ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF EXO by น้ำจ๊ะ แม่ไอ้แดง [NOW: แฟนเกือบเก่า ChanBaek]

    ลำดับตอนที่ #9 : แฟนเกือบเก่า Chapter 4

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 58


     
     
     
     
     
     
     
     
     
     

                   

     

                    แฟนเกือบเก่า Chapter 4

     

     

                    "เกิดอะไรขึ้น" แบคฮยอนที่กระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลเอ่ยถามจงอินอย่างร้อนใจ ดูเหมือนตามคำยอกเล่า ชานยอลจะเจ็บหนักพอสมควร

                   

                    "พวกเดิม" หน้าของจงอินไม่ดีนัก

                   

                    "พวกไหน?"

                   

                    "โต๊ะบอล ไอ้ชานยอลไม่มีเงินให้มัน ก็เลย..."

                   

                    "อะไรนะ?" แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เหตุการณ์ที่ชานยอลเล่นพนันบอลแล้วไม่มีเงินจ่ายมันไม่ใช่ครั้งแรก โชคดีแค่ไหนที่ครั้งก่อนยังพอเอาแหวนไปขายมาจ่ายเงินได้ แต่คราวนี้ถึงกับโดนทำร้าย มันไม่ใช่เรื่องเด็กๆอีกแล้ว "ไหนว่าเลิกเด็ดขาดแล้วไง ทำไมถึงได้..."

                   

                    "มันก็มีบ้างเล่นสนุกๆ ไอ้ชานยอลก็ไม่ได้เล่นบ่อยๆ วันก่อนได้ไปเยอะ วันนี้ก็เลยเล่นเยอะอีก แต่เสีย"

                   

                    วันก่อนก็เล่นงั้นหรือ คงไม่ใช่ว่ามาชวนกินหม้อไฟเพราะได้บอลมาหรอกนะ แล้วรอบนี้เสียไปอีกเท่าไรถึงได้ไม่มีเงินจ่าย เรื่องที่ห้องถูกรื้อนั่นอีก หวังว่ามันคงไม่ได้เกี่ยวกัน

                   

                    "ชานยอลได้ไปเอาอะไรที่ห้องมารึเปล่า ห้องโดนรื้อ ของก็หาย"

                   

                    "เปล่า" จงอินส่ายหน้าช้าๆ "ไม่ใช่มันหรอก มันยังไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่พวกนั้นรุมมันแล้วเอากุญแจห้องไป ฉันมาเจอตอนพวกนั้นค้นตัวไอ้ชานยอลพอดี ขอโทษนะที่มาช่วยมันช้า"

                   

                    "ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดนายหรอก" คนตัวเล็กแทบจะหันไปชกกำแพงแรงๆให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าเป็นพวกนั้นที่เอาแหวนของเขาไปจริง ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้คืนหรือเปล่า นี่เขาต้องเสียความรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่ากับการเล่นสนุกๆของชานยอลไปอีกนานแค่ไหน

                   

     

                    มองชานยอลที่นอนไม่ได้สติผ่านกระจกใสที่กั้นคนป่วยเอาไว้อย่างปลอดภัย มันไม่ง่ายที่จะตัดสินใจหันหลังเดินจากใจเมื่อแบคฮยอนเป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะรับมือกับความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายอย่างไร ภาพลักษณ์ที่สวยหรูของหลุ่มหล่อเดือนมหาลัยนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่คนเหล่านั้นไม่เคยรู้ว่าหลังเปลือกนอกที่งดงามนั้นปาร์คชานยอลเป็นแค่ผู้ชายห่วยแตกคนนึงเท่านั้น นากจากหล่อ แฟนตัวสูงของเขาก็แทบหาดีไม่ได้ ไม่ทำความสะอาดห้อง ไม่ซักผ้า ถอดกางเกงในเป็นเลขแปด เล่นพนันบอล นอกใจ พาคนอื่นมานอนในห้อง พูดจาหยาบคาย ทำร้ายร่างกาย ไม่ใส่ใจกัน แต่... แบคฮยอนก็เป็นบ้าไม่ต่างกันที่ยังรักคนแย่ๆแบบนี้ได้ลง ฮึ แล้วก็ดันรักมากเสียด้วย

                   

     

                    ถ้าเป็นพวกเดิมที่จงอินบอก แบคฮยอนก็พอจะตามหาตัวได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นต้องได้แหวนคืน แหวนที่ชานยอลซื้อให้ เขาไม่ต้องการให้มันไปตกอยู่ในมือคนอื่น  สองขาก้าวไปตามทางที่พอจะคุ้นอยู่บ้าง หลังจากคุยกับหมอจนเรียบร้อยว่าชานยอลปลอดภัยดีแล้วรอแค่ให้ร่างกายฟื้นตัว แบคฮยอนก็ไม่รอช้าที่จะตรงดิ่งมาเพื่อเจรจาเรื่องหนี้สินของแฟนตัวสูง  รู้ว่าตอนนี้แม่ของอีกฝ่ายเองก็มีปัญหาอยู่ คงหวังพึงพาลำบาก เขาจึงต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ชานยอลไม่ใช่คนอื่น อยู่ด้วยกันมาก็นาน มีปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ ถึงแม้นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม 

