คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : แฟนเกือบเก่า Chapter 3
Chapter 3
แบคฮยอนกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน เวลานี้คงไม่มีอารมณืจะรอกินหม้อไฟต่อแน่ ดีไม่ดีอาจจะเป็นเขาที่ถูกไล่ออกไปจากห้องอีกครั้งหลังจากถูกไล่กลับมาก่อนเพราะเพื่อนของชานยอลอยากจะไปเดินควงแขนซื้อของด้วยกัน
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนแบคฮยอนก็แอบหวังลึกๆว่าบางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้น แค่สักนิดก้ยังดี แต่สุดท้ายก้พังล้มไม่เป็นท่าเพราะชานยอลเดินสวนเขาไปพร้อมผู้หญิงคนอื่นโดยไม่แม้แต่จะมองกลับมา
“มึงจะไปไหน” ชานยอลที่เปิดประตูเข้ามาด้วยสภาพที่หิ้วของพะรุงพะรังเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าแฟนตัวเล็กกำลังจะออกไปจากห้อง
“ทำงาน” แบคฮยอนไม่ได้สนใจนัก ใช่ว่าจะเมินเพื่อแก้แค้น แต่ไม่อยากทะเลาะให้เรื่องมันแย่ไปมากกว่าเก่า
“กูบอกแล้วไงว่าจะกินหม้อไฟ”
“มึงก็กินกับเพื่อนมึงแล้วกัน” คนตัวเล็กเบี่ยงตัวหลบชานยอลที่ยืนขวางประตูไว้ แต่ไม่พ้นถูกดึงเอาไว้เสียก่อน
“ซูจองแค่อยากไปซื้อของด้วย แต่เธอก็กลับไปแล้ว กูก็บอกแล้วไงว่าจะกินกับมึง ตอนนี้มีแค่กูกับมึงแล้วจะเอายังไงอีก อย่าทำให้เสียบรรยากาศได้มั้ยวะ!”
แบคฮยอนทิ้งกระเป๋าลงพื้นแล้วหันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายตรงๆ คำพูดของชานยอลไม่ต่างจากการโยนความผิดทุกอย่างมาให้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรคนผิดคือแบคฮยอนเสมอ ทะเลาะกันก็เป็นความผิดเขา น่าเบื่อก็เป็นความผิดเขา ชานยอลไปนอนกับผู้หญิงอื่นก็เป็นความผิดเขา ทุกอย่างเป็นเพราะเขา ในโลกของชานยอลนั้นทุกสิ่งถูกต้องทั้งหมดยกเว้นบยอนแบคฮยอน
“กูหรอที่ทำให้เสียบรรยากาศ” นิ้วเรียวสวยขี้เข้าหาตัวเองเพื่อถามย้ำอีกครั้ง “บรรยากาศมันเสียไปตั้งแต่ที่มึงไล่กูกลับมาแล้วชานยอล! แล้วไม่ใช่แค่บรรยากาศนะที่เสีย… ความรู้สึกกูก็เสียเหมือนกัน”
“ก็… กูก็มาแล้วนี่ไง” ชานยอลเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนเริ่มขึ้นเสียงบ้างแล้ว เขาไม่อยากให้มันเลยเถิดไปเหมือนคราวก่อนที่คนตัวเล็กโกรธจนอาละวาดไปทั้งห้อง
“มึงก็พูดง่ายๆได้สิ ชีวิตมึง โลกของมึง ทุกอย่างมึงกำหนด มึงเลือกที่จะมีสังคมแบบนี้ มึงเลือกเพื่อนแบบนี้ เลือกผู้หญิงแบบนี้ เลือกสิ่งแวดล้อมรอบตัวมึงแบบนี้ แต่….
