คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : RED 10
RED 10
“แม่ว่าน่าจะไปบอกคุณน้าโบมีนะลูก”
“ผม ว่ารอให้แบคฮยอนโอเคกว่านี้ดีกว่าครับ แบคฮยอนเองก็คงไม่อยากให้พวกคุณน้าเป็นห่วง”ชานยอลพูดกับหญิงสาวผู้เป็น มารดาของตนที่ตอนนี้กำลังทายาแก้ฟกช้ำให้แบคฮยอน
“เฮ้อ แล้วเล่นกันแรงขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย เรียนพละหรือไปรบฮึ?”
“อุบัติเหตุน่ะครับแม่”ร่างสูงส่งยิ้มบางให้หญิงสาวก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้างของตนเอง
เขาเรียกคนรถให้มารับเพื่อพาแบคฮยอนกลับมาพักที่บ้าน ไม่อยากให้ต้องตื่นมาในห้องพยาบาล ของสถานที่ที่ทำให้เจ้าตัวต้องเจ็บแบบนี้ อีกอยากเจาพวกที่เขาจัดการไปถ้าไม่เป็นหนักถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาลก็คงไปนอนรกหูรกตาอยู่ในห้องพยาบาลนั่นเป็นแน่ แบคฮยอนไม่ควรต้องเจอพวกนั้นอีก
ปาร์คเฮราไล่สายตาสำรวจไปทั่วร่างกายของเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อไม่พบรอยฟกช้ำนอกเหนือจากที่ทายาให้แล้วก็ค่อยๆดึงผ้าห่มมาคลุมกั้นความเย็นจากเครื่องปรับอากาศให้ วางกระปุกยาเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวจะออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะแรงฉุดรั้งที่ข้อมือ
“เดี๋ยวครับแม่ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
สองแม่ลูกพากันออกมาจากห้องเพื่อเป็นการไม่รบกวนการพักผ่อนของแบคฮยอน เฮราเดินนำมานั่งที่โซฟาตัวนุ่มก่อนจะส่งยิ้มให้ลูกชายที่มีท่าทีลำบากใจเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดอะไรบางอย่างดีหรือไม่
ชานยอลทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเดี๋ยวตัวข้างๆกัน สูดหายใจเข้าไปจนสุดก่อนจะค่อยๆปล่อยออกมาช้าๆ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เมื่อ พร้อมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นของคยอง ซูรวมทั้งคำขอร้องของครอบครัวโดให้คนเป็นแม่ได้รับฟังอย่างละเอียด
ด้านเฮราที่ได้ฟังก็ต้องยกมือขึ้นมาทาบอก เรื่องที่เด็กที่ชื่อคยองซูตกบันไดได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียความทรงจำนั่นชวนให้น่าตกใจเหลือเกิน หาก แต่ที่หล่อนตกใจยิ่งกว่าคือชานยอลที่ทั้งครอบครัวหมายหมั่นจะให้สานสัมพันธ์ กับตระกูลบ้านใกล้เรือนเคียงนั้นมีแฟนแล้วโดยไม่บอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เลยสัก นิด ซ้ำยังจะพามาอยู่ร่วมบ้านกันอีกยิ่งไปกันใหญ่
“น้องแบครู้เรื่องแฟนลูกหรือเปล่า”
“ทราบครับ”
“แล้วน้องแบคได้บอกน้ามงยูลกับน้าโบมีมั้ย”
“ผมคิดว่าคงไม่ได้บอกครับ”
“เฮ้อ”เฮราถอนใจออกมา คิดไม่ตกว่าจะไปอธิบายกับครอบครัวบยอนอย่างไรดีที่อยู่ๆคนที่ทั้งคู่ไว้ใจจะยกแก้วตาดวงใจให้ดูแลนั้น ดันแอบไปมีแฟนไม่บอกไม่กล่าว แล้วยังจะพาแฟนมากินนอนอยู่ในบ้าน ถึงหล่อนจะสงสารที่เด็กคนนั้นสูญเสียความจำไป หากแต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาขออยู่ที่นี่ บอกว่าคุ้นกับชานยอลที่สุดจึงขอมาอยู่ด้วย แล้วคนที่ไม่คุ้นล่ะ? ควรไปทำความคุ้นเคยกันมากกว่าไม่ใช่หรือ แบบนั้นจะช่วยให้ฟื้นความจำได้ดีกว่าหรือเปล่า และปัญหาที่คาดว่าจะหนักที่สุดไม่ใช่ตระกูลบยอน แต่เป็นนายพลปาร์ค ผู้ที่เคร่งครัดทุกสิ่งอย่าง เป็นผู้นำในฐานะนายทหาร เป็นช้างเท้าหน้าในฐานะหัวหน้าครอบครัว เป็นสามีที่เจ้าระเบียบและเป็นพ่อที่แสนเข้มงวด ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากผู้เป็นพ่อรู้ว่าลูกชายของตนนั้นออกนอกเส้นทางที่ขีดเอาไว้ให้จะเป็นอย่างไร
