คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : RED 08
RED 08
ร่าง บางนั่งกอดเข่าคู้อยู่บนฝาชักโครกในห้องน้ำแคบๆ ผิวกายเปลือยเปล่าขาวซีดสั่นระริกเพราะความหนาวเย็นจากลมด้านนอกที่พัดหวิว เข้ามาทางประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ อยากปิด แต่มันทำไม่ได้ ห้องน้ำในหอพักของคริสเล็กเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน ยิ่งคนตัวโตที่กำลังค้นถุงพลาสติกประทับโลโก้ร้านสะดวกซื้อที่เจ้าตัวแวะ ก่อนเข้ามาเพื่อหาเครื่องใช้ต่างๆแล้วนั้น แบคฮยอนแอบแปลกใจไม่ได้ว่าคริสใช้ชีวิตอยู่ในที่แคบๆนี้ได้อย่างไร
คริสแกะเอาแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมออกมา ก่อนจะหยิบเอายาสีฟันที่อยู่ตรงชั้นวางมาบีบใส่ลงไป เตรียม น้ำใส่แก้วใบเล็ก แกะเอาฟองน้ำอ่อนนุ่มสำหรับขัดผิวออกมาจากห่อ รวมไปถึงครีมอาบน้ำและน้ำยาบ้วนปากด้วย เขาวางทุกอย่างเอาไว้ตรงชั้นวาง ก่อนจะหันไปหาคนตัวเกที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นเพราะความหนาวเนื่องจากทั้งร่าง กายนั้นไม่มีสิ่งใดปกปิดอยู่เลยแม้แต่น้อย
“อ้า ปาก”หยิบแก้วน้ำและแปรงสีฟันไปจ่อตรงหน้า แต่ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือ แบคฮยอนยังคงอิดออดเช่นเดียวกับตอนที่ถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าออก
“ผม ผมแปรงเองได้นะครับ”บอกออกไปเสียงอ่อย แค่ต้องมาเปลือยกายต่อหน้าอีกคนก็อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปอยู่ตรงไหน นี่ยังต้องมานั่งอ้าปากให้คริสแปรงฟันให้เหมือนเด็กๆ แบคฮยอนคิดว่าตัวเองโตเกินไปสำหรับโมเม้นแบบนี้
“มึงแปรงไม่สะอาด กูจะแปรงให้”
“ผมแปรงสะอาดนะครับ”
“ปากมาก ขี้เถียง กูบอกให้อ้าปากก็อ้าสิ ชอบแก้ผ้าท้าลมนานๆหรือไง”
เมื่อไม่มีทางเลือกแบคฮยอนจึงจำใจต้องอ้าปากออกให้อีกคนส่งแปรงสีฟันขนนุ่มเข้ามาทำความสะอาดช่องปากของตนทุกซอกทุกมุม ยายที่ขนแปรงลากผ่นไปทั่ว ในหัวก็พาลนึกไปถึงส่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ กลิ่นคาวคลุ้งกลับมาอีกครั้งราวกับวิญญาณที่หลอกหลอนให้ต้องฝันร้ายยามค่ำคืน
“กูแปรงลึกไปหรอ”คริสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนมีท่าทีเหมือนผะอืดผะอม
“เปล่าครับ ผมแค่นึกถึง…”
แบ คฮยอนไม่ได้พูดอะไรต่อไปจากนั้น มือเรียวหยิบแก้วน้ำจากมอของคริสมาเพื่อบ้วนปากออกไป ยิ่งนึกถึงยิ่งขยะแขยง บ้วนน้ำซ้ำๆราวกับจะใช้มันชำระความสกปรกที่เกิดขึ้นออกไปให้หมด คริสผ่อนลมหายใจช้าๆ มองดูร่างเล็กตรงหน้าอย่างนึกสงสาร สำหรับคนทั้งโลกเรื่องแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่คนๆนี้ บยอนแบคฮยอน ไอ้ลูกหน้าของเขาบริสุทธิ์เกินไป อ่อนเดียงสาเกินไป แก้วใสวาววับที่แสนบอบบางและควรค่าแก่การทะนุถนอมเมื่อมีรอยร้าวก็ไม่สามารถทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงคอยประคองมันเอาไว้ให้ให้แตกสลายไปก็เท่านั้น
