คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : RED 17
RED 17
ใจเต้นแรง ขาสั่น เหงื่อซึม คล้ายว่าจะตกหลุมรัก หากแต่เวลานี้คิมจงอินไม่ได้กำลังตกหลุมรักอะไรทั้งสิ้น เขาตกหลุมรักกับสโนว์ไวท์ของเขาไปแล้ว ตอนนี้ที่เผชิญอยู่ คือความตื่นเต้นระดับแม็กซ์ ตื่นเต้นที่มาพบกับคุณว่าที่พ่อตาแบบตัวต่อตัว
เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างที่คิมจงอินคนนี้กำลังจะเดินทางไปโรงเรียนตามประสาคนรักอนาคตนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อนและชื่อที่ปรากฏก็คือ คิมจุนโฮ บร๊ะสงฆ์! ว่าที่พ่อตาโทรหาแต่เช้าตรู่ หลังจากรับสายก็ได้ความว่านายแบงก์นั้นต้องการพบเขาในเช้าวันนี้ จึงเป็นเหตุให้คิมจงอินต้องมานั่งต่อสู้กับตะคริวอยู่ในห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการใหญ่ในเวลานี้
เด็กหนุ่มนั่งรออยู่ตรงโซฟาพักผ่อนตั้งแต่ราวๆครึ่งชั่วโมงก่อน เพราะคนที่โทรเรียกเจ้าตัวมาอย่างคิมจุนโฮนั้นยังไม่มีท่าทีว่าจะว่างเว้นจากสายโทรศัพท์ที่ถูกโอนเข้ามาไม่หยุดหย่อน งานหนักแท้ครับ
“ขอโทษที ให้รอนานเลย”หลังจากเคลียร์สายต่างๆแล้วคิมจุนซูก็หันไปทักทายเด็กชายที่ตนเองเรียกมาพบ
“ไม่นานหรอกครับ ผมเองก็นั่งเฉยๆ”
“ดี ดี มานั่งตรงนี้มา ลุงมีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”
จงอินลุกจากโซฟาที่ค่อนข้างจะทิ้งระยะห่างจากคู่สนทนาอยู่ไม่น้อย สองขาก้าวอย่างเกรงๆไปที่เก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามกับคิมจุนโฮ นายแบงก์หยิบซองเอกสารจากลิ้นชักออกมาก่อนจะวางลงบนโต๊ะ ส่งยิ้มเอ็นดูให้เด็กหนุ่มที่ยังดูเกร็งๆอยู่
“เราใกล้จะจบมอหกแล้วใช่มั้ย”จุนโฮเปิดประเด็นทันที
“ครับ อีกสามเดือน”
“อืม แล้ว ได้คิดไว้รึยังว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหน”
“คือ….”จะให้ตอบออกไปอย่างไรว่า อ่อ ไม่เรียนแล้วครับ พูดแบบนั้นมีหวังโดนยึดลูกชายคืนแน่ แต่ก็นะ เอาจริงๆเขาก็ไม่คิดจะเรียนต่อแล้ว ตั้งใจจะทำงานเก็บเงินอย่างเดียวเท่านั้น ค่าเทอมมหาวิทยาลัยนั่นแพงแสนแพง จะเอาปัญญาที่ไหนไปส่งตัวเองเรียน ทำงานหามรุ่งหามค่ำก็ไม่รู้จะพอหรือเปล่า ครั้นจะไปสอบแข่งเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐก็ดันโง่เกินบรรยาย แล้วงี้จะไปเรียนได้ยังไงกัน
“ไม่ต้องเครียด ลุงแค่ลองถามดู ที่จริงลุงอยากจะขอบคุณเรามากนะ ตอนนี้จุนมยอนดูเป็นผู้ใหญ่มาก จากที่ทำอะไรไม่เป็น กลัวการเข้าสังคม เพื่อนน้อย ขี้อาย แต่ตอนนี้กลับออกไปทำงานพิเศษ ไปเจอสังคมข้างนอก สดใสขึ้นเยอะ”
“ผมยินดีครับ ผมเองก็ดีใจที่จุนมยอนน่าเริงแบบนี้”
“ใช่ ใช่ อ่า แล้วจุนมยอนยังเล่าอีกว่าที่เราเลือกทำงานร้านอาหารอิตาเลี่ยนเพราะอยากเป็นเชฟงั้นหรอ”
“ครับ ผมชอบทำอาหารน่ะครับ”
“ถ้าได้มีร้านเป็นของตัวเองก็คงจะดีล่ะนะ”