“ถ้าแม่อนุญาต ชานยอลคิดว่าพ่อจะอนุญาตมั้ย”
“……”
“งั้น เราจะคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งตอนคุณพ่อกลับมาแล้ว”คุณหญิงของบ้านตัดบท แล้วพาเอาร่างระหงของตัวเองเลี่ยงออกไปเพราะไม่อยากจะอยู่กดดันลูกชายอีก
ชานยอลเอนตัวลงกับผนังโซฟาก่อนจะหลับตาลงช้าๆ เขาอยากจะพักสักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกที่คนอย่างเขารู้สึกว่าจัดการอะไรในชีวิตไม่ได้เลย ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้เขาก็ไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้ อาจจะย้อนกลับไปในวันนั้น จุดเริ่มต้นระหว่างเขากับคยองซู ถ้าวันนั้นเขาไม่บังเอิญไปที่ห้องสมุด หรือบางทีอาจจะย้อนกลับไปเพื่อที่จะไม่เลือกเกิดมาเป็นปาร์คชานยอลตั้งแต่แรก
“ชาน”เสียงที่แสนคุ้นเคยฉุดให้คนตัวโตที่นอนพักสายตาอยู่ที่โซฟานั้นต้องลืมตาขึ้นมอง
แบคฮยอนยืนนิ่งมองคนที่มีท่าทีอ่อนล้าตรงหน้า แววตาเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งไปให้อย่างจริงใจ จริงอยู่ที่แบคฮยอนยังรู้สึกกลัวกับการกระทำที่แสนรุนแรงโหดร้ายของชานยอล หากแต่เวลานี้ร่างสูงดูช่างเบื่อโลกเหลือเกิน ดูไม่เหมือนคุณชายปาร์คที่แสนเพอร์เฟคคนที่แบคฮยอนรู้จักตั้งแต่จำความได้
ชานยอลขยับตัวไปนั่งที่โซฟาตัวยาวเมื่อแบคฮยอนทิ้งตัวนั่งลงมานั่งเช่นกัน มือหนาจับเข้ากับมือเรียวสวยของร่างเล็กแล้วบีบเบาๆเหมือนร้องขอพลังใจจากสัมผัสนั้น
“ทำไมตื่นแล้วล่ะ”
“เสียงโทรศัพท์น่ะ มินซอกกับจุนมยอนโทรมา สองคนนั้นกำลังจะมาที่นี่”
“อืม”ร่างสูงเอนศีรษะลงซบที่ไหล่ลาด ของคนข้างกาย มันไม่ใช่ไหล่กว้างแข็งแรงที่จะทำให้คนซบรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง และชานยอลเองก็ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น เข้าไม่ได้ต้องการให้คนตัวเล็กนี่ปกป้องเขา เป็นเขาที่อยากจะปกป้องแบคฮยอน ไหล่ของแบคฮยอนเป็นสิ่งที่เขาโหยหาอยากจะกกกอดคุ้มครองมันเอาไว้
“เป็นอะไรรึเปล่า”
ชานยอลไม่ได้ตอบคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้น แต่กลับรั้งตัวของคนถามเข้าสู่อ้อมกอดให้แนบแน่นจนไร้ช่องว่าง แบคฮยอนเองไม่ได้ขัดขืนอะไรแม้จะตกใจอยู่บ้างก็ตาม มือสวยยกขึ้นสัมผัสกลุ่มผมนุ่มของคนตัวโตที่กอดซุกตนอยู่เหมือนกับเด็กเล็กๆ ลูบอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยนชานยอลเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลางดงามซุกนิ่งอยู่ที่ไหล่เล็กก่อนจะค่อยๆขยับองศาไปฝังมนเอาไว้ที่ซอกคอขาวเนียน
หอม
วานิลลา
แบคฮยอนไม่เคยเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม นี่เป็นกลิ่นที่เขาคุ้นชินที่สุด กลิ่นของแบคฮยอนเพียงคนเดียว หอมหวาน อบอุ่น และชวนให้ผ่อนคลาย
“อย่าเพิ่งไปนะ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกับนายพล เราอยากให้แบคอยู่กับเราด้วย”เสียงออดอ้อนราวกับเด็กๆของชานยอลทำให้แบคฮยอนต้องยิ้มออกมา
“ได้สิ เราจะอยู่ด้วย มีมินซอกกับจุนมยอนด้วยนะ”แม้จะไม่รู้ว่าร่างสูงต้องการจะพูดคุยอะไรกับผู้ใหญ่ หากแต่ขอร้องให้เขาอยู่ด้วยแบบนี้เดาว่าคงเป็นเรื่องที่กดดันพอตัว
“ขอบคุณครับ”
.
.
.
