คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : SF EXO เปียโน Ch.1
เปียโน Ch.1
"คริส! เป็นอะไรน่ะ" เพราะร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆลุกพรวดขึ้นจากที่นอน ทำให้คนตัวขาวต้องพลอยสะดุ้งตื่นไปด้วย
"ฉัน ฝันร้าย"
"เรื่องเดิมอีกล่ะสิ"
"อืม….. นี่จุนมยอน"
"ว่า?"
"ฉันจะขายบ้าน" น้ำเสียงไร้ซึ่งความเด็ดเดียว ใครฟังก็คงบอกได้ว่าผู้พูดลังเลและเสียดายเพียงใด ไม่มีใครอยากทิ้งบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครอยากขายบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังต้องระเห็จมาหาที่นอนนอกบ้าน คงไม่ต้องถามว่าใครจะทนอยู่ได้
"ไม่เอานะ! คริสอ่า บ้านหลังใหญ่ชานเมือง สวนกว้างๆ เงียบสงบ นี่มันสวรรค์ชัดๆ ขายไม่ได้นะ"
"แต่ฉันอยู่ไม่ได้!" เสียงตะคอกดังกลับมาจากคริสไม่ได้ทำให้จุนมยอนกลัว เขาเข้าใจว่าคริสกำลังสติแตก
"งั้นก็ปิดไว้เฉยๆก็ได้นี่ ขายไปน่าเสียดายออก เผื่ออะไรอะไรมันจะดีขึ้น ถึงตอนนั้นกลับไปอยู่ก็คงไม่สายหรอกนะ"
"นายก็พูดได้ง่ายๆสิจุนมยอน นายไม่ใช่คนที่ต้องนอนฟังเสียงเปียโนทุกคืน ไม่ใช่คนที่ต้องฝันร้ายซ้ำๆเรื่องเดิมทุกคืน ไม่ใช่คนที่ได้กลิ่นเหม็นเน่าตลอดเวลา นายไม่ใช่ฉัน! ไม่ใช่!!!" มือหนายกขึ้นกำกลุ่มผมสีทองของตนราวกับเสียสติ เขากำลังจะเป็นบ้าในเร็วๆนี้แน่นอน
"ฉันก็บอกแล้วนี้ว่าให้คนยกเปียโนไปทิ้งน่ะ นายจะเก็บไว้ทำบ้าอะไรอีกล่ะ จะรอให้เมียนายลุกจากโลกแก้วสโนไวท์มาเล่นให้ฟังอีกรึไง!"
"ฉันทิ้งไปแล้ว! ทิ้งไปแล้ว แต่มันก็ยังดังทุกคืน เข้าใจมั้ยบ้างมั้ยวะ!" คราวนี้เป็นจุนมยอนที่เงียบไป ทิ้งไปแล้ว? แต่ก็ยังมีเสียงเปียโนดังอยู่อีกงั้นหรอ มัน...
"คริสอ่า นายอาจจะหูแว่วไปเองก็ได้ เมียนายเพิ่งตายไปแค่เดือนเดียว นายเลยยังไม่ชินรึเปล่า ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันอยู่ข้างๆนายนี่ไง ไม่ต้องกลัวนะ" มือขาวจัดลูบไล้ใบหน้าคมแผ่วเบาราวกับจะปลอบประโลม
เหมือนเด็กน้อยๆที่ถูกกล่อมจนเคลิ้มก็พร้อมจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง คริสทิ้งตัวนอนลงช้าๆโดยมีจุนมยอนทาบทับลงมา ศีรษะเล็กวางหนุนบนอกแกร่งกอดจะกระชับอ้อมกอดและจมดิ่งสู่นิทราตามไป
สองร่างกอดกันบนเตียงกว้างในคอนโดหรู คอนโดที่เป็นเหมือนที่ลี้ภัย คอนโดที่มั่นใจว่าอยู่กันเพียงสองคน
แต่...
เปล่าเลย
ศีรษะของคริสใช่ว่าหนุนอิงอยู่กับหมอนดังที่เจ้าตัวคิด เพราะเข้าสู่นิทราไปแล้วถึงได้ไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังหนุนอยู่บนตักที่แสนคุ้นเคย ตักนุ่มของคนที่ให้คำสัตย์ในโบสถ์ต่อหน้าคนนับร้อยว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป
ดวงตาเย็นชาที่ถูกส่งมาจากเบ้าตาลึกชวนขนลุก มองคนที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนตักของตนเงียบๆ ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปหาร่างขาวที่กอดก่ายอยู่เคียงกัน
มือซีดเน่าเฟะที่อดีตเคยเรียวสวยน่าอิจฉากำลังสัมผัสเข้าที่คอเล็กของจุนมยอน ก่อนที่จะออกแรงบีบลงไป
.