มือหนาวางแปรงสีฟันในมือก่อนจะดึงแก้วออกมาจากคนตัวเล็กที่ยังคงเอาแต่บ้วนปากไม่ยอมหยุด คริสประคองใบหน้างดงามขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง จดจ้องประสานสายตาลงไป มองลึกเข้าไปเหมือนต้องการจะสื่อความรู้สึกบางอย่าง
“พอแล้ว อย่าไปนึกถึงมันอีก อย่าไปจดจำมัน ต่อไปนี้ให้นึกถึงแค่กู สัมผัสของกู ให้มันเป็นของกู คนเดียว เหมือนที่กูจะมอบมันให้กับมึง แค่มึงคนเดียวเท่านั้น”
คริสทาบทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากบางของแบคฮยอนที่เขาเคยได้สัมผัสไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ จูบเม้มเบาๆไปทั้งทั้งกลีบปากลางไล้มุมปากอย่างอ่อนหวานไปจรดริมฝีปากบน แบคฮยอนหลับตาลงปล่อยให้จิตใจล่องลอยยามรับสัมผัสของอีกคน ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงเรียวลิ้นของคริสที่ไล้เลียริมฝีปากของตนจนเปียกชื้น
สัมผัส ยิ่งอ่อนหวาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งชวนให้เคลิบเคลิ้ม ลิ้นร้อนแสนอบอุ่นกวาดต้อนไปทั่วโพรงปาก ย้ำสัมผัสให้คนตัวเล็กได้จดจำไปจนทั่ว ส่งมอบความอ่อนโยนชวนฝันแทนที่ความสกปรกโสมมที่ถูกคนสารเลวยัดเยียดให้
ริม ฝีปากหนาผละออกอย่างอ้อยอิ่งเพื่อให้คนตัวเล็กได้กอบโกยอากาศไปใช้หายใจ แบคฮยอนหอบเบาๆก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาสอดประสานกัน ยิ่งทำให้เกิดความสับสน
แบคฮยอนเคยคิดว่าชานยอลเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา แต่หลายครั้งที่รู้สึกไปว่าตนกำลังรักชานยอลมากไปกว่านั้น รักที่มากกว่าเพื่อน
ถ้าหากว่าเขารักชานยอลจริง แล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้มันคืออะไร ความ รู้สึกที่โหยหาคนตรงหน้า ความรู้สึกที่อยากขอร้องให้อีกคนโอบกอดเขาเอาไว้ อยากอยู่ด้วย อยากอยู่ข้างๆ อยากจับมือ อยากร้องขอสัมผัสแสนหวานจากอีกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งนี้มันคืออะไร ความรู้สึกนี้คืออะไร
จะ เป็นไปได้หรือเปล่าที่คนเราจะรักคนสองคนได้พร้อมๆกัน หัวใจของเรา ความรู้สึกของเรามันแบ่งครึ่งได้หรือเปล่า ถ้าเขารักชานยอลแล้วจะรักคุณคริสด้วยได้หรือเปล่า
เขามันนิสัยไม่ดีจริงๆ แบคฮยอนคนนิสัยไม่ดี
แบคฮยอนนั่งเอนหลังพิงผนังอยู่บนฟูกนอนบางๆ แนบโทรศัพท์มือถือไว้กับหูและพูดคุยกับปลายสายเบาๆ มินซอกโทรมาถามไถ่ทุกข์สุขของเขาเมื่อเห็นว่าหายตัวไปตั้งแต่เย็น ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้เล่าอะไรมากนัก บอกแค่ตอนนี้อยู่กับคุณคริสและปลอดภัยดีเท่านั้น
‘ให้พี่ลู่หานโทรไปบอกที่บ้านให้แล้วนะว่าตัวจะค้างบ้านเราเพราะติวจนดึก’
“ขอบคุณนะมินซอก ขอบคุณอาจารย์ลู่ด้วย แล้วลูกหมาเป็นไงบ้าง”
