คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : RED 09
RED 09
ฮายาบูสะคันโตแล่นด้วยความเร็วผ่านเข้าประตูโรงเรียนที่ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐสูงราวกับปราสาท ก่อนจะจอดลงที่ข้างโต๊ะด้านในโรงเรียนที่มีเด็กชายร่างเล็กนั่งอยู่สองคน บรรดานักเรียนโรงเรียนTพากันมองอย่างแตกตื่น ที่มีใครบางคนขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดบริเวณด้านในแบบนี้
มันผิดกฎนะ
”ผมบอกแล้วว่าอย่าเข้ามา”แบคฮยอนที่ก้าวลงจากด้านหลังถอดหมวกกันน็อคออกพลางบ่นงุ้งงิ้งที่คริสทำให้ตนต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น
ส่วนจุนมยอนและมินซอกที่เห็นว่าเป็นใครที่เข้ามาส่งเพื่อนของตนถึงในนี้ก็รีบลุกขึ้นโค้งให้อย่างสุภาพ คริสมองทั้งสองคนแล้วก้มหัวกลับให้เล็กน้อย คว้าเอาหมวกกันน็อคจากมือแบคฮยอนมาถือไว้ ส่งมือหนาอีกข้างไปผลักเข้าที่หน้าผากมนของคนตัวเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว
“เห็นกูใจดีด้วยนี่กล้าบ่นกูแล้วนะมึงอ่ะ”
“ก็พี่คริสอ่ะ!”
เห็นท่าทางฟึดฟัดเหมือนลูกหมากำลังหิวนมแล้วก็อดผลักซ้ำไปแรงๆกที่ไม่ได้ ก่อนจะหันไปหามินซอกที่นั่งยิ้มๆอยู่ที่โต๊ะ gเพื่อไปถามหาเพื่อนของตนที่ไปอาศัยบ้านของมินซอกอยู่มาสองวันแล้ว
“ไอ้เทามาป่ะ”
“มาครับ ออกมาพร้อมกันเมื่อเช้า แต่ว่าพี่จงอินยังไม่หายดี ป๊ากับม๊าเลยอยากให้พักดูอาการก่อน โดนไปหนักขนาดนั้น น่าจะเป็นอาทิตย์กว่าจะหายดี”
“อืม ขอบใจมาก”
“ครับผม”มินซอกรับคำด้วยความยินดี
แบคฮยอนเดินไปวางกระเป๋าข้างๆจุนมยอนที่ตอนนี้กำลังมองหน้ามินซอกกับคริสสลับกันไปมาเหมือนต้องการคำอธิบายจากบทสนทนาของคนทั้งคู่
พี่จงอินเป็นอะไร?
จนเมื่อคริสพาตัวเองพร้อมด้วยรถคู่ใจออกไปแล้ว คนตัวขาวก็รีบดึงมินซอกมาเพื่อให้สนใจตนเองทันที ที่จริงก็พอรู้สึกว่าตัวเองห่างเหินกับเพื่อนสองคนพอสมควรในช่วงนี้ แต่ดูเหมือนจะมีรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“พี่จงอินเป็นอะไร”
เมื่อได้ยินคำถามของจุนมยอน มิ นซอกและแบคฮยอนก็นึกได้ทันทีว่าคุณหนูจุนมยอนของพวกเขานั้นไม่รู้เรื่อง อะไรสักอย่าง ในช่วงที่ผ่านมาคยองซูนั้นยึดตัวเพื่อนตัวขาวคนนี้ไปแทบจะตลอดเวลา ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จุนมยอนฟังตั้งแต่เรี่องที่เกิดขึ้นที่มยองดงในวันนั้น จนถึงเรื่องของคยองซูที่ตกบันไดเมื่อวาน ซึ่งตรงส่วนนี้เองมินซอกก็เป็นฝ่ายนั่งฟังแบคฮยอนเล่าเช่นกัน
“แล้ว เรื่องคนพวกนนั้นล่ะ มันจะมาทำอะไรแบคกับคุณคริสอีกรึเปล่า”
“เอ่อ…”แบคฮยอนได้แต่อ้ำอึง จะให้ตอบไปอย่างไรว่าตนเองไปทำอะไรมาเมื่อวานนี้เพื่อจบปัญหากับแทคยอน
“นั่นสิ ไอ้พวกนนั้นมันจะมาหาเรื่องอีกหรือเปล่า”มินซอกเองก็เป็นกังวลเช่นกัน
“คือ ไม่แล้วล่ะ พวกนั้นออกจากโซลไปแล้ว หนีตำรวจน่ะ”แบคฮยอนไม่ได้โกหก พวกนั้นออกจากโซลไปแล้วจริงๆ
ก็ไม่ได้โกหก แค่พูดไม่หมดเท่านั้นเอง
ทั้งมินซอกและจุนมยอนมีท่าทีโล่งใจมากขึ้น แบคฮยอนองก็ไม่ต่างกัน เพียงโล่งใจที่เพื่อนทั้งสองของตนไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก เมื่อใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ทั้งแบฮยอนและมินซอกก็เริ่มทยอยเก็บของเพื่อเตรียมตัวขึ้นไป ในขณะที่จุนมยอนยังนิ่งอยู่และมีท่าทางลุกลน คนตัวขาวมองหน้ามินซอกเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง อยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า เขาไม่เคยทำแบบนี้เลยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้ดูไม่ดี จุนมยอนยังงไม่พูดอะไร แต่ท่าทีเหมือนกำลังชั่งใจบางอยางนั้น ก็เป็นที่สังเกตของเพื่อนอีกสองคนได้ไม่ยาก
“มีอะไรรึเปล่า”เป็นมินซอกที่เอ่ยถามขึ้นมาก่อน
“เออ คือว่า คือ”พูดไปสิจุนมยอน แค่พูดออกไป
“มีอะไรครับคุณหนูจุน”คนแก้มป่องถามเน้นเสียงจริงจังอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอ้ำอึ้ง
“เราอยากไปเยี่ยมพี่จงอิน”
“อ๋อออออออ”ทั้งมินซอกและแบคฮยอนพลักหน้ารับรู้พร้อมเพรียงกัน ที่แท้คุณหนูจุนอยากไปเยี่ยมจงอินที่นอนเจ็บอยู่นี่เอง ถึงว่าเห็นทำท่าอึกอักอยู่นาน
“เดี๋ยวเลิกเรียนก็ปพร้อมมินซอกสิ”
“เราอยากไปเลยนี่นา เราร้อนใจอ่ะ”
“อ่าฮะ”มินซอกเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรหากจะต้องโดดเรียนไปบ้าง แต่คนตั้งใจเรียนอย่างจุนมยอนออกปากอยากโดดเรียนไปด้วยตัวเองขนาดนี้ มันก็นะ…..
