คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : RED 11
RED 11
คริ สที่ตั้งสติได้ก่อน รีบละความสนใจจากพื้นที่ตรงนี้แล้วสวมเสื้อคลุมลวกๆ ดึงผ้าออกจากมอเตอร์ไซค์ลูกรักของตนทันทีโดยไม่สนใจเสียกเรียกจากแบคฮยอนที่ ดังลั่นจากข้างบน เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเจอเขาที่เป็นแบบนี้
แค่อยากจะเป็นไอ้คริสเท่านั้น เป็นแบบที่เคยเป็น อยู่แบบที่เคยอยู่ แค่ไอ้กระจอกที่หากินข้างถนน มีแม่เป็นแค่แม่บ้านในโรงพยาบาล อยู่ห้องเช่าแคบๆถูกๆ ไม่เคยอยากมีพ่อเป็นนายพล ไม่อยากแม้แต่จะมาเหยี่ยบบ้านหลังนี้ หากแต่มันเป็นคำสั่งเสียก่อนที่แม่จะจากไป คำขอร้องให้มาดูแลเรือนนหลังเล็กนี้ มันคือสิ่งเดียวที่นายพลปาร์คยกให้กับแม่ก่อนที่แม่จะอุ้มท้องหนีออกมาเพราะ ไม่อยากทำให้ใครต้องลำบากใจ
“พี่คริส!”เสียงเรียกที่ดังลั่นไม่อาจหยุดเจ้าของชื่อไว้ได้ มอเตอร์ไซค์คันโตเร่งเครื่องออกไปอย่างรวดเร็ว
คริ สรู้มาตลอดว่าแบคฮยอนนั้นเป็นใคร และอยู่ใกล้แค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะอาศัยชื่อของนายพลปาร์คเพื่อเข้าใกล้คนตัวเล็ก ตั้งแต่เดือนก่อนที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาเห็นแบคฮยอนแทบทุกวัน จากข้างล่างนี่มองไปบนระเบียง ใบหน้าน่ารักที่คอยส่งยิ้มให้ปาร์คชานยอล ในขณะที่ชานยอลปีนข้ามไปหาคนตัวเล็กได้บ่อยครั้ง แต่เขามีสิทธิแค่มองอยู่บนพื้นนี่เท่านั้น
ใคร จะไปคิดว่าอยู่ดีๆวันนึงคนที่เขาคิดว่าคงได้แต่มองจะมาปรากฏตัวอยู่ตรง หน้า ตรงที่ที่เขาไม่คิดว่าจะมีใครมาได้อีกนอกจากตัวเอง ร่างเล็กๆที่กำลังเทนมให้ลูกหมานั่นมันช่างสดใสน่ารัก เพิ่งรู้ว่าการที่ได้มองจากระดับเดียวกันมันยิ่งทำให้ตาพล่าเสียยิ่งกว่าตอน ที่คอยเงยหน้าขึ้นแอบมองเสียอีก
บยอนแบคฮยอนนั้นเจิดจ้าเหลือเกิน
เสียง เครื่องยนต์ที่ห่างออกไปนั้นบงบอกว่าผู้ขับขี่ไม่มีใจจะหยุดรอคนที่ดิ้รนรน วิ่งตามลงเลยสักนิด แบคฮยอนทรุดลงกับพื้นถนนทีที่เห็นว่าไม่อาจตามร่างสูงไปได้ทันแล้ว เดือนร้อนให้บรรดาแม่บ้านทั้งหลายต้องวิ่งตามออกมาด้วยความตกใจที่เห็นคุณ หนูของบ้านวิ่งลงมาจากข้างบนทั้งๆที่เท้านั้นยังเจ็บอยู่ทั้งสองข้าง
“ตายแล้ว คุณหนูคะ เลือดออกหมดแล้ว วิ่งออกมาทำไมคะเนี่ย!”แม่ บ้านสองสามคนช่วยกันประคองแบคฮยอนขึ้นมาจากพื้น ซึ่งดูเหมือนคนถูกหิ้วปีกจะยังไม่คืนสติเท่าไรนัก สายตายังมองตรงไปตามแนวยาวของถนนอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่มีใครรู้ว่าคุณหนูคนดีนั้นวิ่งออกมาเพื่ออะไร สิ่งใดที่เป็นสาเหตุให้เจ้านายตัวเล็กนี้หลงลืมความเจ็บป่วยไปจดหมดสิ้น
“ทำไม หนีทำไม”คำถามที่ไม่ระบุตัวคนตอบถูกเอ่ยออกไปอย่างเลื่อนลอย แบคฮยอนไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดคริสถึงต้องรีบหนีไปอย่างนั้น เขาก็แค่ต้องการจะพูดคุย แค่อยากรู้ อยากถามว่าอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อชานยอลบอกว่าคนที่มาอยู่เรือนหลังเล็กนั้นเป็นพี่ชายของตัวเอง แล้วคริสเล่า คริสเป็นอะไรกับชานยอลพี่ชายงั้นหรือ?