‘สบายดี กินอิ่มนอนหลับ’
“ฝากไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเราจะไปเอา มินซอกไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนนะ”
‘อืมๆ แล้วพรุ่งนี้จะไปโรงเรียนมั้ย’
“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว เจอกันพรุ่งนี้ เรารักมินซอกนะ”
ร่างเล็กตัดสายแล้ววางมือถือไว้ใกล้ๆหมอน นั่งเหม่อดูโทรทัศน์ไปเงียบๆ รอคริสที่ออกไปหาอะไรมาเป็นอาหารมื้อดึก ใจจริงก็ไม่คิดจะกินแล้ว แต่เพราะเขาพลาดมื้อเย็นไป ซ้ำยังท้องร้องดังต่อหน้าเสียอีก คนตัวโตเลยทนไม่ไหวออกไปหาอะไรมาให้เขากินด้วยความรำคาญ
แม้สายตาจะมองไปที่โทรทัศน์ราวกับกำลังตั้งใจมอง แต่ตอนนี้กลับเอาแต่คิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน คยองซูจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาควรโทรไปถามไถ่จากชานยอลหรือเปล่า มือเรียวกระชับโทรศัพท์แน่น ชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตัดใจวางมันลง ความกังวลเข้าจู่โจมในใจ ชานยอลจะอยากคุยกับเขาหรือเปล่า หากโทรไปชานยอลจะรับสายหรือเปล่า พอคิดไปเช่นนั้น ความกังวลมันก็สั่งให้เขาทิ้งความคิดที่จะติดต่อไป ถ้าอยากคุยกับเขาบ้างสักนิด ชานยอลก็น่าจะโทรมาหาเขาแล้วไม่ใช่หรือ
‘บอกเราว่าแบคไม่ได้ผลักคยองซู’
นั่นเป็นประโยคเดียวที่เขาพอจะได้ยินจากปากของชานยอล คำถามที่เขาไม่อาจตอบออกไปได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ยองซูตกลงไป
ชานยอลอาจเกลียดเขาไปแล้ว
.
.
.
ร่างสูงโปร่งนั่งพิงพนักเก้าอี้หน้าห้องพักฟื้นของผู้ป่วยอย่างอ่อนล้า ชานยอลอยู่เฝ้าคยองซูตั้งแต่ส่งตัวมาถึงโรงพยาบาล จนตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว พ่อแม่ของคนตัวเล็กที่เพิ่งมาถึงไม่นาน เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ และมากกว่าเรื่องตกบันได สิ่งที่เสียใจยิ่งกว่าคือเรื่องที่หมอบอกว่าคยองซูกรีดข้อมือของตนเองจนเป็นแผลยับเยิน มันไม่ใช่แค่รอยเดียว รอยเหล่านั้นมากกว่าสิบ อาจจะยี่สิบ หรือมากกว่านั้น หมอสันนิษฐานว่าอาจเป็นไพโบล่า อย่างไรก็ต้องรอให้คยองซูฟื้นเสียก่อน เพื่อจะได้พูดุยกันให้รู้เรื่อง
ก้มมองเครื่องมือสื่อสารในมือ หลายครั้งที่เลื่อนไปยังเบอร์ของคนที่คุ้นเคย คนที่เขาอยากพูดคุยด้วยที่สุดอย่างแบคฮยอน แต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจ เขาอยากให้แบคฮยอนเป็นฝ่ายโทรมาเพื่ออธิบายกับเขาก่อน เพราะเขาเอ่ยคำถามไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่เอ่ยตอบ แบคฮยอนเพียงเดินจากไป ท่าทางตื่นกลัวไร้สติ เขาไม่คิดว่าแบคฮยอนจะทำร้ายใคร ต่อให้ทำก็คงไม่ตั้งใจ บางทีอาจเป็นอุบัติเหตุ ไม่ว่าอย่างไร เขาอยากให้แบคฮยอนยืนยันกับเขาด้วยปากตัวเอง
ได้โปรดเถอะ แบคฮยอน
“ฟื้นแล้ว! คยองซูฟื้นแล้ว!!!”