มึงไม่ได้เลือกกู”
แบคฮยอนไม่อาจห้ามน้ำตาตัวเองได้อีกต่อไป ดวงตาเรียวรีคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำใสที่ค่อยๆไหลรินลงสู่ผิวแก้มเนียน ที่พูดไปทั้งหมดมันไม่ใช่การประชดประชานหรือตัดพ้อด้วยความน้อยใจ แต่ทุกคำพูดมันคือสิ่งที่เขาอัดอั้นเหลือเกิน เขาต้องการระบายมันออก แค่อยากให้ชานยอลฟังเขาบ้างสักนิด ไม่ได้ต้องการคำง้องอนหรือคำขอโทษ เขาแค่ต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เขารู้สึก และหลังจากนี้เมื่อรับรู้มันแล้วก็ให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่พวกเขาทั้งคู่จะใช้ในการตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตรักที่แสนบัดซบนี้
“แบคฮยอน มึงอย่าร้องไห้ ได้โปรด” ชานยอลยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้เบาๆ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นแบคฮยอนร้องไห้ต่อหน้าเขา นานมาแล้วที่คนตัวเล็กแสดงออกอย่างเข้มแข็ง นานจนเขาลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ยังคงเสียใจและร้องไห้เป็น มือหนาค่อยๆเช็ดคราบน้ำตาเหล่านั้นออกไปแต่ก็ถูกแบคฮยอนปัดออกในที่สุด
“ไม่ต้อง กูร้องเอง กูก็จะเช็ดเอง ฮึก” น้ำเสียงสั่นเครือนั้นผสมปนไปกับเสียงสะอื้นราวกับจะขาดใจ “กูเคยร้องไห้หนักกว่านี้ ฮึก แม้แต่ ฮึก แม้แต่ตอนที่อยู่อยู่ข้างหลังมึง….. ฮึก มึง ฮึก ฮึก ก็ไม่เคย…หันกลับมาเลย”
“แบคฮยอน…”
“ทำไมพวกเราไม่เลิกกันสักทีวะ”
“แบคฮยอน…”
“หยุดเรียกชื่อกู! ฮึก แล้วตอบกูทีชานยอล ตอบกูหน่อย กูไม่ได้อยากเลิกกับมึง ฮึก แต่… แต่เราจะอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ ฮืออออออ” ร่างเล็กถูกดึงเขาสู่อ้อมกอดกว้างนั้นจนแทบจะจมหายลงไปกับแผ่นอกของอีกฝ่าย เสียงสะอึกสะอื้นลอดผ่านออกมาแผ่วเบา แบคฮยอนไม่คิดจะดิ้นหนีออกไปจากชานยอล เพราะเขาไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่าที่จะได้อยู่ในอ้อมกอดนี้
“กูก็ไม่อยากเลิกกับมึงแบคฮยอน”
ควันสีขุ่นถูกพ่นออกจากริมฝีปากบางเฉียบ ดวงตาเรียวรีเหม่อมองออกไปนอกระเบียงที่มืดมิด แสงไฟจากด้านนอกไม่มากพอที่จะให้ให้ความรู้สึกทั้งหมดที่มีในเวลานี้คลายลงไป มันทั้งอัดอั้นและสับสน แม้จะร้องไห้หนักหนาจนแทบไม่เหลือน้ำตา แต่มันก็ไม่อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้มากไปกว่านี้ ความเจ็บป่วยที่เรื้อรังนานแรมปีไม่อาจรักษาให้หายได้ในวันเดียว ไร้บทสนทนาใดๆนับตั้งแต่ที่แบคฮยอนร้องไห้ในอ้อมกอดของชานยอลจนทุกอย่างสงบลง พวกเขาทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ความเงียบเกาะกินไปทุกส่วนในห้องนี้