เสียง เอะอะโวยวายที่เกิดขึ้นนั้นคงดังมากจนทำให้คนที่อยู่ติดๆกันอย่างครอบครัว ปาร์คต้องเร่งออกมาดู ทั้งปาร์คเฮรา ชานยอล และคยองซูมองสภาพของแบคฮยอนอย่างข้องใจ ร่างสูงโปร่งที่ยืนมองอยู่นั้นค่อยๆแกะมือเล็กที่เกาะแขนตัวเองอยู่ออกช้าๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาแบคฮยอนที่ผ้าพันแผลที่สองเท้านั้นมีเลือดไหลออกมาจนเป็น สีแดงไปเกือบทั้งหมด
ชาน ยอลอุ้มแบคฮยอนกลับเข้าบ้านโดยมีเหล่าแม่บ้านตามไปติดๆ ร่างเล็กถูกวางอย่างระมัดระวังลงบนเตียงนุ่ม ร่างสูงนั่งลงกับพื้นขางเตียงมองดูคนตัวเล็กที่ยังแสดงสีหน้าเลื่อนลอย ระหว่างรอให้แม่บ้านไปเตรียมชุดปฐมพยาบาล
“แบคฮยอน…”เสียง เรียกของชานยอลดึงสติของคนบนเตียงกลับมาอีกครั้ง แบคฮยอนหันไปมองก่อนจะส่งยิ้มที่คนมองรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนล้าที่ สุด
“ขอบคุณนะ ลำบากชานอีกแล้ว”
“เราไม่ลำบากเลย ไม่เคยคิดว่าลำบากด้วย”
แบ คฮยอนมองคนที่แสดงสีหน้าจริงจังอย่างชั่งใจ เขาเห็นชานยอลทำหน้าแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ตั้งแต่จำความได้ เขาฟังชานยอลพูดจาแสดงความห่วงใยเขานับไม่ถ้วน ได้ยินคำว่ารักเป็นร้อยๆครั้งตั้งแต่เกิดความวุ่นวาย หากแต่สุดท้ายมันช่างไร้ประโยชน์ มันไม่เคยช่วยอะไร เรื่องราวที่แสนเจ็บปวดนี้ไม่เคยจบลงอย่างที่หวังไว้ บางที เขาควรขีดเส้นมันเอาไว้เพื่อไม่ให้มีใครต้องเจ็บมากไปกว่านี้
“ชานรู้ใช่มั้ย ว่าเรายังเป็นเพื่อนกัน”
“อืม เราก็เป็นเพื่อนกันมาตลอดนี่”
“ไม่ ต่อไปนี้จะไม่เหมือนเดิม จากนี้เราจะเป็นเพื่อนกัน แค่เพื่อน จะไม่หวัง ไม่รออะไรอีก”
“ทำไม…”ชาน ยอลขมวดคิ้วมองหน้าแบคฮยอนนิ่ง ทำเอาคนตัวเล็กต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะนึกไปถึงเหตุการณ์ตอนที่ชานยอลควบ คุมโทสะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ แต่ถึงจะรู้สึกกลัวแค่ไหน ก็คงไม่กลัวมากไปกว่าจะต้องกลัวเจ็บช้ำไปตลอดทั้งชีวิต
“เพราะ เราไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว”กลั้นใจตอบออกไปก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกด้าน ไม่อยากจะรับรู้แล้วว่าชานยอลจะมองหน้าตนเองอย่างไร ไม่อยากสนใจอีกแล้ว
แค่อยากลองเข้มแข็งดูสักครั้ง อยากเป็นคนที่เด็ดขาด อยากลองเป็นคนตัดสินใจเอง เลือกเอง อยากลองเป็นแบคฮยอนที่ใจร้าย…
“เรา จะทำแผลให้ใหม่นะ”เสียงของร่างสูงถูกส่งออกมาเรียบๆราวกับไม่รู้สึกรู้สา อะไร แบคฮยอนได้แต่กำมือแน่น ไม่รู้เลยว่าชานยอลทำหน้าอย่างไร คิดอะไร รู้สึกแบบไหน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแม่บ้านก็มาทำเอง ชานกลับไปเถอะ”
ความ เงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจที่สะดุดกึกของชานยอลยามที่ได้ฟังประโยคกึ่ง ไล่ของคนตัวเล็กที่ยังไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองกัน แต่เขาสมควรโดนเมินแบบนี้ถูกแล้วใช่รึเปล่า เพราะเป็นเขาที่ผิดเอง
ชาน ยอลลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ ประจวบกับแม่บ้านที่เดินสวนเข้ามาพอดิบพอดี ร่างสูงโค้งลาอย่างสุภาพเหมือนเช่นเคย ก่อนจะก้าวยาวๆกลับไปที่บ้านของตน ใจอยากอยู่ต่ออีกสักนิด แต่เจ้าบ้านออกปากไล่เขาก็จำใจต้องจากมา
ขา ยาวก้าวฉับผ่านทั้งห้องของผู้เป็นมารดา และห้องของคยองซูที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ ร่างสูงเปิดประตูเข้าห้องของตัวเองและกดลอคทันที สายตาคมสอดส่ายไปในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอดลอดผ่านเข้ามาเท่านั้น ก่อนจะเดินไปคว้าเอากีต้าร์ที่วางอยู่ตรงมุมห้องฟาดเข้ากับกำแพงจนไม้แตกพง ไม่เหลือชิ้นดี ชานยอลทิ้งซากกีต้าร์ลงกับพื้นแล้วคว้าเอาโคมไฟใกล้มือทุ่มลงกับพื้น สองมือขยุ้มผมตัวเองอย่างหัวเสีย รื้อชั้นหนังสือจนกระจายไปทั่ว บางเล่นถูกเหวี่ยงลงพื้น บางเล่มถูกปาเข้าใส่กำแพงบ้าง ใส่ข้าวของส่วนอื่นบ้าง
