คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : RED 16
RED 16
ประตูหอพักแคบๆถูกปิดลงพร้อมกับจงอินและจื่อเทาที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ทั้งสองคนชะงักไปเล็กน้อยที่เห็นคริสอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว ทั้งๆที่ช่วงนี้แทบไม่เคยกลับมานอนที่หอ ขมวดคิ้วเป็นปมเม่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“หน้ามึงไปโดนส้นตีนอะไรมาวะ”
“ไม่ได้โดนตีน แต่โดนมือ”คริสตอบกลับไปอย่างเบื่อหน่าย แค่หน้าพังก็เซ็งจะแย่แล้วยังต้องมีคนคอยมาถามย้ำอยู่เรื่อย
“ใคร?”
“ไม่เสือกครับ ขอร้อง”
เพราะเห็นว่าเพื่อนไม่อยากจะตอบคำถามสักเท่าไร จงอินจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะอยากรู้เรื่องของเพื่อนไปในทันที แต่ อีกหนึ่งสิ่งที่อดสงสัยไม่ได้คืออะไรหอบไอ้หน้าหล่อนี่มาที่หอทั้งๆที่ช่วง นี้กำลังไปได้ดีกับบ้านหลังใหญ่เพราะคนข้างบ้านนั้นน่ารักเสียจนอดใจปีนขึ้น ไปหาไม่ได้
ไอ้โรคจิต
“แล้วอะไรหอบมึงมาเนี่ย”
“กูจะให้มึงไปซื้อโทรศัพท์ให้กูหน่อย หน้ากูแม่งออกไปพบปะมวลมหาประชาชนไม่ได้เลย”
“โทรศัพท์? มึงจะใช้สองเครื่องทำเหี้ยอะไร เครื่องเดียวยังใช้ไม่ค่อยจะเป็น”จื่อเทาถามอย่างสงสัย เพราะปกติคริสเป็นพวกโลวเทคโนโลยีอย่างุนแรง สมาร์ทโฟนที่มีอยู่ก็ใช้เป็นแค่โทรเข้าออก ส่งข้อความแชทง่ายๆเท่านั้น ไอ้จงอินแกล้งตั้งสายเรียกเข้าให้มันเป็นเพลงค้างคาวกินกล้วยแม่งยังไม่มีปัญญาเปลี่ยนกลับเลย แล้วดัดจริตจะพกโทรศัพท์สองเครื่อง
“โทรศัพท์กูหายบ้างเถอะ”
“เอ้า! หายไปไหนอ่ะ”
“ถ้ารู้ว่าหายไปไหน มันจะเรียกว่าหายหรอมึง”
“งั้นกูว่ารอบนี้ซื้อซัมซุงฮีโร่ก็พอ ไอ้ห่า ของดีๆใช้ก็ไม่เป็นแล้วยังเสือกทำหาย” จงอินเบะหน้าใส่เพื่อนซี้
“เออ จะซื้ออะไรก็ซื้อมาเหอะ”
คิมจงอินขอเดา ว่าที่พูดอย่างนี้คือแม่งไม่รู้จักซัมซุงฮีโร่แหงๆเลย
ฟายเย่อออออ
.
.
.
