ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อุบายร้ายกับดักรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : การพบกันของฉันกับเขา

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 49


    1

                ห้องแกนบอลลูนขนาดใหญ่ของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ  มีผู้คนมากมายในแวดวงไฮโซเข้ามาร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีให้แก่คู่บ่าวสาวทั้งสองฝ่าย  ระหว่าง
     
             
    พักตรธิรัน  ปิติการมานะวงศ์  ลูกชายเจ้าของบริษัทเครื่องเพชรเครื่องประดับส่งออกรายใหญ่ของประเทศไทย  กับ  นาจีรัตน์  ปุณญพิชากุล  ลูกสาวนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมห้าดาวหลายสิบแห่ง  ทั้งในไทยและต่างประเทศ  ที่ทั้งสองคนต้องแต่งงานกันก็เป็นเพราะ  พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้หมั้นหมายสองคนนี้ไว้ตั้งแต่ยังเด็กๆ  หรือที่เรียกกันแบบทั่วๆไปว่าการคลุมถุงชนนั้นเอง  ดังนั้นการแต่งงานในครั้งนี้ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็ปั่นหน้าฝืนยิ้มกันอย่างเต็มที่
     
             
    แต่หารู้ไม่ว่า...เจ้าสาวในงานแต่งนั้นไม่ใช่นาจีรัตน์แต่เป็นนินจิราน้องสาวแท้ๆที่อายุห่างจากนินจิรัตน์สองปี  เนื่องจากทั้งสองคนหน้าตาเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด  จึงไม่มีใครรู้ว่าสองพี่น้องได้เปลี่ยนตัวกันก่อนตอนวันแต่งสองเดือน
     
             
    ตั้งแต่วันแรกที่นาจีรัตน์รู้ตัวว่าจะต้องแต่งงาน  เธอก็รีบไปขอร้องน้องสาวให้ช่วยทันที  เพราะว่าตัวเธอนั้นมีผู้ชายที่รักมากอยู่แล้วและน้องสาวของเธอก็พึ่งอกหักมาได้ไม่นาน  เธอเลยตามตื้อน้องสาวตลอดทุกๆหนึ่งวินาที  จนนินจิรารำคาญในความตื้อของพี่สาว  นินจิราเลยคิดแผนนี้ขึ้นมา  โดยจะช่วยจนกว่าความลับจะแตก  แล้วแผนการก็เริ่มขึ้น  เมื่อนินจิราได้ขอพ่อกับแม่ว่าอยากไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ  เพราะเธอดร๊อปเรียนมาตั้งสามปีกว่าแล้ว  พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้คันค้านอะไรเพราะอยากให้ลูกสาวคนนี้เรียนจบสักที  และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการเมื่อคนที่นั้งเครื่องบินไปต่างประเทศคือนาจีรัตน์ที่สวมบนบาทเป็นนินจิรา  ส่วนคนที่ตอนนี้ยืนฝืนยิ้มเพื่อตอนรับแขกอยู่หน้างานแต่งก็คือนินจิราที่สวมบทบาทเป็นนาจีรัตน์นั้นเอง
     
             
    นินจิราหญิงสาววัย  21  ผู้มีสายเลือดร็อกผสมพังค์  ดวงตากลมโตสีดำที่ดูมีเสน่ห์  จมูกโด่งเชิดเหมือนสาวลูกครึ่งฝรั่งก็ไม่ปาน  เรียวปากอวบอิ่มสีแดงอมชมพูที่ดูเด่นชัดตัดกับใบหน้าสีขาวนวลเนียล  ตัวเล็กร่างบางสวมชุดแต่งงานสีขาวลูกไม้กระโปรงยาวฟูฟ่อง  เสน่ห์ความน่ารักของเธอต่างก็พาให้แขกที่เข้ามาร่วมงานมองกันจนตาแทบไม่กระพริบ  ยกเว้น...เจ้าบ่าวมาดขรึมของงาน
     
              “
    เจ้าบ่าวเจ้าสาวช่วยยืนชิดๆกันหน่อยครับ”  ตากล่องกำลังยืนถ่ายรูปคู่บ่าวสาวกับแขกที่เข้ามาร่วมงาน  แต่ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็ยืนห่างกันเป็นคืบ  แถมยังไม่ค่อยยิ้มอีกต่างหาก  ทำเอาตากล้องของเราต้องปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าไปหลายรอบ 
     