“ครับ”สิ่งที่คิมจุนโฮพูดนั้นมันคือความใฝ่ฝันของจงอิน เด็กหนุ่มผู้ปรารถนาจะมีร้านอาหารที่มีครัวกว้างๆไว้ให้ทำอาหารได้อย่างสมใจ เพราะโลกแห่งความจริงนั่นคือหอพักแคบๆที่เขาอาศัยอยู่มันไม่มีแม้กระทั่งห้องครัวด้วยซ้ำ
“เรารักจุนมยอนจริงๆใช่มั้ย”
“รักครับ”
“แล้วคิดว่าจะดูแลลูกลุงยังไงทั้งๆที่ตัวเองไม่มีอนาคตอะไรรออยู่เลยแบบนี้”
“…….”เด็กหนุ่มได้แต่ก้มหน้านิ่ง คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องเป็นแบนี้ แต่จะโทษใครได้ จะเอาอะไรไปดูแลดอกฟ้าทั้งๆที่ตัวเองเป็นแค่หมาวัด
“พอจะเข้าใจใช่มั้ยว่าแค่ความรักมันไม่เพียงพอที่จะทำให้คนสองคนได้อยู่ด้วยกัน อนาคตของจงอินก็จะเป็นอนาคตของจุนมยอนเหมือนกัน”
“……”
“ลองไปตัดสินใจดูนะ”จุนโฮบอกพลางเลื่อนซองเอกสารมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม จงอินมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็รับซองนั้นไปแล้วเปิดดู
ในหัวของคิมจงอินเต็มไปด้วยพล็อตนิยายน้ำเน่าที่นางเอกผู้แสนอาภัพต้องถูกกีดกันจากครอบครัวของชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม ในซองนี้บางทีอาจเป็นเงินจำนวนหนึ่งหรือเช็คสักใบเพื่อจ้างให้เขาออกไปจากชีวิตของคุณหนูจุน แต่…ซองนี่ดูใหญเกินไป มันอาจจะเป็นโฉนดที่ดิน อ่า…ร้านอาหาร ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ คิมจุนโฮถึงได้เรียกเขามาคุยเรื่องร้านอาหาร
คิดไปต่างๆนาๆจนกระทั้งหยิบกระดาษด้านในออกมาดู จงอินถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่สักอย่างที่เขาคิด มีเอกสารสองสามแผ่นที่ไม่ใช่ภาษาเกาหลี แผ่นหนึ่งดูคล้ายๆใบกรอกประวัติ ส่วนที่เหลือ.....
อ่านไม่ออกครับ
“มันคืออะไรหรือครับ”ตัดสินใจเอ่ยถามคนที่นั่งยิ้มอยู่ตรงกันข้าม
“เอกสารสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยหลักสูตรการทำอาหารน่ะ ทุนร้อยเปอร์เซ็นต์ สนับสนุนโดยกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารQ นายคิมจุนโฮ”
“อะ อะไร นะครับ”
“เราเป็นเด็กมีความตั้ใจและความพยายาม แต่บางครั้งโอกาสมันก็หาไม่ได้ง่ายๆ ลุงเลยคิดว่าควรจะยื่นมันให้กับเราซะเอง อีกอย่าง…อนาคตของเราจะเป็นอนาคตของจุนมอนด้วย”จุนโฮย้ำประโยคที่พูดไปก่อนหน้านี้ไม่นานอีกครั้งเพื่อให้จงอินเข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ผมขอบคุณคุณลุงจริงๆครับ ผมไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณคุณลุงได้ยังไงไหว”
“ไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ดูแลจุนมยอนได้ดีหลังจากกลับมาแล้วก็พอ”
“ครับ? กลับมา? กลับจากไหนหรือครับ”
“เรียนต่อไง มหาวิทยาลัยนั่นอยู่ที่ฟิเรนเซ่”
!!!
ช็อค คิมจงอินช็อคไปแล้ว นี่เขาต้องไปเรียนไกลถึงอิตาลีเชียวหรือ แล้ว แล้วจะไปยังไง จะเรียนยังไง อยู่ยังไง กินยังไง พระเจ้า! นี่คิมจงอินจะเอาชีวิตรอดได้ยังไงในอิตาลี!!!