“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นหมอจะให้นอนต่อรึเปล่า”จุนมยอนเอ่ยถามเพื่อแก้มป่องที่นอนบนเตียงผู้ป่วยโดยมีแบคฮยอนนั่งอยู่ข้างๆ
“เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ที่จริงแค่รอน้ำเกลือหมดก็น่าจะกลับได้แล้ว ไม่ รู้ว่าทำไมหมอต้องให้รอพรุ่งนี้ด้วยก็ไม่รู้”มินซอกบ่นงุ้งงิ้งอย่างไม่ชอบ ใจนักที่หมอสั่งให้ตนต้องนอนโรงพยาบาลทั้งๆที่นอกจากเป็นไข้แล้วก็ไม่มีอะไร ผิดปกติสักนิด
“นอนน่ะดีแล้ว เผื่อไข้ขึ้นมาอีกจะได้ไม่ต้องหามมาโรงพยาบาลอีกรอบนะ”
“ใช่ แบคพูดถูก”จุนมยอนเห็นด้วยทันที คนตัวขาวเดินมาวางจานผลไม้ที่เพิ่งปอกเสร็จลงบนโต๊ะข้างเตียงให้มินซอก
“เฮ้อ แต่ว่าเสียดายชานยอลไม่มา ช่วงนี้พวกเราไม่ค่อยได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลยเน๊อะ เมื่อก่อนมันไม่เป็นอย่างนี้ เราไปไหนกันสี่คนตลอดเลย แล้วดูตอนนี้สิ นี่แอบสงสัยนะว่าพวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่า”
มินซอกที่เพียงแค่บ่นไปเรื่อยนั้นไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนกำลังทำให้ใครอีกคนต้องจมอยู่ในห้วงความคิด เพราะคำพูดของมินซอกที่ว่า พวกเรานั้นยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า ทำให้แบคฮยอนอดนึกไปถึงชานยอลไม่ได้
นั่นสินะ เขากับชานยอลยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า
ตื๊ด
เสียงเตือนข้อความดังขึ้น แบคฮยอนดูการแจ้งเตือนก่อนจะพบว่าป็นชานยอลที่ส่งรูปภาพเข้ามา ค่อนข้างจะน่าแปลกใจที่ชานยอลส่งข้อความมาทั้งๆที่รู้ว่าเขาเปิดดูไม่ได้ เป็นคนล็อคเองแท้ๆ ลืมแล้วหรือไงนะ
เพราะไม่สามารถเปิดดูได้แบคฮยอนจึงเลิกสนใจสิ่งที่ถูกส่งมาให้ วางโมรศัพท์ลงข้างตัวได้ไม่นาน เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ‘สมบัติของฉัน’ อ่า ชื่อที่บันทึกไว้ยังงเหมือนเดิม มันไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจาก……..
หัวใจของบยอนแบคฮยอน
“อืม”
‘0009 เปิดดูแล้วก็รีบมาล่ะ มีเรื่องต้องคุยกัน’
แบคฮยอนได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อชานยอลพูดเพียงแค่นั้นแล้ววางสายไปในทันที อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น นิ้วเรียวกดปลดล็อคด้วยรหัสที่ชานยอลบอก มันเป็นตัวเลขง่ายๆที่เขาคาดไม่ถึง และเพราะคาดไม่ถึงนี่แหละ ถึงได้มองข้ามมันไป
!!!
รูปภาพที่ถูกโหลดขึ้นมา ทำเอาคนตัวเล็กแทบจะทำโทรศัพท์หลุดมือ รูปของเขาที่กำลังใช้ปากกับแทคยอน ทำไมชานยอลึงมีรูปนี้ เพราะมือไม้ที่สั่นและใบหน้าตระหนกของแบคฮยอนทำให้มินซอกและจุนมยอนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพื่อนรักเป็นอะไรหรือไม่
“แบคเป็นอะไรหรอ”
“คะ..คือ เรา ต้องรีบกลับน่ะ พอดีว่า พอดีว่ามีเรื่องด่วน เรากลับก่อนนะ”ท่าทางลุกลี้ลุกลนเก็บข้าวของอย่างไร้สมาธิสร้างความเป็นห่วงให้เพื่อนอีกสองคนเหลือเกิน
“รีบแบบนี้รอคนรถไม่ทันแหงๆ ให้พี่ลู่หานไปส่งสิ จุนมยอนก็ไปพร้อมกันเลยนะ จะได้ไม่ต้องกลับมืดๆ”มินซอกเสนอ
“ไม่เป็นไร เกรงใจอาจารย์ลู่”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ เดินออกไปบอกพี่ลู่หานไป”
“อ้าว ถ้าอาจารย์ลู่ไปแล้วใครจะอยู่ดูแลตัวเองล่ะ”