ทั้งโต๊ะอาหารเงียบสนิทประหนึ่งว่าหากมีใครส่งเสียงดังจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ชายท่าทางน่าเกรงขามนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะมองนิ่งไปยังลูกชายที่เพิ่งเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังหลังจากทานมื้อเย็นกันไปแล้ว ไม่ใช่แค่นายพลปาร์คที่นิ่งไป เด็กหนุ่มอีกสามคนก็ดูเหมือนจะพากันเงียบลงไปจนหมด จุนมยอนและมินซอกมองหน้ากันไปมาก่อนจะหันไปมองแบคฮยอนที่ยังก้มหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม
คยองซูความจำเสื่อม
แบคฮยอนแทบจะร้องไห้ออกมา เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนเองไมใช่ต้นเหตุที่ทำให้คยองูเป็นเช่นนี้ หากวันนั้นเขาไมไปหาเรื่องถกเถียงกับอีกคน ก็คงไม่เกิดเรื่องเกิดราวกันขึ้น แล้วเรื่องที่คยองซูต้องการมาอยู่ที่บ้านของชานยอลเขาก็ไม่มีสิทธิออกความเห็นอะไรทั้งนั้น รู้ตัวว่าสร้างปัญญาหามากพอแล้ว เวลานี้คงได้แต่นั่งเงียบๆไปจะเหมาะกว่า
“ฉันจะคุยกับบ้านบยอน ให้ยกเลิกการหมั้นหมาย”
“ไม่นะครับพ่อ”ชานยอลแย้งขึ้นทันที เขาไม่ได้ต้องการเช่นนี้ เขาแอยากจะให้คนเป็นพ่ออนุญาตให้คยองซูมาอยู่ท่บ้านจนกว่าจะหายดี มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการหมั้นหมายของเขาและแบคฮยอนสักนิด
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อแกก็มีแฟนอยู่แล้ว”
“แต่ ผมรักแบคฮยอน”
ทุกคนมองไปที่ชานยอลเป็นตาเดียว แบคฮยอนมองหน้าคนที่เพิงเอ่ยคำหวานนั้นออกไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยยินคำว่ารักจากปาร์คชานยอล มันชวนให้เขินอาย แต่ไม่อาจทำให้ใจเต้นแรงได้
คำว่ารักที่เหมือนลมวูบหนึ่ง พัดมาท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แค่พอให้เย็นชื่นใจ แล้วมันก็พัดผ่านไป เราไม่ได้แค่ต้องการให้ลมพัดมาทำให้รู้สึกเย็นขึ้น หากแต่แท้จริงแล้วเราต้องการให้อากาศมันหายร้อน ความรักก็เช่นกัน คนเราไม่ได้ต้องการคำว่ารัก สิ่งที่เราต้องการคือความรัก ไม่ใช่การตะโกนบอกรักเราในขณะที่กำลังจับมือคนอื่น นั่นเป็นเพียงแค่ลมปาก และมันก็ไร้ประโยชน์
“ได้โปรดเถอะครับ ผมสัญญาว่าคยองซูดีขึ้นเมื่อไร ทุกอย่างจะเรียบร้อย”ชานยอลเอ่ยขอร้องอีกครั้ง เขาเสียแบคฮยอนไปไม่ได้จริงๆ
นายพลปาร์คถอนใจออกมา มองหน้าลูกชายที่บัดนี้ดูหม่นหมองจนเห็นได้ชัด เขาขีดเส้นเอาไว้ให้ชานยอลเสมอ คอยถางหญ้าปูทางเอาไว้ให้เดินมาตลอด เส้นทางที่เขาวางเอาไว้ก็เพื่อลูกชายคนนี้ทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เขากำลังมองเด็กผู้ชายที่หลุดออกนอกเส้นทางและกำลังออกเดินย่ำไปบนเศษหินเศษดินผืนหญ้าที่บาดเท้าจนหลั่งเลือด ชานยอลกำลังหาทางกลับมา แม้จะเดินห่างออกไปทุกทีทุกที แต่เขารู้ว่าเด็กคนนี้อยากกลับมา มันอาจต้องใช้เวลา…
“แบคฮยอน อย่าเพิ่งบอกเร่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่ได้รึเปล่า”มันอาจต้องใช้เวลา และชานยอลก็ควรได้รับเวลาและโอกาส
“อ่า ครับ”แบคฮยอนตอบออกไปอย่างลังเล ใจจริงเขาอยากให้มันจบๆไปเสียด้วยซ้ำ หากแต่นายพลปาร์คเป็นคนเอ่ยปากขอร้อง เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
จุนมยอนเดินจับแขนแบคฮยอนยกขึ้นลงไปมาพร้อมคอยหมุนตัวอีกคนเพื่อสำรวจรอยฟกช้ำ ใน ขณะที่มินซอกที่เดินอยู่ข้างๆก็กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สาบานกับตัวเองว่าจะต้องไปจัดการพวกที่แกล้งแบคฮยอนให้ได้ในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ตามที หากแต่เพื่อนทั้งสองคนก็ยังขุ่นเคืองไม่หาย แบคฮยอนเองก็เล่าไปเพียงว่าชานยอลมาช่วยเอาไว้ แต่ไม่ได้บอกออกไปว่าช่วยอย่างไร เพราะ ถ้าสองคนนี้รู้เข้ารับรองว่าคงจะเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะจุนมยอนที่มักจะชื่นชมเสมอว่านยอลช่างเป็นคนที่อ่อนโยนจริงๆ คุณหนูจุนรู้เข้าคงช็อคไปสามวันสามคืน