                   

                    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

                    "มาหาใคร" ประตูห้องแทบจะเปิดออกทันทีที่แบคฮยอนเคาะเรียก ชายหน้าดุท่าทางไม่เป็นมิตรเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนยืนอยู่

     

                    "มาหาใครก็ได้ที่เป็นเจ้าของโต๊ะ" คนตัวเล็กตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว

     

                    "กูนี่แหละเจ้าของโต๊ะ มึงเข้ามาก่อน"

     

                    แบคฮยอนเดินตามเข้าไปอย่างไม่อิดออด เขาแค่อยากจะมาจัดการธุระให้จบแล้วรีบกลับ แม้จะเป็นห้องพักธรรมดาที่ติดไปทางหรูหราแต่กลับมีบรรยากาศไม่น่าอยู่เจืออยู่บางๆ คิดเอาว่าคงเป็นเพราะเจ้าของห้องนั้นอัดบุหรี่ในห้องนี้จนคลุ้งไปหมด แบคฮยอนเองก็สูบบุหรี่ แต่การพ่นมะเร็งปุ๋ยๆในห้องแอร์ไม่ใช่เรื่องสมควรจริงๆ

     

                    "กูเป็นเพื่อนชานยอล คนที่มึงกระทืบเข้าโรงบาล"

     

                    "คนไหนวะ ลูกน้องกูกระทืบไปหลายคนซะด้วย ไม่รู้คนไหนเข้าโรงบาลหรือคนไหนตาย"

     

                    "คนที่ลูกน้องมึงกระทืบแล้วไปรื้อเอาของในห้อง" แบคฮยอนเห็นอีกฝ่ายทำท่านึกอยู่ไม่นานก่อนจะพยักหน้าเบาๆแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบอย่างใจเย็น "กูจะเอาเงินมาใช้หนี้ให้ อย่าไปทำอะไรมันอีก"

     

                    "มันติดตังค์กู สามล้าน แต่ในห้องมันมีแหวนอยู่วงนึง ตีราคาดูแล้วก็คงเกือบๆล้านวอนอยู่ กูใจดีลดให้เหลือสองล้านวอนถ้วนๆเลย มึงจะได้เอาที่เหลือไปจ่ายค่าโรงบาลให้มัน"

     

                    "กูจะจ่ายให้เต็มจำนวน แต่เอาแหวนคืนมา"  เงินเก็บมากมายนั้นไม่ได้สร้างความเสียดายให้แบคฮยอนแม้แต่นิดเดียว แหวนต่างหากที่สำคัญ แหวนวงนั้นต่างหากที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด

     

                    "แหม... ป๋าสุดๆ ไอ้หน้าอ่อนนั้นไปหาเพื่อนแบบมึงมาจากไหนวะ" มือหน้าของเจ้าของห้องกระชากสร้อยคอที่สวมเอาไว้จนหลุดออกมา แหวนที่รื้อมาได้จากห้องของลูกหนี้ถูงคล้องอยู่คู่กับจี้รูปกุญแจบนสร้อยเส้นนั้น "เอาเงินมา แล้วเอาของคืนไป"

     

                    แบคฮยอนวางกระเป๋าแล้วเปิดเอาถุงกระดาษที่บรรจุธนบัตรหลายใบอยู่ข้างใน ทั้งหมดคือเงินห้าล้านที่เพิ่งไปถอนออกมาจากธนาคารก่อนหน้านี้ มือเรียวหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าของตัวเอง

     

                    "นี่สามล้าน นับก่อนได้" เลื่อนซองกระดาษไปตรงหน้าของอีกฝ่ายให้ลองนับเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจแต่กลับถูกปฏิเสธ เจ้าของห้องหน้าดุทำเพียงส่ายหน้ายิ้มมุมปากเบาๆ

     

                    "ไม่ต้องนับหรอก เดี๋ยวพอกูเอามาใช้แล้วเห็นทีหลังว่าไม่ครบสามล้านค่อยส่งคนไปกระทืบมึงสองตัวก็ได้" ว่าจบก็ส่งแหวนคืนไปตามที่ตกลงกันเอาไว้

     