“โธ่เว้ย!”เมื่อพังทุกอย่างจนพอใจ ชานยอลก็เดินไปเปิดลิ้นชักที่ข้างเตียงก่อนจะหยิบซองบุหรี่ที่แทบจะแตะมันนับคร้งได้ออกมาพร้อมกับไฟแช็ก
ก้าว อาดไปที่นอกระเบียงก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง จุดบุหรี่แล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก อัดสารนิโคตินเข้าปอดจนพอใจแล้วค่อยๆปล่อยให้ควันกล่นหอมหวานนั้นพ่นออกมา จากสองรูจมูกโด่งเป็นสันองตัวเอง ทั้งที่ปกติก็มักจะพ่นออกทางปากเหมือนทั่วๆไป ไม่บ่อยนักที่เขาจะสูบบุหรี่ และทุกครั้งที่สูบบุหรี่ก็มีน้อยครั้งที่จะปล่อยควันออกมาจากจมูกแบบนี้ นานๆที่ก็รู้สึกสะใจดีเหมือนกัน
“แบคฮยอน แบค…”เอ่ย เรียกออกไปทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน มองข้ามไปที่ระเบียงของอีกห้อง มันว่างเปล่ามีเพียงผ้าม่านสีเขียวอ่อนที่ปิดทับกระจกเอาไว้มันชวนให้รู้สึก กลัวอยู่ในใจ กลัวว่าผ้าม่านนั้นจะไม่เปิดออกมาอีก กลัวว่าจากนี้จะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ออกมายืนตรงระเบียงเหมือนเคย ในขณะที่อีกฝั่งนั้นไม่มีแบคฮยอนแล้ว
ระเบียงที่ว่างเปล่า
.
.
.
“มึงจะทำตัวเป็นภาระกูอีกนานมั้ย”ร่างโปร่งนั่งพิงผนังเย็นเฉียบด้วยความเบื่อหน่ายที่มีต่อเพื่อนซี้ ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งยองๆดูดบุหรี่อยู่บนราวระเบียงอย่างไม่กลัวตาย
“ภาระเหี้ยไร กูไม่ได้ไปนั่งบนตักมึงสักหน่อย”
“ถ้ามึงนั่งขากูก็คงหักไปแล้ว แม่งเชี่ยคริส นี่มันเวลานอนรึเปล่าวะห๊ะ มึงโทรเรียกกูมานั่งเฝ้ามึงเนี่ยนะ”
“เผื่อกูพลาดตกลงไป จะได้มีคนช่วยทัน”คริสยังคงมองออกไปด้านนอก ไม่มีท่าที่ว่าจะหันไปสนใจคนที่นั่งอยู่บนพื้นสักนิด
“เดี๋ยวกูเนี่ยจะถีบมึงลงไป ช่วยลงมานั่งดีๆทีเถอะ กูจะกลับแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นมาช่วยเตรียมของที่ร้านแต่เช้ามืดอีก”จื่อเทาเอ่ยเชิงขอร้อง เพราะตั้งแต่มาถึงคริสก็เอาแต่ปีนขึ้นไปนั่สูบบุหรี่ด้วยท่าทางประหลาดบนราวระเบียงแคบๆ ไม่รู้ว่าปกติแล้วจงอินที่เป็นรูมเมทกันนั้นต้องมานั่งรับภาระเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า
แต่ดูเหมือนคำอ้อนวอนของจื่อเทาจะไม่อาจทำให้ร่างสูงเห็นใจได้ คริสยังคงพ่นควันบุหรี่ออกไปสู้กับแรงลมอย่างไม่มีท่าทีว่าจะเลิกง่ายๆ เขาแค่กำลังเครียด อยากหาอะไรทำ เวลาได้ตากลมเย็นๆเช่นนี้ก็ทำให้สมองโล่งไม่น้อย
“มึงว่ากูควรกลับไปมั้ย”
คำถามของคริสทำเอาคนฟังต้องถอนหายใจออกมา หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากเพื่อนซี้แล้วจื่อเทาบอกได้คำเดียวว่าตรรกะของเพื่อนตนนั้นช่างงี่เง่าหาใดเปรียบ โชคดีแค่ไหนที่ได้เป็นถึงลูกนายพล แต่ไอ้มนุษย์งี่เง่าดันเล่นตัวไม่อยากถือศักดิ์นับญาติกับพ่อตัวเอง
“มึงฟังกูนะไอ้คริส ถ้ามีดอกไม้ที่สวยที่สุดปลูกอยู่ในวัง ระหว่างไอ้กระจอกเดินเตะฝุ่นอยู่ข้างนอกกับเจ้าชายที่อยู่ในวังนั้นใครที่จะได้ชมดอกไม้นั้นทุกวัน”
“ก็ไอ้กระจอกที่ไปแอบดูดอกไม้ไง”
ร่างโปร่งแทบจะอดใจลุกขึ้นประเคนฝ่าเท้าใส่คนบนระเบียงเอาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ฟังคำตอบที่ไม่ว่าจะดูยังไงก้ตั้งใจจะกวนมือกวนเท้า
“แล้วใครที่จะได้เด็ดดอกไม้”
“กูไม่ได้อยากเด็ดดอกไม้ กูแค่อยากดู”คริสไม่ได้อยากจะตอบกวนประสาท หากแต่ถามเขาเขาก้ไม่คิดจะเด็ดดอกไม้จริงๆ ดอกไม้จะสวยที่สุดยามที่มันเป็นต้นที่มีชีวิตชีวา แบคฮยอนก็เช่นกัน
“แล้วถ้าไอ้เจ้าชายมันเด็ดดอกไม้ไปแล้วมึงจะดูเหี้ยอะไรครับ? ชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ของดินร่วน?”