“ช่วงนี้ยังไงก็เลิกทำงานพิเศษก่อนนะ ลุงอยากให้เราแบ่งเวลาสำหรับเรียนภาษาช่วงเย็น ยังไงก็ควรมีพื้นฐานไปบ้าง แล้วลุงก็อยากให้เราคุยเรื่อองนี้กับจุนมยอนเอง บอกว่าได้ทุนจากโรงเรียนก็แล้วกัน”
“……..”คิมจงอินยังช็อคอยู่
“วันนี้ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์ทิ้งคาบเรียนมาคุยกับคนแก่แบบนี้ เรารีบกลับไปเรียนเถอะ”
“ครับ”จงอินลุกจากเก้าอี้พร้อมถือซองเอกสารเอาไว้แน่น เดินมึนๆงงๆออกไปจากห้องอย่างไร้สติ อิตาลี คิมจงอินต้องไปอิตาลี
ร่างโปร่งยืนพิงกำแพงอิฐของโรงเรียนไฮโซสุดหรูหรา สูดหายใจเข้าออกทำสมาธิ รวมรวมคำพูดทั้งหมดทั้งมวลที่คิดว่าเหมาะสมสำหรับใช้บอกเรื่องสำคัญกับคนที่ตนกำลังรออยู่
พี่จะบอกเรายังไงดีนะจุนมยอน
รถหรูมากมายจอดเรียงรายกับรอรับบรรดาลูกหลานคนมีเงินทั้งหลายกลับไปยังเคหะสถานของตน บางคนห้องน้ำที่บ้านยังใหญ่กว่าหอพักของคิมจงอินด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าคนไม่มีอะไรอย่างเขาจะมาคว้าเอาดอกฟ้าจากที่นี่ไปเป็นแฟนได้ จะเรียกว่าโชคดีได้มั้ยนะ
“พี่จงอิน เหม่ออะไรครับ”คนตัวเล็กยืนอยู่ตรงหน้าคนที่ยืนเหม่อลอยก่อนจะยกมือโบกไปมาเพื่อเรียกสติให้อีกคน
“อ้าว มาแล้วหรอ”
“ไปกันครับ”จุนมยอนจับมือหนาแล้วออกแรงลากให้อีกฝ่ายเดินตามมา เพื่อไปยังร้านพิซซ่าที่ทั้งคู่ทำงานพาร์ทไทม์อยู่
“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่ลาให้แล้ว คือ….มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
จุนมยอนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินว่าจงอินมีเรื่องที่ต้องการจะคุยกับตนเอง ปกติไม่เคยเห็นท่าทางจริงจังเช่นนี้ สงสัยว่าเรื่องที่จะพูดคงเป็นเรื่องซีเรียสอยู่พอตัว เดินจูงมือกันมาช้าๆตามทางเพื่อไปให้ถึงถนนใหญ่ จงอินยังคงเงียบอยู่ตลอดทาง ไม่มีมุกตลกที่คอยส่งให้คนตัวเล็กได้ขำขันอย่างเช่นเคย ซ้ำยังได้ยินเสียงถอนใจเบาๆอยู่เป็นระยะ
“อีกสามดือนพี่จะจบมอหกแล้วนะ”จงอินตัดสินใจเปิดประเด็น
“ครับ”
“พี่…เรื่องเรียนต่อน่ะ พี่ คือได้ทุนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”
“หืม? จริงหรอ พี่จงอิน! ดีจังเลย!!!”จุนมยอนหยุดเดินก่อนจะเขยื่ออีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น น้ำเสียงแสดงความดีใจเสียยิ่งกว่าคนที่ได้รับทุนเสียอีก มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนคนมองใจเต้นแรง แล้วแบบนี้จงอินจะทำใจอย่างไรเมื่อต้องห่างจากจุนมยอน
“อืม แต่ว่าที่พี่จะบอกเราคือ…พี่ต้องไปเรียนไกลเลยนะ”เสียงอ่อยลงอย่างรู้สึกได้
“พี่ต้องไปเรียนต่างจังหวัดหรอ”คนตัวเล็กถามหน้าเจื่อน มือขาวบีบมืออีกฝ่ายแน่น เขาไม่อยากห่างจงอินเลยจริงๆ
“เปล่า”
“………”
“คือ…”
“คือ?”
“พี่ต้องไปเรียนต่อที่ฟลอเรนซ์”
!!!
จุนมยอนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ใบหน้าหวานก้มลงจนแทบจะชิดกับอก ริมฝีปากเม้มแน่น ราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ใจที่เคยเต้นระรัวทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นแผ่วลงจนแทบหยุดเต้น แค่คิดว่าไปต่างจังหวัดยังใจเสียแทบตาย แต่นี่ไปต่างประเทศเชียวนะ มันไม่ไกลเกินไปหน่อยหรอ
“อิตาลีเลยหรอ ผม ผมจะทำยังไงดี พี่จะทิ้งผมไปอิตาลีงั้นหรอ”
“จุนมยอนอ่า พี่ไม่ได้ทิ้งนะครับ พี่แค่ไปเรียนเอง หลักสูตรสั้นๆ ปีสองปีก็กลับแล้ว”จงอินที่เห็นว่าคนตัวเล็กเล็กเริ่มเบะปากออกเตรียมร้องไห้ก็เข้ามากอดไม่แคร์สายตาผู้คนและรถราที่ผ่านไปมา
“ตั้งสองปีแหน่ะ ฮึก ให้ผมไปด้วยได้มั้ย ผมจะขอพ่อไปเรียนต่อกับพี่นะ ไปด้วยกันนะ ฮืออออออ”
“อย่าร้องไห้จุนมยอน ไม่เอาไม่งอแงนะ”มือหนาลืบกลุ่มผมนุ่มปลอบเด็กน้อยในอ้อมกอด เขาไม่อยากให้จุนมยอนร้องไห้ หากแต่ก็คงจะตามใจคนตัวเล็กไม่ได้ แน่นอนว่าคุณคิมจุนโฮต้องไม่ปล่อยลูกชายตัวเล็กนี้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาแน่ๆ
“ฮือออออออออ”