                    แบคฮยอนหยิบแหวนที่ต้องการก็รีบออกจากห้องโดยไม่คิดจะเอ่ยลาอะไรให้มากความ ในใจก็ได้แต่หวังว่าต่อไปนี้ชานยอลจะเข็ดหลาบและไม่หวนกลับมาเล่นพนันบอลอีก ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะมีใครยอมมาถึงนี่แบบที่เขาทำหรือเปล่า เป็นเรื่องน่าขำที่ก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตทุกๆวัน รักบ้าง เบื่อบ้าง เหนื่อยใจบ้าง แต่ตอนนี้เขากลับมีแค่ความรู้สึกเป็นห่วงชานยอลเหลือเกิน เริ่มจะสงสัยเสียแล้วว่าที่ผ่านมานั้นไม่เคยคิดจะเลิกเพราะตัวเองไม่มีที่ไปหรือเพราะกลัวว่าชานยอลจะไม่มีใครคอยดูแล

     

                   

                    กลับมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าจงอินยังคงมีน้ำใจช่วยอยู่เฝ้าชานยอลให้ตลอดระหว่างที่เขาไม่อยู่ บางทีแบคฮยอนอาจจะกังวลมากไป เพราะถึงเขาไม่อยู่ ชานยอลก็ยังมีเพื่อนดีๆอย่างจงอิน ไหนจะคนที่ชื่อวอนโฮนั่นอีก แม้จะเมาแล้วเรื้อนไปหน่อยแต่ก็คงเป็นเพื่อนที่ดีเช่นกัน ส่วนจองซูจอง... ผู้หญิงคนนั้นดีที่สุดสำหรับชานยอลแน่นอน ชานยอลมีทุกๆอย่างพร้อมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีแบคฮยอนคนนี้ ไม่สำคัญอะไรเลย



                   "นายยังไม่ได้กินอะไรใช่มั้ย ไปกินด้วยกันสิ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง"

     

                    "ห๊ะ..." จงอินแปลกใจไม่น้อยที่แบคฮยอนแสดงน้ำใจต่อตนแม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไร พาลให้รู้สึกผิดที่ชอบยุยงให้ชานยอลเลิกกับอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง "เออ ก็ เอาสิ"

     

                    ทั้งสองคนเลือกร้านราเมงธรรมดาที่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาล เผื่อว่าชานยอลฟื้นขึ้นมาจะได้รีบไปดูได้ทัน แบคฮยอนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูเกร็งๆอยู่ไม่น้อย จริงที่เคยเจอกันบ้างแล้วและจงอินก็เป็นคนเดียวที่รู้จักเขาในฐานะแฟนของชานยอล แต่พวกเราก็ไม่เคยคุยกันเกินสามประโยคสักครั้ง นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่จะได้คุยกันให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเพราะแบคฮยอนมีเรื่องมากมายที่อยากถามและอยากพูด

     

                    "ขอถามอะไรหน่อยสิ" แบคฮยอนเปิดประเด็นทันที แอบเห็นว่าคนถูกถามชะงักไปทั้งๆที่กำลังจะคีบเส้นเข้าปาก "จองซูจองน่ะ เธอเป็นผู้หญิงแบบไหนหรอ"

     

                    จงอินกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ไม่รู้จะตอบอย่างไรให้อีกฝ่ายสบายใจ พวกเขารู้ดีว่าระหว่างซูจองและชานยอลไม่มีอะไร แต่ไม่รู้เลยว่าแบคฮยอนจะเข้าใจว่าอย่างไร เพราะท่าทางซูจองนั้นแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชานยอลเหลือเกิน

     

                    "ก็...เป็นเพื่อนที่ดี แรดไปหน่อย แต่ก็ดี" สาบานว่านี่คือตอบแบบกลางๆแล้วนะครับ

     

                    "นี่ เธอเป็นผู้หญิงนะ นายน่าจะพูดดีๆ"

     

                    "ยัยนั่นไม่ใช่ผู้หญิง ยัยนั่นคือจองซูจอง แค่จองซูจอง ไม่ใช่ผู้หญิงอ่ะ" จงอินบอกอย่างจริงจัง เพราะเป็นเพื่อนกันถึงได้พูดแบบนี้ได้ และรู้ดีว่าหญิงสาวเป็นอย่างไร ซูจองไม่ได้เหมือนเพื่อนผู้หญิง และก็ไม่ได้ห้าวหาญแบบเพื่อนผู้ชาย เพราะแบบนั้นเธอถึงเป็นจองซูจอง แค่จองซูจองเพื่อนของพวกเรา

     

                    "งั้นเธอก็เป็นคนดีใช่มั้ย เธอดีกับชานยอลใช่รึเปล่า"

     

                    "อืม แต่ไม่มีอะไรกัน พวก..."