คำพูดของจื่อเทาเหมือนจะทำให้คริสเริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ร่างสูงหันหน้ากลับเข้ามาก่อนจะหย่อนขาลงบนพื้นระเบียงแทนที่จะนั่งยองๆให้หวาดเสียวเล่นเหมือนเดิม มองเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่บนพื้นพลางขมวดคิ้วบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดกังวลไม่น้อย
“แล้วมึงจะให้กูไปเป็นเจ้าชายอีกคนรึไง”
“มึงแม่งโง่จากภายในนะ กูไม่ได้บอกให้มึงไปเป็นเจ้าชาย เป็นเจ้าชายทำไม มึงไปเป็นคนสวนสิเว้ย”
คริสเบิกตากว้าง เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่อีกคนบอกขึ้นมาบ้างแล้ว ใครที่จะได้เห็นดอกไม้ทุกวัน ใครที่จะได้ชื่นชมมันใกล้ๆคงไม่มีอีกแล้วนอกเสียจากคนที่ดูแลมัน เป็นเจ้าชายหรือจะสู้เป็นคนสวน ร่างสูงแทบจะหัวเราะออกมาดังลั่น เคราะห์ดีที่นึกได้ว่าห้องเช่าแคบๆนี่ผนังกั้นห้องมันบางขนาดไหน ขืนเสียงดังเกินไปคงได้โดนห้องข้างๆพังกำแพงเข้ามาด่ายับเยินไม่เหลือชิ้นดี
ร่าง โปร่งเดินออกมาจากหอพักเก่าๆหลังจากเคลียร์ปัญหาโลกแตกให้ไอ้เพื่อนงี่เง่า ที่ชอบคิดหยุ่มหยิ่มกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหมือนผู้หญิง ใจจริงเขาอดอิจฉาคริสไม่ได้ มันคงจะดีไม่น้อยหากเขาได้เป็นลูกนายพลบ้าง ถ้า เป็นเช่นนั้นจริงเขาคงจะได้เดินเข้าไปหาคุณหนูตัวขาวผู้เป็นราวกับดอกฟ้า นั้นอย่างกล้าหาญแล้วบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาตกหลุมรักอีกฝ่ายมากเพียง ใด
จื่อเทาเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถคอนเทนเนอร์ขนาดเล็กที่มีแบนเนอร์ร้านติ่มซำซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวติดอยู่ข้างตู้ทั้งสองด้าน มอหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อสไลด์หน้าจอจนปรากฏภาพพื้นหลังชัดเจน
ใบหน้าหวานที่กำลังเหม่อลอย รูปของจุนมยอนที่ถูกแอบถ่ายโดยไม่รู้ตัว
.
.
.
คริสกระชับกระเช้าผลไม้ในมือแล้วโค้งให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างสุภาพ เขาถือโอกาสช่วงสายๆยอมโดดเรียนอีกสักวันเพื่อมาทักทายครอบครัวบยอน หลังจากเก็บคำแนะนำของจื่อเทาเพื่อนรักนั้นไปนอนคิดอยู่ค่อนคืนก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะมาแสดงตัวกับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการสักครั้ง
“สวัสดีครับ ผมอู๋อี้ฟาน เป็นลูกของนายพลปาร์ค”ฝืนใจเหลือเกินกับการพูดออกไปว่าเป็นลูกของนายพลปาร์ค ตอนนี้คริสอู๋อยากจะเหยียบคำว่า ‘ลูกนายพล’ ที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่แล้วบดขยี้มันให้แหลกเหลวไปกับพื้น
“อ๋อ น้าก็นึกว่าใคร สวัสดีนะจ๊ะ ชานยอลมาบอกตั้งนานแล้วว่าพี่ชายน่ะย้ายมาอยู่ที่บ้าน แต่น้าก็ยังไม่เคยเจอเราเลย อี้ฟานใช่มั้ย?”