“พี่จงอินรู้คงดีใจแย่”แบคฮยอนห้ามตัวเองไม่ให้เอ่ยปากแซวเพื่อนไม่ได้จริงๆ ท่าทางตื่นๆของจุนมยอนมันช่างน่าแกล้งยิ่งกว่าอะไร
“ก็ได้ งั้นไปกันหมดเลยแล้วกันนะ จะโทรให้พี่ลู่หานมารับ”
“อ่า มินซอกไปกับจุนมยอนเถอะ เผื่ออาจารย์สั่งงานอะไร เราจะได้เก็บเอาไว้ให้นะ”แบคฮยอนอาสาที่จะอยู่แทน เพื่อให้มินซอกพาจุนมยอนไป เขา รู้ดีว่าการที่คนที่จริงจังและมีความพยายามเรื่องเรียนมากอย่างจุนมยอนยอม ที่จะทิ้งชั่วโมงเรียนไปเพื่ออะไรสักอย่างมันคงเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ
“เอางั้นหรอ”จุนมยอนมีท่าทีเกรงใจไม่น้อย เขากำลังทำให้แบคฮยอนมีภาระ
“ไม่เป็นไร มินซอกพาจุนมยอนไปเถอะ”
“อืม ขอบคุณนะ”
เมื่อเพื่อนทั้งสองคนออกไปแล้ว แบคฮยอนจึงเก็บของและรีบขึ้นห้องเรียนทันทีเพราะใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว ทุกอย่างควระเป็นปกติเช่นทุกวัน หากไม่รู้สึกถึงสายตาแปลกๆของคนรอบข้างที่ส่งมาให้ คนตัวเล็กมองไปรอบตัวก็พบว่ามีหลายนที่มองมาที่ตนพร้อมกับซุบซิบบางอย่างกันโดยไม่ปิดบังท่าที ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้เขาตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าต้องรับมืออย่างไร เสียงซุบซิบกันรอบตัวนั้นฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็ทำให้รู้สึกแย่ไม่น้อย แบคฮยอนรีบก้มหน้าก้มตาเดินเลี่ยงไปยังตึกเรียน แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลยสักนิด แม้ จะมาจนถึงลิฟท์แล้วก็ยังไม่วายมีนักเรียนที่ร่วมตึกเดียวกันคอยมองให้รู้สึก อึดอัดกดดันจน่างทั้งร่างแทบจะลีบหายไปกับผนังด้านในลิฟท์
ตัวเลขระบุชั้นที่เจ็ด แบคฮยอนก็รีบเดินออกมาทันทีที่ลิฟท์เปิด แต่ก็ต้องล้มลงมานั่งกองกับพื้นพร้อมของในมือที่กระจายไปทั่ว แรงผลักจากด้านหลังนั้นไม่สามารถระบุตัวคนทำได้ เพราะในลิฟท์นั้นยังมีนักเรียนอยู่อีกหลายคน แบคฮยอนรีบกอบเอาของที่หล่นกระจายนั้นเข้าหาตัว ในเวลาที่ดูน่าสมเพชเช่นนี้ ไม่มีใรที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสักคน นักเรียนบางคนยืนมองนิ่งๆ บางคนยืนซุบซิบนินทา และที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือคนที่เดินผ่านและเหยียบของของเขาอย่างจงใจ
มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เคยดีกับเขา คนที่เคยแสดงตัวว่าเป็นเพื่อนกัน
ในที่สุดก็เก็บของจนหมดอย่างทุลักทุเล คนตัวเล็กจ้ำอ้าวไม่สนใจใครอีก เขาแค่อยากไปให้ถึงห้องเร็วๆก็เท่านั้น อย่างน้อยก็ไปให้พ้นของสายตาที่แสดงความเกลียดชังต่อเขา ไปให้พ้นจากเสียงซุบซิบที่ดังรบกวนประสาทหูของเขา
อึก!