.
.
จุนมยอนลุกจากที่นอนอย่างอ่อนล้า เขารู้สึกว่าตัวเองหลับไม่สบายนัก ทั้งอึดอัดและหายใจไม่สะดวก แต่ก็อดทนนอนไปเรื่อยจนรู้สึกได้ถึงแสงจางๆจากดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านช่องเล็กๆระหว่างม่านพริ้วเข้ามา
เรียวขาขาวตรงไปที่ห้องน้ำเช่นทุกเช้า มือหยิบเอายาสีฟันมาบีบลงบนแปรงสีฟันอย่างพอดีโดยไม่ลืมที่จะทำเช่นเดียวกันกับแปรงของอีกคนที่ยังนอนหลับอยู่ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรสำหรับเขาที่ต้องทำทุกอย่างให้คริส เขาทำมันมาตลอด ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน เขาเจอคริสครั้งแรกที่ผับกึ่งเรสเตอรองใจกลางเมือง เขามองดูคนตัวสูงที่กำลังดื่มด่ำกับรสขมปร่าของเบียร์สดแก้วโต จากบนเวทีสู่โซฟากว้างของแขกวีไอพี เศรษฐีหนุ่มรูปงามทำให้เขาแทบขยับปากร้องเพลงต่อไปไม่ได้
เฝ้ามองอยู่เนิ่นนานกว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกันเมื่อร่างสูงเรียกตัวไปหาเพียงเพราะสบตากันครั้งเดียว เขาโชคดี ที่คริสอู๋ถูกใจเขามากเสียจนไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์กันจนกลายเป็นคู่นอน คอนโดแห่งนี้คริสก็เป็นคนซื้อให้เขามาอยู่อย่างสุขสบาย ใช่ ทั้งสุข ทั้งสบาย มันสุขจนเขาคิดไปว่าเขาอาจกลายเป็นซินเดอเรลล่าไปแล้ว จนเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่คริสบอกกับเขาว่าจะแต่งงาน แต่งงานกับเด็กนักเปียโนท่าทางจืดชืด
ยิ่งเห็นว่าคริสยกย่องมันออกหน้าออกตา ยิ่งเห็นว่ามันสุขสบายอยู่เป็นคุณนายอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่เขาใฝ่ฝันถึง ยิ่งเห็นก็ยิ่งได้รู้ว่า เขาเป็นแค่เมียเก็บ เป็นแค่คู่นอน น่าเจ็บใจจริงๆที่รู้ว่าตัวเองต้องมาแพ้เด็กที่ไม่ได้มีอะไรดีไปมากกว่าเขานอกจากแค่เล่นเปียโนเป็น
ฮึ!
ตายซะได้ก็ดี
ขอบคุณใครสักคนที่ฆ่ามันได้โหดเหี้ยมสมใจเขาเหลือเกิน
ดวงตาสวยมองรอยยิ้มสะใจของตนผ่านกระจกเงาตรงหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะสังเกตุเห็นว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
"รอยอะไร"
นิ้วเรียวสัมผัสลงบนร่อยรอยแปลกๆที่ลำคอของตน เพ่งมองดูชัดๆจนแน่ใจ
ไม่จริง
รอยนิ้วมือบนคอเขามาจากไหน มัน.....
"คริส!"
รุดออกจากห้องน้ำตรงไปหาร่างสูงที่ยังนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนจะกระชากผ้าห่มออก แล้วเขย่าตัวคนหลับไหลจนต้องขยี้ตาตื่นด้วยความรำคาญ
"อะไร"
"นายละเมอรึเปล่า นายทำรึเปล่า" จุนมยอนชี้ให้อีกฝ่ายดูรอยที่คอของตน คริสไม่ได้ตอบรับ แต่เพ่งพินิจดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นร่อยรอยที่ว่าชัดเจน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แสดงออกว่ากังวลอย่างปิดไม่มิด
"นาย ไปโดนอะไรมา"
"ฉันก็กำลังถามอยู่นี่ไงว่านายทำรึเปล่า"
"จะบ้าหรือไง ฉันไม่นอนละเมอบีบคอใครหรอกนะ" คริสยืนยันหนักแน่นจนจุนมยอนยืนนิ่งไปก่อนก่อนจะส่งเสียงหวีดลั่นขึ้นมา
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา อิผีบ้าแบคฮยอน! แกใช่มั้ย แกใช่มั้ย! ทำไมตายแล้วไปไปให้พ้นๆ มารังควาญอะไรฉันกับคริสฮะ!"