ชานยอลกำลังนั่งกดรีโมทเพื่อเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แบคฮยอนก็ออกไปสูบบุหรี่ระบายความเครียดที่นอกระเบียง โครงการหม้อไฟที่วางแผนเอาไว้เป็นอันต้องพับเก็บเพราะดูเหมือนเวลานี้ไม่มีใครมีอารมณ์จะกินอะไรกันทั้งสิ้น คนตัวสูงพ่นลมหายใจแรงๆพลางหันไปมองอีกคนที่ยืนหันหลังเท้าระเบียงอย่างสงบนิ่ง ร่างกายสมส่วนที่มีเพียงกางเกงยีนส์เนื้อดีติดกายลุกจากโซฟาเพื่อออกไปที่นอกระเบียงอีกคน
อกเปลือยกว้างแนบลงกับแผ่นหลังของคนตัวเล็ก แบคฮยอนไม่ได้มีท่าทีตกใจที่ชานยอลเข้ามารวบกอดแนบชิดไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้มือหนาแย่งมวนบุหรี่ในมือออกไปอย่างไม่คิดหวง ชานยอลใช้สองนิ้วคีบก้นกรองเอาไว้อย่างชำนาญ จ่อชิดริมฝีปากก่อนจะอัดเข้าเต็มปอด โน้มตัวลงเบียดยิ่งกว่าเก่าจนคนด้านหน้าต้องค้ำยันราวระเบียงเอาไว้เพราะกลัวจะพลาดหล่นไปนอนเป็นศพอยู่ข้างล่าง ควันสีขาวพวยพุ่งผ่านข้างแก้มใส่ไปสู่อากาศก่อนจะกระจายหายไป ริมฝีปากหนาจุมพิตแผ่วเบาที่กกหูของคนบ้าจี้ที่เบี่ยงหนีพร้อมสียงอื้ออึงประท้วงชวนให้อารมณ์ดี
“เฝื่อนชิบหาย ทำไมมึงสูบอันนี้วะ”
“ใครจะตุ๊ดฟรุ๊ตตี้เหมือนมึงล่ะ” แบคฮยอนว่าเหน็บไปถึงบุหรี่กลิ่นแอปเปิ้ลที่ชานยอลสูบประจำ เขาไม่เข้าใจว่ามันดีกว่ายี่ห้อธรรมดาๆที่เขาสูบตรงไหน ทั้งๆที่เป็นกลิ่นผลไม้แต่ทุกครั้งที่ชานยอลสูบเขาจะรู้สึกฉุนจมูกอย่างรุนแรง แต่จะไม่เถียงว่าความหวานติดปลายลิ้นนั้นมันเผื่อมาถึงเขาเสมอเมื่ออีกฝ่ายมอบจุมพิตให้กัน
“แบคฮยอน…”
“อะไร”
“เปล่า… ไม่มีอะไร แค่คิดว่า เรากำลังทำเหมือนเมื่อก่อน”
พวกเขาไม่เคยลืมว่าเมื่อก่อนมีความสุขมากแค่ไหน โลกที่มีแค่เราสองคนมันมีความสุขมากแค่ไหน ตอนนี้ก็เช่นกัน ตอนที่พวกเขาสัมผัสกันอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนที่เผลอตัว ตอนที่ลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าไม่กี่นาทีความรู้สึกที่มีต่อกันมันย่ำแย่เพียงใด อยากจะทำแบบนี้ อยากจะมีความสุขแบบนี้ แต่ก็พอรู้ว่ามันคงไม่ยั่งยืนและยาวนาน เพียงก้าวขาออกไปจากที่นี่สังคมของเขาทั้งคู่ก็จะถูกแยกจากกัน เหมือนกับนาฬิกาที่ดังขึ้นเพื่อปลุกให้ตื่นจากฝันหวาน
.
.
.