“หืม…”ดวงตาคู่สวยมองไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปด้านหลังตัวบ้านของชานยอล ปกติ แล้วเขาจะเห็นมันถูกปิดเอาไว้เพราะชานยอลบอกว่าพี่ชายที่ย้ายมาอยู่ด้วย นั้นชอบออกไปนอนที่อื่น หากแต่วันนี้แสงไฟที่ลอดออกมาจากตัวบ้านทำจึงให้แปลกใจไม่น้อย
“ไปดูกันมั้ย”มินซอกเอ่ยชวน จำได้ว่าชานยอลบอกว่ามีพี่ชายย้ายมาอยู่ที่เรือนหลังเล็ก แต่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ทักทายเลยสักครั้ง
“จะดีหรอ?”จุนมยอนกำลังชั่งใจอยู่เพราะคิดว่าคงไม่เข้าท่าเท่าไรนัก
เมื่อเห็นว่าจุนมยอนไม่ยอมคล้อยตามง่ายๆ มินซอกจึงหันไปกดดันแบคฮยอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่แทน ซึ่งไม่นานนักแบคฮยอนก็ตัดสินใจได้ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆและเดินนำเพื่อนอีกคนคนไป
ทั้งสามเดินอย่างระมัดระวังผ่านตัวบ้านที่ใหญ่โต จนมาหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ข้างๆบ้านที่ขึ้นอยู่ระหว่างระเบียงห้องของชานยอลและแบคฮยอน ระยะ ห่างที่ไม่มากนักทำให้เห็นว่าผ้าม่านภายในเรือนหลังเล็กถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ คนด้านในมองออกมา หากแต่มันก็ไม่ใกล้พอที่จะทำให้เห็นว่าคนที่กำลังมองพวกเขาอยู่ด้านในนั้น เป็นใคร
เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีคนอยู่จริงๆสามเพื่อนซ้ก็รีบเร่งฝีเท้าไปให้ถึงตัวบ้านเพื่อหวังจะได้ทักทายกันเสียที แต่พอออกเดินไปได้เพียงสักพัก ไฟในบ้านนั้นก็ดับลงราวกับจะดับฝันเด็กสามคนที่กำลังจะถึงเป้าหมาย
“เขาอาจไม่อยากให้เรารบกวนนะ”จุนมยอนบอกกับเพื่อนๆด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ก็คงใช่”ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเจ้าบ้านก็เห็นอยู่แล้วว่าพวกตนกำลังจะไปพบ แต่ก็ยังปิดบ้านหนีขนาดนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าคงไม่ปรารถนาจะรับแขก
“บางทีเราอาจมาผิดเวลา”มินซอกยักไหล่ก่อนจะถอนใจแล้วหันหลังกลับ เพื่อมุ่งหน้าไปยับ้านของแบคฮยอนที่อยู่หลังติดกัน
มินซอกโทรให้ลู่หานมารับพร้อมกับพาลูกสุนัขสามตัวที่แบคฮยอนฝากเอาไว้หลายวันก่อนมาด้วย เหตุ ที่รีบคืนนี่ใช่ว่าเขาไม่อยากเลี้ยง ที่จริงอล้วลูกหมาพวกนี้ก็น่ารักน่าเอ็นดู แต่คิดว่ามันควรจะอยู่กับเจ้าของจริงๆเสียที ไม่ใช่ว่าตื่นมาเช้าก็เห็นแต่ลู่หานตกเย็นก็เจอแต่มินซอก เดี๋ยวอีกหน่อยพวกมันอาจคิดว่าทั้งสองคนเป็นพ่อเป็นแม่มันไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปอีก
แบ คฮยอนก้าวเข้ามาในบ้าน ก็พบว่าทั้งพ่อและแม่ของตัวเองกำลังนั่งยองๆรุมดูอะไรบางอย่างอยู่กับ อาจารย์ลู่หาน ซึ่งมันคงน่าสนใจมากเสียจนไม่รู้เลยว่ามีคนก้าวเข้ามาประชิดตัวแล้ว
“มันน่ารักใช่มั้ยครับ?”แบคฮยอนเอ่ยถามออกไป ทำให้ผู้ใหญ่ที่กำลังชื่นชมลูกสุนัขอยู่ต้องละสายตามาหา
“อ่า แบคฮยอน เจ้าพวกนี้น่ารักจริงๆนะ”คุณผู้หญิงของบ้านบอกเสียงหวาน ก่อนจะพยักหน้าให้เด็กอีกสองคนที่กำลังโค้งทักทายอย่างอ่อนน้อม
“ผมดีใจที่พ่อกับแม่ชอบมันนะครับ กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าเลี้ยงไม่ได้จะทำยังไงดี”
“ได้สิ อาลู่บอกว่ามันชื่ออาละดิน เยเกอร์ แล้วก็คริสติน่าหรอ ชื่อเรียกยากจริง”บยอนมงยูลเอ่ยถาม
“ครับ”ลูกชายคนดีตอบพลางอมยิ้ม ชื่อคริสติน่านี่มินซอกเป็นคนช่วยตั้งให้เมื่อวันก่อน เหตุผลก็เพราะจะได้ชื่อคล้ายกับคุณคริส คิดไปแล้วก็อดนึกขำไม่ได้ ถ้าหากเจ้าตัวรู้ว่าถูกเอาชื่อมาตั้งเป็นชื่อหมา มีหวังได้อาละวาดแน่ๆ
พอนึกไปถึงอีกคน จะว่าไปแล้ว ทำไมเขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของคุณคริสล่ะ ถ้าขอแล้วคุณคริสจะให้หรือเปล่านะ?
ไว้จะลองดู
.
.
.