“ครับ อี้ฟาน ผมเองที่เสียมารยาท มาอยู่ตั้งพักใหญ่แล้วแต่ไม่เคยมาสวัสดีคุณผู้หญิงเลย”
“ตายแล้ว ไม่ต้องเรียกคุณผู้หญิงหรอกจ้ะ เรียกน้าก็พอ”โบมียิ้มเอ็นดูให้กับความมีมารยาทและถ่อมตัวของคริส เธอ พอจะรู้มาบ้างว่าแม่ของเด็กคนนี้เป็นแม่บ้านของตระกูลปาร์คแล้วก็เกิดท้อง ลูกของนายพลขึ้นมาก่อนจะอุ้มท้องแก่ใกล้คลอดออกจากบ้านไปเพราะคุณหญิงเฮรา นั้นตั้งท้องอ่อนๆได้ไม่ถึงเดือน
“ผม ได้ยินจากที่บ้านว่าคุณหนูบยอนป่วย ก็เลยเอากระเช้ามาเยี่ยมด้วย”ร่างสูงส่งยิ้มก่อนจะส่งกระเช้าให้กับแม่บ้าน ที่เดินมารอรับอยู่ข้างๆ
“โถ่ เรียกน้องว่าแบคฮยอนเฉยๆก็พอ เรานี่สุภาพเกินไปแล้วนะ ส่วนกระเช้านี่น้าขอเสียมารยาทรับไว้แทนแล้วกันนะ พอดีน้องเจ็บเท้าคงลงมารับด้วยตัวเองไม่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้ายังไงผมขอตัวกลับเลยนะครับ คุณน้าจะได้พักผ่อน”
“อ่า งั้นหรือ งั้นคราวหน้าก็แวะมาทานข้าวกันบ้างนะจ๊ะ”
“ครับ ลานะครับ”คริสโค้งให้ทั้งคุณผู้หญิงของบ้าน ไปยันเหล่าแม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำเอาบรรดาหญิงรับใช้ทั้งหลายตกอกตกใจที่แขกมาโค้งให้อย่างไม่ถือตัว
ร่างสูงเดินยิ้มกริ่มมาเมื่อลับสายตาของบ้าน ต้องยอมรับว่าผลงานของเขานั้นเป็นที่น่าพอใจไม่เบา ครอบครัวบยอนดูจะต้อนรับเขาอย่างดี ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ฝึกคำพูดคำจาท่าทางให้ดูสุภาพอ่อนน้อมกับกระจกอยู่นานสองนาน หลังจากได้พูดคุยกับหญิงผู้เป็นมารดาของบยอนแบคฮยอน คริสอู๋ก็เลิกสงสัยไปเลยว่าเหตุใดแบคฮยอนถึงได้เป็นพวกโลกสวยขนาดนั้น
คริสเดินกลับเข้ามายังบ้านตระกูลปาร์ค ดวงตาคมเห็นหญิงวัยกลางคนร่างสง่ายืนอยู่ห่างจากตัวบ้านเล็กน้อย หล่อนมองมาที่เขาอย่างไม่เป็นมิตรนัก บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งๆที่ทำตัวเป็นพระแม่มารีกับคนทั้งโลกได้เหตุใดกลับกลายเป็นซาตานสิงร่างทุกครั้งที่เจอเขา
ขายาวก้าวผ่านหน้าของปาร์คเฮราไปโดยไม่คิดจะหยุดทำความเคารพแสดงมารยาทต่อกัน ไม่อยากเสียเวลา ไม่อยากต้องปวดหัวหาคำพูดที่เหมาะสมจะสนทนากับพวกคุณหญิงคุณนาย
“เธอไปทำอะไรที่บ้านบยอน”เสียงของคุณหญิงรั้งให้คริสต้องหยุดเดินแล้วหันมามอง
“ไปทักทายไงครับ คุณหญิงมีปัญหาอะไรรึเปล่า”ใบหน้าหล่อเหลาแสดงอาการยียวนออกมาก่อกวนประสาทของผู้ใหญ่ตรงหน้าอย่างจงใจ
“ทักทาย?”
“ใช่ครับ ทักทายตามประสาเพื่อนบ้าน ว่าแต่ครอบครัวบยอนนี่น่ารักดีนะครับ โดยเฉพาะคุณหนูแบคฮยอนน่ะ กำลังคิดอยู่เลยว่าเคราะห์ดีผมอาจส้มหล่นได้หมั้นหมายแทนไอ้น้องชาย เอ้อ! ไม่ สิ ลูกชายตัวดีของคุณหญิงที่พาแฟนมาอยู่ด้วยให้งามหน้ากันไปทั้งบ้าน”คริสพุดจบ ก็ไหวไหล่เบาๆก่อนจะเดินหนีไปโดยไม่สนใจใบหน้าขุ่นเคืองของอีกฝ่ายสักนิด
ก็ไม่ได้อยากญาติดีสักเท่าไร
.
.
.