     

                    "ร้านนี้อร่อยดีนะ"

     

                    "หืม..." จงอินได้แต่ทำตาปริบๆที่อยู่ๆแบคฮยอนก็พูดแทรกเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียก่อน คนตัวเล็กส่งยิ้มบางๆแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไปเงียบๆโดยไม่ถามอะไรอีก เขาไม่อาจเดาใจได้ว่าท่าทางของแบคฮยอนนั้นเกิดจากอะไร ถามเรื่องซูจองนั้นเพราะอะไร ชวนเขามากินข้าวนั้นมีอะไรอื่นหรือเปล่านอกจากจะแสดงน้ำใจให้กัน  "ทำไม ถึงถามล่ะ ทำไมนายถึงถามฉัน"

     

                    "..........." แบคฮยอนทำเพียงแค่ส่ายหน้า  มันไม่ได้เสียหายหากจะบอกจงอินไปว่าตนกำลังจะย้ายออกจากห้องของชานยอล  แต่เขาแค่อยากไปเงียบๆเท่านั้น  มือเรียวยกขึ้นโบกเรียกพนักงานให้คิดเงินค่าอาหารเมื่อเห็นว่าจงอินก็น่าจะอิ่มแล้วเช่นกัน  

     

                    จงอินเฝ้ามองทุกปฏิกิริยาของคนที่นั่งตรงข้าม  ทั้งท่าทางเศร้าสร้อย แววตาหม่นหมอง ความเหนื่อยล้าเผยออกมาจากทุกๆส่วนของแบคฮยอน  เขาไม่รู้ว่าคนๆนี้เจอเรื่องอะไรมาบ้าง ที่ผ่านมาชีวิตเป็นอย่างไร  ชานยอลปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างไร หนักใจแค่ไหน เบื่อหน่ายเพียงใด  แบคฮยอนเป็นบุคคลที่สามารถแผ่รัศมีแห่งความทุกข์ออกมาจนคนรอบข้างรู้สึกถึงมันได้  นี่เป็นเหตุผลที่จงอินไม่สนิทกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย รู้แค่เป็นแฟนของเพื่อนแต่ไม่คิดจะสนิทด้วย  บางทีหลังจากนี้เขาคงต้องคิดดูใหม่อีกครั้ง...

     

                   

     

                    โดคยองซูเชื่อว่าคนเราสามารถฆ่าคนได้จริงหากถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว  และเขาก็คิดว่าจะทำแบบนั้นหากไม่ติดที่ตอนนี้ปาร์คชานยอลนอนใกล้ตายอยู่ที่โรงพยาบาล  หลังจากแบคฮยอนมาบอกว่าจะลาออกพร้อมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง  อารมณ์ขุ่นเคืองก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดพร้อมกับสบถในใจอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับไอ้หูกางปาร์คชานยอล แฟนหนุ่มของเพื่อนเขาที่เป็นแฟนได้ห่วยแตกและไม่เอาไหนที่สุดเท่าที่เจอมา เรื่องแปลกใจที่ไม่เคยชินได้เสียทีคือแบคฮยอนทนมันได้อย่างไร  จนวินาทีนี้ที่แบคฮยอนตั้งใจจะถอยห่างออกมาก็ยังอยากจะถามให้ได้ฟังคำตอบเป็นบุญหูสักครั้ง

     

                    "กลับบ้านได้แน่นะ"  คยองซูเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจเมื่อแบคฮยอนบอกเสมอว่าไม่กล้าที่จะกลับไปที่บ้าน

     

                    "อืม ก็คงได้  กูไม่มีที่ไปที่อื่นแล้ว"  เขาเคยวางแผนดิบดี  แต่ตอนนี้เงินที่หายไปเกินครึ่งคงไม่พอจะสานต่อความตั้งใจได้อีกแล้ว  อย่างไรเสียกลับไปหาพ่อหาแม่ที่บ้านตอนนี้ก็ยังพอมีเงินก้อนกลับไปให้พวกท่านได้ชื่นใจบ้าง  แค่นี้ก็อกตัญญูมากพอแล้ว  แบคฮยอนไม่อยากกลับไปเพื่อเป็นภาระ 

     

                    "ไปอยู่กับกูได้นะ"

     

                    "ไม่เอาอ่ะ  กูเกรงใจ  แค่ที่ผ่านมามึงก็ช่วยกูมากพอแล้ว  ขอบคุณมึงมาก"

     

                    "อยากให้กูจัดปาร์ตี้เลี้ยงส่งป่ะ  กูปิดร้านวันนึงได้นะ"

     

                    "ฮึ  ให้กูไปเงียบๆเถอะ  มึงเองอยู่ที่นี่  ดูมินฮยอกบ้างนะ  ห้ามมันเรื่องพนันบอลด้วย  มันเป็นเด็กดี  อย่าเสี่ยงเสียอนาคต"  แบคฮยอนเป็นห่วงมินฮยอกจากใจ  เขารู้ดีว่าผลจากการเล่นพนันหวังแค่สนุกๆจนเลยเถิดนั้นมันเป็นอย่างไร  เป็นไปได้เขาก็อยากจะอยู่รอดูเด็กหนุ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่  มินฮยอกเป็นอีกหนึ่งคนที่มีส่วนร่วมในโลกแคบๆของชีวิตเขาไม่น้อย  แค่ไม่ทันได้บอกลาก็รู้สึกผิดมากเหลือเกิน โชคดีที่ข้าวของไม่ได้มากมายอะไรนัก  น่าจะเก็บให้เสร็จได้เร็วแล้วกลับบ้านได้ทันที  กลับไปบ้านของเขา  บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ  บ้านที่เขาไม่ได้กลับไปหลายปี

                   

                    .