“นี่ คุณหนูจุน ที่นี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาล เราไม่เป็นไร พวกตัวไปเหอะ”
เมื่อไม่อาจขัดใจมินซอกได้ ทั้งแบคฮยอนและจุนมยอนจึงต้องยอมกลับไปโดยให้ลู่หานไปส่ง แทนการรอคนรถที่บ้านมารับ เพราะในสถานการณ์ที่แสนเร่งรีบ แบคฮยอนไม่คิดว่าจะรอไหวจริงๆ
เพื่อนทั้งสองออกไปแล้วทิ้งเอาไว้เพียงคนป่วยกับเสียงจากโทรทัศน์ที่ไม่ดังมากนักให้อยู่เป็นเพื่อนกัน กดรีโมทคอนโทรเพื่อเปลี่ยนช่องไปเรื่อย บางครั้งรายการทีวีก็น่าเบื่อเกินกว่าที่จะช่วยให้ใครรับชมเพื่อแก้เบื่อได้ กลักลายเป็นน่าเบื่อยิ่งกว่าเดิม
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง มินซอกไม่ได้อยากจะใส่ใจนัก เพราะลู่หานออกไปส่งแบคฮยอนกับจุนมยอน คนที่เข้ามาก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากพยาบาลกับหมอ อาจจะเอายามาให้ ตรวจเคอาการ วัดไข้ หรือพูดคุยกันเล้กๆน้อยๆ
แต่ทันทีที่หันไป ดวงตากลมใสก็ต้องเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างเล็กน้อยกันจะหุบลงแล้วเม้มเอาไว้แน่น ร่างสูงที่เดินเข้ามาทำให้คนที่เฝ้ารอมาตลอดทั้งวันถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“เป็นไงบ้าง”
“พี่…เทา”
เพราะมินซอกเอาแต่สติหลุดอยู่อย่างนั้น จื่อเทาจึงได้แต่ยิ้มแห้งส่งไป ใช่ว่าจะไม่เห็นข้อความทั้งหลายที่มินซอกระดมส่งให้ แต่เพราะยังไม่พร้อมจะพูดอะไร ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน ต้องทำหน้ายังไง ต้องพูดอะไร ต้องขอโทษหรือเงียบเอาไว้ ต้องรับผิดชอบหรือทำเป็นลืมมันไป จื่อเทาไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรเมื่อมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“พอดี พี่ไปหาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ไอ้คริสน่ะ ก็เลยแวะ มาเยี่ยม”
“ครับ”
“ขอโทษที่ไม่ได้ตอบข้อความเลย แต่ยังไงก็คิดว่าต้องมาคุยกัน ส่วนเรื่องนั้น พี่อยากขอเวลาอีกหน่อย”
“ไม่ต้องหรอกพี่”เพราะท่าทางลำบากใจของจื่อเทาทำให้มินซอกต้องตัดสินใจจบปัญหานี้ด้วยตัวเอง ไม่ได้อยากเรียกร้องให้รับผิดชอบอะไร ไม่ได้อยากให้ลำบากใจ ไม่อยากไปฝืนความรู้สึก
“………”
“เรื่องนั้นลืมๆมันไปเถอะครับ ไม่มีใครผิดหรอก เราก็เมากันทั้งคู่ อีกอย่างผมก็เป็นผู้ชาย ไม่ได้มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว พี่อย่าคิดมากเลย นี่ขนาดเห็นหน้าพี่ผมยังนึกเรื่องนั้นไม่ออกเลยถ้าพี่ไม่พูดขึ้นมาก่อน ผมไม่เป็นไรหรอก”
พูดว่าไม่เป็นไรทั้งๆที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้ยเนี่ยนะ จื่อเทาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงต้องทำเป็นเข้มแข็งเสียเหลือเกิน ตัวก็เล็กแค่นั้น หัวใจจะใหญ่ได้สักแค่ไหนเชียว
“มินซอก…”
“ผมน่ะ…ลืมเก่งนะ พี่ไม่ต้องห่วง”
“มินซอก ได้โปรด อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย”มือหนายกขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของคนตัวเล็กเบาๆ
มินซอกทำได้เพียงหลบตาพี่ชายตัวโตที่กำลังมองตนเองด้วยแววตาแห่งความสงสารเห็นใจ ต้องให้ย้ำอีกครั้งหรืออย่างไรจื่อเทาถึงจะเข้าใจว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด
.
.
.