นี่ไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้สักนิด
แบคฮยอนมองโต๊ะเรียนของตัวเองที่ถูกขีดเขียนด้วยปากเมจิกจนเละเทะ ข้อความที่อานแล้วแทบจะร้องไห้ออกมา นี่สินะคือสาเหตุที่ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ มือเรียวสวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพยายามที่จะเช็ดข้อความที่ถูกเขียนด้วยปากกาเมจิกออกไป แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล แม้จะออกแรงถูจนเจ็บมือไปหมด ก็ไม่สามารถลบออกไปได้ ขอบตาร้อนผ่าว พร้อมกับหยาดน้ำตาที่คลออยู่จนเอ่อเต็มสองตา เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นเบาๆจากเพื่อร่วมห้องหลายๆคน
ลบไม่ออก
ฮึก…
ข้อความพวกนี้ คำที่ถูกเขียนซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้งด้วยหลากหลายลายมือ
“ฆาตกร”
บยอนแบคฮยอนเคยคิดว่าบรรยากาศสังคมรังเกียจและการถูกกลั่นแกล้งกันในห้องเรียนนั้นแย่มากพอแล้ว แต่ตอนนี้เขาก้ได้รู้ว่ามีสิ่งที่แย่กว่า วิชาพละ เขาไม่ใช่คนแข็งแรงแต่ก้ไม่เคยเลี่ยงการเรียนพละ ไม่เคยคิดว่ามันแย่ ไม่เคยสักครั้งที่อยากจะโดดเรียน หากแต่เวลานี้ได้มาพบว่าเพื่อนร่วมห้องหลายคนนั้นต่างมองมาทางเขาอย่างไม่น่าไว้ใจ ในมือถือแร็กเกตและอีกข้างที่โยนลูกเทนนิสขึ้นลงเหมือนเตรียมพร้อมอะไรบางอย่าง
ไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิดเลยจริงๆ
ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันของแบคฮยอน เพราะทันทีที่อาจารย์ประจำวิชาเดินเลี่ยงออกไปแล้ว เพื่อนหลายคนที่คอยจ้องเขาอยู่ก็เริ่มพูดคุบกระซิบกระซาบนัดแนะกัน
“เล่นเทนนิสกันหน่อยสิคุณหนูบยอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
จากนั้นก็ลูกเทนนิสก็ถูกตีมาทางคนตัวเล็กด้วยวามแรงและเร็วจนกระแทกเข้ากับมือสวยที่กำไม้แร็กเกตเอาไว้ ความเจ็บปวดทำให้แบคฮยอนต้องปล่อยไม้แร็กเกตลง และทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้นสนามเมื่อมีลูกเทนนิสอีกหลายลูกถูกส่งมาหาเขาอย่างจงใจ เสียงหัวเราะและลูกกลมๆถูกส่งมาจากทุกทิศทางอย่างไร้ความปรานี
“พอแล้ว หยุดเถอะ เราเจ็บนะ อ๊ะ”
ไม่มีใครเมตตา บางคนเร่มเลิกใช้แร็กเกตตีส่งมาเปลี่ยนเป็นปาใส่ตรงๆอย่างไม่คิดปิดบังความตั้งใจ
“โอ๊ย เจ็บ หยุดนะ”
แม้จะร้องขอให้เห็นใจกันแต่ก็ไม่มีใครสนสักนิด ลูกเทนนิสหลายลูกยังคงทำหน้าที่สร้างความเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของแบคฮยอนอย่างต่อเนื่อง
คนตวเล็กนั่งขดตัวลงกับพื้น ยกมือขึ้นปิดบริเวณศีรษะเอาไว้ หลับตาแน่นดด้วยความกลัวและเสียใจ ไม่อยากรับรู้อะไรอีก ปล่อยให้ลูกเทนนิสเข้ามาปะทะร่างกายต่อไปโดยไม่คิดจะอ้อนวอนให้ใครหยุดอีก
“เฮ้ย!”เสียงใครบางคนดังขึ้นตามมาด้วยเสียงแตกตื่นของบรรดาเพื่อนร่วมห้องของแบคฮยอน
เมื่อรู้สึกได้ว่าไร้การโจมตีจากลูกกลมๆนั้นแล้ว คนตัวเล็กก็ค่อยๆลืมตาขึ้นดู ก่อนที่ภาพตรงหน้าที่ได้เห้นนั้นจะทำให้ตกใจจนตัวแข็งทื่อ
ร่างสูงของชานยอลกำลังนั่งครอมบนตัวของเพื่อนผุ้ชายคนหนึ่งและปล่อยหมัดใส่ไม่ยั้ง นักเรียนอีกคนพยายามจะดึงชานยอลออกไปนั่นยิ่งทำให้คนที่อารมณ์กำลังครุกรุ่นในตอนนี้ยิ่งเดือดดาล ร่างสูงละมือจากเพื่อนที่นอนเลือดกลบท่วมปากแล้วคว้าแร็กเกตบนพื้นขึ้นมาก่อนจะฟาดลงไปยังคนที่พยายามจะห้ามตนเอง
แบคฮยอนมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นกลัว เขาเคยคิดว่าชานยอลน่ากลัวที่สุดแล้วในห้องน้ำวันนั้น แต่เปล่าเลย นี่ต่างหาก ชานยอลกลายเป็นใครอีกคนที่แบคฮยอนไม่รู้จัก ชานยอลที่แสนเกรี้ยวกราด
ไม้แร็กเกตในมือแกร่งฟาดลงไปไม่ออมแรงจนคนถูกกระทำต้องลงไปนอนกองกับพื้น แต่ใช่ว่าชานยอลจะหยุด ร่างสูงตามไปใช้เท้ายกเหยียบที่หน้าของเพื่อนร่วมห้องที่ตอนนี้โลหิตสีแดงฉานไหลออกจากกลางศีรษะดูน่ากลัว
“อย่าแตะต้องแบคฮยอน”บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะกระทืบซ้ำลงไปบนใบหน้าที่บวมช้ำอีกหลายครั้งจนพอใจ
ชานยอลเดินตรงไปหาแบคฮยอนทันที เพื่อนในห้องหลายคนที่ก่อนหน้ากำลังสนุกสนานกับการใช้คนตัวเล็กเป็นเป้าซ้อมเทนนิสได้แต่ยืนตัวเกร็งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปช่วยสองคนที่โดนชานยอลระเบิดอารมณ์ใส่ ไม่กล้าจะขยับตัวเสียด้วยซ้ำ
ร่างสูงมองแบคฮยอนที่นั่งตัวสั่นอยู่ที่พื้น ยื่นมือเข้าไปเกลี่ยหยาดน้ำใสที่ไหลจากสองตาลงมาบนผิวแก้มขาวเนียนอย่างเบามือ ไล่สายตามองไปตามใบหน้าและร่างกายของคนตัวเล็กที่เต็มไปด้วยรอยช้ำแดงจากแรงอัดของลูกเทนนิส
ยิ่งเห็นยิ่งโมโห
โมโหตัวเองที่ปกป้องแบคฮยอนไม่ได้ โมโหที่มาช้า โมโหที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างในยามที่แบคฮยอนลำบาก
“ขอโทษนะ ขอโทษที่มาช้า”
“ฮึก…ชาน…”
“ไม่ร้องนะครับ เดี๋ยวเราจะพาไปห้องพยาบาลเน๊อะ”รอยยิ้มอ่อนโยนที่แบคฮยอนรู้สึกคุ้นเคยถูกส่งมาให้
แต่ไม่ใช่!
สิ่งที่แบคฮยอนเห็นก่อนหน้านี้บ่งบอกว่ารอยยิ้มนี่ไม่ใช่ชานยอล ไม่ใช่อีกแล้ว ภาพที่แสนโหดร้ายนั่นยังติดตาอยู่จนไม่สามารถทำใจให้ยื่นมือออกไปจับมือแกร่งนั้นได้อีกแล้ว เขารู้ว่าชานยอลช่วยเขาเอาไว้ แต่ที่ทำขนาดนั้นมันไม่มากไปหรือ ถ้าหากสองคนนั้นเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุเหมือนกรณีของเขากับคยองซู สิ่งที่ชานยอลทำคือทำร้ายร่างกาย และชานยอลที่เขารู้จักมาเป็นสิบๆปี ไม่ใช่คนที่จะทำร้ายคนอื่นได้ถึงขนาดนั้น
มือเรียวปัดมือของชานยอลออกไป มองดูข้อนิ้วที่มีรอยเลือดติดอยู่ก็ยิ่งรู้สึกกลัว ช้อนตาขึ้นมองก็พบว่าชานยอลกำลังขมวดคิ้วบ่งบอกได้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่เขาทำนัก
“เรา..เราจะไปเอง เราเจ็บแค่นิดเดียว ชานพาสองคนนั้นไปโรงพยาบาลเถอะ”
ทันทีที่บอกออกไป ชานยอลก็ส่งเสียงเฮอะในลำคอพลางกรอกสายตาอย่างระอา
“บยอนแบคฮยอนคนดี ฉันไม่ได้อัดมันเพื่อจะเป็นพลเมืองดีพามันไปหาหมอหรอกนะ คิดอะไรง่ายๆเป็นเด็ก เมื่อไรจะโตสักทีห๊ะ!!!”เสียงตะคอกทำเอาคนตัวเล็กตรงหน้าสะดุ้งตัวโยน ชานยอลมองอย่างกราดเกรี้ยว ก่อนจะกระชากแขนของแบคฮยอนให้ลุกขึ้นแล้วออกแรงลากให้เดินตามไป
“ชะ ชาน ชานยอล”แม้จะถูกลากไปอย่างไม่เต็มใจ แต่แบคฮยอนก็คิดว่าเวลานี้เขาไม่ควรทำให้ชานยอลโมโหอีก หลังจากที่เมื่อครู่เขาพยายามจะให้ชานยอลพาเพื่อนทั้งสองคนไปโรงพยาบาล แบคฮยอนก็ได้สัมผัสกับชานยอลในโหมดที่เคยคิดว่าไม่อยากจะเจออีกแล้วนับจากเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้น
เสียงเรียกแผ่วเบาของคนที่คิดว่าสำคัญที่สุดไม่อาจฉุดให้อารมณ์เย็นลงได้ ปาร์ชานยอลไม่เข้าใจ ทั้งๆที่สิ่งที่เขาทำนั้นก็เพื่อปกป้องแบคฮยอน แต่ทำไมคนตัวเล็กนี้กลับมีท่าทีต่อเขาราวกับเขาเป็นพวกอันธพาลที่ไม่ควรเข้าใกล้
“ชาน…”
“โธ่เว้ย! หยุดส่งเสียงน่ารำคาญแบบนี้สักทีจะได้มั้ยวะ!”