แบคฮยอนขยับตัวบิดขี้เกียจเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองเต็มอิ่มจากการนอนแล้ว ปรือตามองเพดานห้องเพื่อเรียกสติให้ครบถ้วนก่อนจะลุกขึ้นเต็มตัว เป็นอีกคืนที่เขากลับเข้ามานอนในห้องกับชานยอล เพียงแต่เมื่อคืต่างจากคืนก่อนตรงที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแค่นอนข้างๆกัน หันไปมองข้างตัวที่ว่างเปล่าก็พอจะเดาได้ว่าชานยอลออกไปเรียนแล้ว
คนตัวเล็กเดินออกมาพบว่าบนโต๊ะนั้นมีจานขนมปังวางเอาไว้ ชานยอลคงจะปิ้งมันก่อนออกไป สีน้ำตาลเข้มของมันบ่งบอกว่าคนทำไร้ฝีมือแค่ไหน แต่แบคฮยอนก็ยังยิ้มได้กับความมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆ เลยไปอีกหน่อยก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางหราเอาไว้ ลายมือยึกยือที่จำได้แม่นว่ามันเป็นของใคร
ตื่นสายไม่ได้ออกไปซื้อโจ๊ก มีแต่ขนมปังนะ ไหม้ไปหน่อย ขอโทษที
เย็นนี้กูกลับดึก ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อ
“กลับดึกงั้นหรอ…” หม้อไฟก็คงต้องยกเลิกไปอีกวัน แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเขาจะได้ไปทำงานสักที เมื่อคืนหยุดไปก็ขาดรายได้ไปก้อนนึงเลยทีเดียว
Rrrrrrrr Rrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเรียกความสนใจจากขนมปังและโน้ตตรงหน้า แบคฮยอนรีบไปดูว่าเป็นใครที่โทรเข้ามาเวลานี้ อาจเป็นคยองซูที่โทรมาถามไถ่ หรือมินฮยอก เขาไม่ใช่คนมีเพื่อน ดังนั้นคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขาก็มีไม่เยอะนัก แต่เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏหราอยู่ก็ต้องขมวดคิ้ว ‘จองฮวา’ เด็กสาวมีธุระอะไรกับเขากันนะ
“ฮัลโหล”
‘พี่แบคฮยอนคะ มีคนมาหาค่ะ ลงมาข้างล่างหน่อย’
“พี่หรอ?”
‘ค่ะ เธอบอกว่ามาหาบยอนแบคฮยอน’
“เธอ? ผู้หญิง? โอเค บอกให้หรอแป๊ปนึงนะ เดี๋ยวพี่รีบลงไป” ผู้หญิงที่ไหนกันที่มาหาเขา ใครจะรู้ว่าแบคฮยอนอยู่ที่นี่
ล้างหน้าล้างตาหาเสื้อผ้าที่พอดูได้มาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจลงทางบันไดหนีไฟเพราะห้องของเขาอยู่แค่ชั้นสี่เท่านั้น จะให้รอลิฟท์ก็รู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก บางอย่างบอกกับแบคฮยอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่เขาก็ไม่อย่างอ้อยอิ่งเพื่อเตรียมใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายที่กำลังรออยู่เขาก็เผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ
จองฮวาโบกมืออยู่ตรงหน้าร้าน เด็กสาวชี้นิ้วไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงกันข้าม สายตามองตามไปที่เป้าหมายแต่ก็ยังเห็นไม่ชัดเจนว่าแขกที่มาเยี่ยมเยือนนั้นเป็นใคร ได้แต่ยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนในขณะที่เพ่งพินิจถึงคนตรงหน้าระยะห่างและรถราที่วิ่งสวนไปมายังคงเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น
รถเริ่มชะลอความเร็วจนในที่สุดก็จอดสนิทพร้อมๆกับที่สัญญาณไฟข้ามถนนนั้นสว่างขึ้น แบคฮยอนก้าวขาเร็วๆไปยังจุดหมาย ผลักประตูร้านเข้าไปส่งยิ้มให้พนักงานที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ หันไปมองโต๊ะริมสุดที่เขามั่นใจว่าแขกคนดังกล่าวมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่ด้านหลังของหญิงสาวก็ทำให้ใจกระตุก
“สวัสดีครับ คุณน้า” เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพพร้อมโค้งจนสุดตัวเมื่อมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ หญิงสาววัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างที่เคยทำเสมอ
