวันนี้ตอนเย็นผมก็จะย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่แล้ว



        ผมคิดก่อนที่จะปิดบานประตูลง แล้วจัดการเรียงกล่องที่บรรจุของเสร็จแล้วออกมาเรียงวางไว้ที่หน้าห้อง เพื่อรอขนขึ้นรถของยะเทนที่จะมาช่วยย้ายไปอพาร์ทเมนท์แห่ใหม่ในตอนค่ำของวันนี้



        ขณะที่ผมจัดการย้ายกล่องนานาขนาดมาไว้ที่หน้าห้องยังไม่ทันครบดี ก็ได้ยินเสียงกดกริ่งที่หน้าประตู เมื่อเปิดออกไปก็พบกับยะเทนที่ดูจากอาการแล้วท่าทางจะวิ่งขึ้นชั้นห้ามา ลมหายใจยังหอบฮืดฮาดอยู่เนื่องๆ



        “นี่นายวิ่งขึ้นมาเรอะ ทำไมไม่ขึ้นลิ..ฟ..” ก่อนที่ผมจะทันกล่าวอะไรจบ ยะเทนก็กล่าวขัดขึ้นเสียก่อน



        “เซริกะ เข้าโรงพยาบาล โรคหัวใจกำเริบอยู่ในอาการโคม่า..” ข่าวที่ยะเทนบอกให้รับรู้ ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก รู้เพียงว่าหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปรกติ ตอนนี้ไม่ปรกติเสียแล้ว รู้เพียงว่าผมกระชากคอเสื้อของเพื่อนคนสนิทให้ออกแรงเดินตามผมโดยไม่ลืมล็อคประตูห้อง ก่อนเดินไปที่รถของยะเทน ยะเทนที่เป็นเจ้าของรถกำลังไขกุญแจประตูรถอย่างเร่งร้อน ต่าไม่ว่าเขาจะรีบเร่งเพียงใดความเร็วของเขาก็ยังไม่เท่ากับกระแสเร่งเร้าภายในใจของผม ผมแย่งกุญแจรถมาจากยะเทนแล้วจัดการไขประตูเสร็จสรรพ เจ้าของรถคงรู้ถึงสถานการณ์ดีไม่โต้แย้ง เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ยอมไปนั่งเบาะข้างคนขับแต่โดยดี ผมไม่รู้ว่าวันนั้นผมเร่งความเร็วไปถึงเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าผมจะเร่งเท่าไหร่มันก็ไม่ทันใจ



        จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล ซึ่งผมได้พบกับคุณพ่อคุณแม่ของเซริกะ ผมโค้งให้พวกเขาก่อนที่จะแนะนำตัวผมและสถานภาพระหว่างผมและเซริกะให้พวกท่านทราบ



        “ไอโด เคน ครับ ผมเป็นแฟนของเซริกะ” ผมแนะนำตัว ท่านทั้งสองมองผมอย่างเอ็นดูและโค้งรับเล็กน้อย



        “เคนจัง ที่ตอนเด็กๆเคยมาเล่นแถวๆบ้านน้าบ่อยๆใช่มั้ยจ๊ะ โตแล้วหล่อขึ้นเยอะเลยนะจ๊ะ” คุณน้าผู้หญิงทักทายผมอย่างอ่อนโยน ทั้งที่ดวงตานั้นแดงก่ำยังกับร้องไห้มาแล้วข้ามวันข้ามคืน คำทักทายที่ทำให้ผมดีใจไม่ใช่น้อย



        สมัยเด็กๆผมเคยอยู่ข้างๆบ้านของเซริกะ แต่เมื่อขึ้นชั้นประถม ผมก็มีอันต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่โตเกียวแห่งนี้ แต่ด้วยอะไรบางอย่างที่เซริกะเรียกว่าเป็นดวงชะตาฟ้าลิขิต แต่ผมเรียกว่าความบังเอิญที่จงใจ พาให้ผมกับเซริกะมาพบกันอีกครั้ง