“เราไปกับพี่ไม่ได้หรอก แต่พี่สัญญาว่าจะไปกลับมา สองปีมันแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเองถ้าเทียบกับช่วงเวลาหลังจากนั้น ช่วงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต รอพี่อยู่ที่นี่นะครับ พี่รักจุนมยอนนะรู้ใช่มั้ย”
“ฮึก ฮึก ผม ฮือออ ฮึก ก็รักพี่ ฮืออออ”แขนเรียวกอดจงอินเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“มีเวลาอีกสามเดือน จากนี้เรามาทำให้มันมีความหมายที่สุดเถอะนะ”
ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาทำมันลงไปแล้ว คิมจงอินและคิมจุนมยอนกำลังอยู่บนรถไฟมุ่งหน้าไปซ็อกโช หลังจากที่คุยกันจนเข้าใจ อยู่ดีๆจุนมยอนก็นึกอยากไปทะเลขึ้นมาและจงอินผู้แสนตามใจก็ตกลงพามาในทันที เย็นป่านนี้ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มืดเสียก่อน
คนตัวเล็กเอนซบไหล่กว้างเพื่อพักผ่อนเพราะการเดินทางนั้นใช้เวลาถึงสามชั่วโมง การนอนพักเก็บแรงเอาไว้นั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ มือของทั้งคู่กระชับกันแน่นราวกับกลัวว่าจะถูกพรากออกจากกัน ช่างน่าแปลกใจที่เด็กสองคนนั้นจะเรียนรู้ที่จะรักกันได้มากถึงเพียงนี้ จุนมยอนคือความประทับใจของจงอิน คุณหนูผู้แสนใจดีและอ่อนโยนทุกอย่างที่เป็นคิมจุนมยอนมันแทรกซึมเข้าครอบครองหัวใจจนไม่เหลือที่ว่าง และจงอินก็เป็นความประทับใจของคุณหนูจุนเช่นกัน เด็กชายในวัยเรียนที่ขยันหมั่นเพียรและแสนจริงใจนั้นเป็นสิ่งที่จุนมยอนไม่เคยพบเจอในสังคมของตนเอง ทั้งคู่คือความปะทับใจของกันและกัน ความประทับใจที่กลายเป็นความรัก
เสียงโหวกเหวกจากภายนอกดังเข้ามาทันทีที่ประตูเปิดออก รถไฟจอดเทียบท่าสถานีช็อกโซ เด็กหนุ่มสองคนในชุดนักเรียนเดินตามกันเพื่อหารถไปยังหาดดังที่ตั้งใจไว้ รถประจำทางขนาดเล็กจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ไม่ห่างจากสถานีนัก โชเฟอร์ที่เป็นชายชรานั้นควบคุมรถให้แล่นไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะมาจอดที่หลังตลาดขายของสด
จุนมยอนตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งเมื่อเดินเลาะเข้ามาในตลาด อาหารทะเลเรียงรายวางไว้ให้เลือกซื้อนั่นเป็นสิ่งที่คุณหนูผู้ไม่เคยสัมผัสการเดินตลาดสักครั้งคิดว่ามันน่าตื่นตาเหลือเกิน จงอินลอบมองท่าทางของอีกคนอย่างนึกเอ็นดู คนน่ารักนั้นทำอะไรก็ดูน่ารักไปเสียหมด
“อ้า สดชื่นจัง”
คนตัวเล็กเอ่ยเมื่อสัมผัสได้ถึงลมทะเลที่พัดเข้าปะทะกับใบหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกราวกับจะเก็บเอาอากาศทั้งหมดเข้าไปไว้ในร่างกาย แม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มเข้าสู่ความมืดไปบ้างแล้วแต่ก็ยังคงมองเห็นความสวยงามของท้องทพเลนี้ได้ชัดเจน จงอินจูงมือขาวนั้นให้กึ่งว่างไปที่หาดด้วยกัน ทั้งคู่โยนกระเป๋าลงบนผืนทรายละเอียด ถอดรองเท้าและถุงเท้ากองรวมไว้ด้วยกันและพร้อมใจกันวิ่งลงไปต่อสู้กับเกลียวคลื่นบางๆนั้นทันที
“มันเย็นจริงๆ พี่กลัวเรจะป่วยจังเลย”จงอินบอกอย่างกังวลเมื่อพวกเขาลงมาแช่น้ำทะเลจนเปียกมาถึงเข่า และแน่นอนว่าจุนมยอนน่ะเลยเข่าขึ้นมาแล้ว
“ผมแข็งแรงนะ ถึงไม่เท่ามินซอกกับชานยอล แต่ก็แข็งแรงกว่าแบคฮยอนตั้งเยอะ”บอกพลางยกสองแขนขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้ามโชว์อย่างน่ารัก
“ครับๆ แต่ว่าเราอยู่กันได้แค่แป๊ปเดียวนะ ไม่งั้นกลับไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายแน่”
“อื้ม”
ความมืดปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ จงอินและจุนมยอนเดินกลับมาตามทางในตลาด รองเท้าและถุงเท้าถูกใส่กลับเข้ามาเรียบร้อยเช่นเดิม ส่วนกางเกงที่เปียกน้ำก็พับขึ้นมาเล็กน้อย รถโดยสารที่ติดเครื่องจอดเทียบท่าอยู่นั้นมีคนอยู่บนรถไม่มากนัก อาจเป็นเพราะช่วงเวลาเกือบจะตามทุ่มแล้วก็เป็นได้
รถออกเดินทางทันทีที่เวลาเตือนดังสามทุ่มตรง ผู้คนทยอยลงกันไปตามรายทางคนแล้วคนเล่าจนสุดท้ายมีเพียงแจงอินและจุนมยอนที่นั่งต่อไปจนสุดสาย ทันทีที่รถจอดทั้งสองคนก็รีบมาที่สถานี แต่ก็ต้องพบว่า….