                    .

                    .

                    .

     

     

                    วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ กล่าวว่า  ความรักนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา  แต่สัมผัสมันได้ด้วยใจ  เพราะฉะนั้นกามเทพจึงแผลงศรเข้าใส่ให้เราตาบอด  แบคฮยอนเชื่อว่ามันเป็นความจริง  เขารักชานยอลเสียจนมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่าง  เฝ้าแต่บอกตนเองว่าไปจากอีกฝ่ายไม่ได้  บอกกับตัวเองว่าแล้วมันจะดีขึ้นในสักวันหนึ่ง  ปิดตาเพื่อหลีกหนีความจริงทุกสิ่ง  ใช้หัวใจตัดสินทุกอย่าง  จนสุดท้ายหัวใจดวงนี้ก็พังทลาย  เขาถึงได้รู้ว่าต้องลืมตาขึ้นมองเพื่อจะได้เห็นทางเดินที่เขาสามารถถอยออกมาได้เสียที 

     

                    มือเรียวสวยลูบไล้แผ่วเบาลงบนเตียงนุ่มที่ยังอบอุ่นราวกับว่าตนและปาร์คชานยอลเพิ่งลุกออกไปไม่กี่นาทีก่อนหน้า  ภาพที่กอดรัดกันอย่างรักใคร่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำ  ถอดแหวนที่แสนหวงแหนออกแล้ววางนิ่งไว้บนที่นอน  มองมันด้วยสายตาอาลัย  ไม่อาจยอมปล่อยให้สิ่งที่แสนสำคัญนี้ตกอยู่ในมือคนอื่น ในขณะเดียวกันก็ม่สามารถเก็บมันเอาไว้ได้อีกแล้ว ทุกสิ่งที่ได้จากชานยอล แบคฮยอนจะคืนให้  เพื่อเราทั้งคู่จะหมดพันธะต่อกันและก้าวเดินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น 

     

                    จงอินโทรมาบอกว่าชานยอลฟื้นแล้ว  เรื่องน่ายินดีคือชานยอลถามถึงเขาเสียด้วย  ถามหาว่าแบคฮยอนคนนี้ไปอยู่ที่ไหน  ส่วนจงอินที่คิดว่าเขาต้องมาทำงานที่ร้านจึงบอกชานยอลไปว่าเขามาเคลียร์ค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลทั้งหมดแล้วรีบกลับไปทำงานอย่างเดิม  แต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่สักนิด  เขาไม่ได้ทำงาน  แต่เขาลาออกแล้ว  และไม่ไปทำงานอีก  หรือแม้แต่ห้องนี้  ห้องของเราสองคน  แบคฮยอนก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว

     

                    กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลางสองสามใบถูกยกลงมาด้านล่าง  เพื่อรอรถที่เรียกเอาไว้  อีกหนึ่งคนที่แบคฮยอนจะลืมไม่ได้นั่นคือสาวน้อยจองฮวาจากร้านซักรีดที่มีน้ำใจกับเขาเสมอ  เห็นเด็กสาวอยู่ในชุดนักเรียนน่ารักสมวัยกำลังมองมาเช่นกัน  แววตาสงสัยข้องใจถูกส่งมาให้  และแน่นอนว่าแบคฮยอนจะไม่วางเฉยต่อเธอ  เขาอยากจะบอกลาจองฮวาเสียก่อน

                   

                    "ไปโรงเรียนหรอ  วันนี้วันหยุดนี่นา" 

     

                    "หนูมีติวพิเศษน่ะค่ะ  แล้วนี่พี่แบคฮยอนขนกระเป๋าไปไหนคะ"

     

                    "คือว่า... พี่จะกลับบ้านน่ะ"

     

                    "ล้อเล่นน่า  ทำไมพี่ไม่เห็นบอกก่อนเลยคะ"  จองฮวาตาโต  อยู่ๆก็จะย้ายออกแล้วกลับไปที่บ้าน  "แล้วพี่ชานยอลล่ะคะ  กลับไปก่อนพี่แล้วหรอ"

     