        “อือ โตขึ้นมากที่เดียว ลุงดีใจนะที่เซริกะเลือกเธอ” คุณลุงผู้ที่มีใบหน้าแป้นยิ้มอยู่เสมอเท่าที่ผมจำได้ ใบหน้านั้นก็ยังไม่เปลี่ยนไป จะมีเปลี่ยนบ้างก็ตรงที่มีริ้วรอยแห่งวัยเพิ่มขึ้นตามอายุกับผมที่เริ่มขาวมากขึ้น ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตอนนี้ดูเหนื่อยล้าอย่างมาก อาการเหนื่อยล้าของคนทั้งคู่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสงสัย



        ทำไมถึงดูเหน็ดเหนื่อยกันขนาดนี้ เหนื่อยเหมือนอดหลับอดนอนมาหลายวันหลายคืน



        แต่นั้นก็เป็นได้เพียงแค่คำถามที่อยู่ในใจ ไม่อาจถามออกไปได้เพราะมันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก อีกอย่างคือในใจของผมตอนนี้มีเรื่องอื่นที่อยากจะถามมากกว่าอยู่แล้ว



        “เซริกะเป็นยังไงบ้างครับ”



        “คุณหมอบอกว่าหัวใจอ่อนแอมาก ต้องเปลี่ยนถ่ายหัวใจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ว่า…” ถึงตอนนี้ จู่ๆคุณน้าผู้หญิงก็ก้มหน้าลงฟุ่บกับไหล่ของคุณลุง ตัวสั่นน้อยๆ



        “ตอนนี้ไม่มีผู้บริจาคหัวใจเลย ถ้าถึงวันพรุ่งนี้ยังไม่มีหัวใจมา…. เซริกะก็คง…”ดำสุดท้ายที่ไม่จำเป็นต้องเติมเต็มให้ครบประโยค ก็รู้ใจความสำคัญทั้งหมด



        ประโยคที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ทำให้คุณน้าปล่อยโฮนักกว่าเดิม คุณลุงที่เศร้าใจพอๆกัน ก็ได้แต่เพียงปลอบภรรยาด้วยการลูบหัวเบาๆเท่านั้น ผมเองก็รู้สึกหดหู่ใจไปในทันที จนไม่อาจคิดจะทำอะไรต่อไปได้นอกจากรอ…  



        ยะเทนที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเที่ยงคืนและเอ่ยปากชวนให้ผมกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักเสียก่อน เมื่อผมปฏิเสธโดยบอกว่าอยากจะขออยู่ดูอาการของเซริกะจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอจะปลอดภัย ยะเทนจึงอาสาจะจัดการช่วยย้ายหอพักของผมให้ และขอตัวกลับไปก่อนโดยไม่ลืมที่จะไปลาคุณลุงและคุณน้าที่นั่งอยู่ที่จุดนั่งรอผู้ป่วยหน้าห้องฉุกเฉิน



        เมื่อเพื่อนคนสนิทกลับไป ทำให้ผมว้าวุ่นใจมากขึ้นอีก เมื่อคิดถึงเรื่องที่จะตามมาถ้าหากพรุ่งนี้ไม่ได้หัวใจมาเปลี่ยนให้กับเซริกะ  คุณน้าผู้หญิงที่ดูอิดโรยมาก ท่าทางคงยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนมาถึงเช่นเดียวกันกับคุณลุง ผมจึงอาสาเดินไปซื้อของว่างรองท้องมาให้พวกท่าน



        หลังจากที่เดินกลับจากมินนี่มาร์ก ผมก็แวะกดน้ำที่ตู้กดน้ำในโรงพยาบาล ว่าจะกดกาแฟร้อนออกมาสักสามกระป๋องเผื่อคุณน้าและคุณลุง แต่ที่ตู้ขายน้ำกลับขึ้นตัวแดงว่าหมดเป็นแถบ เหลือบเห็นเพียงตัวอักษรสีเขียวที่ยังส่องแสงอยู่ที่คำว่า ชาดำเย็น



        ผมยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เมื่อเห็นชื่อของน้ำที่เซริกะชอบดื่ม น้ำตาเริ่มคลอเบ้าตา เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้ผมอาจไม่ได้เห็นเธอลืมตาตื่นขึ้นมาพูดคุยกับผมอีกครั้ง… ผมทรุดลงนั่งกับพื้นหินอ่อนสีขาวที่เย็นเฉียบ ความเย็นของพื้นหินเทียบไม่ได้กับอุณหภูมิที่ติดลบภายในจิตใจของผมในตอนนี้



        ผมพยายามตั้งสติอีกครั้งก่อนเดินกลับไปหาคุณน้าและคุณลุงเพื่อนำอาหารมาให้ท่านทั้งสอง พวกเรานั่งกินอาหารกันอย่างฝืดคอไปหมด ในตอนแรกคุณน้าจะไม่ทาน แต่คุณลุงก็คะยั้นคะยอจนคุณน้าต้องยอมจำนนตักอาหารเข้าปาก



        เวลาแห่งการรอคอยช่างเนินนานเสียเหลือเกิน นานเสียจนถ้าหากนานกว่านี้ผมอาจเป็นบ้าไปเลยก็ได้



        เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาแต่ไกล เรียกความสนใจของผมและผู้สูงวัยทั้งสอง คุณหมอในเสื้อกาวสีขาวสะอาดเดินตรงมาหาพวกเรา ด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ไฉนผมรู้สึกว่ามันช่างขัดกับแววตานั้นเสียเหลือเกิน



        “เราได้หัวใจแล้วครับ ทีมแพทย์จะทำการเปลี่ยนถ่ายหัวใจให้ทันที”



        ประโยคที่ทำให้หัวใจทั้งสามดวงพองโต รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองที่มองหน้ากันด้วยความปิติ เช่นเดียวกับใบหน้าของผมที่ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มที่ฉีกกว้างของตัวเองด้วยความดีใจ



        การผ่าตัดจึงเริ่มดำเนินการขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะหากรอช้ากว่านี้ร่างกายของเซริกะไม่รู้จะทนได้ถึงเมื่อไหร่



        เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่อาจทราบได้ ถึงแม้ว่าตาของผมจะจับจ้องที่แต่ที่นาฬิกาก็ตาม แต่ในหัวมันว่างเปล่าสมองไม่สั่งงานให้อ่านตัวเลขบนหน้าปัดได้ ตอนนี้คุณน้านั่งซบไหล่คุณลุงที่กำลังจิบกาแฟร้อนที่นางพยาบาลเพิ่งชงมาให้หลับไป ผมไม่แปลกใจเลย ก็ท่านร้องไห้ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนร่างกายย่อมต้องการการพักผ่อนเป็นธรรมดา ส่วนคุณลุงก็จะสะดุ้งทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู พร้อมชะเง้อหน้าไปดูที่ประตูห้องฉุกเฉินทุกครั้งไป



        สักครู่หนึ่งก็มีนางพยาบาลเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินที่เซริกะอยู่ด้วยท่าทีรีบร้อน ผมไม่รอช้าวิ่งไปหาเธอ เพื่อถามไถ่อาการของเซริกะ



        “ขอโทษนะค่ะ ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้ กรุณาใจเย็นๆก่อนเถอะค่ะ” เธอบอก ก่อนที่จะผละจากผมแล้ววิ่งไป คุณลุงที่ผมเชื่อว่าอยากจะลุกขึ้นมาถามผมใจจะขาด ถ้าไม่ติดตรงที่คุณน้าที่ตอนนี้ยังไม่ตื่นและซบอยู่บนไหล่ของท่าน แต่สายตาของท่านนั้นก็ส่งมาเป็นคำถามแก่ผมอยู่แล้วว่า “เขาว่ายังไง” ผมจึงเดินเข้าไปหาท่านแทนแล้วบอกประโยคที่เพิ่งได้ยินจากนางพยาบาลเมื่อสักครู่



        สีหน้าท่านดูผิดหวังเล็กน้อย เมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ก็ยังยิ้มอยู่ ก่อนวางแก้วกาแฟลงข้างตัวแล้วเอื้อมมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมาตบไหล่ผมเบาๆเชิงปลอบ ผมเดินกลับไปนั่งที่เดิมและเริ่มจ้องมองนากาอย่างเลื่อนลอยต่อไป