มันมืดสนิท!!!
ร่างสูงรีบวิ่งมาดูที่หน้าสถานี ป้ายตรงหน้าติดเอาไว้ว่าเที่ยวสุดท้ายคือสามทุ่มตรง จงอินแทบจะทุบหัวตัวเอง เพราะเห็นสถานีที่โซลขึ้นว่าเที่ยวสุดท้ายสี่ทุ่มตรงจึงเข้าใจไปว่าที่ซ็อกโชนี่ก็คงไม่ต่างกัน แต่นี่มัน…
“พี่จงอิน”จุนมยอนเรียกพลางทำหน้ามุ่ย รถไฟหมดแล้วแบบนี้จะกลับยังไง
“เฮ้อออ เราคงต้องนอนที่นี่แล้วล่ะ เที่ยวแรกตีห้า เราจะรีบกลับตอนนั้นแล้วกัน ขอโทษนะ พี่ผิดเองที่ไม่เช็คเวลาให้ดีๆ”
“ไม่หรอกครับ งั้นเดียวผมขอโทรศัพท์ก่อนนะ”นตัวเล็กเดนแยกออกมาก่อนจะต่อสายหาผู้เป็นพ่อเพื่อจะบอกว่าตยจะค้างกับคยองซู จุนมยอนไม่กล้าพอจะบอกว่าตัวเองมาทะเลแบบนี้ จะให้คนที่บ้านมารับคงจะไม่ได้ รบกวนอาจารย์ลู่เหมือนทุกทีก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ จะให้ขับรถดึกๆตั้งสองสามชั่วโมงได้อย่างไร
จงอินมองจุนมยอนที่เดินกลับมาจากคุยโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกผิด จะให้โทษว่าจุนมยอนอยากมาเองก็คงไม่ใช่ ต่อให้ใครอยากมาถ้าตรวจเช็คเรื่องเวลาให้ดีก็คงไม่เป็นแบบนี้ แต่นี่กลับกลายว่าเขาพาจุนมยอนมาลำบากลำบนเสียอีก
“ที่นี่เย็นดีนะครับ”คนตัวเล็กทิ้งตัวลงข้างจงอินที่นั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว
“พี่ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไม แบบนี้ก็ดีนะ เราจะได้อยู่ด้วยกันนานอีกนิด เอ้อ ถอดกางเกงออกมาตากได้มั้ย”
“ตรงนี้เนี่ยนะ”จงอินเหวอไปไม่น้อยที่จุนมยอนมีความคิดเช่นนี้
“ครับ ทำไมล่ะ มืดขนาดนี้ไม่มีใครเห็นหรอก”ว่าแล้วก็ลุกขึ้นถอดกางเกงนักเรียนออกมาพาดไว้กับพนักเก้าอี้ทันทีแล้วเอาเสื้อสูทมาคลุมขาไว้แทน โดยที่จงอินก็ทำแบบเดียวกัน คาดว่างตากได้ไม่แห้งดีนักเพราะยางไรก็ต้องรีบใส่กลับให้เรียบร้อยก่อนที่จะมีใครมาเห็น
ลมที่พัดผ่านกระทบเนื้อผิวนั้นเริ้มเย็นขึ้นเรื่อยๆ สองมือสอดประสานส่งผ่านไออุ่นให้กันและกัน ความเงียบปกคลุมทั้งคู่มีเพียงเสียงหวีวหวิวของสายลมเท่านั้นที่พอจะดังกลบเสียงลมหายใจกับเสียงของหัวใจที่เต้นแรง จงอินลอบมองคนข้างๆ คุณหนูจุนของเขาสว่างไสวแม้อยู่ในความมืด ใบหน้าหวานหันมาสบตากับคนท่กำลังจ้องมองตนเองอยู่ก่อนจะส่งยิ้มไปให้
“จูบนะ”ฟังดูราวกับกำลังขออนุญาต แต่จงอินก็ไม่ได้รอให้คนตัวเล็กตอบอะไรกลับมา
ริมฝีปากเคลื่อนเข้าไปประกบเบาๆด้วยความอ่อนโยน ทั้งสองคนใช้ริมฝีปากแตะกันไปมาแล้วค่อยๆดูดดึงกันและกันเบาๆ สายตายังจดจ้องกันไม่ลดละ จนสุดท้ายจุนมยอนก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเสียก่อน ดวงตาหลับพริ้มเมื่อเริ่มรู้สึกถึงรสจูบที่หนักหน่วงมากขึ้น ทั้งคู่รับรู้ได้ดีว่าจากนี้มันอาจเลยเถิดไปเกินกว่าการจูบ
จงอินส่งลิ้นร้อนเข้าสู่โพร่งปากเล็กที่เผยอออกรอรับอย่างเต็มใจ บดจูบร้อนแรงจนเสียการควบคุม สองแขนแกร่งประคองร่างบอบบางนั้นให้ราบไปกับเก้าอี้ช้าๆ ละริมฝีปากจากอวัยวะเดียวกันของอีกฝ่ายแล้วเปลี่ยนเป็นไล้จูบตั้งแต่คางสวยลงไปยังซอกคอขาวสว่าง
“อื้อออ พี่จงอิน ที่นี่ อ๊ะ ที่นี่สถานี อื้อออ”สติหลุดลอยไปกับสัมผัสี่ได้รับ แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้ตัว จุนมยอนรู้ดีเชียวล่ะ รู้ดีถึงริมฝีปากที่สาละวนอยู่กับลำคอของตนเอง
“มืดขนาดนี้ไม่มีใครเห็นหรอก”ราวกับจะล้อเลียนประโยคของคนตัวเล็กที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้
CUT
.