เป็นชานยอลที่หันไปตะคอกใส่แบคอยอนอีกครั้ง ร่างเล็กมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก อีกครั้งที่ชานยอลกำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าระยะเวลาหลายปีที่เติบโตมาด้วยกันนั้น เขาแทบไม่รู้จักอีกคนเลย
ร่างสูงชะงักไปเมื่อเห็นสายตาของคนตรงหน้า พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะคว้าแบคอยอนเข้ามากอดแนบอก แม้คนถูกกอดจะไม่ได้ออกแรงดิ้น แต่ชานยอลกกระชับอ้อมกอดแน่นราวกับกลัวว่าอีกคนจะหายไปหากเขากอดเอาไว้ไม่แน่นพอ
“ขอโทษ ขอโทษแบคฮยอน เราแค่โมโห เราขอโทษ ขอโทษนะครับ ขอโทษ ขอโทษ”
แบคฮยอนฟังเสียงทุ้มที่เอ่ยคำขอโทษออกมามากมายจนนับไม่ได้ ความมึนงงต่อเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นกำลังดึงสติสัมปชัญญะของเขาให้หายไปช้าๆ สุดท้ายเสียงพร่ำเอ่ยขอโทษนั้นก็กลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่ พร้อมกับสติของคนตัวเล็กที่ดับวูบลงไปในอ้อมอกของชานยอลเช่นกัน
.
.
.
แม้อาการเจ็บร้าวตามร่างกายนั้นจะทุเลาลงแล้ว แต่คิมจงอินก็ยังคงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่บ้านของมินซอกให้เกรงอกเกรงใจเป็นบุญคุณ เพราะแขนกับหลังที่เจ็บหนักกว่าส่วนอื่นนั้นยังคงไม่หายดี ครอบครัวนี้นอกจากจะช่ำชองเรื่องศิลปะการต่อสู้แล้ว เรื่องการแพทย์แผนโบราณก็ดูจะมีความรู้กันอยู่ไม่น้อย คุณหนูของบ้านยังยืนยันเองเลยว่า อาการของเขานั้น แม่ของเจ้าตัวรักษาให้ได้สบายๆ เพราะลูกศิษย์บางคนแค่ซ้อมกันเล่นๆยังเจ็บหนักกว่าเขาเสียอีก เอิ่ม ขอโทษเถอะครับ จะโหดสัสไปไหน
ร่างสูงรู้สึกตัวอยู่สักพักแล้ว แต่ตามันไม่พร้อมจะลืมมาสู้แสงเวลานี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่บ้านคนอื่น เขาจะเนียนขี้เกียจแกล้งหลับยาวไปถึงเที่ยง บอกเลยว่าปกติแล้วถ้าไม่ใช่วันทำงานพิเศษ ชีวิตคิมจงอินก็มีแค่เรียนแล้วก็หลับนั่นแหละครับคุณ
“พี่จงอินยังไม่ตื่นเลย เราควรกลับไปเรียนก่อนมั้ย”
เสียงใคร? มันคุ้นๆ
“โดดมาแล้วก็รอก่อนสิ เดี๋ยวก็ตื่นแล้วล่ะ”
อ่า อันนี้เสียงมินซอก เขาได้ยินมาสองวันล่ะ จำได้ แต่ว่านะ เสียงคนก่อนหน้านี่มัน…
“งื้อออ พี่จงอินอ่า ตื่นสิครับ”
ชัด! ชัดเลย
ดวงตาที่แกล้งทำเป็นหลับสนิทเบิกโพลงขึ้นมาทันทีที่มั่นใจว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร หันไปทางขวาก็เห็นว่านตัวขาวนั่งจ้องเข้าอยู่ไม่ละสบาย ดวงตาสุกใสเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มที่เขาคิดว่ามันแสนงดงามนั้นประดับบนใบหน้าสวยชวนมอง
“สโนว์ไวท์!”สโนว์ไวท์ของเขา สโนว์ไวท์ของคิมจงอิน
“พี่จงอิน ตื่นแล้วหรอครับ”จุนมยอนเอ่ยออกมาอย่างดีใจ จนมินซอกที่ยืนอยู่อีกมุมของห้องรีบหันมาดู
“นอนกินบ้านกินเมืองเลยอ่ะครับพี่ ฮ่า ฮ่า เดี๋ยวผมไปตามม๊ามาดูอาการพี่นะ คุยกับจุนมยอนไปก่อนนะ นี่ คิดถึงพี่จนยอมโดดเรียนมาเลยแหละ”
“มินซอก!”คนตัวขาวค้อนขวับใส่เพื่อนทันที แต่มินซอกก้ไม่ได้สนใจนัก พาตัวเองออกไปตามแม่มาดูอาการของจงอินตามที่บอกจริงๆ
ส่วนคนที่นอนอยู่นั้นก็เอาแต่จ้องหน้าจุนมยอนจนคนที่เป็นเป้าสายตาเริ่มเขินนิดๆ ใบหน้าขาวสว่างนั้นขึ้นสีระเรื่อน่ารักชวนมอง