"จุนมยอน หยุด ทำบ้าอะไร" เมื่อเห็นว่าจุนมยอนโวยวายอย่างไร้สติก็รีบเอ่ยห้าม เพราะเขาคือคนที่ต้องนอนฟังเสียงเปียโนทุกคืน คนที่ฝันร้ายเสมอ เขาจึงไม่แปลกใจที่ร่อยรอยบนคอของจุนมยอนจะมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่การที่มาโวยวายแบบนี้ เขาไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ
"อย่ามาห้ามฉัน ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ นายต้องสติแตกกลางดึกทุกคืนก็เพราะมัน เพราะมันทั้งหมด เพราะมันที่แย่งนายไป เพราะมันที่ทำให้ฉันต้องมาเป็นแค่เมียเก็บน่าสมเพชอยู่แบบนี้ ขนาดมันตายไปแล้ว มันยังรังควาญชีวิตเราไม่หยุด! ฉันเกลียดแก แบคฮยอน ฉันเกลียดแก! คิดว่าเป็นผีแล้วเก่งนักหรอ ฉันว่าฉันจะกลัวแกหรือไง ฉันไม่กลัวแก อิผีชั่ว ฉันเกลียดแก๊!!!!"
"พอแล้วจุนมยอน"
"ไม่!"
"โถ่เว้ย! เป็นบ้าหรือไง ฉันประสาทกินคนเดียวไม่พอหรือไง ถึงได้ลุกมาแหกปากโวยวาบแบบนี้ แม่งเอ้ย" คริสเดินกระแทกส้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับเข้าห้องไป คว้าเสื้อแจ๊กเก็ตกับกุญแจรถแล้วเดินชนไหล่คนตัวขาวที่ยืนหอบถี่หลังจากได้โวยวายจนพอใจ
"จะไปไหนน่ะคริส จะทิ้งฉันไปไหนห๊ะ"
"จะไปให้พ้นๆ" ไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสรั้งไว้ คริสรีบเปิดประตูก้าวออกไปอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดกระแทกประตูเสียงดังลั่น
จุนมยอนที่ได้แต่มองคริสที่หนีตัวเองไปก็ทรุดลงกับพื้นช้าๆ หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างน่าสงสาร จมดิ่งสู่ความโศกเศร้าเสียจนไม่ทันสังเกตุว่าตอนนี้นอกจากตนเอง มีอีกคนที่กำลังมองดูอย่างสมเพชอยู่บนที่นอน ดวงตาช้ำคล้ำลึกโบ๋มองจุนมยอนที่กำลังคร่ำครวญอยู่กับพื้นห้อง
ตึง ตึ่ง ตึ่ง ตึง ตึง.....
เสียอ่อนหวานของเปียโนดังขึ้นอย่างหาต้นตอไม่ได้ จุนมยอนที่ได้ยินก็หยุดชะงักก่อนจะเกลี่ยคราบน้ำตาออกลวกๆ ยืดตัวขึ้นช้าๆ ไม่กล้าหันไปมองรอบตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจจนสุดอากาศ
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง....