แบคฮยอนแทบจะพุ่งลงจากรถของลู่หานในทันทีที่จอดสนิทตรงหน้าบ้าน หากแต่จุดหมายไม่ใช่บ้านของตนอย่างที่ควรจะเป็น แบคฮยอนก้าวฉับอย่างรีบร้อนเข้าไปในบ้านข้างๆแทน
“อ้าว น้องแบค มาหาชานยอลหรอลูก”คุณหญิงเฮราเอ่ยทักเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาท่าทางรีบร้อน
“ครับ อยู่บนห้องใช่มั้ยครับ”
“จ้ะ”หญิงสาวตอบพลางยิ้มเบาๆให้ ท่าทีของแบคฮยอนดูแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย ปกติคุณหนูบยอนี่คุ้นเคยไม่ใช่เด็กที่ดูลุกลี้ลุกล้นเช่นนี้ บางทีอาจมีเรื่องไม่ค่อยดีนักก็เป็นได้
“งั้นผมขอไปหาชานยอลนะครับ”ว่าจบก็เดินเลี่ยงไปทันทีโดยไม่สนใจสายตาที่บ่งบอกถึงความสงสัยของผู้ใหญ่ตรงหน้า ตรงปรี่ไปที่ห้องของชานยอลในทันที หยุดยืนหน้าประตูไม้แล้วเปิดเข้าไปโดยไม่เคาะก่อนตามมารยาท
ชานยอลที่นอนเอกเขนกบนเตียงกว้างเลิกคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีของคนที่ตนกำลังรอ ท่าทีใจเย็นของร่างสูงทำให้แบคฮยอนแทบจะอกแตกตาย ทำเขาร้อนใจมากขนาดนี้แต่ตัวเองมานอนสบายใจเฉิบอยางนี้หรือ
“ไปเอารูปนั้นมาจากไหน”
“สำคัญหรอ”
“สำคัญสิ! ไปเอามาจากที่ไหนปาร์คชานยอล”
ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มขึ้นเสียงแล้ว ซ้ำยังเอ่ยชื่อตนเสียเต็มยศเช่นนี้ โกรธแล้วสินะแบคฮยอน โกรธมากด้วย
“เอามาจากไหนมันก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่าแบคไปทำอะไรเอาไว้มากกว่า ตอบมาสิว่ารูปที่เห็นเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้น”
อึก!
แบคฮยอนได้แต่กลืนน้ำลายลงอึกใหญ่เมื่อชานยอลเริ่มเท้าความไปถึงเรื่องแสนอัปยศนั่น เรื่องที่เขาแทบจะลืมมันไปแล้ว เรื่องที่ไม่อยากนึกถึงให้อับอายอีก แต่ถ้าบอกไปทั้งหมด คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คงไม่ใช่ใคร นอกจากคริส ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่นอน
“เราไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเป็นเรื่องของเรา”
“คิดเอาไว้แล้วว่าต้องพูดอย่างนี้ มันคงเป็นเรื่องของแบคนั่นแหละ ตราบใดที่คุณน้าโบมีกับคุณน้ามงยูลยังไม่เห็น”ชานยอลกระตุกยิ้มอย่างมีชัยเมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกของคนตรงหน้า
“ชานยอล!”