“คือ…สภาพพี่ดูไม่ได้เลยเน๊อะ อายจัง”จงอินส่งยิ้มแหยไปให้ ประโยคที่ฟังดูน่าสงสารกรายๆนั่น ทำให้จุนมยอนต้องรีบส่ายหน้าพัลวัน เพราะไม่อยากให้อีกคนคิดว่าเขารู้สึกสงสารหรืออะไร
“ไม่เลยครับ คุณป๊าของมินซอกพูดเสมอว่า ลูกผู้ชายจะดูเท่ที่สุด ตอนที่ร่างกายบาดเจ็บจากการต่อสู้ แล้วก็จะดูหล่อที่สุดตอนที่หน้าเป็นแผล”พูดเองก็ยังอยากจะขำออกมา ประโยคที่ได้ยินมานี้ ทุกวันนี้จุนมยอนเองก็ยังไม่เข้าใจว่าลีจงซอกใช้ตรรกะอะไรในการตัดสิน
“โห งั้นพี่ก็ทั้งหล่อทั้งเท่สุดๆเลย ดูหน้าสิ เฮ้อ ไปทำงานก็ไม่ได้”
“ครับ”
“ไม่ได้โทรหาด้วย”
“ครับ ใช่” จุนมยอนไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเขารอโทรศัพท์จากจงอินมาสองวันแล้ว ปกติรุ่นพี่ผิวคล้ำคนนี้จะคอยเทียวโทรมาหยอดมุขเสียวๆให้เขาได้อารมณ์ดีทุกวัน พอหายไปสองวันอย่างไม่รู้สาเหตุแบบนี้ก็อดคิดถึงไม่ได้
“คิดถึงมากเลย”
“……..ครับ”เหมือนกัน ก็ได้แต่รับคำออกไปอย่างสุภาพเท่านั้น คำว่าเหมือนกันก็ฟังดูง่าย แค่พูดออกไปก็จบ แต่ทำไมคิมจุนมยอนถึงมาแอบพูดในใจนเดียวแบบนี้
ไม่มีความกล้าเอาซะเลย
ดูเหมือนจะหมดเรื่องคุยกันไปเสียเฉยๆ เมื่อไม่ว่าจงอินจะส่งคำถามอะไรไป จุนมยอนก็จะตอบกลับมาแค่ ครับ เท่านั้น ห้องทั้งห้องก็ดูจะเข้าสู่ความเงียบ จงอินไม่คิดว่าตอนเจอหน้ากันจะมีเรื่องให้คุยกันน้อยนิดแค่นี้ ทั้งๆที่เวลาโทรหาช่วงว่าง ดูเหมือนพวกเขาจะคุยกันเยอะกว่านี้มากนัก สรรค์หาเรื่องมาเป็นประเด็นอยู่ตลอดไม่ขาดบทสนทนา เอาจริงๆว่าเวลาอยู่ต่อหน้ามันก็ชวนให้ขัดเขินไม่น้อย อย่าว่าแต่จุนมยอนที่ไม่รู้จะตอบอะไร เพราะต่อให้ฝ่ายนั้นตอบอะไรยาวเป็นกิโลออกมา เขาก็ไม่รู้จะตั้งคำถามอะไรชวนสร้างสรรค์ไปเป็นหัวข้อสนทนา
สุดท้ายก็แค่มองหน้ากันไปมาท่ามกลางความเงียบ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้มินซอกที่ออกไปตามแม่ของเจ้าตัวนั้นรีบกลับมาเสียที อย่างน้อยก็จะได้ช่วยทำลายบรรยากาศชวนให้ขวยเขินปนอึดอัดนี้เสียที คิมจงอินได้แต่ถอนใจยาวๆเพราะความไม่เอาไหนของตัวเอง ส่วนจุนมยอนก็กำลังทุบตีตัวเองอยู่ในความคิด
ดิ้นรนมาหาเขาถึงที่ ดันพูดเป็นแต่คำว่า ครับ ท่าทางพี่จงอินคงจะเคืองไม่น้อย โธ่ คิมจุนมยอนคนโง่ เรามันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย บางทีก็อยากจะถามมินซอกเหมือนกันว่าทำอย่างไรถึงจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายและรวดเร็วเหมือนเจ้าตัว เขาดูถือตัวเกินไปหรือเปล่า ตึงเกินไปมั้ย เขาควรจะหย่อนสักหน่อย ทำตัวสบายๆ เล่นมุขตลก หรือกล้ากว่านี้ จะทำไงดีล่ะเนี่ย จะร้องไห้แล้วนะ
“โอ๊ย!”
“โอ๊ะ โอ๊ะ ใจเย็น จุนมยอนใจเย็น เป็นอะไรไป เจ็บอะไรตรงไหรรึเปล่า”จงอินผงะหนีไปเล็กน้อยเมื่ออยู่ดีๆสโนว์ไวท์แสนน่ารักก็แหกปากขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ
“อ่า ทะ ทะ โทษทีครับ ผม คือ… ไม่มีอะไร”จุนมยอนส่งยิ้มแหยๆไปให้จงอินที่ดูท่าจะงุนงงอยู่ไม่น้อยกับอารมณ์หลุดๆของเขา
กล้าๆหน่อยคิมจุนมยอน กล้าๆหน่อย
“คือ…”
“ครับ?”จงอินเลิกคิ้วสูงเมื่อดูท่าทางแล้วคุณหนูตัวขาวมีบางอย่างที่ต้องการบอก
“ผมคิดถึงพี่ คือ! คือว่า คิดถึงมุขตลกของพี่น่ะครับ”
จุนมยอนคนโง่!