เสียงโวกเหวกจากภายในห้อง ซึ่งชานยอลจำได้ว่าเป็นเสียงของคุณแม่ของคยองซู ร่างสูงลุกพรวดเข้าไปข้างใน พอๆกับหมอและพยาบาลที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามอย่างรีบร้อนเช่นกัน สายตามองไปที่ร่างเล็กที่ทำท่าทางตื่นกลัวสับสนต่อผู้นรอบข้าง
“ฮึก คยองซูลูก”คุณนายโดสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของสามี หลั่งน้ำตาดีใจที่ลูกชายฟื้นขึ้นมาเสียที
หมอเข้าไปใกล้ๆพลางตรวจดูอาการทั่วๆไปของคนป่วย คยองซูยังเอาแต่มองซ้ายมองขวาดูเหมือนนขาดควมมั่นใจ มองไปที่หมอบ้าง มองไปที่พ่อแม่บ้าง มองมาที่ชานยอลบ้าง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามสิ่งที่ทำให้คนฟังแทบจะหมดแรงทรุดลงไปกับพื้น
“พวกคุณเป็นใคร”
“คงเพราะได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะนะครับ หมอคิดว่าอาจเป็นเพียงแค่ชั่วคราว เพราะตอนที่ตรวจดูเราไม่พบความผิดปกติของสมองส่วนไหนเลย หรือไม่ก็เรื่องของสภาพจิตใจ อย่างที่เห็นว่าคนไข้กรีดข้อมือตัวเองอยู่หลายแผล อาจเป็นความเครียด หรือซึมเศร้า บางคนก็ถึงขั้นเป็นไบโพล่า แต่ถ้าเฉพาะเรื่องที่ความทรงจำสูญหายไปนี่ หมออยากให้ค่อยเป็นค่อยไปนะครับ ตอนนี้จำอะไรไม่ได้ อาจจะมีอาการหวาดกลัวต่อคนรอบข้างบ้าง เพราะทุกอย่างจะดูใหม่สำหรับเขา”
“ค่ะ แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไรคะ”
“อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ อาการ โดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ยังไงหมอขอตัวก่อนนะครับ”คุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับคุณ และคุณนายโด คนเป็นพ่อแม่ร้สึกใจชื้นเมื่อหมอยืนยันว่าอาการบาดเจ็บของลูกชายพวกเขานั้น ไม่มีอะไรน่าเป้นห่วง ตอนนี้ที่ควรเป็นห่วงก็คงเป้นเรื่องที่อยู่ๆคยองซูก็ดันความจำเสื่อมจำใครขึ้นมาไม่ได้เสียอย่างนั้น ท่าทางหวาดหวั่นต่อคนรอบข้างไม่เว้นแม้กระทั้งพ่อแม่ยิ่งทำให้ทั้งสองคนกลุ้มใจ ดูเหมือนจะมีแต่ชานยอลเท่านั้นที่ลูกชายของพวกเขาพอจะยอมอ่อนลงให้ ดูท่าทีวางใจเมื่อได้พูดคุยด้วย เดาว่าก่อนหน้าจะจำอะไรไม่ได้คยองซูคงจะติดชานยอลมากเลยทีเดียวสินะ
ทั้งสองคนค่อยๆแง้มประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย คยองซูที่กำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีชานยอลนั่งอยู่ขางๆนั้น หันมามองเล็กน้อย สายตาดูไม่ตระหนกเช่นเดิม แต่ดูขาดความมั่นใจไม่น้อย มองทางคนป็นพ่อเป็นแม่ที หันกลับไปมองชานยอลที ราวกับขอความเห็นของร่างสูง ชานยอลพยักหน้าพลางส่งยิ้มบางเบาให้คยองซูเพื่อเสริมวามมั่นใจ
