maij
ดู Blog ทั้งหมด

เตือนใช้เจลทินต์ทาในปาก เสี่ยงแพ้อาจถึงขั้นมะเร็ง

เขียนโดย maij
BagsCoach BagsCoach Hand BagsTote BagsMessenger BagsFun BagsDiscount Coach BagsDesigner BagsChanel BagsCanvas Tote BagsFashion Tote BagsDesigner Tote BagsFunky Laptop BagsHand BagsSchool BagsCanvas BagsDuffle BagsGucci BagsLeather BagsGarment BagsBeach BagsGym BagsBook BagsCheap Coach BagsHobo BagsVera Bradley BagsFashion BagsTravel BagsKipling BagsDesigner Laptop BagsShoulder BagsDance BagsEd Hardy BagsEco BagsDesigner Cosmetic BagsMonogrammed Tote BagsWholesale Tote BagsVera Wang BagsEvening BagsPersonalized Tote BagsQuilted Tote BagsWholesale BagsCollection Beach City BagsDrawstring BagsCoach Diaper BagsJuicy Couture BagsBig Buddha BagsFake Designer BagsCute Tote BagsCanvas Messenger Bags.....
เตือนใช้เจลทินต์ทาในปาก เสี่ยงแพ้อาจถึงขั้นมะเร็ง
 
ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต
ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต
เลขาธิการ อย. เตือน วัยรุ่นใช้เจ ลทินต์ทาในปากและแก้มให้ดูสวยใส เซ็กซี่ ต้องเลือกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ เพราะอาจมีสีอันตรายห้ามใช้ ทำให้เกิดอาการแพ้ ปากบวม เสี่ยงเป็นมะเร็งได้ 

ด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง เผยสีลิปสติกกลุ่ม "ส้ม-ชมพู-แดง" ผู้ใช้แพ้มากที่สุด แต่ละปีจะมีคนแพ้ลิปสติก ปากเจ่อ เฉลี่ยปีละประมาณ 100 ราย

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี  เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เครื่องสำอางที่กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นไทยขณะนี้คือ เจลสีที่วัยรุ่นเรียก ว่าทินต์ (tint) เพื่อให้ปากมี สีอมชมพูระเรื่อ หรือออกโทนส้มอ่อน ดูแล้วจะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนมีสุขภาพดี มีเลือดฝาดดี มีความสวยเป็นธรรมชาติ และทาลิปกลอสทับเพิ่มความมันวาว หรือเพิ่มความเซ็กซี่ จึงมีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ วางขายตั้งแต่ห้างร้านราคาแพงลงไปถึงตามตลาดนัดราคาถูก

การใช้ทินต์แตกต่างจากลิปสติกทั่วไป  ซึ่งมักจะทาที่ริมฝีปาก  แต่การใช้ทินต์นั้นน่าเป็นห่วงมาก เพราะมีโอกาสที่วัยรุ่นจะกลืนกินสีที่เป็นส่วนผสมในเจลทินต์เข้าไปในร่างกาย ง่ายกว่า  

เนื่องจากจะใช้ทินท์ป้ายเข้าไปในริมฝีปากด้านใน ทั้งบนและล่าง  ซึ่งเป็นเยื่อบุที่บอบบาง  หากเป็นสีที่ไม่ใช่สีที่ใช้ผสมอาหาร เป็นสีต้องห้ามอันตราย หรือสีไม่ได้มาตรฐาน สารที่อยู่ในสีก็จะซึมเข้าไปตามเยื่อบุปาก และถูกกลืนกินเข้าไปในร่างกายได้ง่าย  ทำให้มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ  โดยเฉพาะโรคมะเร็ง  ซึ่งจากผลทดสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่า สามารถก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ดังนั้น การเลือกใช้จึงต้องพิถีพิถันในเรื่องคุณภาพเป็นพิเศษ