“สวัสดี นั่งสิจ๊ะ”
“ครับ”
แบคฮยอนกำลังมวลท้องอย่างถึงที่สุด ความกดดันพุ่งเข้าใส่เต็มที่แม้จะรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ใจดีแค่ไหนก็ตาม แต่ครั้งนี้มันแปลก แปลกที่เธอมาถึงที่นี่ แปลกที่เธอเลือกจะมาหาเขาแทนที่จะมาหาลูกชายของตัวเอง
ใช่… เธอคือแม่ของชานยอล
“สบายดีมั้ยเรา”
“ครับ คุณน้าล่ะครับ ไปอยู่เมืองนอกนานเลย สุขภาพเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีจ้ะ” เธอตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบ หญิงสาวมีท่าทีลำบากใจกับการพูดคุย แบคฮยอนสังเกตเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า และเขาก็รับรู้ได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดี
“คุณน้ามาหาผม…” ตัดสินใจเอ่ยถามไปตรงๆ หากหรอให้อีกฝ่ายพร้อมที่จะพูดแบคฮยอนก็คิดว่ามันคงไม่เกิดประโยชน์อะไรมากไปกว่าการเสียเวลา อย่างไรเสียเมื่อแม่ของชานยอลตั้งใจจะมาพูดบางอย่างแล้วจะช้าเร็วเขาก็ต้องรับฟังมันอยู่ดีไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
“คือว่า แบคฮยอน” เธอเว้นช่วงให้พอหายใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ช่วยเลิกกับชานยอลได้มั้ย”
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบขยี้หัวใจให้แหลกคามือ ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงเรื่องเลิกรา แต่สิ่งที่แบคฮยอนไม่เคยคิดคือการถูกขอร้องให้ออกไปจากชีวิตคนๆนึง มันช่างดูเหมือนเขาไม่มีค่าอะไรสักนิด ไม่คู่ควรที่อยู่เคียงข้างใครสักคน และที่เหนือกว่านั้น เขายังไม่พร้อมจะจากไป อย่างน้อยก็ยังอยากรอให้ถึงวินาทีสุดท้าย
“……….”
“น้าขอโทษนะแบคฮยอน น้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวเอ่ยน้ำตาคลอ ท่าทางรู้สึกผิดถูกแสดงออกมาอย่างไรจริต เธอกำลังเสียใจจริงๆ “ธุระของน้าจำเป็นต้องใช้เงินทุน ตอนนี้มีแค่นายทุนจองเท่านั้นที่พอจะช่วยได้ แล้วลูกสาวของครอบครัวเขาก็…. ชอบชานยอลมาก”
นายทุนจอง? ลูกสาวที่ชอบชานยอล? จองซูจองงั้นหรือ… แบคฮยอนคุ้นหูดีกับชื่อนี้ เธอคือหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มของชานยอล แม้จะเคยเห็นไม่กี่ครั้งแต่ก็มองออกว่าหล่อนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ออกจะดีกับชานยอลมากเสียด้วยซ้ำ เขาพอจะรู้ว่าซูจองเป็นลูกคนร่ำคนรวยแต่ก็ไม่นึกว่าจะยิ่งใหญ่ในระดับนี้ แล้วคนอย่างแบคฮยอนจะเทียบอะไรได้
“ผมกำลังจะย้ายออกเร็วๆนี้ครับ คุณน้าไม่ต้องห่วง”
“ทำไม… ทำไมล่ะจ๊ะ” หญิงสาวรู้สึกตกใจไม่น้อย แม้ตั้งใจจะมาขอร้องให้เด็กคนนี้เลิกรากับลูกชายของตนด้วยความเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งคู่มีวี่แววจะแยกจากกันสักนิด “พวกลูกทะเลาะกันหรอ”
“ไม่ครับ… ไม่เชิง พวกเราเติบโตขึ้นมาก อีกอย่างผมเองก็พึ่งชานยอลมานานเกินไปแล้ว” ตอบออกไปด้วยรอยยิ้มแม้ในใจจะเจ็บปวดเหลือเกิน
“แบคฮยอน…”
“คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดครับ”
“ขอบคุณมากนะจ๊ะ แล้วก็… ขอโทษจริงๆ”
“อย่าขอโทษเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดคุณน้า ยังไงสักวันผมกับชานยอลก็ต้องเลิกกันอยู่ดี” แม้จะไม่อยากเลิกก็ตาม ประโยคสุดท้ายที่ได้แต่คิดในใจ แบคฮยอนไม่ต้องการให้ตัวเองดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้อีกแล้ว เขาไม่อยากให้ใครเห็นว่ากำลังอ่อนแอ ไม่อยากได้รับความสงสารและเห็นใจจากใครอีก แค่ความรู้สึกสงสารที่ชานยอลหยิบยื่นมาให้เขาก็เห็นแก่ตัวใช้มันรั้งอีกฝ่ายไว้นานเกินพอแล้ว
ถึงเวลาต้องจบทุกอย่างจริงๆเสียที
.