ยิ่งชัดขึ้นราวกับมันกำลังเข้ามาใกล้ ทั้งร่างสั่นเกร็งขึ้นเองอัตโนมัติ ไม่ได้อยากแสดงออกว่ากลัว แต่มันห้ามร่างกายนี้ไม่ให้สั่นเทิมไม่ได้จริงๆ สัมผัสเบาหวิวที่ตนคอด้านหลังทำเอาขนลุกชันไปทั้งตัว เสียงใสของเปียโนยังดังต่อเนื่องจนคนตัวขาวแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนให้หยุดเสียที
"กลัวหรอ"
เสียงที่ไม่เขาไม่คุ้นเคย ก้องดังในหู
"ไหนว่าไม่กลัวไง"
"ฮึก ฮือ ฮือออ" จุนมยอนกลับมาสะอึ้นอีกครั้ง กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาเข้าจมูกเต็มที่ บ่งบอกถึงระยะประชิดที่เขาไม่ปรารถนา
"ไม่ปากดีแล้วหรอ ไหนบอกว่าไม่กลัวกูไง!!!" มือเน่าเฟะจกเข้าที่กลุ่มผมของจุนมยอนก่อนจะออกแรงกระชากให้หันมาเผชิญหน้ากันจนแทบจะแนบชิด
"ฮืออออออออออ"
"กลัวกูรึยัง ทีนี้จะกลัวกูได้รึยัง!!!"แรงจิกทึ้งรุนแรงมากขึ้น
"ฮือออออออออออ" ใบหน้าซีดไร้เลือดใกล้เสียจนจุนมยอนแทบอาเจียน เบ้าตาลึกโบ๋ที่มองดูใกล้ๆก็เห็นว่ามีหนอนตัวเล็กๆจำนวนหนึ่งชอนไชเข้าออกน่าขยะแขยง
"ทำไมไม่ตอบกู! มึงไม่อยากพูดแล้วใช่มั้ย!"
แรงลากที่เกิดจากการจิกรั้งเส้นผมทำให้จุนมยอนกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ร่างกายขาวบอบบางถูกลากไปตามพื้นห้องจนเข้ามาถึงในครัว ร่างทั้งร่างถูกแรงเหวี่ยงเข้าที่มุมหนึ่งในห้อง เมื่อรู้สึกได้ถึงอิสระจุนมยอนก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งแล้วกอดเข่าเบียดตัวเองเข้าฝาผนัง
"ฮึก ฮึก" เพราะความกลัวทำให้ลืมความปวดร้าวที่หนักศีรษะไปจดหมด แม้จะเห็นเต็มตาว่ามีกระจุกผมของตัวเองตกกระจายอยู่ที่พื้น เลือดที่ไหลออกจากหนังศีรษะเพราะแรงกระชากไม่ได้น่าสนใจกับจุนมยอนไปกว่าโทรศัพท์มือถือในมือตอนนี้ มือไม้สั่นเทาค่อยๆไล่หาชื่อของคริสก่อนจะโทรออกไปอย่างทุลักทุเล
"รับ รับสิ ฮึก ฮึก รับทีคริส"เสียงรอสายดังอยู่นานจนในที่สุดก็มีคนรับ แต่เมื่อฟังเสียงตอบรับนั่นจุนมยอนก็ปล่อยโฮออกมาทันที
"ฮัลโหล พี่คริสไม่วางรับสายนะครับ" ประโยคนี้เขาเคยได้ยินครั้งหนึ่ง เมื่อตั้งใจจะโทรหาคริส แต่กลับเป็นแบคฮยอนที่มารับแทน
"ฮื้อออออออออออออ" มือขาวโยนโทรศัพท์ออกไปไกลตัวอย่างหวาดผวา
ผลัก!
แท่นไม้สำหรับใส่มีดตกลงมาตรงหน้าจุนมยอนจนมีดกระเด็ดออกมากระจายอยู่บนพื้น ตามมาด้วยจานชาม และข้าวของต่างๆที่หล่นกระแทกกันไปมาราวกับว่าถูกโยนลงมาจากที่ของมัน
"ฮืออออออ ขอโทษ ฮืออออออ ฉันขอโทษ ขอโทษ ฮึก ขอโทษ"
จุนมยอนเริ่มควบคุมสติของตนไม่ได้ ริมฝีปากอิ่มพร่ำเอ่ยขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่าสงสาร ร่างกายที่ขดอยู่กับมุมห้องดูอ่อนล้าหมดแรง
"ขอโทษ ขอโทษ"
ขอโทษ
ขอโทษ
.
.
.