เพราะอาการปวดช้ำตามร่างกายทำให้วันนี้บยอนแบคฮยอนต้องนอนแหม่ะอยู่ในห้องทั้งวัน มากสุดก็แค่ลงไปเล่นกับลูกหมาที่ถูกนำไปเลี้ยงไว้อีกห้องหนึ่ง แต่พอถึงเวลากินข้าวกินยาแล้วก็ถูกไล่กลับขึ้นมานอนพักอยู่แต่ในห้องเหมือนเดิม โทร ไปหามินซอกรายน้นก็บอกว่าไม่ว่างเพราะกำลังตามเคลียร์คนที่รังแกเขา พอโทรหาจุนมยอนก็ยิ่งไม่ว่างไปใหญ่เพราะต้องไปคอยตามห้ามมือห้ามเท้าไม่ให้ มินซอกออกแรงมากนัก
แรงงั้นหรอ? นึกแล้วก็…
เพื่อนสองคนที่ถูกชานยอลตีเมื่อวานนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
จะโทรหาชานยอลก็คงจะไม่สะดวกยิ่งกว่าใคร เพราะ วันนี้ต้องไปรับคยองซูออกจากโรงพยาบาล กำลังนึกๆอยู่ว่าจะมาถึงกันหรือยัง ก้ได้คำตอบแทบจะทันที เมื่อหันไปเห็นว่าร่างของสองคนที่ต่างความสูงกันนั้นเปิดประตูเข้ามาในห้อง ของชานยอล แจะเปิดผ้าม่านโล่งเอาไว้ทั้งสองห้อง หากแต่โพล้เพล้เช่นนี้ ห้อง ที่ไม่เปิดไฟเอาไว้คงไม่อาจทำให้ชานยอลมองเมาเห็นได้ว่าขณะนี้แบคฮยอนกำลัง นั่งมองตนกับคนตัวเล็กที่เพิ่งเปิดประตูเปิดไฟเข้าห้องมา
คยองซูดูอาการดีขึ้นมาก มีผ้าพันแผลอยู่อีกเพียงสองสามจุดเท่านั้น รอย ยิ้มก็ดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แบคฮยอนขอเดาว่าเพราะความทรงจำที่หายไปทำให้ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวต่างๆที่ เกิดขึ้นกับตัวเงอก่อนหน้าซึ่งคงมีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี
เพราะไม่รู้อะไร ถึงได้มีความสุข
โชคดีจริงๆ
นั่ง มองอยู่สักพัก จนเมื่อเห็นว่าคยองซูเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว แบคฮยอนจึงเดินไปหยิบเอายางลบก้อนเล็กจากโต๊ะเขียนหนังสือแล้วออกไปที่ ระเบียงห้อง เล็งหาจังหวะเหมาะๆ จัดการปายางลบไปที่กระจกห้องฝั่งตรงข้าม ซึ่งเสียงก๊อกแก๊กเพียงเบาๆก็ทำให้เจ้าของห้องหันมาให้ความสนใจได้ ดวงตาโตสวยเบิกขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนเรียกตนเองจากระเบียงห้องนั้น
ชานยอลเปิดประตูออกมาก่อนจะสำรวจมองดูเสื้อผ้าที่แบคฮยอนใส่ ปกติแล้วถ้าไปโรงเรียนต่อให้กลับมาเร็วแค่ไหนก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่เวลานอนบยอนแบคฮยอนไม่มีทางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่นอน วันๆนึงนี่ใส่ชุดนักเรียนจนคุ้มเลยจริงๆ
“ปีนมานี่เร็ว”ชานยอลเอ่ยชวน
“ไม่เอา เรากลัวตก”แบคฮยอนทำหน้าเป็นใส่คนชวน เรื่องกลัวตกอะไรนั่นคงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพูดไปอย่างนั้นเอง กำแพงโรงเรียนยังปีนมาแล้ว นับประสาอะไรกับปีนต้นไม้ข้ามไปอีกห้องที่ระยะห่างกันแค่เมตรสองเมตร
“ฮึ ฮึ เล่นตัวนะครับ”ร่างสูงส่ายหน้ายิ้มขำกับความกวนเล็กๆของอีกฝ่าย ก่อนจะส่งมือเอื้อมไปหา
แบคฮยอนก้าวขาปีนไปตามกิ่งไม้สูงใหญ่อย่างชำนาญ แม้จะไม่ได้ปีนข้ามไปมาบ่อยนักเพราะส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ชานยอลที่เป็นฝ่ายข้ามมาหาอยู่เสมอ มือเรียวจับแน่นเข้ากับมือที่ยื่นมาหา กระชับให้มั่นใจแล้วเหวี่ยงตัวเองข้ามระเบียงไปได้สำเร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่คยองซูออกมาจากห้องน้ำพอดิบพอดี แบคฮยอนจึงรีบก้าวไปหาคนตาโตด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีคยองซู”
“สะ..สวัสดี เอ่อ….”
“แบคฮยอน บยอนแบคฮยอน”
ทันทีที่แบคฮยอนบอกชื่อออกไป คยองซูก็เบิกตาโตๆนั่นจนโตขึ้นไปอีก ท่าเหมือนตกใจทำให้เจ้าของชื่อแปลกใจไม่น้อย ชื่อเขามีอะไรน่าตกใจมากงั้นหรือ
“มาแล้วก็นั่งเป็นเพื่อนคยองซูหน่อยนะ เราจะลงไปเอาน้ำกับขนมมาให้”ชานยอลกำชับฝากคนตัวเล็กเอาไว้กับแบคฮยอนก่อนจะรีบออกไปในทันที
เมื่อชานยอลออกไปแล้ว คยองซูก็ยิ่งสร้างความกังขาให้แบคฮยอนมากเข้าไปอีก ตอนได้ยินชื่อยังแค่มีท่าทีตกใจ แต่ตอนนี้อีกคนกำลังทำท่าทางราวกับว่ากลัวเขาเสียมากมาย ก้มหน้าก้มตา พอเงยแหน้ามองก็รีบหลบสายตาหนีไปอีก ซ้ำยังตัวสั่นเสียจนคนมองรู้สึกแย่ไปด้วย
เป็นอะไร?