“คุณ พ่อ คุณแม่”เยงของคนตัวเล็กถูกเอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับกำลังกลัวบางอย่าง ท่าทางไม่แน่ใจยามเรียกทั้งสองคนที่เข้ามาหน้าประตูช่างดูน่าสงสาร
“ใช่แล้วลูก นี่พ่อกับแม่เองนะ”ผู้เป็นพ่อยิ้มด้วยความปิติ ที่เห็นลูกชายเรียกเขาอย่างนั้น แม้ว่าจริงๆแล้วจะยังจำไม่ได้ก็ตาม
“อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วนะลูก กลับบ้านเรากันนะ”คุณนายโดเอ่ยอย่างใจดีก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปหา
ท่าทางของทั้งสองคนช่างดูเป็นพ่อแม่ที่แสนใจดี พวกเขาดูรักคยองซูมากจนชนยอลอดแปลกใจไม่ได้ว่า พ่อแม่สองคนนี้น่ะหรือที่เป็นคนกดดันลูกตัวเองจนพยายามฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาก็คงรักคยองซูมากเกินไป จนหยิบยื่นความหวังดีที่เกินตัวให้โดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้
“บ้าน?”คยองซูมีท่าทางครุ่นคิด
“บ้านของเราไงลูก มีพ่อ มีแม่ แล้วก็คยองซูไงครับ”
“พ่อ แม่ คยองซู แล้วชานยอลล่ะ ชานยอลอยู่ที่ไหน”คนตัวเล็กหันไปถามชานยอลที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เราอยู่ที่บ้านของเรา”
“ทำไมไม่อยู่กับคยองซูล่ะ คยองซูอยากอยู่กับชานนะ”
ชาน…
คยองซูเรียกเขาว่าชานงั้นหรือ
เขาเป็นคนบอกให้คยองซูแทนตัวเองด้วยชื่อเอาไว้ เพราะแฟนตัวเล็กของเขาจำได้แม้กระทั้งชื่อของตัวเอง การแทนชื่อตัวซ้ำๆบ่อยๆ จะได้ช่วยให้จำได้ง่าย แต่ชื่อของเขา ควรจะเป็นชานยอลสิ ทำไมอยู่ดีๆถึงเรียกแค่ ชาน แล้วตัวแองทำไมเมื่อได้ยินแบบนี้กลับไปคิดถึงอีกคนขึ้นมา
คนที่เรียกเขาว่า ชาน อยู่เสมอตั้งแต่ยังเด็ก
เสียงเล็กๆที่ติดจะงอแงนั้น ยามเอ่ยเรียกเขาช่างแสนน่าฟัง ดังก้องอยู่ในทุกประสาทสัมผัส ยิ่งคิดถึงยิ่งอยากได้ยิน อยากฟังเสียงนั้นอีก อยากได้ยินเสียงของแบคฮยอนยามเรียกชื่อเขาในเวลานี้
‘ชาน เราเบื่อ’
‘ชาน ไปกินไอติมกันนะ’
‘ปล่อยให้เราพูดคนเดียวอีกแล้วนะชาน’
‘งื้อ คิดถึงชานจังเลย’
คิดถึงเหมือนกัน แบคฮยอน
“ชานยอล”เสียงเรียกของคยองซูดังขึ้นพร้อมแรงสะกิด
ชานยอลที่รู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อไปนั้นรีบหันกลับมาสนใจคนที่นอนอยู่บนเตียง และผู้ใหญ่ทั้งสองที่มองเอยู่ราวกับต้องการบางอย่าง