Audi A6 Saloon สีเมทัลเงาวับจอดสนิทลงในลานกว้าง ร่างสูงก้าวลงจากรถก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปในโบสถ์ โบสถ์ที่เขาและแบคฮยอนสาบานรักร่วมกัน ตลอดหนึ่งปี ที่นี่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ประตูไม้หนายังคงเหมือนเดิม กระจกสีที่เป็นลวดลายบอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ก็ยังคงเหมือนเช่นเดิม หลวงพ่อที่ทำพิธีให้เขาก็ยังคงอยู่นี่นี่เหมือนเดิม
"สวัสดีครับ คุณพ่อซีวอน"
"อ้าว มิสเตอร์อู๋ ไม่พบคุณเสียนาน ตั้งแต่งานแต่ง คุณก็ไม่มาที่นี่อีกเลยนะครับ"
"ผมค่อนข้างยุ่งน่ะครับ"
"แล้ววันนี้มีอะไรถึงมาล่ะ"
"ผมไม่ค่อยสบายใจ มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น อยากหาที่สงบแล้วก็นึกถึงที่นี่ขึ้นมาน่ะครับ"
"งั้นคุณคงสวดมนต์อยู่ที่นี่ได้ ผมมีการสอนกลุ่มโปสตูลันต์ ลากันเท่านี้" บาทหลวงซีวอนยิ้มบางๆส่งให้อย่างใจดี
"ครับ ลาครับคุณพ่อ"
เมื่อประตูโบสถ์ถูกปิดลง คริสก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แถวตัวยาว สายตาเพ่งมองพระรูปพระเยซูตรึงไม้กางเขนอยู่เบื้องหน้า
"ข้าเเต่พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป เพราะบาปเรียกร้องอาชญาของพระองค์ แต่เป็นต้น เพราะมันทำเคืองพระทัยพระองค์ ซึ่งดีและน่ารักยิ่งนักเดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กระทำบาป ทั้งจะอุตส่าห์ใช้โทษขอทรงพระกรุณายกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ อาแมน"
แอดดด...
เสียงเปิดประตูอย่างเบามือราวกับผู้เปิดนั้นเกรงใจต่อคนที่อยู่ด้านใน แต่ก็ดูเหมือนว่ายิ่งระวังมากเท่าไร เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดกลับดังรบกวนยิ่งกว่าเดิม คริสหันกลับไปมองดูต้นตอของเสียงประตู ก่อนจะพบชายร่างสูงในอาภรณศักดิ์สิทธิ์ดูภูมิฐานน่านับถือ ขัดกับใบหน้าขี้เล่นและอายุที่ยังถือว่าน้อยนักหากเทียบกับบาทหลวงคนอื่นๆ
"คุณพ่อชานยอล"
"สวัสดีครับ ผมแปลกใจนะเนี่ยที่เห็นคุณ แล้วนี่มาคนเดียวหรือครับ" บาทหลวงชานยอลถามพลางส่งยิ้มยีงฟันให้อย่างจริงใจ
"ครับ มาคนเดียว"
"อ่า งั้นก็น่าเสียดายนะครับ ที่จริงน่าจะมาพร้อมภรรยาคุณเลย เมื่อวานผมถามคุณแบคฮยอน เธอก็บอกว่าคุณไม่ชอบสวดมนต์เท่าไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"อะ อะไรนะครับ เมื่อวาน?"
"ใช่ครับ เธอมาที่นี่ทุกวัน นั่งสวดมนต์เงียบๆอยู่ข้างหน้า คงขอพรให้มือหายเร็วๆ น่าสงสารเธอจริงๆนะครับที่มือต้องมาบาดเจ็บจนเล่นเปียโนอีกไม่ได้ น่าเสียดายพรสวรรค์นั่น"
"ผมไม่เข้าใจ คุณพ่อบอกว่าเมื่อวานงั้นหรอครับ"
“ใช่ครับ กลับไปตอนดึกแล้ว พ่อยังถามเลยว่าคุณจะมารับหรือเปล่า เห็นเธอไม่ได้เอารถมา”
“ระ หรอ งั้นหรอครับ เอ่อ ถ้า ถ้าวันนี้คุณพ่อเจอแบคฮยอนอีก ฝากบอกด้วยนะครับ ว่าให้หยุดสักที”
“หือ?”
“ลานะครับ” คริสกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แบคฮยอนมาโบสถ์งั้นหรือ
ฮึ!
ตายแล้วมารังควานคนอื่น ยังมีหน้ามาสวดมนต์อีกหรอ เป็นผีแล้วทำไมไม่ไปผดไปเกิดซะ ทำไมต้องมารังควานเขา
เมื่อไรจะไปให้พ้นๆสักทีแบคฮยอน!
“จะกลับแล้วหรือมิสเตอร์อู๋” หลวงพ่อซีวอนที่เดินนำเหล่านักเรยนโปสตูลันต์ผ่านมาก็เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าคริสรีบร้อนออกจากโบส์มา
“ครับ” หงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อคิดได้ว่าคนที่นี่เจอแบคฮยอนสวดมนต์อยู่ในโบสถ์แต่กลับไม่บอกอะไรเขาโดยเฉพาะหลวงพ่อซีวอนที่ยังทำเหมือนไม่มีอะไร
“พ่อเห็น คุณพ่อชานยอลเดินเข้าไปเมื่อครู่ก่อน ท่านคงบอกแล้วใช่รึเปล่า”
“เรื่องอะไรล่ะครับ เรื่องที่เห็นผีเมียผมมาสวดมนต์น่ะหรือ!”