มินซอกกรอกตามองท้องฟ้าอย่างเบื่อหน่าย คิดเอาไว้ว่าจะได้มาเรียนแบบสุขกายสบายใจ แต่ว่าเพื่อนตัวสูงรูปหล่อดันพาแฟนมานั่งด้วยกัน บอกเลยว่าจะความจำเสื่อมหรือไม่ สำหรับคิมมินซอกแล้ว โดคยองซูคือสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่ปรารถนาจะเข้าใกล้มากที่สุด
เห็นหน้าแล้วไม่ถูกชะตา ก็แค่นั้นแหละ
“ขึ้นห้องกันเถอะ ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้วนะ”จุนมยอนที่เห็นท่าทีอึดอัดใจของมินซอกก็เอ่ยปากชวนให้แยกย้ายกันไปเสียที ซ่งทุกคนก็ดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามพร้อมใจกันลุกขึ้นในทันที มินซอกมองตามชานยอลที่ต้องเดินไปส่งคยองซุที่ห้องเรียนก่อนก็แอบเบ้หน้า จนจุนมยอนต้องตีแขนปรามเบาๆก่อนจะดึงมือให้ไปด้วยกัน
“ตอนเย็นว่างมั้ย ไปซื้อของเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ”คนตัวขาวเอ่ยชวน
“เย็นนี้ไม่ได้ เราต้องไปช่วยพี่ลู่หานคุมเด็กสอบเลื่อนระดับ ป๊าไม่อยู่พี่ลู่หานดูคนเดียวไม่ไหว”มินซอกด้วยสีหน้าแสดงความเสียดายอย่างจริงจัง เขาอยากจะไปเดินเที่ยวกับเพื่อนเหมือนกัน หากแต่วันนี้ที่บ้านมีเด็กที่เป็นลูกศิษย์มาสอบเลื่อนระดับสาย เขาต้องอยู่ช่วยลู่หานคุมแทนผู้เป็นบิดาที่ดูเหมือนงานนอกจะเยอะซะเหลือเกิน
“อืม งั้นไม่เป็นไร”จุนมยอนยิ้มให้แล้วพากันแกว่งแขนไปมาอย่างร่าเริง
คิมจุนมยอนกำลังคิดไม่ตกว่าจะไปซื้อของอย่างที่ตั้งใจไว้ได้อย่างไรโดยไม่มีเพื่อนไปด้วยกันสักคน ไปไหนคนเดียวก็ไม่เคย ขึ้นรถประจำทางก็ไม่เป็น นึกหาคนที่พอจะรู้จักและไว้ใจได้ ก็ดูช่างน้อยนิด บางทีเขาควรเข้าสังคมอีกนิด
ใคร?
ใคร?
“อ่า”พอจะนึกได้อยู่หนึ่งคน มือเรียวก็รีบส่งข้อความไปหาทันที
จุนมยอน: พี่จื่อเทา
ฮวางจื่อ: ครับผม?
จุนมยอน: ตอนเย็นพี่เทาพอจะมรเวลาว่างมั้ยครับ
ฮวางจื่อ: ว่างครับ คุณหนูมีอะไรหรอ
จุนมยอน: ไปซื้อของกับผมที่ห้างEได้มั้ยอ่า
ฮวางจื่อ: ได้ครับ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วพี่รอหน้าโรงเรียนนะ
จุนมยอน: ขอบคุณมากครับ
จื่อเทากระตุกยิ้มให้กับข้อความจากคุณหนูตัวขาวที่เขาหลงรัก แม้จะไม่รู้ว่าไปเพื่อหาซื้ออะไร หากแต่จุนมยอนเอ่ยปากชวนจะให้ไปไหนเขาก็ไม่เกี่ยง สายตาดุไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งตอบโต้กันเมื่อครู่ รู้สึกเหมือนจะลอยได้
ถึง จะมัวแต่ชื่นชมการส่งข้อความตอบโต้กันไปมาแล้ว ร่างโปร่งก็ไม่ลืมที่จะติดต่อเด็กน้อยอีกคนเพื่อยกเลิกการนัดแนะที่ถูก ทาบทามเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
ฮวางจื่อ :ท่านเจ้าสำนักครับ
ท่านเจ้าสำนักคิม:?
ฮวางจื่อ: พี่คงไปช่วยเย็นนี้ไม่ได้แล้วนะ พอดีมีธุระด่วน ขอโทษนะครับ
ท่านเจ้าสำนักคิม: เสียดายจัง ไม่เป็นไรครับ พี่ไปทำธุระเถอะ
ฮวางจื่อ: ขอโทษจริงๆ
ท่านเจ้าสำนักคิม: ไม่เป็นไรจริงๆเหมือนกัน อย่าคิดมากนะพี่ ผมเรียนก่อนนะ
มินซอกเก็บโทรศัพท์ทันทีที่เห็นอาจารย์เดินเข้ามา เขารู้สึกเสียดายไม่น้อยที่จื่อเทานั้นติดธุระจนไม่สามารถมาตามนัดของเขาได้ เพราะวันนี้มีสอบเลื่อนระดับที่สำนัก และจื่อเทาก็ดูเป็นคนมีฝีมือ จึงได้ชวนอีกคนมาช่วยกัน แต่ในเมื่อพี่ชายหน้าดุคนนั้นมีธุระจริงๆก็คงต้องเอาไว้งานหน้า
คนแก้มป่องกางหนังสือเรียนก่อนจะก้มอ่านคร่าวๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆที่อยากงีบหลับแทบขาดใจ เพราะปกติแล้วเขาจะนั่งกับแบคฮยอน ซึ่งคนข้างๆก็จะคอยเรียนแทนเขาตลอด แต่พอไม่มีอีกคนเขาก็ต้องทนนั่งเรียนเองอย่างไม่เต็มใจ
.
.
.