             
    ในเมื่อเจ้าบ่าวไม่ยอมเขยิบเข้ามา  นินจิราจึงเป็นฝ่ายขยับเข้าไปควงแขนเขาเอง  พักตรธิรันทำหน้างงพยายามจะแกะแขนของเธอออก  แต่ดูเหมือนหล่อนจะยิ่งรัดแขดเขาแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม

              “เกาะแขนผมแน่นขนาดนี้  กะจะแพร่เชื้อโรคให้เข้าไปถึงเส้นเลือดเลยรึไง”  ร่างสูงก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของนินจิรา
     
              “
    คิดว่าฉันอยากจะเกาะแขนโสโครกของนายนักรึไง  นายน่ะยิ้มๆเอาไว้เถอะ  งานแต่งมันจะได้จบเร็วๆ”  เธอพูดกับพักตรธิรัน  แต่ใบหน้าก็ยังคงส่งยิ้มไปที่กล้อง
     
              “
    เฮอะ!...คงอยากเข้าเรือนหอจนตัวสั่นเลยล่ะสิท่า  ไปอดอยากปากแห้งมาจากไหนหรอคุณ”  พักตรธิรันเลิกคิ้วสูงมองนินจิราด้วยสายตาดูถูก
     
             
    นินจิราหันไปมองหน้าเขาช้าๆ  เธอกัดริมฝีปากแน่นใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกธร  ใจเย็นไว้ๆฉันจะมาวีนแตกกลางงานแต่งไม่ได้  เธอคิดในใจก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
     
              “
    ปากของนายคงเลี้ยงตัวตะกวดเอาไว้เป็นสวนสัตว์เขาเขียวเลยสินะ  ถึงได้พูดอะไรหยาบคายแล้วก็ต่ำๆแบบนี้
     
              “
    นี่เธอ!!”  ร่างสูงเลือดขึ้นหน้า  ทั้งคู่ต่างจ้องหน้ากันจนประกายไฟแลบแปล๊บ! แปล๊บ! แต่ก่อนที่สงครามกลางงานแต่งจะเริ่มเสียงพิธีกรบนเวทีก็ดังขึ้นขัดจังหวะ  ทำให้ทั้งคู่ผละสายตาออกจากกัน  แล้วมองไปยังพิธีกร
     
              “
    สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านนะครับ  บัดนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว  ขอเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นมาบนเวทีได้เลยคร้าบ~”
     
             
    สิ้นเสียงพิธีกร  นักดนตรีที่ถูกจ้างให้มาเล่นในงานก็บรรเลงเพลงหวานแว๋ว  เรียกเสียงปรบมือของแขกผู้มีเกียรติในงานอย่างล้นล้าม
     
              “
    คะ...เค้าเรียกนายน่ะ”  นินจิราพูดตะกุกตะกักหน้าตาเหรอหรา
     
              “
    เธอก็ด้วยนั้นแหละ
     
              “
    งั้นนายก็เดินไปก่อนสิ
     
              “
    ทำไมผมต้องเดินนำด้วยเล่า  คุณนั้นแหละเดินไปก่อน
     
              “
    ไม่เอาอ่ะ  ฉันอายนายนั้นแหละเดินขึ้นไปก่อน”  นินจิราดันหลังพักตรธิรันให้เดินขึ้นหน้า  หากแต่เขากับยืนแข็งทื่อไม่ยอมขยับ
     
              “
    คนเยอะแบบนี้ผมก็อายเหมือนกันนะ  คุณนั้นแหละเดินไปก่อน”  คนตัวใหญ่กว่าฉุดร่างเล็กให้เดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างสบาย
     
              “
    ดะ...เดี๋ยวก่อน  อย่าพึ่งฉันยังไม่พร้อม”  นินจิราพยายามใช้เท้าฝืนรั้งร่างกายตัวเองเอาไว้
     
              “
    เจ้าบ่าวเจ้าสาวกรุณาขึ้นมาบนเวทีด้วยนะครับ”  พิธีกรประกาศเรียกทั้งคู่ซ้ำอีกครั้ง
     