เสียงตะคอกของคริสอู๋ดังจนทำให้กลุ่มโปสตูลันต์ที่เดินห่างออกไปเล็กน้อยได้ยินบทสนทนาอย่างชัดเจน จนพากันตกอกตกใจ ทั้งตกใจเสียงดังของร่างสูงและตกใจเรื่องราวที่ได้ยิน
“คุณอู๋ พวกเขาไม่ทราบเรื่องนี้ ทุกคนที่นี่เห็นภรยาคุณก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทราบว่าเธอเสียไปแล้ว คุณพ่อชานยอลก็เช่นกัน ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กศึกษาแต่ไบเบิ้ล ไม่เคยรับรู้ข่าวสารใดๆจากภายนอกหรอก เขาถึงได้เอ่ยทักภรรยาคุณอยู่ทุกครั้งไป พ่อเองก็ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น โลกคนเป็นกับคนตายเป็นคนละโลกกันจริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะข้ามมาอยู่ด้วยกันไม่ได้ พ่อว่าคุณเองก็คงเจอเธออยู่บ่อยๆ ถึงได้ไม่สบายใจอยู่แบบนี้ แต่เธอคงมีเหตุผลถึงได้ไม่ห่างไปจากคุณ คุณพอจะนึกเหตุผลออกมั้ย ว่าอะไรที่ทำให้เธอมาหาคุณ เช่น เรื่องที่ติดค้างกัน คำสัญญา หรือเรื่องที่เธอถูกฆ่าอย่างน่าเวทนา”
ฮึก!!!
“ผมไม่ได้ฆ่าแบคฮยอน!!!”
คริสอู๋ตวาดลั่นก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปที่รถ กระชากประตูสวยย่างแรงและปิดกระแทกด้วยแรงที่มากกว่า มือไม้สั่นเทาควานหาซองบรรจุมวนกระดาษ ร่างกายกำลังต้องการนิโคติน
อยู่ไหนวะ
ปึก!
มือหนาที่ปัดป่ายไปทั่วก็พลาดโดนซองบุหรี่ที่ตนกำลังควานหาตกจากคอนโซลกลางไปยังพรมวางเท้าตรงเบาะด้านหลัง เมื่อเห็นของที่ต้องการคริสก็ไม่รอช้าที่จะเอื้อมจนสุดแขนเพื่อไปหยิบมัน
อึก!
ไม่ทันได้ทำตามปรารถนาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าพรมที่ตนเอื้อมไปนั้นบัดนี้มีเท้าของใครบางคนวางอยู่ เท้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดหล่อเลี้ยง ร่องรอม่วงช้ำที่ข้อเท้าบ่งบอกว่าเคยถูกรัดตรึงอย่างน่าสงสาร ไล่ไปตามขาวเรียวที่เต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำน่าเกลียด และสายตาหยุดลงที่ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวงาช้างที่เขาบอกได้ทันทีว่าคือเสื้อของเขา
เขารู้ดี
สภาพของแบคฮยอนในวันที่ถูกพบเป็นศพ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างสูงก็ไม่กล้าจะเงยหน้าเพื่อไล่มองต่อไป ร่างกายสั่นโยนอย่างน่าสมเพช ไม่เหลือเขาคริสอู๋ที่ทรงเสน่ห์
นี่มันเกินรับไหว เขาไม่เคยเจอแบคฮยอนในสถานการณ์เช่นนี้ สถานการณ์ที่เขายังมีสติครบถ้วนและอดีตภรรยาอยู่ใกล้จนแทบไม่เหลือช่องว่าง เพียงแค่เงยหน้าอีกนิดก็คงได้เจอหน้ากันจังๆ
คริสได้แต่ก้มหน้านิ่งๆค้างไว้ที่เดิม สายตาเหลือบเห็นว่าเรียวขาขาวซีดที่ว่างเปล่า บัดนี้มีมือเน่าเฟะน่าเกลียดวางทาบอยู่ มือที่แคยหลงไหลชื่นมว่างดงามกว่ามือไหนๆของใครบนโลกใบนี้ มือที่สร้างสรรค์เสียงอันไพเราะยามสัมผัสกับเปียโน
“พี่คริส” เสียงเบาหวิวชวนสยองดังขึ้นประชิดข้างหู ร่างสูงไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่กล้าพอจะเงยหน้าขึ้นมอง
“…….”