จุนมยอนโบกมือให้จื่อเทาที่มายืนรออยู่ใกล้ๆกับหน้าโรงเรียนอย่างร่าเริง เขาไม่ค่อยได้ออกไปเดินเที่ยวแบบนี้บ่อยนัก ส่วนมากแล้วจะไปกับครอบครัว ซึ่งก็แค่กินข้าวแล้วก็กลับ มันไม่ใช่การเดินเที่ยวเสียด้วยซ้ำ เหมือนเปลี่ยนที่กินข้าวเท่านั้นเอง แต่วันนี้เจะได้ออกไปเที่ยวเล่นจริงๆอย่างที่เคยปรารถนา ต้องขอบคุณพี่จื่อเทาที่ใจดียอมให้เขาเป็นภาระแบบนี้
มันดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับการนังรถประจำทาง ไปต่อด้วยรถไฟใต้ดิน ผู้คนมากมายที่เขาเคยได้แต่มองผ่านกระจกของรถยนต์ บัดนี้เขากำลังเดินเบียดเสียดกับคนเหล่านั้น ห้างสรรพสินค้าที่คับคลั่งไปด้วยผู้คนหลายเพศหลายวัย บางคนอาจไม่ชอบใจและคงรู้สึกอึดอัด แต่คิมจุนมยอนชอบมากที่ได้ออกมาเดินแบบนี้ เหมือนเป็นอีกโลกที่คนที่อยู่แต่กับบ้านและโรงเรียนอย่างเขาได้ออกมาผจญภัย
เพราะบอกกับจื่อเทาไปว่าต้องการจะหาซื้อโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง อีกคนก็เลยพามายังโซนไอที ร้าน รวงต่างๆที่เต็มไปด้วยเครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายนั้นยิ่งดู ก็ยิ่งยากที่จะตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปอุดหนุนร้านไหนในเมื่อทุกๆร้านก็ดูจะ เหมือนๆกันไปหมด
ดวงตาสวยกวาดมองไปรอบๆก่อนจะตัดสินใจเลือกร้านที่คนไม่เยอะมากนัก ก่อนจะเดินนำจื่อเทาเข้าไปด้านใน พนักงานส่งยิ้มให้พวกเขาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเอ่ยปากถามว่าสนใจแบบไหน รุ่นไหน เอาจริงๆว่าเขาเองก้ไม่รู้ ก็ไม่ได้เป็นคนใช้นี่นา
“พี่เทาครับ พี่ว่าพี่จงอินจะชอบแบบไหนหรอ”
“หืม?”
“ผมถามว่าพี่จงอินจะชอบแบบไหนหรือครับ”จุนมยอนถามย้ำไปอีกครั้ง เขาตั้งใจจะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้คิมจงอินหลังจากเห็นว่าโทรศัพท์มือถือของอีกคนนั้นพังไปตั้งแต่วันเกิดเรื่อง คนที่โทรหาเขาเป็นประจำจึงมีอันต้องว่างเว้นไปอย่างช่วยไม่ได้
เขารับรู้ว่าจงอินนั้นสนใจในตัวเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอ หากแต่ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนเบอร์กันอย่างจริงจังก็วันที่พี่จื่อเทาบอกให้เขาไปเจอจงอินที่ร้านพิซซ่าที่อีกคนทำงานพิเศษอยู่ พี่จงอินไม่เหมือนคนอื่นๆที่เขารู้จัก คนๆนี้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนทั่วไปปฏิบัติต่อกัน ให้เกียรติเขาในแบบที่เพื่อนมนุษย์ให้เกียรติกัน ไม่มองว่าเขาเป็นลูกนายธนาคารใหญ่ ไม่ยกยอเพราะเขามาจากครอบครัวมีหน้ามีตา ถึงพี่จงอินจะไม่ใช่คนแรกที่เขามาสนใจเขา หากแต่พี่จงอินเป็นคนแรกที่เข้าหาเขาในแบบที่เด็กคนนึงกำลังจีบคนที่ชอบ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้มีชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป
“พี่ไม่ใช่จงอิน พี่ไม่รู้หรอกครับ แต่คุณหนูเลือกอะไรให้มันก็คงชอบหมดนั้นแหละ”
จื่อเทาตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้อยากแสดงท่าทีแบบนี้ใส่คุณหนูของเขา หากแต่มันอดที่จะรู้สึกผิดหวังในใจไม่ได้ พอจะรู้ว่าจงอินนั้นก็ชอบพอในตัวจุนมยอนเช่นกัน แต่เขาไม่รู้เลยว่าทั้งคู่นั้นสานสัมพันธ์กันไปถึงขั้นซื้อข้าวซื้อของให้กัน แล้วยิ่งเป็นฝ่ายคุณหนูตัวขาวที่ซื้อให้เพื่อนของเขาแล้วก็ยิ่งพาให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
“คือ พี่นึกขึ้นได้ว่าติดธุระน่ะครับ คุณหนูโทรเรียกคนที่บ้านมารับได้รึเปล่า”
“อ้าว… เอ่อ ก็ได้ครับ พี่เทาไปเถอะ ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อน”จุนมยอนดูเลิกลักเล็กน้อยที่จะถูกทิ้งไว้คนเดียว หากแต่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ชายหน้าดูก็จำยอมให้อีกคนไปทำธุระดังที่บอก