.
.
เพล้ง!
บยอนแบคฮยอนทำแก้วแตกเป็นใบที่สองแล้วตั้งแต่เริ่มงานคืนนี้ เขาเอาแต่เหม่อลอยจนคิดว่าอีกไม่นานคยองซูอาจเฉดหัวไล่เขาออกไปเพราะสร้างความเสียหายไม่หยุด ตอนนี้ในใจมันไม่อาจสงบได้เลยสักนิด ใบหน้ารู้สึกผิดและฝากความหวังในคราวเดียวกันจากแม่ของชานยอลมันกำลังวนเวียนไม่หยุด หญิงสาวไม่ได้พักที่ห้องเพราะไม่ต้องการให้ชานยอลรู้ว่าตนเองมาพบเขาถึงที่นี่ รีบมาแล้วก็รีบกลับไปในทันที คงตั้งใจจะมาคุยกับเขาเท่านั้นจริงๆ
“เป็นไรวะ เขาห่วงมึงกันทั้งร้านแล้วเนี่ย” คยองซูเดินเข้ามาถามไถเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนดูไม่มีสมาธิทำงานเท่าไรนัก จะหยิบจับอะไรก็พลาดไปหมด
“ขอโทษที” แบคฮยอนไม่ได้ตอบข้อสงสัยนั้น แต่เลือกที่จะขอโทษแทน “เดี๋ยวกูกวาดแล้วขอไปทำส่วนห้องน้ำนะ ไม่อยากทำแก้วแตกอีก”
“ห้องน้ำไม่ใช่หน้าที่มึงครับ ทำหน้าที่ตัวเองไป ร้านกูมีแก้วเป็นพันๆใบ กูอนุญาตให้มึงทำแตกได้ร้อยนึงเลย เชิญเอาไปปาเล่นๆให้หายเครียดแล้วกลับมาทำงาน” คยองซูตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆเพื่อให้กำลังใจและหวังว่าแบคฮยอนจะผ่อนคลายลงบ้าง
แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังของเจ้านายที่ควบตำแหน่งเพื่อนของตนเดินห่างออกไป ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆให้กับกำลังใจที่อีกฝ่ายส่งให้อย่างฮาร์ดคอร์ตามสไตล์ของเจ้าตัว เก็บกวาดเศษแก้วที่แตกกระจายไปตามพื้นอย่างละเอียด เดินออกไปรับออร์เดอร์ตามหน้าที่ประจำ แม้จะยังรวบรวมสมาธิได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิมมาก อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ทำอะไรตกแตกอีก
ได้ยินเสียงพนักงานจากด้านในบอกแว่วๆว่าโทรศัพท์มือถือที่เขาใส่ไว้ในล็อกเกอร์มันดังสนั่นไปทั้งห้อง แต่เพราะงานที่ทำอยู่เขาก็ไม่สามารถปลีกตัวออกไปรับได้ วันนี้ดูเหมือนลูกค้าจะมากพอสมควร เดี๋ยววิ่งเข้าโต๊ะนั้นไปออกโต๊ะนี้ รับออร์เดอร์กันจนหัวปั่น ซึ่งแบคฮยอนขอเดาว่าคยองซูคงกำลังลุ้นสุดตัวว่าเขาจะทำอะไรแตกหักอีกหรือเปล่า
กว่าความวุ่นวายทั้งหมดจะจบลงก็ทำเอาหมดแรง มีนักดื่มบางคนที่เมาแล้วหลับคอพับคออ่อน ไร้สติอยู่ตรงบาร์โซน มันจึงกลายเป็นหน้าที่คนอยู่เก็บร้านอย่างแบคฮยอนที่ต้องรอจนคนเหล่านี้กลับไปเพื่อให้ตัวเองทำความสะอาดได้อย่างสะดวก คงเป็นเพราะฟุตบอลเมื่อสองสามวันก่อนที่ผลออกมาไม่ผิดจากที่คาดกันเอาไว้ มันอาจเป็นสาเหตุให้หลายต่อหลายคนมาฉลองกันจนแน่นร้าน นอกจากจะเป็นนักเที่ยวนักดื่มแล้วดูเหมือนจะเป็นนักพนันกันอีกด้วยสินะ