“ชานยอลตกลงหรือเปล่าลูก”คุณนายโดเอ่ยถามเสียงดูเป็นกังวล แต่คนตัวสูงไม่เข้าใจนัก อะไรคือ ตกลงหรือเปล่า ตกลงอะไร เรื่องอะไรกัน สายตาลอกแลกของชานยอลคงทำให้ทุกคนที่เห็นเข้าใจได้ว่าเมื่อครู่นี้ชานยอลนั้นไม่ได้ฟังบทสนทนาทั้งหมดนั้นเลย
“ลุงคิดว่า อยากให้ชานยอลช่วยดูแลคยองซูหน่อย คยองซูเอาแต่อยากจะไปอยู่กับชานยอล พวกลุงก็ไม่อยากรบกวนมากนักหรอกนะลูก แต่เวลาที่ลูกชายลุงจำอะไรไม่ได้แบบนี้ ชานยอลเป็นที่พึ่งของพวกเราจริงๆ”
ร่างสูงอึกอัก อะไรคือให้เขาดูแลคยองซู อะไรคือให้คยองซูอยู่กับเขา
“หมายความว่าจะให้คยองซูไปอยู่กับผมหรือครับ”
“คือ ป้าอยากรบกวนจนกว่าคยองซูจะดีขึ้น แต่ถ้าชานยอลลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะลูก”คุณนายโดเอ่ยเสียงเบาหวิว พลางมองลูกชายที่กอดแขนชานยอลเอาไว้จนแน่น พวกเขาเองก็เกรงใจเด็กชายตัวสูงเหลือเกิน แต่เพราะคยองซูดื่อแพ่งจะอยู่กับชานยอลให้ได้ เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ใช่ว่าชานยอลจะรังเกียจคยองซู ถ้าหากรังเกียจก็คงไม่คบหาเป็นแฟนกันได้ตั้งนานหลายเดือน ใช่ว่าจะลำบากหากต้องมีคนเพิ่มเข้ามาในบ้านอีกคน บ้านของเขาใหญ่โตเสียจนมีคนเพิ่มมาอีกสิบก็ยังไม่แออัด แต่ที่เข้ากังวลคือเรื่องบานข้างๆนั้นต่างหาก เป็นที่รู้กันดีว่าเขากับแบคฮยอนถูกหมั้นหมายกันเอาไว้แล้ว หากเขาเอาคยองซูไปอยู่ในบ้าน ครอบครัวบยอนจะคิดอย่างไร
“คยองซูอยากอยู่กับชานจริงๆนะ ไม่อยากอยู่กับคนอื่นเลย คนอื่น่ากลัว”เสียงเอ่ยขอที่แสนน่าสงสารของคยองซูก็ทำชานยอลใจอ่อนให้นตัวเล็กอีกครั้ง
เขาจะอธิบายให้ครอบครัวบยอนเข้าใจเองก็ได้นี่นะ ถ้าจะให้ใจร้ายกับคยองซูเขาก็คงทำไม่ได้ มันช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่คยองซูผู้สูญเสียความทรงจำไปแม้กระทั่งชื่อตนเอง แต่กลับสร้างความคุ้นเคยกับเขาได้เร็วอย่างน่าประหลาด
“ผม…ขอคุยเรื่องนี้กับที่บ้านก่อนนะครับ”
“อืม ขอบใจนะชานยอล”
“ครับ งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาเยี่ยมก่อนไปเรียนนะคยองซู”ชานยอลขออนุญาตจากผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันมาบอกคยองซูที่ตอนนี้ทำหน้าราวกับจะร้องไห้
“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ชานต้องมาหาคยองซูนะ สัญญานะ”
“ครับ สัญญา”
เมื่อเอ่ยล่ำลากันจนพอใจ ร่างสูงก็เดินออกมาก่อนจะโทรตามใหคนที่บ้านมารับ เพราะเห็นว่าเป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว จะกลับเองก็คงลำบาก แล้วแบคฮยอนล่ะ ดึกดื่นป่านนี้แบคฮยอนของชานจะกลับบ้านหรือยังนะครับ
.
.
.