                    "ชานยอลไม่ได้ไปน่ะ"  แบคฮยอนส่ายหน้าช้าๆ  "จริงสิ  พี่ไม่อยู่แล้ว  พี่ฝากดูแลชานยอลด้วยนะ  หมอนั่นใช้เครื่องซักผ้าไม่เป็นด้วยซ้ำ  ฮะ ฮะ ฮะ"

     

                    เสียงหัวเราะไม่ได้ทำให้ทุกๆอย่างดีขึ้น  บรรยากาศของการจากลาเป็นไปด้วยความเรียบง่ายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันหม่นเศร้าเพราะแววตาของคนที่ต้องปล่อยมือแล้วเดินจากไปนั้นเจ็บปวดและอาลัยอาวร  จองฮวาคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีหรือการจากกันอย่าสวยงามระหว่างชานยอลและแบคฮยอน  การที่พี่ชายตัวเล็กขนกระเป๋าเพื่อจะย้ายออกไปเพียงลำพังมันไม่อาจจะลากันด้วยรอยยิ้มได้จริงๆ

     

                    "พี่ เดินทางปลอดภัยนะคะ"  จองฮวากอดแบคฮยอนแน่น

     

                    "อืม  ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะ  เธอดีกับพี่ตลอดเลย  ดูแลตัวเองด้วย  แล้วก็  จงเติบโตเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่า  อย่าดื้อกับแม่ด้วยล่ะ  เข้าใจใช่มั้ย"

     

                    "ค่ะ  หนูเข้าใจแล้ว"

     

                    นอกจากแม่แล้วจองฮวาก็คิดเสมอว่าแบคฮยอนเป็นครอบครัว  หลายครั้งที่พี่ชายตัวเล็กคอยเตือนและสอนเธอในสิ่งที่ถูกต้อง  ถึงจะเป็นผู้ชายแต่เธอก็รู้สึกว่าแบคฮยอนตัวเล็กเหลือเกิน  ตัวเล็กเกินกว่าที่จะต้องมาแบกรับอะไรมากมาย  ทั้งทำงานดึกดื่นกลับมาเกือบเช้า ทั้งทำงานบ้าน  ดูแลคนอื่น  และคอยเป็นที่ปรึกษาให้เธอ  นี่คือตัวอย่างของคนที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยเจอ  จองฮวารู้ดีว่าคนอย่างพี่แบคฮยอนจะต้องไม่เป็นอะไร  ต่อให้อยู่ลำพังคนเดียว  พี่ชายคนนี้ก็จะไม่เป็นอะไร

     

                    .

                    .

                    .

     

                    "กูไม่เห็นหน้าแบคฮยอนเลย  วันนี้กูออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังไม่เห็นแบคฮยอนมาที่นี่"  ชานยอลถามเพื่อนซี้ด้วยความขุ่นเคือง  จงอินบอกกับเขาว่าแบคฮยอนไปทำงาน  แต่อะไรจะทำติดกันทั้งวันทั้งคืนจนไม่มีเวลามาเยี่ยม  แอบถามพยาบาลหลายครั้งว่าช่วงที่เขาหลับพักผ่อนไปนั้นมีใครมาเยี่ยมบ้างหรือเปล่า  คำตอบก็มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงคู่นึกเท่านั้นซึ่งเขาก็รู้ว่าเป็นซูจองกับวอนโฮเพราะทั้งคู่ฝากจงอินมาบอกเอาไว้แล้ว 

     

                    ไม่มีแบคฮยอน  แบคฮยอนหายไปไหน  โทรไปก็ติดต่อไม่ได้  หายไปไหนกันนะ

     

                    "เออ  มึงก็จะได้กลับไปเจอแล้วนี่ไง"  จงอินผู้ซึ่งไม่รู้อะไร  แม้แต่เรื่องที่ว่าชานยอลกลับไปก็ไม่มีทางได้เจอแบคฮยอนอีกแล้วนั้นเจ้าตัวก็ไม่รู้เช่นกัน 

     

                    ชานยอลอยากเจอแบคฮยอนเหลือเกิน  เขามีเรื่องมากมายที่อยากบอกให้อีกคนรู้  อยากอธิบาย  อยากพูดคุย  อยากขอบคุณ  และอยากขอโทษ  คนจากโต๊ะบอลมาบอกว่าหนี้สินที่เขาติดค้างนั้นได้ถูกชำระไปจนหมด  รวมถึงของที่พวกมันไปรื้อมาจากห้องก็ถูกไถ่คืนด้วยเช่นกัน  ชานยอลมั่นใจว่าเป็นแบคฮยอนแน่  เพราะของที่พวกนั้นบอกว่าเอาไปคือแหวนวงหนึ่ง  และมันคือแหวนที่เขาซื้อให้คนตัวเล็ก

     