“อ่า คิดถึงแต่มุขหรอครับ คนเล่นมุขไม่คิดถึงหรอ” เมื่อได้ที คิมจงอินต้องจัดให้หนัก เขาคิดว่าเขาไม่ใช่พวกชอบเข้าขางตัวเอง ชอบมโนไปเอง แต่ครั้งนี้มั่นใจเหลือเกินว่าจุนมยอนกำลังหมายถึงว่าคิดถึงคิมจงอินคนนี้แน่นอน ก็แหงล่ะ หน้าแดงไปถึงหู เดาว่าเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าใบหน้าขาวใสนั้นเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
จงอินยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะเขยิบเข้าไปหาขอบเตียงเพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงนั้น จุนมยอนที่เห็นว่าคนป่วยกำลังพยายามพาตัวเข้ามาใกล้ก็รีบแสร้งหันไปสนใจสิ่งรอบตัวแทน
ถ้าใกล้ขนาดนี้แล้วให้มองหน้าตรงๆ คิมจุนมยอนต้องเป็นลมไปตรงนี้แน่นอน เมื่อรู้สึกว่าเข่าของอีกคนมาเบียดชิดก็แอบชำเลืองมอง แต่ดูเหมือนนตัวขาวจะพลาดไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่เห็นสายตาของจงอินที่จงมาในระยะใกล้ชิด จุนมยอนก็ทำอะไรไม่ถูก ปกติเขาจะเห็นจงอินจะดูสนใส สนุกสนาน แววตาดูขี้เล่นซุกซน แต่ตอนนี้…
“พี่…เหมือนหมาป่าเลยตอนนี้”เอ่ยเสียงแผ่วๆอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ฮึ งั้นจุนมยอนก็เลิกเป็นสโนว์ไวท์แล้วมาเป็นหนูน้อยหมวกแดงให้พี่แทน ดีมั้ยครับ”คิมจงอินกำลังจะแสดงให้คุณหนูที่แสนน่ารักได้รู้จักกับคำว่าปากว่ามือถึงของจริง เพราะทันทีที่เอ่ยถามไปก็ไม่ได้รอคำตอบแต่อย่างใด ใบหน้าเจ้าเล่ห์โน้มไปหาคนที่นั่งหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกฉ่ำน่าลิ้มลอง
ริม ฝีปากขอคนตัวสูงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำเอาก้อนเนื้อในอกของคิมจุนมยอนเต้น แรงเสียจนแทบจะระเบิดออกมา สายตาที่มองสบกันชวนให้ยิ่งเขินอาย เมื่อสุดท้ายแล้วริมฝีปากเข้ามาชิดจนแทบไร้ช่องว่าง ดวงตาสุกใสของคนตัวขาวก็ปิดลงแน่นทันที คุณหนูจุนมยอนนิ่งรอรับสัมผัสด้วยริมฝีปากที่ไม่มีใครเคยได้ครอบครอง ใจเต้นระทึกด้วยความไม่เคย ริมฝีปากเผยอออกพองามเพื่อให้จงอินได้แตะต้องมันเป็นคนแรก
จุ๊บ
สัมผัส แผ่วเบาที่แก้มนุ่มทำเอาคนที่เตรียมตัวเตรียมใจอย่างเต็มที่อย่างจุนมยอน ต้องลืมตามองว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์ที่ควรจะเกิดแต่ดันไม่เกิด จงอินมองคนที่ทำหน้างงอยู่ตรงหน้าอย่างเอ็นดู เอาจริงก็อยากจูบนะ แต่เห็นแก้มแดงๆแล้วมันอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้
มือขาวยกขึ้นมาจับทับสัมผัสของจงอินที่แก้มเนียนของตน สมองกำลังประมวลผลเหตุกาณณ์ก่อนหน้า ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ใบหน้าที่แดงซ่านอยู่แล้วยิ่งเห่อร้อนให้หนักเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าเขินที่ถูกจุ๊บแก้ม แต่อายที่ตัวเองดันคิดไปว่าจะโดนอีกฝ่ายจูบเสียนี่
จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะคิมจุนมยอน
“ฮึ ฮึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”จงอินระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า แขนข้างที่ไม่บาดเจ็บเอี้ยวไปซ้อนหลังตัวเองเอาไว้ เพราะยิ่งหัวเราะมากก็เจ็บร้าวไปทั้งหลัง แต่จะให้หยุด บอกเลยว่ายาก
จุนมยอนมองจงอินที่กำลังหัวร่ององหงายตัวเองอยู่ก็คิ้วกระตุกขึ้นมา ริมฝีปากสวยเม้มแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ หัวเราะอยู่ได้คนบ้า
นี่คุณหนูจุนจะโกรธแล้วนะ!