“ทำไมห้องมึงเปิดไฟวะ” คยองซูเอ่ยขึ้นเมื่อจอดรถสนิทที่หน้าคอนโดของแบคฮยอน เงยหน้าขึ้นมองไปยังตำแหน่งห้องของอีกฝ่ายก็ได้แต่สงสัย
“หืม?” แบคฮยอนเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจเช่นกัน เวลานี้ชานยอลน่าจะหลับไปแล้ว แม้เจ้าตัวจะบอกว่ากลับมืดแค่ไหนก็ไม่น่าจะเลยเวลามาถึงตีสามตีสี่แบบนี้ “จริงด้วยว่ะ สงสัยชานยอลลืมปิด กูรีบขึ้นไปก่อนล่ะกัน ขอบคุณมากเว้ย”
“เออๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
แบคฮยอนรอจนคยองซุขับรถออกไปก่อนจะรีบเดินเข้ามาในตึก บรรยากาศเกือบตีสี่นี่มันเงียบเชียบเหลือเกิน ไฟตามทางเดินบางดวงก็ถูกปิดลงไปแล้วเพื่อประหยัด เขามั่นใจว่าถ้าคนย้ายมาอยู่ใหม่แล้วต้องมาเดินแบบนี้ก็กลัวจนไม่กล้าออกจากห้องคนเดียว แต่เพราะเป็นเขาที่อยู่มานานจนคุ้นชินซ้ำยังกลับเวลานี้แทบทุกวันมันจึงดูเป็นเรื่องปกติ
ไขกุญแจเข้าไปในห้องก็พบว่ามันสว่างจ้าไปทั่ว ไม่น่าเชื่อว่าชานยอลจะลืมปิดมันทุกดวงได้ขนาดนี้ บนโต๊ะมีกุญแจห้องอีกดอกที่แบคฮยอนคิดว่าเป็นของชานยอล นี่ก็แปลกอีกเช่นกัน ชานยอลไม่เคยวางกุญแจไม่เป็นที่ เจ้าตัวเก็บมันใส่กระเป๋าอย่างดีเสมอ แล้วครั้งนี้ทำไมถึงได้วางลืมเอาไว้
คนตัวเล็กวางกระเป๋าลงบนโซฟาที่ใช้เป็นที่นอนประจำทิ้งตัวลงอย่างอ่อนเพลีย คิดเอาไว้ว่าจะพักสักครู่ก่อนไปอาบน้ำให้สบายตัว แต่ความผิดปกติอีกอย่างทำให้ต้องล้มเลิกความคิดเหล่านั้นแล้วรีบตรงไปยังกระเป๋ากับข้าวของของตนเองที่ถูกจัดไว้ตรงมุมห้อง กล่องใส่ของมันเปิดอยู่ เขาไม่ได้เปิดมันทิ้งไว้แน่ และชานยอลก็ไม่เคยมายุ่มย่ามเช่นกัน
มือสวยกวาดค้นไปทั่วกล่องขนาดกลางนั้น สังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างหายไป ของที่เขาทั้งรักทั้งหวง ยิ่งหาก็ยิ่งใจแป้ว เพราะไม่ว่าจะรื้อจะเทออกมาค้นก็ไม่พบแหวนของเขาแม้แต่น้อย
แหวนคู่ที่ชานยอลเคยซื้อให้
เขาใส่มันไว้ในกล่อง….. และตอนนี้มันก็หายไป
ลุกพรวดตรงไปยังห้องนอนเคาะประตูแรงเสียจนลืมเจ็บข้อนิ้วเพราะความร้อนใจ เขาไม่ได้คิดว่าชานยอลจะเอามันไปถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเคยเอาแหวนอีกวงที่คู่กันไปขายทิ้งเพื่อจ่ายหนี้พนันบอลก็ตาม แต่แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลไม่มีทางทำแบบนั้นกับแหวนวงที่เป็นของเขา