“มองหน้ากู!” ไม่ต้องรอให้เงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าของเจ้าของเสียงก็โน้มลงมาหาจนชิดเรียวขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาแทน ใบหน้าสยดสยองของแบคฮยอนพร้อมด้วยรอยยิ้มกริบน่าเกลียดชัดเจนจนสติแตกกระเจิง
“เฮ้ย!” ร่างสูงผงะหงายออกไปจนกระแทกกับพวงมาลัยรถ เสียงแตรรถที่ถูกข้อศอกแข็งแรงค้ำยันไว้นั้น ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เฮือก!”
เสียงเคาะกระจกจากด้านนอกรถทำเอาคนด้านในผวา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็แทบจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงถลาลงไปกับพื้นด้านล่างทันทีเมื่อเปิดประตูรถได้ ก่อนจะหันไปตรวจมองในรถขอตนอย่างกล้าๆกลัวๆว่าแต่ก็ไม่พบอะไรแล้ว
“คุณคริส เป็นอะไรครับ”
“ปะ เปล่าๆ แล้ว นายมาทำอะไรที่นี่น่ะคยองซู”
โดคยองซู เพื่อนรักของแบคฮยอนที่เล่นเปียโนด้วยกันตั้งแต่เด็ก ฝึกฝน ร่วมทุกข์ร่วมสุข และเคียงข้างกันมาตลอด คริสรู้จักคยองซูเพราะได้เจอที่โรงละครยามเมื่อแบคฮยอนต้องไปซ้อมแสดงเปียโนอยู่บ่อยครั้ง คยองซูเป็นเด็กสุภาพ พูดน้อย ใจดี โดยเฉพาะกับแบคฮยอน คยองซูจะเอาใจใส่แบคฮยอนมากกว่าใครทั้งหมด และคยองซูคือคนที่แนะนำให้แบคฮยอนและเขามาทำพิธีแต่งงานที่นี่ โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างเล็กเติบโตมา ซ้ำยังอาสาเล่นเปียโนให้พวกเขาอีกด้วย
“ผมเอาตั๋วการแสดงมาให้คุณพ่อซีวอนน่ะครับ”
“ตั๋ว?”
“ครับ ตั๋วการแสดงเดี่ยวเปียโนครั้งแรกของผม” ร่างเล็กบอกพลางยิ้มอย่างภูมิใจ ส่งตั๋วใบยาวให้อีกคนดู
“นี่มัน…” คริสรับตั๋วมาดูก่อนจะไล่อ่านรายละเอียดต่างๆ ทั้งชื่องาน สถานที่ เวลา ทุกๆอย่าง
นี่มัน…
การแสดงที่ถูกเตรียมไว้ของแบคฮยอนก่อนตายเพียงหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นของคยองซูที่เคยเป็นเบอร์สองรองจากแคฮยอนมาตลอด เขาควรแสดงวามยินดีหรือเปล่านะ
“มันมีอะไรหรือครับ”
“เปล่า นี่ ยินดีด้วยนะโดคยองซู ขอให้ประสบความสำเร็จ”
“ครับ ขอบคุณ” ตอบรับง่ายๆแล้วเร่งฝีเท้าไปที่โบสถ์ ไม่หันกลับไปสนใจคริสที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
ร่างสูงมองตามแผ่นหลังบางไปสักพัก ก่อนจะค่อยเอื้อมมือไปเปิดประตูรถช้าๆ สอดส่ายสายตามองหาความผิดปกติในรถสักพักใหญ่ เมื่อไม่พบอะไรก้ก้าวขึ้นรถอย่างหวาดหวั่นในใจลึกๆ เหลือบตามองไปยังกระจกมองหลังก้พบเพียงความว่างเปล่า
“เฮ่อ”ถอนหายใจลากยาวอย่างอ่อนล้า
ขอร้องล่ะแบคอยอน
ปล่อยฉันไปเสียที
.
.
.