“คยองซู เอิ่ม เป็นอะไรหรอ”
“ห๊ะ? เอ่อ คือเราไม่ได้เป็นอะไร ไม่เป็น แบคฮยอนอย่าโกรธเรานะ เราขอโทษ แต่เราไม่ได้เป็นอะไร”
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายละล้ำละลักตอบออกมาก็ยิ่งชวนให้ข้องใจ นี่เขาดูน่ากลัวมากนักหรืออย่างไร ทำไมต้องทำเหมือนหวาดกลัวกันขนาดนี้
“กลัวเราหรอ ทำไมต้องกลัวเราล่ะ”
“ก็…ชานยอลบอกว่า…”
“ว่า?”
คยองซูกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองแบคฮยอนอย่างหวาดๆ ขยับริมฝีปากไปมาอย่างช่างใจก่อนจะตัดสินใจตอบออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ชานยอลบอกว่าคนที่ชื่อบยอนแบคฮยอน เป็นคนผลักเราตกบันได”
คำบอกเล่าที่ทำเอาแบคฮยอนชะงักไป ไม่อยากจะปักใจเชื่อนักว่าชานยอลจะเป็นคนที่พูดแบบนี้ หากแต่นึกไปว่าร่างสูงเอ่ยถามอะไรออกมาในวันนั้น ก็ทำให้ใจสั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกเจ็บลึกๆที่อกด้านซ้าย รไม่อาจบอกได้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร เสียใจ? น้อยใจ?
‘บอกเราสิว่าแบคไม่ได้ผลักคยองซู’
ที่คิดว่าถามเพราะตกใจ ถามเพราะต้องการคำตอบมันคงไม่ใช่สินะ ในเมื่อชานยอลได้ให้คำตอบกับคยองซูไปแล้ว จริงๆก็คิดว่าเขาผลักสินะ
“ใช่ เราผลักคยองซูเอง”
คยองซูที่ตกใจอยู่แล้วก็ยิ่งตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม ตัวสั่นเทิมถอยหนีไปจนชิดผนัง ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาคลอหน่วยสั่นไหวดูราวกับลูกนกตัวเล็กๆที่กำลังร้องขอชีวิต
เสียงประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับชานยอลที่ยืนมองคนตัวเล็กสองคนสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดคยองซูถึงมีสภาพเช่นนี้
“ฮึก ชานยอล”คยองซูสะอื้นแรงๆก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดร่างสูงจนถาดน้ำและขนมหล่นกระจายแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยเต็มพื้น
ชานยอลมองไปที่แบคฮยอนเพื่อขออธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนที่เขาไม่อยู่ แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงสายตาว่างเปล่าเท่านั้น แบคฮยอนก้าวช้าๆไปหาคนทั้งคู่ เท้าคู่สวยที่เหยียบย่ำไปบนเศษแก้วนั้นไม่สะทกสะท้านใดๆ ราวกับว่าไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว ร่างเล็กในอ้อมกอดของชานยอลที่เห็นว่าแบคฮยอนยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งพาตัวเองฝังลงกับอกแกร่งอย่างหวาดกลัว
“อย่านะ ฮึก อย่าทำเรา”
“อะไรคยองซู ใครทำอะไร”ชานยอลเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อคยองซูเอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนี้
“ฮืออออ แบคฮยอนบอกว่าผลักเราตกบันได ฮึก เรากลัว ฮือออ”
ชานยอลเบิกตากว้างทันทีที่ได้ฟังจากปากของคยองซู สาย ตาคมหันมองแบคฮยอนที่บัดนี้หยุดเดินแล้วมองมาที่ตนเองด้วยดวงตาวูบไหว ก่อนจะมองต่ำลงไปพบว่าเท้าบอบบางนั้นย่ำลงไปบนเศษแก้วจนเลือดไหลซึมออกมา
ปาร์คชานยอลกำลังสับสน เขาไม่อยากจะเชื่อว่าแบคฮยอนจะยอมรับออกมาเองว่าเป็นคนผลักคยองซู แม้เขาจะคิดว่าแบคฮยอนอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คยองซูตกลงไปแต่ก็มั่นใจว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แต่ทำไมเจ้าตัวถึงไม่ปฏิเสธออกมา ทำไมถึงยืนนิ่งๆแบบนั้น
“แบค…”
“เจ็บ มากเลยรู้มั้ย ฮึก เศษแก้วมันทำให้เราเจ็บไปหมด ฮึก ฮึก เรา ฮึก ฮะ ฮึก ไม่อยากเหยียบมันแล้วชานยอล ไม่ ฮึก ไม่เอาแล้ว”คนที่เงียบมาตลอดเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวด น้ำเสียงสั่นไหลเจือกับเสียงสะอื้นนั้นบอกได้ดีว่าแบคฮยอนในขณะนี้รู้สึกอย่างไร น้ำตาที่ไหลอาบลงมาทั้งสองแก้มนั้นบดบังใบหน้าและแววตาที่เคยมีแต่ความสุขไปจดหมด
เท้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดค่อยๆก้าวถอยออกไปช้าๆ ถอยออกไปก็ยิ่งเหยียบย่ำลงบนความเจ็บปวดจากเศษแก้วที่คอยทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่…ให้เดินหน้าไปไกลกว่านี้ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนรับความเจ็บปวดไปได้อีกสักเท่าไร
แบคฮยอยถอยห่างออกไปเรื่อยๆก่อนจะปาดคราบน้ำตาออกไป สองเท้าที่คงเจ็บอยู่นั้นปีนกลับไปบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ชานยอลได้แต่ยืนมองอย่างสับสน จนแบคฮยอนหายลับเข้าไปในห้องฝังตรงข้าม เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ทั้งๆที่คิดว่ามันกำลังดีขึ้น แต่ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ อยากจะก้าวตามอีกคนไป แต่ก็ไม่อาจทิ้งคยองซูที่กำลังร้องไห้หอบสะอื้นอยู่ในอ้อมอกเอาไว้เพียงลำพังได้ เขาไม่ได้อยากเสียแบคฮยอน ไม่อยากให้จบแบบนี้ ไม่อยากจะวาดฝันอนาคตที่ไม่มีแบคฮยอน ไม่อยาก…
.