.
กุญแจสำรองที่เจ้าของห้องปั๊มเอาไว้ให้ยามฉุกเฉินถูกนำมาใช้เมื่อจื่อเทาเคาะประตูจนกระดูกนิ้วเกือบแตกแล้วแต่ก็ยังไงมีใครเปิดให้ ประตูเปิดออกพร้อมกับขายาวก้าวดิ่งไปยังเพื่อนหน้าหล่อที่นอนหลับสนิทอยู่บนฟูก ยกเท้าขึ้นสะกิดเขี่ยคนที่หลับอยู่รู้สึกตัวเสียที
“เชี่ยคริส หลับหรอตายครับ”
“…….”
“เฮ้ออออ ไอ้คริส!”เพิ่มเสียงเป็นเลเวลสูงสุดพร้อมกับเตะแรงๆที่สีข้าง
“โอ๊ย!”คริสลุกพรวดขึ้นมาเราะความเจ็บปวดจากการถูกเพื่อนซี้ทำร้าย หน้าหล่อเงยขึ้นมองจื่อเทาที่ยืนกอดอกทำหน้าตายอยู่ข้างๆ
ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกันกูคงคิดว่ามันเกลียดกูนะครับแหม่
“โทรหากูแต่เช้ามืดนี่เพื่อให้มาปลุกมึง?”
“เปล่า กูตื่นนานแล้ว แต่มึงยังไม่มาเลยหลับรอ กูรีบออกมาเมื่อคืนลืมหยิบเป๋าตังค์มาด้วย กะว่ามาถึงนี่ค่อยยืมไอ้จงอิน แม่งก็หายไปไหนไม่รู้”
จากที่ตอนแรกไม่ทันสังเกต จื่อเทาก็เริ่มรู้สึกทันทีว่าจงอินไม่อยู่ในห้อง ฟังจากคำบอกเล่าของคริสแล้วท่าทางว่าคงไม่อยู่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้
“เดี๋ยวแม่งก็มามั้ง มึงก็ไปอาบน้ำไป จะได้ไปโรงเรียนสักที”
ไม่นานนักที่คริสใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัว เขาไม่ใช่คนประณีตอะไรมากนัก แล้วก็ไม่เคยเข้าใจพวกที่อาบน้ำแต่งตัวนานเป็นชั่วโมงเลยสักครั้ง มันจะอาบให้ตัวลอกเลยหรืออย่างไร ร่างสูงคว้าเอาเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วพยักหน้าส่งสัญญาณให้จื่อเทารับรู้ว่าตนพร้อมแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะออกไปจากห้อง ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน จงอินที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมจุนมยอนนั้นได้ชะงักไปทันทีที่เห็นเพื่อนซี้ทั้งสองคนยืนอยู่ในห้อง ไม่ต่างจากฝ่ายคริสและจื่อเทาที่แปลกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ใช่ว่าจะแปลกใจที่เห็นจงอิน และแปลกใจคนที่มาด้วยกันต่างหาก เช้าขนาดนี้ กลับมาที่ห้องด้วยกันแบบนี้
จงอินกับจุนมยอนไปไหนกันมา!