“เซฮุน ตอบมา”
“ไรวะไอ้หมวด อย่าคาดคั้นดิ คิดว่าเกิดก่อนแค่นาทีเดียวแล้วจะสั่งได้ไง๊” หนุ่มหล่อเนียบในชุดกาวน์สีขาวสะอาดตากำลังหัวเสียกับนายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตนในห้องตรวจ
“เออสิ ไอ้หมอ แค่นาทีเดียวฉันก็พี่ชายแกอยู่ดี ฉันถามมาแล้วว่าคนที่ลงรายงานเคสของบยอนแบคฮยอนคือแก”
“นี่ หมวดลู่ครับ ผมส่งรายงานว่าไงครับ”
“เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว”
“ครับ ก็แบบนั้นแหละครับ จะมาถามเอาไรเยอะแยะวะ วู้ว”
“เซฮุน แกเป็นหมอนะเว้ย ลงรายงานมั่วๆแบบนั้น แกไม่รู้สึกไรบ้างหรอวะ” ลู่หานขมวดคิ้วมองหน้าน้องชายฝาแฝดของตนอย่างไม่สบายใจนัก เขาทำคดีของบยอนแบคฮยอนมาตั้งแต่ครอบครัวแจ้งความว่าหายตัวไปจากบ้าน จนพบเป็นศพเขาก็พยายามิดตามต่อหวังจะคลี่คลายทุกอย่างให้สำเร็จ แต่อยู่ดีๆครอบครัวก็มาขอให้เขาเลิกทำคดี ซ้ำยังไปแถลงข่าวว่านักเปียโนชื่อดังคนนี้เสียชีวิตเนื่องจากโรคประจำตัว
มันใช่ที่ไหนกันวะ!
“แล้วจะให้ทำไงวะ ก็สามีเขามาขอร้องเอาไว้ว่าไม่อยากให้เรื่องบานปลายใหญ่โต เพราะสะเทือนใจมากพอแล้ว แกจะให้ฉันทำไงล่ะ”
“งั้น ฉันขอดูรายงานชันสูตรที่แกไม่ได้ส่งไปได้มั้ย ผลการตรวจจริงๆ ความจริง” ลู่หานบอกอย่างจริงจัง สาตตาที่แน่วแน่ของเขาส่งไปหาเซฮุนจนอีกคนต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้
“ไอ้หมวด แกนะแก” เซฮุนเปิดลิ้นชักควานหาบางอย่างแล้วหยิบแผ่นซีดีห่อด้วยกระดาษเอสี่ลวกๆออกมาส่งให้
“ฉันมีชุดเดียว รักษาให้ดีนะเว้ย”
“ขอบใจว่ะไอ้หมอ” ลู่หานรับซีดีมาหย่อนลงในแฟ้ม ตบบ่าเซฮุนเป็นเชิงขอบใจเบาๆแล้วรีบออกไปโดยไม่ร่ำลา
ร่างโปร่งตรงลิ่วไปที่รถแล้วรีบร้อนหยิบโน๊ตบุ๊คเครื่องขนาดกลางมาวางลงบนตัก ใส่แผ่นซีดีลงไปก่อนจะก็อปปี้ข้อมูลลงเครื่อง พลางไล่อ่านผลชันสูตรที่เซฮุนกรอกไว้โดยไม่ได้เรียบเรียง
“ขาดอากาศหายใจ ถูกบีบรัดที่ลำคอ รอยฟกช้ำ กระดูกมือแตกละเอียด บาดแผลจากของมีคม ที่มือเนี่ยนะ ทำไมวะ” ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่เข้าใจ มีรอยฟกช้ำตามตัวจริง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมากเท่ามือทั้งสองข้าง ทำไมต้องที่มือ แค่เฉพาะมือ
“โดนขนาดนี้ สามีเขาก็อยู่เฉยหรอวะ แปลกคน”
เมื่อเห็นว่าเสร็จสิ้นกระบวนการคัดลอกแล้ว ลู่หานก็นำซีดีออกมาห่อไว้เช่นเดิม จัดการชัทดาวน์เรื่องโน๊ตบุ๊คของตนแล้วโยนทุกอย่างไปไว้เบาะด้านหลัง ก่อนจะเคลื่อนรถออกไปจากลานจอดรถของโรงพยาบาล
TBC.
ที่จริงในบทความเดิมจะมีเพลงปลากรอบด้วยนะ แต่รอบนี้ขี้เกียจแรง ใครว่างๆไปเปิดฟังดู เราชอบมาก
Moonlight Sonata ของ Beethoven เพราะดีนะคะ
[น้ำจ๊ะ แม่ไอ้แดง]
#นจมอด
ความคิดเห็น