จื่อเทาทำแค่เพียงพยักหน้ารับรู้แล้วเดินออกไปทันที เขาไม่อยากทนมองสีหน้าที่มีความสุขของจุมยอนยามที่ตั้งใจเลือกซื้อของให้จงอิน ทั้งๆที่ดีใจมากมายแท้ๆที่ถูกชวนออกมาด้วยกันแบบนี้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตนเองไม่สำคัญอะไรสักนิด
มือหนากดต่อสายหาใครอีกคนที่วันนี้เขาใจร้ายผิดนัดไปทั้งๆที่ตกลงไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้ว่าถ้าไปตอนนี้จะยังทันหรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากมองหน้าเพื่อนรักที่นอนป่วยอยู่ที่นั้นในเวลานี้เช่นกัน ไม่เคยคิดว่าเขาจะกลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล ไม่รู้จักแยกแยะได้ถึงเพียงนี้ แต่มันไม่พร้อมที่จะเผชิญความเจ็บปวดในเวลานี้จริงๆ
‘ฮัลโหลครับพี่’
“ฮัลโหลมินซอก คือว่า พี่ไปตอนนี้ทันมั้ย”
‘พี่เสร็จธุระแล้วหรอ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่นี่ก็ใกล้เสร็จแล้ว เหลืออีกชุดเดียวก็หมดแล้ว’
“หรอ อืม”
‘เสียงพี่ไม่โอเคเลย เป็นไรป่ะ’
“คือ ว่างพอจะคุยกับพี่มั้ย”
‘อ่า ว่างๆ แป๊ปนึงนะครับ………. พี่ลู่หาน ผมไปคุยธุระนะ’
จื่อเทาได้ยินมินซอกตะโกนบอกลู่หานที่คงคุมเด็กๆอยู่ เขารู้สึกเกรงใจไม่น้อยที่ต้องรบกวนเวลาของเด็กแก้มป่องคนนี้ หากแต่เวลานี้เขาอยากพูดคุยกับใครสักคน จะให้โทรหาเพื่อนอย่างคริสก็คงไม่ได้ เมื่อวานทำปากดีสั่งสอนมันไปเสียเยอะแยะ แต่พอถึงคราวตัวเองกลับไม่มีปัญญาพอ
‘ครับพี่ ว่าไง’เสียงมินซอกเรียกสติของเขาอีกครั้ง
“เคยมีแฟนมั้ย”
‘ห๊ะ! นี่ถามเอาจริงจังป่ะเนี่ย’
“อืม พี่แค่อยากรู้อะไรบางอย่าง”
‘อ่า ไม่เคยอ่ะงเป็นคำตอบที่น่าพอใจไม่น้อย ถ้าเด็กคนนี้ไม่เคยมีแฟน ซ้ำยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจุนมยอน บางทีความคิดอาจคล้ายๆกัน'
“สมมุตินะ สมมุติว่ามินซอกมีคนมาชอบสองคน เอาเป็นเอกับบีแล้วกัน”
‘ครับ ต่อเลย’
“มินซอกรู้จักกับเอมาก่อน แล้วรู้จักกับบีทีหลัง ทั้งสองคนชอบมินซอก มินซอกรู้ว่าบีชอบ แต่ไม่รู้ว่าเอชอบ ทีนี้มินซอกก็เริ่มชอบบีแล้วเหมือนกัน คือ… ทำไมมินซอกถึงชอบบีทั้งที่บีมาทีหลัง แล้วถ้ารู้ว่าเอชอบตัวเองเหมือนกัน มินซอกจะเปลี่ยนใจมั้ย”
'คือผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ แต่เอาตามความรู้สึกเลย เรื่องมาก่อนมาหลังมันไม่เกี่ยวหรอก ถ้าผมชอบ มันก็แค่ชอบ แล้วต่อใหรู้ว่าเอชอบหรือไม่มันก็ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจ เพราะยังไงผมก็จะเลือกคนที่ผมชอบ สมมุตินะว่าผมชอบบีผมก็จะเลือกบี และต่อให้บีไม่ชอบผม ผมก้ไม่ชอบเออยู่ดี เพราะงั้นที่พี่ถามมาน่ะ สำหรับผมแล้วมันไม่มีผลอะไรต่อความรู้สึกและการตัดสินใจเลยสักนิด'
“หรอ”หลังจากฟังคำตอบของมินซอกแล้วก้ได้แต่ใช้ความคิดเงียบๆ มันมีโอกาสที่จุนมยอนเองก้จะคิดเช่นนี้ ต่อให้เขาบอกจุนมยอนไปว่ารักมากแค่ไหนก็คงไม่อาจเปลี่ยนใจอีกคนได้สินะ เขาไม่ควรจะพูดมัน ไม่อยากจะพูดไปให้ตัวเองน่าสมเพชเพราะจะพยายามแค่ไหนก็เป็นแค่คนที่เขาไม่รัก
'พี่ถามผมแค่นี้หรอ'
"อ่อ อืม ขอบใจมากนะครับ"
'โอเค งั้นผมไปดูเด็กๆก่อนนะ โชคดีนะพี่ เรื่องที่ทำให้เจ็บปวดก็ขอให้หายเร็วๆนะครับ'
จื่อเทายิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำส่งท้ายของเด็กแก้มป่องผ่านสายโทรศัพท์ มินซอกเป็นเด็กฉลาดไม่น้อย ฟังแค่นี้ก็คงจะรู้ว่าที่เขาถามไปนั้นเป็นเรื่องของตัวเขาเอง ตองขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยให้เขาคิดอะไรๆได้ง่ายขึ้น
เขาคงเป็นได้แค่พี่จื่อเทาของคุณหนูจุนมยอนเท่านั้น
TBC.
#ฟิคสีแดง
ปล.เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ
ความคิดเห็น