คนตัวขาวมองหน้าจื่อเทากับคริสสลับไปมาก่อนจะทำตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำไดแล้วค่อยๆไปแอบหลังจงอิน ก็รู้ว่าแอบไม่มิดหรอก แต่มันก็เขินอายเกินกว่าจะสู้ตาคนอื่นได้
“คือ…”จงอินได้แต่อ้ำอึ้ง
“มึงมาคุยกับพวกกูหน่อยสิครับ”คริสพูดน้ำเสียงลอดฝันเพราะไม่อยากให้คุณหนูตัวขาวต้องตกใจ
“อ่าาา จุนมยอนอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวพวกพี่ออกไปซื้ออะไรเข้ามาให้รองท้องตอนเช้า นะครับ”จงอินหันไปบอกกับคนที่แอบอยู่ด้านหลัง จุนมยอนพยักหน้าเบาๆแล้วค่อยๆเดินเลี่ยงไปอีกมุม ก้มหน้าหลบสายตาสองคู่ที่มองตาตนเองอยู่
จงอิน คริสและจื่อเทาลงมาจากหอพักแล้วมุ่งหน้าไปร้านข้าวต้มริมทางเพื่อนำไปเป็นอาหารเช้าให้จุนมยอน ทั้งสามคนเดินเกาะกลุ่มกันตลอดทางเพื่อถามไถ่เอาความกับคิมจงอินว่าพาคุณหนูจุนหายไปไหนถึงกลับมาเอาเสียตอนเช้าเช่นนี้ แม้จงอินจะเลี่ยงตอบในตอนแรก แต่สุดท้ายเมื่อทนแรงกดดันไม่ได้จึงเฉลยออกไปว่าพาจุนมยอนไปช็อกโซเพราะคนตัวเล็กอยากเที่ยวทะเล
“ทะเล? เมื่อวานเย็นเนี่ยนะ”จื่อเทาที่ได้ยินก็ต้องถามย้ำอีกครั้ง ใครมันบ้าไปทะเลกันเย็นๆแบบนั้น ไม่ทันได้ลงน้ำฟ้าก้มืดพอดี มันจะไปสนุกอะไร
“อืม แล้วกลับไปทันรถไฟก็เลยค้างที่สถานีแล้วรีบกลับมาพร้อมรถไฟเที่ยวแรกนี่แหละ”
“นอนค้างสถานี! ไอ้จงอิน เด็กมันมีพ่อมีแม่นะเว้ย มึงพาลูกเขาไปนอนลำบากเนี่ยนะ”คริสแทบจะเป็นบ้าเมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนที่ท่าทางน่าจะช่ำชองเรื่องเดทที่สุดนั้นกลับทำเรื่องไม่น่าประทับใจลงไปกับแฟนที่บอกว่ารักนักรักหนา
“ก็มันสุดวิสัยนี่หว่า แถวนั้นมืดก็มืด รถราก็ไม่มี มึงจะให้กูพาน้องเขาไปนอนที่ไหน”
“เออๆ แล้วคุณหนูนึกยังไงถึงขอให้มึงพาไปทะเลวะ”อดถามออกไปไม่ได้ เพราะจื่อเทามั่นใจว่าตั้งแต่รู้จักคุณหนูจุนมยอนมาไม่เคยมีสักคั้งที่เด็กคนนี้จะทำตัวนอกกรอบของครอบครัว การที่คุณหนูของเขาเอ่ยปากให้จงอินพาไปเถลไถลเช่นนี้คงมีเหตุจำเป็นบางอย่างจริงๆ
“เนี่ยแหละที่จะบอกพวกมึง แต่อย่าไปบอกจุนมยอนนะเว้ย พ่อน้องเขาให้บอกว่ากูได้ทุนไปอ่ะ”
“ไปไหน”คริสที่เดินรั้งท้ายรีบเดินมาตีคู่กับจงอินทันที
“ไปเรียน …ที่อิตาลี”
จื่อเทาเป็นคนแรกที่ชะงักไปและหยุดเดินแทบจะในทันทีก่อนจะตามมาด้วยคริสที่ชะงักเท้าไปแล้วเช่นกัน ใช้เวลาตั้งสติกันครู่หนึ่งทั้งคู่ก็หันมามองหน้าจงอินด้วยความตกใจ
“อิตาลี!!!”
งานประสานเสียงต้องมา
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากจงอินแล้ว ทั้งคริสและเทาก็ได้แต่โอดครวญด้วยความอิจฉา ทำไมเพื่อนตัวดำของพวกเขาถึงได้โชคดีนัก ว่าที่พ่อตาเอ็นดูสุดใจขาดดิ้น ริษยาหาใดเปรียบเลยครับ
“แล้วคุณหนูล่ะ ไม่อยากไปกับมึงหรอ”
“อยากดิ แต่ไปไม่ได้หรอก อีกอย่างกูก็ไปไม่นาน ในฐานะที่มึงสนิทกับจุนมยอนที่สุด กูฝากมึงดูแลน้องด้วยนะ”จงอินหันไปฝากฝังสโนว์ไวท์ของตนกับจื่อเทาที่น่าจะวางใจได้ที่สุดเพราะทั้งสองคนนั้นรู้จักกันเป้นอย่างดี
จื่อเทาที่ได้ยินคำขอของเพื่อนรักก็พยักหน้าให้เป็นเชงรับปาก สองปีที่จงอินไม่อยู่ สองปีที่เขาจะได้อยู่ใกล้คุณหนูที่เขาตกหลุมรัก เขาควรจะบอกเพื่อนรักหรือเปล่าว่ากำลังวางใจคนผิด ช่วงระยะเวลาสองปีเขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันสูญเปล่าเด็ดขาด มันเป็นโอกาสของเขาแล้ว โอกาสของฮวางจื่อเทา
.
.
.