        นางพยาบาลคนเดิมเดินไปเดินมาระหว่างห้องฉุกเฉินกับห้องบริจาคอยู่หลายรอบ จนผมก็นึกสงสารเธอเหมือนกัน อีกใจก็นึกขอบคุณที่เธอทุ่มเทเพื่อคนที่ผมรักอย่างนี้ ถึงผมจะรู้ว่าเธอทำตามหน้าที่ก็เถอะ ครั้งสุดท้ายที่เธอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เธอกลับเข้าไปพร้อมกับกระบอกอลูมิเนียมสีเงินที่มีไอน้ำจับอยู่รอบๆ คงจะเป็นกระบอกที่แช่งหัวใจของผู้บริจาคเอาไว้



        คุณน้าตื่นขึ้นมาทันได้ทราบผลจากหมอเจ้าของไข้ของเซริกะ ก่อนที่จะน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ พร้อมยกมือประณมขึ้นขอบคุณพระ



        “คนไข้ปลอดภัยดีครับ แต่คงต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักเดือนสองเดือนนะครับ เพราะร่างกายคนไข้อ่อนแอมาก”



        เช่นเดียวกัน เมื่อผมได้ยินประโยคเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แสนหนักหนาที่ถูกร้อยโซ่ผูกคอของผมไว้ถูกปลดออกจนหมดสิ้น ก่อนที่คุณหมอหนุ่มคนนั้นจะพูดต่อ



        “ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย...” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของคุณหมอดูหมองลงไปนิด “ทั้งค่าผ่าตัดแล้วค่าห้องฉุกเฉิน... ประมาณห้าแสนครับ”



        พอพูดถึงตรงนี้สีหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองก็เริ่มไม่ติดสี ครอบครัวอาโอยาม่าที่ผมจำได้ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่ได้จน กล่าวได้ว่าอยู่ในระดับฐานะปานกลาง แต่เรื่องเงินครึ่งล้านขนาดนี้ ผมเชื่อได้ว่ามันเกินไปที่ครอบครัวนี้จะรับไหว และเท่าที่เซริกะเล่าให้ฟังคือ คุณลุงเพิ่งออกจากงานมากินบำนาญ ส่วนคุณน้าก็เป็นแม่บ้าน นานๆทีจะมีคนมาจ้างให้ตัดเสื้อผ้าถึงจะได้เงินดีเพราะฝีมือของคุณน้าปราณีตมาก แต่ก็แค่ไม่กี่พันต่อตัว อีกทั้งเซริกะก็เพิ่งจะเริ่มทำงานได้เพียงไม่กี่อาทิตย์ รายได้ของครอบครัวนี้คงจะมีเพิ่งเงินบำนาญของคุณลุงเท่านั้น



        “ผมได้ทำเรื่องขอผ่อนผันให้คุณอาโอยาม่าแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้คงยังไม่ต้องรีบร้อนหาเงินมาให้หรอกครับ เอาไว้ค่อยจ่ายตอนลูกสาวของคุณจะออกจากโรงพยาบาลก็ได้ครับ”คุณหมอกล่าวต่อ ทำให้ท่านทั้งสองยิ้มออกมาได้อีกนิด



        “ขอบคุณ คุณหมอมากเลยนะค่ะ” คุณน้าโค้งตัวให้คุณหมอประมาณสามสี่รอบ ก่อนที่คุณหมอจะเดินจากไป คุณน้าปล่อยโฮอีกครั้งด้วยความดีใจ ก่อนที่จะเข้าไปเยี่ยมเซริกะด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปทั้งรอยยิ้มและน้ำตา



        ในห้องฉุกเฉินร่างของเซริกะนอนอยู่บนเตียงนอนสีขาวมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เธอยังคงนอนหลับอยู่ ผมเดินเข้าไปจับมือบางๆของเธอที่ตอนนี้เย็นเยียบ ผมยิ้มน้อยๆให้เธอ

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



          ยังไม่จบนะเจ้าค่ะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×