.
.
“โอ๊ย”คนตัวเล็กสะดุ้งร้องออกมา แบคฮยอนนั่งตาบวมอยู่บนเตียงเพื่อให้แม่บ้านมาแผลที่เท้าให้ ถ้ารู้ว่าตอนเอาเศษแก้วออกจะเจ็บแบบนี้ จะไม่ทำอะไรโง่ๆอีก ขอสาบาน
“แผลฟกช้ำยังไม่ทันจะหายดี ก็ไม่ได้แผลแก้วบาดมาอีก ทำไมซนขนาดนี้คะทูนหัวของป้า”หญิงวัยกลางคนเอ่ยดุอย่างเอ็นดู
“ขอโทษครับ”คุณหนูของบ้านบอกเสียงอ่อย
“เดี๋ยวเสร็จแล้วก็ทานข้าวทานยานะคะ จะพักผ่อน”
บรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
!!!
เสียงล้อบดพื้นถนนดังเข้ามาในห้องเรียกให้ทั้งแบคฮยอนและแม่บ้านต้องหันไปให้ความสนใจ ร่างท้วมของแม่บ้านก้าวอาดไปที่ระเบียงเพื่อหาต้นเสียง
“บ้านนายพลมีใครมาอยู่หรือคะ จักรยานยนต์คันโตเชียว”
“หืม? ที่เรือนเล็กน่ะหรือครับ”
“ค่ะ ป้าก็มองไม่ชัด แต่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายนะคะ”
“อ่อ ลูกชายอีกคนของนายพลน่ะครับ”
เมื่อ ได้คำตอบ หญิงร่างท้วมก็ไม่ถามอะไรต่ออีก คำว่าลูกชายอีกคนของนายพลก็พอจะรู้ว่าหมายถึงลูกที่เกิดกับผู้หญิงอีกคนที่ ไม่ใช่คุณหญิงปาร์ค มืออวบลูบผมนุ่มของคุณหนูแผ่วเบา ก่อนจะออกไปจากห้องเพื่อให้คุณหนูได้พักผ่อน
เมื่อคุณป้าแม่บ้านออกไปแล้ว แบคฮยอนก็ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ เมื่อรู้สึกว่าเครื่องเครื่องยนต์ที่เพิ่งได้ยินนั้นมันช่างคุ้นหูเหลือเกิน ก็อาจเป็นไปได้ที่ว่ารถจักรยานยนต์ก็คงจะเสียงคล้ายกันไปหมด แต่ก็ยังอยากจะเห็นอยู่ดี ร่างเล็กลากสังขารโทรมๆของตัวเองไปที่ระเบียงห้อง ชะเง้อมองลงไปยังบริเวณบ้านหลังที่อยู่ติดกัน ผ้าผืนใหญ่ที่คลุมทับบางอย่างอยู่นั้น พอจะเดาออกว่าคงเป็นเจ้าตัวต้นเหตุของเสียงดังลั่นเมื่อครู่ เรือนหลังเล็กเปิดไฟสว่างเอาไว้ไม่ต่างจากเมื่อคืนที่เดินผ่าน มองจากบนนี้เห็นได้ชัดเจนกว่าเมื่อคืนมากนัก แต่บ้านทั้งหลังก็ลงผ้าม่านปิดเอาไว้จนหมด บางทีอาจจะบุญไม่ถึงล่ะมั้ง
“คิ”
คิดแล้วก็นึกขำตัวเอง ไม่รู้ทำไมจะต้องอยากเจอพี่ชายของชานยอลมากขนาดนั้น เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกว่าควรจะต้องหาโอกาสเจอกันสักครั้ง แต่ว่า ไหนล่ะโอกาส?
แบคฮยอนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เพื่อจัดการกับอาหารเย็นบนโต๊ะ รสชาติของมันยังคงถูกปากเสมอ หากแต่เขากำลังคิดถึงรถชาติของบะหมี่ถ้วยที่ได้ลิ้มลองเพียงครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็คิดถึง
เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ มือเยวสวยยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความบางอย่างออกไปหาเพื่อนซี้แก้มป่องที่เวลานี้คงกลับถึงบ้านแล้วแน่นอน
บยอนบยอล:มินซอกที่รัก
ท่านเจ้าสำนักคิม:?