“พี่จงอิน…”ไม่ใช่การตวาด ไม่ใช่การตะคอก ไม่ขึ้นเสียง ไม่ใส่อารมณ์ลงไปในน้ำเสียง เอ่ยเรียกไปเรียบๆให้อีกคนพอรู้สึกตัว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”แต่คิมจงอินยังไม่หยุด
“คิมจงอิน…”
“ฮ่า ฮ่า ฮึบ”โดนเรียกแบบมาเต็มทั้งชื่อสกุลให้เกียรติวงศ์ตระกูลขนาดนี้ ขอเดาว่าสโนว์ไวท์ของเขากำลังเคืองแหงๆ จงอินที่หัวเราะค้างเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆอย่างสำนึกผิด
จุนมยอนเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ใช่ว่าจะโกรธเคืองอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ที่ต้องหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากให้จงอินเห็นว่าเขากำลังแอบยิ้มอยู่ ถ้ารู้ว่าเขาหายโกรธง่ายๆแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้เอาเรื่องนี้มาล้อกันอีกแน่นอน
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องอีกครั้ง แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกอึดอัดเหมือนก่อนหน้า เวลานี้ความเงียบเป็นเหมือนเกมส์จ้องตาก็ไม่ปาน เงียบแข่งกันไปจนกว่าจะมีใครหลุดออกมาก่อนนั้นเอง
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เด็กๆ”
ยังไม่ทันได้ตัดสินหาผู้แพ้ผู้ชนะ เสียงเรียกจากหน้าห้องก็ขัดขึ้นเสียก่อน หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาข้างในพร้อมส่งยิ้มอย่างใจดีมาให้ ซงเฉียนเดินเข้ามาใกล้ๆเตียงเพื่อตรวจดูอาการให้จงอิน ส่วนมินซอกที่เดินตามมาก็เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆรอบๆตัวของคนสองคนที่อยู่ด้วยกันลำพังในห้องก่อนหน้านี้ เหลือบมองจุนมยอนและจงอินที่ทำท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น น่าสงสัยสุดๆเลย
“ลุกขึ้นนั่งแบบนี้เดี๋ยวก็เจ็บอีกหรอกน่ะเรา”
“ขอโทษครับคุณน้า พอดีผมรู้สึกเมื่อยๆน่ะครับ”จงอินตอบหลังจากที่ประคองตัวเองให้นอนลงอย่างเดิมเรียบร้อยแล้ว
มินซอกเดินไปหาจุนมยอนที่กำลังตั้งใจนั่งดู วิธีบำบัดอาการบาดเจ็บของจงอินอย่างตั้งใจ สะกิดที่ไหล่เบาๆพอให้รู้สึกตัวก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณเชิญชวนให้กลับไปที่โรงเรียนด้วยกัน เมื่อ ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปเรียนช่วงบ่ายให้ทัน จุนมยอนก้มดูเวลาจากนาฬิกาเรือนสวยที่ข้อมือก็พบว่ามันเป็นเวลาเกือบเที่ยง แล้ว หากไปรีบออกไปตอนนี้จะไม่ทันเข้าเรียนช่วงบ่ายแน่นอน
“พวก ผมไปเรียนก่อนนะม๊า”มินซอกบอกกับผู้เป็นมารดาที่กำลังดูอาการของจงอินอยู่ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางทิ้งไว้ที่โซฟาตรงมุมห้อง
“จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก”ซงเฉียนอวยพรเด็กทั้งสองตามสมควรพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้
“ลานะครับคุณน้า”จุนมยอนเอ่ยลาผู้ใหญ่หนึ่งดียวในห้อง ก่อนจะหันไปมองจงอินที่ส่งสายตาอ้อนๆมาให้ เห็นแล้วทำให้คุณหนูจุนต้องยิ้มออกมา ท่าทางเหมือนเด็กๆที่กำลังเหงาเพราะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวนั้น มันดูไม่เข้ากับร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงเท่าไร แต่จุนมยอนก็คิดว่าอย่างไรแล้วมันก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
“ผมจะมาเยี่ยมอีกนะครับ”คนตัวขาวก้มลงไปกระซิบบอกเบาๆแล้วรีบผละออกมาอย่างเขินอาย เพราะในห้องนี้มีทั้งมินซอกและน้าซงเฉียนอยู่ด้วย แต่เขาก็กล้าทำเช่นนี้ออกไป
ตอนนี้แม้จะฟินสุดๆแต่คิมจงอินก็แอบสงสัยไม่ได้ว่า จากคุณหนูที่แสนขี้อายนั้น จุนมยอนดูจะกล้ามากขึ้นหรือเปล่า นี่ความหน้าด้านของเขามันออสโมซิสผ่านคลื่นโทรศัพท์ไปถึงคนตัวขาวนี่ด้วยหรืออย่างไร แต่แบบนี้ก็ดี เพราะคนได้กำไรก็ไม่ใช่ใครนอกจากคิมจงอินคนนี้ล่ะนะ
มินซอกคอยชำเลืองมองเพื่อนตัวขาวที่กำลังเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ เพี้ยนไปแล้วแน่ๆคุณหนูจุน แปลกเกินไปนะแบบนี้ แค่ไปสนิทกับพี่จงอินโดยไม่บอกเพื่อนบอกฝูงก็คดีนึงแล้ว ก่อนหน้านี้ยังไปทำท่ากระซิบกระซาบกินหูกันอีก ต้องมีอะไรในกอไผ่แหงแซะ
“จุนมยอน”
“หืม?”
“ชอบพี่จงอินหรอ”
อึก! แทบจะสำนักน้ำลายทันทีที่ได้ยินคำถาม เท้าทั้งสองคู่หยุดชะงักอยู่กับที่ ใบหน้าน่ารักของทั้งคู่ก็จ้องกันนิ่งๆ ความเงียบปกคลุมราวกับจะกดดัน คนนึงรอคำตอบ ส่วนอีกคนก็กำลังคิด
ชอบงั้นหรือ?
“ถ้าชอบมันจะเป็นแบบไหนล่ะ”เพราะไม่เคยสนใจเรื่องของความรัก จุนมยอนจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าชอบได้หรือยัง
ตอนนี้กลายเป็นมินซอกเสียเองที่เงียบไป อย่าว่าแต่จุนมยอน ตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้ว่า การชอบใครสักคนนั้นมันเป็นอย่างไร บางที เขาควรลองถามเอาจากคนที่พอรู้ดีมั้ยนะ ชานยอลหรือแบคฮยอนจะรู้หรือเปล่า
พูดถึงแบคฮยอน รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“มินซอกเหม่ออะไรน่ะ”
“เราเป็นห่วงแบคฮยอนน่ะ รีบไปกันเถอะ”
TBC.
#ฟิคสีแดง
ปล.เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ
ความคิดเห็น