เช้านี้ปาร์คชานยอลตื่นมาด้วยความหงุดหงิดใจ โทรศัพท์ของอู๋อี้ฟานที่เขาเจอมันหายไป มั่นใจว่าเก็บเอาไว้ในลิ้นชักข้างเตียง แต่เช้านี้เขาไม่พบมันอยู่ในนี้แล้ว หาจนทั่วทั้งห้องเพราะคิดว่าบางทีอาจจะพลาดไป ทั้งบนที่นอน ใต้หมอนทั่วทุกมุม แต่ก็ไม่พบ หรือจะมีใครมาหยิบมันไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงใครกันที่จะกล้าเข้ามาหยิบของของเขาถึงในห้อง
ร่างสูงรุดออกจากห้องทันที ตรงไปยังแม่บ้านที่กำลังทำความสะอาดอยู่ไม่ไกล ถ้าจากตรงนี้ไปถึงหน้าห้องของเขาก็ยังอยู่ในระยะสายตาพอดี
“ป้าครับ”
“คะ คุณชาย”หญิงสูงวัยเอ่ยตอบกลับมาเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของคุณชายของตระกูลตรงดิ่งมาหาด้วยท่าทีร้อนใจ
“ป้าเห็นใครเข้าไปในห้องผมบ้างหรือเปล่าครับ”
“อืม ป้าก็ไม่แน่ใจค่ะ ป้าลงไปอยู่หลังบ้านเสียนานเพิ่งจะกลับขึ้นมาเมื่อครู่นี้ล่ะค่ะ อ้อ แต่ถ้าเป็นช่วงเช้ามืดตอนที่ป้ามาเก็บผ้าลงไปซัก จำได้เหมือนจะเห็นคุณหญิงออกมาจากห้องคุณชายนะคะ”
“แม่? แม่หรือครับ”
หายนะ… นี่คือคำเดียวที่ชานยอลนึกออก ถ้าแม่เอาไปจริงๆ แม่จะเอาไปทำอะไร แม่จะเห็นรูปนั้นหรือเปล่า ตอนนี้ปาร์คชานยอลเริ่มรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไม่ต่างจากอู๋อี้ฟานสักนิด ก็แค่ล็อกโทรศัพท์แต่ทำไมถึงไม่ทำ
เดินตามหาผู้เป็นมารดาไปทั่วทั้งบ้านแต่ก้ไม่พบ ถามเอาจากบรรดาแม่บ้านก้ได้แต่คำตอบเหมือนๆกันว่าไม่รู้ รู้แค่ออกไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปไหน เออ! ดี คนหายออกจากบ้านไปทั้งคนแต่ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน
ไม่นานนักชานยอลก็เห็นหญิงสาวงามสง่าเดินเข้ามาในบ้าน ปาร์เฮรามีใบหน้าปลื้มปริ่มจนรู้สึกได้ หล่อนหันมามองหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแล้วส่งยิ้มแสดงความรู้สึกสุขใจมาให้
“แม่ไปไหนมาครับ”
“อ๋อ บ้านบยอนจ้ะ”
บ้านบยอน… แม่ไปทำไม”
เฮราเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เอื้อมมือมาจับมือหนาของชานยอลเอาไว้ บีบเบาๆราวกับส่งกำลังใจ ก่อนจะยิ้มหวานแล้วตอบคำถามออกไปอย่างมั่นใจ
“เอาหลักฐานสำคัญที่ได้มาจากห้องลูกไปให้ครอบครัวบยอนดู หลักฐานที่เปิดเผยความต่ำตมกักขฬะของไอ้ลูกเมียน้อยที่พวกเขาเอ็นดูมันยังไงล่ะ”
“แม่!”
ไม่เคยรู้สึกอยากจะเป็นบ้าเท่านี้ ชานยอลกำลังจะเป็นบ้า นี่แม่ของเขาทำอะไรลงไป นี่เอาโทรศัพท์กับรูปนั้นไปให้พ่อแม่ของแบคฮยอนดูแล้วสินะ
“ทำไมต้องตะคอกแม่ด้วย”ปาร์คเฮราไม่เข้าใจนัก เหตุใดชานยอลจึงขึ้นเสียงใส่ตนเองเช่นนี้ นี่เขาไปทำสิ่งใดที่ไม่ถูกใจลูกชายคนนี้หรืออย่างไร จะมีอะไรที่เขาทำผิดไปได้ในเมื่อเขาทำทุกอย่างก็เพื่อชานยอลทั้งสิ้น เพราะเมื่อวานที่หวังดีจะนำเอาขนมกับน้ำไปให้แบคฮยอนที่ท่าทางรีบร้อนมาพบชานยอล แต่ยังไม่ทันได้เสิร์ฟอะไรก็ดันไปได้ยินเรื่องที่เด็กสองคนกำลังคุยกัน
เพราะแบคฮยอนที่ทำท่าทางจะไม่ขลาดกลัวอีกแล้ว และอู๋อี้ฟานที่เอาแต่กวนประสาทจนเดาใจไม่ถูก ชานยอลไม่มีทางชนะสงครามนี้ได้ด้วยตัวตนเดียว จำเป็นต้องมีผู้ช่วย
“แม่ทำอะไรลงไป แม่รู้มั้ยว่านี่มันจะทำให้แบคฮยอนเดือดร้อนน่ะแม่!”
“แม่รู้ และนี่จะเป็นข่าวดีที่สุด คุณบยอนตกลงให้เราหาบ้านพักไกลๆแล้วเขาจะส่งแบคฮยอนไปอยู่ที่นั่น พร้อมกับลูก”
TBC.
#ฟิคสีแดง
ปล.เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ
ความคิดเห็น