แต่ถึงอย่างไรคนที่อยู่ในห้องอย่างชานยอลก็น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่ว่าจะเคาะจะเรียกสักกี่ครั้งก็ไร้เสียงตอบกลับจากด้านใน สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปเองโดยไม่รอให้ใครมาเปิด กดเปิดไฟให้สว่างจ้าแต่ก็ได้พบว่าทั้งห้องนั้นว่างเปล่า ชานยอลไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้น? กุญแจก็อยู่ในห้อง แต่กลับไม่เห็นตัวเจ้าของ กวาดสายตาไปทั่วก็รู้สึกถึงความไร้ระเบียบภายใน บางอย่างกระจัดกระจายราวกับถูกรื้อค้น
เดินกลับไปที่กระเป๋าของตนเองเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ หมายจะโทรหาคนที่หายตัวไป นี่มันผิดปกติ ชานยอลไม่อยู่ แต่กุญแจถูกวางทิ้งไว้ ซ้ำข้าวของก็เหมือนถูกรื้อ กำลังจะกดโทรก็พบว่ามีสายที่เขาไม่ได้รับเตือนค้างเอาไว้ คิดว่าคงเป็นตอนนั้นที่กำลังทำงานอยู่ เพราะมีเพียงสายเดียวที่โทรเข้ามาบวกกับเขากำลังงานยุ่งไปหมดถึงได้ลืมแบบนี้ เบอร์ไม่คุ้นเท่าไรนักทำให้ช่างใจว่าเขาควรโทรหาชานยอลหรือโทรกลับไปที่เบอร์นี้ก่อนดี และแล้วความร้อนใจก็ตัดสินให้เขาโทรไปหาชานยอลก่อน
‘หมายเลขที่ท่านเรียก…’
แบคฮยอนไม่เคยเกลียดผู้หญิงคนไหนมากเท่าคนที่ส่งเสียงกรอกหูเขาผ่านเครื่องมือสื่อสารนี่ เวลานี้เขาควรได้คุยกับชานยอลไม่ใช่เจ้าหล่อนที่มาบอกเขาว่าเขาไม่มีทางได้คุยกับปาร์คชานยอลแน่ๆเพราะอีกฝ่ายนั้นปิดเครื่องไปแล้ว เมื่อไม่สามารตติดต่อคนที่ต้องการพูดคุยด้วยได้แล้ว แบคฮยอนจึงยอมกดโทรกลับไปยังเบอร์แปลกที่ติดต่อเขามาก่อนหน้านี้ เสียงสัญญาณดังอยู่ครู่หนึ่งจนมีคนรับในที่สุด
“ฮัลโหลครับ”
‘แบคฮยอน! แบคฮยอนใช่มั้ย!’
“ครับ นั่น…ใคร”
‘ฉันจงอิน นายมาที่โรงพยาบาลแอลด่วนเลย ไอ้ชานยอลถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ไอซียู!’
!!!
TBC.
อะไรจะน้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าว ถถถถถถถถ
แล้วใครที่รอให้มันเลิกกัน เห็นชื่อเรื่องมะ? "แฟนเกือบเก่า" เว้ยแก
ถ้าเลิกกันมันก็จะเป็นแฟนเก่าไง มันไม่ถูกต้อง
เพราะงั้น มันไม่เลิกกันแน่นอน ต่อให้ตายจากกันก็ตาม
[น้ำจ๊ะ แม่ไอ้แดง]
#นจมอด
ความคิดเห็น