“อย่าอารมณ์เสียครับ ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้าแบคไม่ทำผิดสัญญาเสียก่อน”
“สัญญาอะไร”
“เรื่องงานหมั้น ต้องเป็นไปตามกำหนด แล้วก็…. ห้ามติดต่ออู๋อี้ฟานอีก ไม่ว่าจะทางไหน ห้ามโทร ห้ามส่งข้อความ หรือแม้แต่พูดคุยกับมันก็ไม่ได้ ถ้าเรารู้ รับรองได้ว่าโทรศัพท์ของอู๋อี้ฟานที่มีรูปแสนเซ็กซี่นี่โชว์หราอยู่หน้าจอจะตกถึงมือพวกคุณน้าอย่างแน่นอน”
แบคฮยอนอย่างจะลงไปดีดดิ้นกรีดร้องบนพื้นให้สาสมกับความอึดอัดใจ นี่ปาร์คชานยอลกำลังขู่เขา ชานยอลที่เขาเคยไว้ใจที่สุดในทุกๆเรื่อง ชานยอลที่เขาเคยคิดว่าจะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างกันตลอดไป มันจบแล้วจริงๆ
“ทำไมหรอชาน ทำไมต้องทำกับเราขนาดนี้หรอ”เสียงที่เอ่ยถามอย่างไร้เรี่ยวแรงนั่นบ่งบอกได้ดีว่าแบคฮยอนกำลังเหนื่อยล้าและเสียใจมากเพียงใด ชานยอลมองดูแววตาที่แสนเศร้านั่นอย่างรู้สึกผิดในใจ หากแต่ถ้าเขาใจอ่อนปล่อยแบคฮยอนไป เขาก็คงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่เหนื่อย เขาเองก็ไม่ต่างกัน เขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ทำทุกทางเพื่อรั้งอีกคนเอาไว้แล้ว แต่ดูเหมือนมันไม่เคยมีประโยชน์อะไรเลย
“แล้วไม่ถามตัวเองดูล่ะว่าทำไมแบคถึงทำกับเราแบบนี้ ทำไมถึงต้องไปรักมันด้วย”
เพราะคำตัดพ้อนั่นของชานยอล ตอนนี้แบคฮยอนตรัสรู้แล้วว่าคนตัวสูงนั้นไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ไม่คิดจะโทษตัวเองบ้างเลยหรืออย่างไร
“เพราะพี่คริสไม่เคยทำให้เราเสียใจไง”
“งั้นหรอ เราทำให้แบคเสียใจมากสินะ แต่ช่วยให้โอกาสเราหน่อยไม่ได้หรอ เรารู้ว่าเราผิดที่ให้แบครอ แต่เราก็แก้ไขทุกอย่างแล้ว ตอนนี้เรามีแค่แบคนเดียว ขอร้องล่ะ รักเราบ้างสักนิดเถอะ”
“รู้มั้ย ถ้าเราจะต้องตายภายในหนึ่งชั่วโมง แล้วชานมาตอนหกสิบนาทีกับอีกหนึ่งวินาทีมันจะเกิดอะไรขึ้น”
“……”
“เราก็ตายไง เข้าใจรึเปล่า ไม่ทันก็คือไม่ทัน หนึ่งชั่วโมง หนึ่งนาที หรือหนึ่งวินาที ยังไงมันก็สายเกินไปอยู่ดี เราทุ่มเวลาเกือบทั้งหมดที่มีเพื่อรอชานมาตลอด แต่ตอนนี้เราเหลือเวลาแค่พอให้รักษาหัวใจตัวเองเท่านั้น ปล่อยเราไปไม่ได้หรอ”
ไม่ใช่ว่าชานยอลไม่เข้าใจ เขาเข้าใจดีถึงสิ่งที่แบคฮยอนบอก หากแต่เขาเองก็ไม่เหลืออะไรแล้วเช่นกัน แบคฮยอนเหลือเวลาที่จะรักษาตัวเอง แต่เขาเหลือแค่แบคฮยอนคนเดียวเท่านั้น ชีวิตเขาเหลือแค่นี้จริงๆ
“ขอโทษ”
คำขอโทษจากคนตัวสูงนั้นตอบสิ่งที่แบคฮยอนขอร้องได้อย่างชัดเจน จะอ้อนวอนแค่ไหนชานยอลก็จะไม่มีวันปล่อยเขาไป ตอนนี้คงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว คนตัวเล็กพยักหน้าอย่างยอมรับ เขาไม่เคยเลือกอะไรเองได้อยู่แล้ว