ร่างของคนสองคนที่ขนาดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั้น นั่งนิ่งอยู่บนพื้น สายตาของทั้งสองคนจ้องไปที่บะหมี่ถ้วยตรงหน้าของตนเอ งอย่างแน่วแน่
ติ๊ง!
ทันทีที่เสียงเตือนของนาฬิกาจับเวลาดังขึ้น ทั้งสองคนก็คว้ารามมยอนตรงหน้ามากินอย่างรวดเร็วราวกับว่ารอมานานแสนนาน ต่างคนต่างตั้งใจสูดเส้นเข้าปากโยไม่สนใจอีกฝ่าย จนในที่สุดคริสก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ร่างสูงชะงัก วางถ้วยรามมยอนลงบนพื้นแล้วมองไปที่แบคฮยอนที่ยังคงกินไม่หยุด
“เฮ้ย ไอ้เตี้ย มึงหิวมาจากไหนนักหนาเนี่ย ขอบคุณกูสักคำยังไม่พูดเลย แดกอยากกับไม่เคยเจอบะหมี่ถ้วย”
“คือ…”แบคฮยอนค่อยๆวางถ้วยลงแล้วมองคริสอย่างอายๆ จะให้บอกจริงๆหรือว่าเขาไม่เคยกินรามยอนน่ะ โถ่เอ้ย
“อย่าบอกนะว่าไม่เคยแดก”
“ก็ เพิ่งเคยกินครั้งแรกครับ”
ร่างสูงถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงลืมนึกไปได้นะว่าไอ้ลูกหมานี่มันโตมาแบบไหน ครอบครัวเป็นอย่างไร รามยอนไม่เคยแตะ หึ บางทีพวกผู้ดีก็พลาดของอร่อยๆไปนะ บอกเลย
มัวแต่นึกเย้ยหยันครอบครัวคนอื่น กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เห็นว่าแบคฮยอนนั้นเลิกสนใจตนเอง แล้วไปสนใจถ้วยบะหมี่แทนเสียนี่ นี่คือกูพูดไม่ฟัง? รู้สึกว่าความหิวจะทำให้คนเราเปลี่ยนไป
“คุณคริสไม่ทานหรอครับ”
“ก็แดกอยู่เนี่ย! เออ ทำไมมึงต้องเรียกกูว่าคุณวะ”
“ครับ? ก็ ก็เราไม่ได้สนิทกัน”ตอบเสียงเบาเพราะไม่มั่นใจว่าคำตอบของตนนั้นจะเป็นที่พอใจของอีกฝ่ายหรือไม่
“ไม่สนิท? นี่กูดูดปากมึงมาสองรอบแล้วยังไม่สนิทอีกหรอวะ”
แทบสะสำลักรามยอนออกมาเมื่อเจอประโยคที่ใช้ถ้วยคำแสดงความจริงใจอย่างถึงที่สุด
เขินจนอิ่มเลยแฮะ
“เห็นทีไอ้ห่าจงอินกับไอ้เทาเรียกมันพี่ได้”
“ก็เขาให้เรียกนี่ครับ คุณคริสก็อยากให้เรียกพี่เหมือนกันหรือครับ?”เหมือนจะเริ่มเดาได้ว่าคริสต้องการสิ่งใด
“กูเปล่า ใครอยาก เพ้อเจ้อล่ะมึง”
“พี่คริส”แบคฮยอนลองเชิงดู
ร่างสูงถึงกับชะงักเมื่อได้ยินเสียงของคนตัวเล็กที่เรียกเขาอย่างสนิทสนม มันเพราะจนอยากจะร้องขอให้เรียกซ้ำอีกครั้ง อยากได้ยินอีกครั้ง แต่ระดับไอ้คริสแล้วนั้น อย่างไรก็ต้องรักษาฟอร์มเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องมาซ้อมเรียก มึงรีบแดกให้เสร็จเลยจะได้รีบนอน”
“อ่า ครับพี่คริส”
“ว๊ากกกก ไอ้เตี้ย!”
TBC.
#ฟิคสีแดง
ปล.เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ
ความคิดเห็น