                    ชานยอลไม่รู้ว่าแบคฮยอนเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน อาจจะเป็นเงินเก็บของเจ้าตัวแต่การที่ใช้หนี้ให้เขาได้มากขนาดนั้นมันออกจะน่าตกใจ ชานยอลเชื่อว่าในโลกใบนี้คงไม่มีใครยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อแฟนที่ไม่เอาไหนคนนึง อต่แบคฮยอนก็ทำ ความรู้สึกผิดโหมเข้าใส่จนเขาไม่รู้เลยว่าจะมองหน้าอีกฝ่ายอย่าง อยากจะเห็นหน้าแบคฮยอนบ้างสักครั้งตอนที่พักฟื้นในโรงพยาบาลเพราะกังวลไปแล้วว่าจะถูกโกรธจนไม่อยากเจอหน้ากันอีก

     

                    ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนดี ไม่ใช่แฟนที่ดี แต่เขาก็มั่นใจว่าแบคฮยอนจะทนเขาได้ ซึ่งความมั่นใจเหล่านี้มันลดลงเพราะไม่เห็นอีกคนไปหาที่โรงพยาบาลเลยสักครั้ง ครั้งนี้มันอาจเป็นครั้งที่แบคฮยอนทนไม่ได้ และเขากลัวเหลอเกิน

     

                    "มึงขับรถช้าชิบหาย"  ชานยอลตำหนิเพื่อนที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะขับรถได้เอื่อยผิดปกติ

     

                    "เอ้า ก็มึงเจ็บอยู่ เผื่อกระทบกระเทือนเป็นห่าเหวอะไรขึ้นมาอีกจะทำไง" จงอินเถียงแล้วรีบตามชานยอลลงจากรถ เพื่อนซี้ดูจะรีบร้อนเหลือเกิน พอรถจอดก็กระประตูออกไปทันที สงสัยจะคิดถึงแบคฮยอนมาก น่าหมั่นไส้เหลือเกิน ตอนสุขสบายดีไม่เห็นจะสนใจ พอเจ็บป่วยก็ร้องหาราวกับแบคฮยอนเป็นแม่ของมันไม่มีผิด

     

                    ทั้งสองรอลิฟท์เงียบๆโดยไม่มีใครพูดอะไร  เพราะชานยอลเอาแต่ใจจดจ่อกับตัวเลขบอกระดับชั้นเหนือประตูลิฟท์อย่างเดียวเท่านั้น  และเมื่อประตูเปิดออกร่างสูงก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่อยู่ข้างในคือเด็กสาวหน้าตาคุ้นเคยจากร้านซักรีด แต่ที่น่าสนใจมากกว่าความสวยน่ารักของหล่อนคือตะกร้าที่เจ้าตัวถืออยู่ต่างหาก นี่มันของชานยอล

     

                    "อ้าว พี่ชานยอล แขนไปโดนอะไรมาคะ" องฮวาเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่ชายตัวสูงที่ไม่เจอกันหลายวัน พอเห็นอีกครั้งก็มายืนหน้าโทรมแถมใส่เฝือกที่แขนซ้ายอีกด้วย

     

                    "อุบัติเหตุน่ะ แล้วนี่ผ้าพี่ใช่มั้ย แบคฮยอนให้ขึ้นไปเอาหรอ"

     

                    "ค่ะ แล้วก็ฝากกุญแจไว้ให้พี่ด้วย" เด็กสาวส่งกุญแจห้องคืนชานยอลไปทั้งสองดอก คนรับได้แต่ขมวดคิ้วแน่นเพราะกุญแจที่ได้มามีของเขาดอกหนึ่ง และอีกดอกหนึ่งนั้นเป็นของแบคฮยอน

     

                    "ทำไมมีกุญแจของแบคฮยอนด้วยล่ะ"

     

                    "พี่ไม่รู้หรอคะ  พี่แบคฮยอนย้ายออกไปแล้ว ขนของออกไปตั้งแต่สองวันก่อน พี่ไปอยู่ที่ไหนมา"

     

                    "เธอพูดอะไรน่ะ แบคฮยอนย้ายออกไปไหน"

     

                    "กลับบ้านค่ะ พี่แบคฮยอนบอกว่าจะกลับบ้าน"

     

                    "เป็นไปไม่ได้" เพราะมัวแต่คุยกันจนลิฟท์กลับขึ้นไปแล้ว ชานยอลจึงรีบวิ่งไปขึ้นบันไดด้านหลังอย่างรวดเร็ว ไม่ห่วงสภาพร่างกายที่เจ็บป่วยสักนิด เป็นไปไม่ได้ที่แบคฮยอนจะย้ายออกไป พวกเขายังไม่เลิกกันแล้วทำไมแบคฮยอนถึงได้ทิ้งเขาไปแบบนี้ จากไปโดยไม่มีคำบอกลา

     