แบคฮยอนก้าวเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนที่นอนนุ่ม ล้วงมือเรียวสวยเข้าไปหยิบคัตเตอร์สีเงินวาววับในกระเป๋ากางเกงของตนแล้ววางมันลงที่ข้างตัวของชานยอล โน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูเมื่อเห็นคฃว่าคนตัวสูงมองสิ่งที่ตนมอบให้อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะผละออกแล้วกลับออกไปจากห้องทิ้งให้ชานยอลอยู่กับความเงียบที่มีเพียงเสียงกระซิบของแบคฮยอนดังซ้ำๆอยู่ในหัว
“อันนี้ คยองซูฝากมา”
สอง ขาก้าวอย่างอ่อนแรงไปตามทางเดินเพื่อออกไปจากรั้วบ้านหลังใหญ่ แบคฮยอนก้มมองดูมือของตนเองที่ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากคัตเตอร์สแตน เลส ตอนนี้รู้สึกเสียดายเหลือเกินที่ทิ้งคัตเตอร์ไว้ให้ชานยอล บางทีเขาควรใช้มันเสียเอง ไม่น่าเอาความสะใจเป็นที่ตั้ง คยองซูคงอยากให้เขาใช้มันมากกว่าที่จะเอาไปให้ชานยอลแบบนั้น
นึก แล้วก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้ ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นพวกยอมคนอื่นเป็นนิสัยแท้ๆ แต่เดียวนี้กลับระเบิดอารมณ์ได้ง่ายๆ เหมือนว่าจะติดนิสัยจากคุณคริสแล้วสินะ
คุณคริสงั้นหรือ…
“โอ๊ย”
แบ คฮยอนยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตนเองที่เพิ่งชนเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างจัง เพราะมัวแต่เดินก้มหน้าจนไม่รู้ว่ามีใครมาหยุดยืนขวางเอาไว้จึงไม่ทันระวัง เงยหน้าขึ้นมองด้วยใจสั่นไหวกับใบหน้าของคนที่กำลังคิดถึง คริสเลิกคิ้วมองลูกหมาน้อยของตนที่ใบหน้าโศกเศร้าจนน่าสงสาร
“เป็นไรวะ”มือหนายกขึ้นหมายจะยีหัวคนตัวเล็กเล่นอย่างเคย แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายเบี่ยงหนีเสียอย่างนั้น
แบ คฮยอนจ้องใบหน้าของคริสอย่างรู้สึกผิดในใจ หากแต่ก็ไม่ลืมว่าตกลงกับชานยอลไว้อย่างไร เขาจำเป็นที่ต้องทำเช่นนี้ จำเป็นที่ต้องฝืนใจตนเอง เดินเลี่ยงไปอีกทางทันทีที่เห็นว่าคริสตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างต่อ
“ไอ้ลูกหมา”
“…….”
“กล้าเดินหนีกูเหรอ”
“…..”
“เฮ้ย เป็นไรวะ”
“……”
“แบคฮยอน”
คริ สมองตามแผ่นหลังบางที่เดินห่างออกไปอย่างไม่เข้าใจ แบคฮยอนเป็นอะไรไป ทำไมถึงมีท่าทีแปลกๆ ทำไมถึงเดินหนีเขาไปทั้งๆที่ปกติแทบจะกระโดดเข้าใส่เขาเลยเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้ลูกหมามันเป็นอะไรของมันวะ”
ร่าง สูงเดินกลับไปยังฮายาบูสะลูกรักที่จอดเอาไว้หน้าบ้าน ก่อนจะสตาร์ทอีกครั้ง แล้วขับเข้ามาด้านใน ตรงไปยังเรือนหลังเล็กซึ่งเป็นสิ่งเดียวในบริเวณบ้านนี้ที่ตนเป็นเจ้าของ จอดรถเข้าที่แล้วจึงนำผ้ามาคลุมไว้เหมือนเช่นเคย แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านไปพักผ่อนดั่งหวัง ร่างสูงของใครอีกคนก้ปรากฏขึ้นเสียก่อน