นพ.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย อย. ได้ทำการตรวจสอบเครื่องสำอางประเภทลิปสติกในรอบ 3 ปีมานี้ โดยเน้นตัวอย่างในแหล่งชุมชนที่มีการจำหน่ายสินค้าราคาถูก และในจังหวัดที่ติดเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน  693  ตัวอย่าง พบสีห้ามใช้ 164 ตัวอย่าง โดยลิปสติกที่ฉลากไม่ครบถ้วนหรือเป็นภาษาต่างประเทศ  พบสีห้ามใช้ถึงร้อยละ 39 ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ดังนั้น วัยรุ่นที่คิดจะใช้เครื่องสำอาง จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ  มีความปลอดภัย โดยดูจากบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปิดผนึกแน่นหนา ที่สำคัญต้องมีฉลากระบุส่วนผสมสำคัญ  แหล่งผลิต ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ข้อแนะนำการใช้อย่างชัดเจน เครื่องสำอางที่แบ่งบรรจุไม่มีฉลากไม่ควรซื้อมาใช้อย่างเด็ดขาด

ด้าน  นพ.จิโรจ  สินธวานนท์  ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง  กล่าวว่า ลิปสติกเป็นเครื่องสำอางที่ใช้แต่งริมฝีปาก  เพื่อให้ความชุ่มชื้น  ทำให้ริมฝีปากสวยงาม และปกปิดความบกพร่องของริมฝีปาก หากลิปสติกมีส่วนผสมของสารต้องห้าม  เช่น  สารนิเกิล  โลหะหรือสารตะกั่ว ซึ่งจะอยู่ในสีที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม  ก็จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง เกิดพิษรุนแรง  และพิษดูดซึมเข้าระบบทางเดินอาหาร   ทำให้คลื่นไส้  อาเจียน  ตาพร่ามัว หรือทำให้ริมฝีปากปวดแสบปวดร้อน คัน เห่อแดง บวม  หรือลอกเป็นขุย  อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นลิปสติกที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การใช้ลิปสติกทาบนริมฝีปากซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อน วันละหลายครั้ง  และสัมผัสริมฝีปากเป็นเวลานานๆ ก็อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายกว่าผิวหนังบริเวณอื่น  โดยสาเหตุของการแพ้นั้นมาจากน้ำหอมที่เป็นส่วนผสมในลิปสติก หรืออาจมีสารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการแพ้

นอกจากนี้   สีในลิปสติกบางชนิดอาจทำ ปฏิกิริยากับแสงแดด  ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ  ส่วนลิปสติกที่มีไขมันและน้ำมันน้อยอาจทำให้ริมฝีปากแห้ง แตก ทำให้แพ้ง่าย เป็นต้น โดยระยะในการแพ้จะอยู่ในช่วง  7-10  วัน ที่ผ่านมาพบว่าสีลิปสติกที่ทำให้ผู้ใช้แพ้มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มที่ให้สีสด คือ สีส้ม ชมพู และสีแดง  แต่การแพ้นั้นไม่ได้เกิดทุกคน แต่ละปีจะมีคนแพ้ลิปสติก ปากเจ่อ พบแพทย์ที่สถาบันโรคผิวหนังเฉลี่ยปีละประมาณ 100 ราย

ปกติวัยรุ่นมักจะมี ริมฝีปากเป็นสีที่เป็นธรรมชาติสวยอยู่แล้ว เพราะเป็นวัยที่มีสุขภาพ ดี  การดูแลความสะอาดริมฝีปาก และทาลิปมันหรือลิปกลอสเพื่อให้ความชุ่มชื้นจึงเพียงพอแล้ว  และหากมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะยิ่งช่วยให้ระบบการสูบฉีดเลือดในร่างกายดี ทำให้ปากและแก้มเป็นสีชมพูตามธรรมชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารและวิตามินครบถ้วน ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ปากชุ่มชื้น  หากต้องการจะใช้เครื่อง สำอาง  ขอให้เลือกเครื่องสำอางที่มีคุณภาพเชื่อถือได้   มีการรับรองมาตรฐานถูกต้อง  และควรสังเกตอาการแพ้ด้วย   เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้   ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังกล่าว.
ที่ มาจาก ไทยโพส

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น