                    จงอินได้แต่มองตามหลังเพื่อนซี้อย่างเห็นใจ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เด็กสาวคนนี้บอก ชานยอลต้องได้เป็นบ้าแน่ๆ เขาไม่รู้เลยว่าจะปลอบหรือให้กำลังใจอีกฝ่ายอย่างไร ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาจงอินคิดว่าพวกเขานั้นคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ความจริงแล้วยะงมีอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้ หลายอย่างที่ชานยอลไม่พูดออกมา เช่นเรื่องที่ปาร์คชานยอลรักบยอนแบคฮยอนมากแค่ไหน

     

                    "พี่จะตามขึ้นไปมั้ยคะ" เสียงหวานที่เอ่ยถามเรียกสติของจงอินให้กลับมาสนใจ

     

                    "อืม"

     

                    "ค่ะ ฝากบอกพี่ชานยอลด้วยว่าอีกชั่วโมงนึงให้ลงมาเอาผ้าขึ้นไปตากด้วย ฉันจะใส่เครื่องซักไว้ให้" จองฮวาพูดจบก็ทำท่าจะเดินหนี แต่จงอินเรียกเอาไว้ก่อน

     

                    "นี่ล้อเล่นหรอ สถานการณ์แบบนี้อ่ะนะ" เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะบอกให้ชานยอลตากผ้าทั้งๆที่เห็นว่าเพื่อนของเขากำลังอยู่ในอารมณ์ย่ำแย่ คนกำลังเสียใจแท้ๆ ให้เวลามันดราม่าบ้างไม่ได้หรือยังไง เห็นท่าทางก็พอเดาได้ว่าหล่อนดูจะไม่ค่อยชอบชานยอลสักเท่าไร อาจจะด้วยท่าทาง นิสะย หรือเพราะเรื่องของแบคฮยอน แต่ก็นะ... ให้ตาย หน้าตาน่ารักซะเปล่า เลือดเย็นชะมัด

     

                    "อ่า...จริงด้วย"  เด็กสาวพยักหน้าเบาๆระหว่าใช้ความคิด  "งั้น พี่ก็ลงมาเอาไปแทนแล้วกันนะคะ"

     

                    "ยะ...ยัยเด็กบ้านี่" จงอินยืนกระพริบตาปริบๆตามหลังของคนที่เพิ่งหอบตะกร้าผ้าออกไป  เหลือเชื่อจริงๆ

     

     

                    วันนี้คงเป็นวันโลกาวินาศแน่ๆ คิมจงอินถึงต้องมาเจอแต่อะไรแบบนี้  แลิวนี่เขาก็ไม่รู้เลยว่าชานยอลที่ขึ้นไปก่อนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง  บางทีถ้าคิดในแง่ดียัยเด็กเลือดเย็นนั้นอาจจะแค่พูดเล่น แบคฮยอนอาจจะแค่ออกไปซื้อของ หรือมากสุดก็ออกไปทำธุระ จะกลับเร็ว กลับช้า จะค้างคืน เขาก็ได้แต่หวังว่าแบคฮยอนจะกลับมา ไม่อย่างนั้นชานยอลคงขาดใจ

     

    ก้าวออกจากลิฟท์อย่างรวดเร็วแล้วตรงไปที่ห้องพักของเพื่อนซี้ แน่นอนว่าประตูนั้นไม่ได้ล็อค คงเป็นเพราะชานยแลรีบเหลือเกิน  ภายในห้องเงียบเชียบ ทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน หากถ้าปบคฮยอนย้ายออกไปเป็นเรื่องจริงเขาก็คงต้องนับถือใจของเจ้าตัว เพราะขนาดจะย้ายออกไปก็ยังอุตส่าห์ทำความสะอาดเอาไว้ให้ 

     

                    ประตูห้องนอนถูกเปิดค้างไว้เรียกให้จงอินเข้าไปดู  ชานยอลยืนนิ่งอยู่ที่ข้างเตียง  มือข้างที่ไม่เจ็บป่วยกำแน่นตรงหน้า ชานยอลมองกำมือนั้นด้วยแววตาวูบไหวเศร้าโศกปนสับสน

     

                    "แบคฮยอนไปแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยออกมาช้าๆเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทตามมาถึงตัวแล้ว

     

                    "มึง..." จงอินไม่รู้วิธีปลอบใจคนอื่น เขาได้แต่ตบบ่าอีกคนเบาๆเท่านั้นโดยที่ชานยอลยังเอาแต่จ้องมองไปยังมือของเจ้าตัวที่กำแน่นอยู่เหมือนเดิม

     

                    "เขาไม่เหลืออะไรไรไว้เลย  นอกจากแหวนวงนี้ แหวนที่กูให้"



                   TBC.


                   ตอนหน้าจบแล้ว (มั้ง)


                  #นจมอด

     

     

                    

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×