คริ สขมวดคิ้วที่เห็นว่าชานยอลมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆเช่นนี้ ปกติแล้วน้องชายจอมถือตัวของเขาไม่เคยเฉียดเข้ามาใกล้แถวๆนี้ด้วยซ้ำ ก็พอจะรู้ว่าเจ้าตัวเคยอยากจะได้เรือนหลังเล็กนี้อยู่ หากแต่คนที่เชื่อฟังนายพลปาร์คจนแทบจะคิดเองไม่เป็นอย่างชานยอลรู้ว่าที่นี่ ถูกยกให้กับเขา ก็ไม่รุกล้ำเข้ามาเลยสักครั้ง
“ขอคุยด้วยหน่อย”
“ข้างในมั้ย”คริสชี้ไปที่ด้านในเรือนหลังเล็ก ขอเดาว่าชานยอลคงอยากเข้าไปสัมผัสมันสักครั้ง เขาควรจะสงเคราะห์มันสักหน่อยล่ะนะ
ไม่ รอให้ชานยอลตอบตกลง คริสก็เดินนำเข้าไปทันที ด้านในไม่กว้างมากนัก เป็นห้องรับแขกเล็กๆที่มีทีวีธรรมดากับ โซฟาชุดกลาง พอให้รับแขกได้สองสามคน ห้องครัวถูกแบ่งสัดส่วนออกไปด้านในโดยไม่มีประตูกั้น และอีกฝั่งเป็นห้องนอนที่ถูกปิดประตูเอาไว้มิดชิด
คริ สทิ้งตังนั่งลงบนโซฟาก่อนจะกดเปิดทีวีช่องเพลงร็อคที่เร่งวอลลุ่มเสียจนสุด ชานยอลถอนใจกับความกวนประสาทของอีกฝ่ายที่จงใจเปิดเสียงรบกวนสิ่งที่เขา ต้องการจะพูด
“เรื่องแบคฮยอน”
“อะไรนะ! พูดดังๆสิ ไม่ได้ยินเว้ย!”คริสเอ่ยถามทั้งๆที่สายตายังจ้องไปยังจอสี่เหลี่ยมด้านหน้า
“เลิกยุ่งกับแบคฮยอนซะ นายจะทำลายอนาคตเขา”
“ห๊ะ!”
“อู๋อี้ฟาน ขอร้อง”
“อีกทีสิ เมื่อกี้ขอร้องกูหรอ”มือหนากดปิดเสียงรบกวนแทบจะในทันที
“ใช่ เลิกยุ่งกับแบคฮยอน เขาไม่ควรต้องทิ้งอนาคตเพราะนาย”
“อนาคต? อนาคตอะไรหรอวะที่มึงพูดถึง อนาคนที่จะกลายเป็นนกน้อยในกรงทองตลอดชีวิตน่ะหรอ”
“แล้วมันแย่กว่าต้องใช้ชีวิตกับพวกกุ๊ยหรือไง ให้บินอออกจากกรงไปเพื่อทำเรื่องต่ำๆ ฮึ! ฉันไม่ซีเรียสกับเรื่องBlow job หรอกนะ แต่ฉันซีเรียสตรงที่เป็นแบคฮยอน”
คริ สเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าชานยอลจะหมายถึงเรื่องของแทคยอนหรือไม่ หากถ้าใช่นั่นน้องชายเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“มึง….หมายความว่ายังไง”
“มันน่าตกใจฉันรู้ แต่จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก ตราบใดที่นายจะเลิกยุ่งกับแบคฮยอน”
มาถึงตรงนี้ คริสพอจะเดาสาเหตุทีแบคฮยอนเอาเดินเลี่ยงเขาไปแบบนั้นได้แล้ว ท่าทางว่าชานยอลคงจะคุยเรื่องนี้กับแบคฮยอนไปก่อนแล้ว
“คงจะใช้วิธีนี้กับแบคฮยอนด้วยล่ะสินะ”
“………..”ชาน ยอลไม่ตอบอะไร ทำเพียงแค่ลุกหนีเท่านั้น สองขาก้าวยาวๆหมายจะออกไปจากที่นี่เสียที ไม่สนสักนิดว่าคริสจะคิดอย่างไรกับสิ่งที่ตนทำ ตราบใดที่ไม่ต้องเสียแบคฮยอนไป เขาก็จะทำทุกๆอย่าง
“ดอกไม้แสนสวยใจแจกัน มันจะเหี่ยวตายในไม่ช้า”คริสพูดพลางมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไป ก่อนที่ชานยอลจะหยุดเดินและหันกลับมาอีกครั้ง
“นั่นมัน คือสิ่งที่นายกำลังทำ นายคือคนที่เด็ดดอกไม้จากต้นต่างหากล่ะอู๋อี้ฟาน”
.
.
.