บยอนบยอล:พี่จงอินยังอยู่ที่บ้านตัวใช่มั้ย
ท่านเจ้าสำนักคิม:อ่าฮะ ทำไมหรอ
บยอนบยอล:ตัวไปขอเบอร์คุณคริสจากพี่จงอินให้เราหน่อยได้มั้ย
ท่านเจ้าสำนักคิม:คุณหนูบยอนครับ แบบนี้ไม่งามเลยนะ
ข้อความเชิงตำหนิแฝงความขบขันถูกส่งกลับมาก่อนที่จะหายไปพักใหญ่ และกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้น
ท่านเจ้าสำนักคิม:010 88xx 12xx
บยอนบยอล:ขอบคุณมากนะมินซอกอ่า แล้วฝากขอบคุณพี่จงอินด้วย ไว้เราจะพาไปเลี้ยงไอศกรีมนะ
ท่านเจ้าสำนักคิม:ห้ามลืมล่ะ เราแคปภาพไว้เป็นหลักฐานแล้ว
แบคฮยอนหัวเราะเบาๆกับความน่ารักของมินซอก เพื่อนคนนี้พึ่งพาได้เสมอ ซ้ำยังทำให้เอารมณ์ดีได้ตลอด นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกัน เขาอาจจะขอมินซอกเป็นแฟนไปแล้วก็ได้นะ
ร่างเล็กเดินเขย่งเท้าอย่างยากลำบากออกไปที่นอกระเบียง อากาศเย็นๆจากต้นไม้ทำให้จิตใจสงบขึ้นไม่น้อย เวลานี้เขาต้องรวบรวมความกล้าอย่างถึงที่สุด ได้เบอร์มาไม่ยาก แต่ที่ยากคือกำลังใจของคนโทรต่างหาก
กดเลขสุดท้ายลงไปสำเร็จแล้วก็พักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะกดโทรออกไปด้วยใจที่ระทึก มือของเขาเย็นไปหมดทั้งสองข้าง ซ้ำยังสั่นจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงจับโทรศัพท์เอาไว้ อยากจะกดวางสายแต่ก้ดูเหมือนไม่ทันเสียแล้วเมื่อเรียกสัญญาณที่ดังขึ้นในหูบ่งบอกว่าเขาโทรติดเป็นที่เรียบร้อย ก็แค่รอให้อีกฝ่ายรับสาย เท่านั้น ทำไมหายใจไม่ออกแบบนี้นะ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการโทรหาใครสักคนช่างน่ากลัวเหลือเกิน
เสียงสัญญาณในโทรศัพท์นั้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่มีใครรับสายเสียที แบคฮยอนผ่อนคลายลงเล็กน้อย บางทีหากไม่รับจริงๆก็คงดีเหมือนกัน เขารู้สึกเหมือนจะตายเลยในตอนนี้ เพราะละความใจจดใจจ่อที่มีต่อเสียงปลายสายลง ถึงได้ยินอีกเสยงที่ดังขึ้นไม่ไกลนัก มันดังเพียงแค่เบาๆเท่านั้นแต่ก็ยังได้ยินชัดเจน
ดวงตาเรียวมองไปยังเรือนหลังเล็กที่ก่อนหน้านี้พยายามจะสนใจใคร่เจอกับเจ้าของให้ได้ บัดนี้คนที่อยากมีโอกาสได้พบสักครั้งกำลังเดินออกมาให้เห็นตัวเป็นๆ
ร่างสูงใหญ่ที่แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางนั้นกำลังก้าวออกมาจากตัวบ้าน ตรงดิ่งไปที่เสื้อคลุ่มที่พาดทับบนผ้าคลุมจักรยานยนต์คนโต แบคฮยอนเพ่งมองไปยังเบื้องล่างด้วยใจที่เต้นระทึกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างสูงนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังแผดเสียงอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมออกมาแล้วกดรับทันที
“ฮัลโหล นั่นเบอร์ใครวะ”
เสียงที่ดังขึ้นเบื้องล่างนั้นกำลังลอดผ่านมาเข้ามาจากปลายสายที่แบคฮยอนโทรหาในเวลาเดียวกัน ร่างเล็กกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาออกไปจากจุดเดิม
“พี่คริส…”
ทันทีที่แบคฮยอนเอ่ยเรียกออกไป ร่างสูงที่อยู่ด้านล่างนั้นมีท่าทีชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมาที่ระเบียงห้องของบ้านที่อยู่ติดกัน แบคฮยอนมองไปยังคนที่ประสานสายตาขึ้นมา ทั้งสองคนยืนนิ่งในมือกำเจ้าสมาร์ทโฟนเอาไว้ค่อยๆลดลงมาอยู่ข้างตัว
ราวกับโลกกำลังงหยุดหมุน ทุกสิ่งกลายเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ความน่าสนใจไปในทันที เมื่อเวลานี้แบคฮยอนเห็นเพียงแค่ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้นอยู่ที่ด้านล่าง ใบหน้าของคนที่เขากำลังเรียกร้องหา
“พี่คริส…”
TBC.
#ฟิคสีแดง
ปล.เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ
ความคิดเห็น