หลัง จากส่งเด็กทั้งสองคนแล้วลู่หานก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อนอนเฝ้ามิ นซอก มองดูนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาเกือบสามทุ่ม บางทีมินซอกอาจจะหลับไปแล้วแต่ก็ผิดคาด ดูเหมือนเขาจะเดาผิดไป
“ขอ โทษที พี่นึกว่าเราหลับไปแล้ว”ลู่หานตั้งท่าจะเดินกลับออกไปเมื่อเห็นว่ามินซอกยัง ไม่หลับอย่างที่คิด ทั้งๆที่ต้องมานอนเฝ้าแต่ก้ต้องรอให้คนตัวเล็กหลับไปเสียก่อน เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรำคาญและไม่อยากเห็นหน้า
“เดี๋ยว พี่อยู่ในนี้แหละ ผมกำลังจะนอนแล้วล่ะ”
“อืม”
ความ เงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง มันไม่เคยเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนที่อยู่ด้วยกันมันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มันเปลี่ยนไปพร้อมกับความเชื่อใจที่เคยมี เมื่อความรู้สึกของลู่หานเปลี่ยน ความรู้สึกของมินซอกก้เปลี่ยนไปเช่นกัน
ลู่ หานได้แต่โทษตนเองที่มั่นใจเสียจนลืมไปว่า ไม่รักอย่างไรก็คือไม่รัก เขาคิดเสมอว่าตราบใดที่เขายังเป็นคนเดียวที่ได้ยืนอยู่ข้างมินซอก สักวันคนตัวเล็กก็คงรักเขาไม่ต่างจากที่เขารัก เขาเองที่พลาด มินซอกไม่รัก และตอนนี้เขาก็มั่นใจว่าอย่างไรก็คงไม่มีวันรัก
ร่าง โปร่งเอนตัวพิงพนักโซฟาจ้องมองคนป่วยที่กำลังพยายามข่มตาหลับอยู่บนเตียงผู้ ป่วย ต่อไปนี้เขาลู่หานคงทำได้เฝ้ามองมินซอกเท่านั้น
“พี่ลู่หาน”
“หืม?”อดแปลกใจไม่ได้ที่สุดท้ายแล้วเด็กน้อยไม่ได้หลับไปอย่างที่ควรจะเป็น มินซอกหันหน้ามามองตาแป๋ว
“นอนไม่หลับเลย พี่…ร้องเพลงให้ฟังได้มั้ย”
“พี่หรอ? ร้องเพลงเนี่ยนะ”
“ใช่ พี่เคยร้องให้ฟัง ตอนที่ผมยังเด็กๆ”คนตัวเล็กกระตุกยิ้มออกมากับเรื่องราวในอดีต พี่ชายที่แสนใจดีร้องเพลงกล่อมน้องชายตัวเล็ก
“อ่า นั่นมันนานแล้วนะ ตอนนั้นเราแค่หกขวบเอง ตอนนี้โตแล้วก็ต้องร้องเพลงกล่อมหรอ”
“แน่สิ โตกว่านี้ ผมก็ยังเป็นน้องชายของพี่ ร้องหน่อยนะ เพลงที่พี่ร้องตอนนั้น”
นั่น สินะ จะโตกว่านี้ มินซอกก็มองว่าเขาเป็นแค่พี่ชายใจดีคนนั้นไม่เปลี่ยนไปเลย แต่มากกว่าจะมานั่งตอกย้ำตัวเองให้เจ็บปวด เขาควรจะเป็นพี่ชายคนเดิมเพื่อให้น้องชายอยากจะยืนเคียงข้างต่อไป
“Dancing bears painted wings thing I almost remember and a songsomeone sing Once upon a December”
ราว กับว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว เด็กน้อยวัยหกขวบในอ้อมกอดของพี่ชายวัยสิบห้าปี เพลงที่ถูกขับกล่อมดังจากริมฝีปากของคนที่โตกว่า เพื่อให้เด็กน้อยนั้นหลับฝันดี
Someone holds me safe and warm
Horses prance through a silver storm
Figures dancing gracefully
Across my memory
Far away long ago
Glowing dim an as ember
Things my heart
Used to know
Once upon a December
TBC.
#ฟิคสีแดง
ปล.เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ
ความคิดเห็น