              “
    โธ่เว้ย  เรียกอยู่นั้นแหละ”  พักตรธิรันบ่นออกมาเบาๆ  ก่อนจะจับมือนินจิราเดินเข้าไปในงาน  ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้มีเกียรติ ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนเวทีแล้วก้มหน้างุนๆเพราะความอาย  เนื่องจากแขกนับร้อยต่างมองมาที่พวกเขาเป็นจุดเดียวอีกทั้งยังมีสื่อมวลชนที่ยื่นถ่ายรูปถ่ายวีดีโออยู่ที่ขอบเวทีอีกเป็นสิบๆ
     
              “
    ตอนนี้พวกเราก็อยู่กับคู่บ่าวสาวพระเอกนางเอกในงานกันแล้วนะครับ  เรามาพูดคุยกับทั้งคู่ดีกว่า  เริ่มจากคุณจีน่า  นางเอกของงานเลยแล้วกัน  คุณจีน่าช่วยกล่าวความรู้สึกของตัวเองหน่อยสิครับ”  พิธีกรยื่นไมคให้เจ้าสาว  เธอต้องจำใจรับมันไว้อย่างไม่มีทางเลือก
     
              “
    เอ่อ...คือ...ขอบคุณสำหรับคำถามนะคะ(ออกแนวนางสาวไทยเล็กน้อย)  ก็...รู้สึกตื้นตันใจมากเลยค่ะ  ขะ...ขอบคุณค่ะ”  หญิงสาวยื่นไมคคืนให้พิธีกร  มีเสียงกลั้นหัวเราะของพักตรธิรันดังแว่วมาทำให้นินจิราหันควับไปมองค้อนทันที
     
              “
    ครับ  ก็หน่อยเดียวจริงๆสำหรับเจ้าสาว  มาถึงฝ่ายเจ้าบ่าวกันบ้างนะครับ  คำถามนี้มีคนอยากรู้กันมากเลย  ว่าคุณรันชอบคุณจีน่าตรงไหนครับ”  พิธีกรยื่นไมคมาให้ฝ่ายเจ้าบ่าวที่ยืนทำหน้าเหวอๆไม่รู้จะตอบอะไรดี  คราวนี้นินจิราเลยเป็นฝ่ายกลั้นหัวเราะซะเอง
     
             
    พักตรธิรันรับไมคเอาไว้พอดีกับที่สายตามองไปเห็นเปียโนของวงดนตรีที่จ้างมาบรรเลงในงาน  คำตอบบางอย่างจึงแล่นเข้ามาในหัวแบบฉับพลัน
     
              “
    ครับ...คือผมชอบคุณจีน่าเวลาเล่นเปียโนน่ะครับ  เพราะครั้งแรกที่ผมเจอเธอ  ก็คือตอนที่เธอเล่นเปียโน  ผมก็เลยชอบเธอตรงนี้แหละครับ”  เจ้าบ่าวยิ้มกว้างให้แก่ทุกคนที่อยู่ข้างล่าง  ผิดกับนินจิราที่ทำหน้าตกใจอ้าปากค้างให้กับเจ้าบ่าว  เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเล่นเปียโนเป็นเพลงเลยสักครั้ง  แต่ถ้าเป็นนาจีรัตน์ตัวจริงล่ะก็คงเล่นได้แบบคล่องปรือ  เพราะพี่สาวของเธอเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ
     
              “
    แหมช่างเป็นความรักที่คลาสสิคจริงๆ  ผมล่ะอยากลองฟังจังเลย  ว่าเสียงเปียโนที่คุณจีน่าเล่นจะไพเราะจับใจขนาดไหน”  พิธีกรมองหน้าเจ้าสาวเป็นเชิงว่าอยากให้เธอเล่นให้ฟังเป็นที่สุด
     
              “
    ได้สิครับ  ผมเองจะอวดทุกคนเหมือนกันว่าเจ้าสาวของผมเล่นเปียโนเก่งขนาดไหน”  เขาพูดพลางโอบไหล่ของนินจิราที่ใบหน้าซีดเผือกอย่างเห็นได้ชัด
     
              “
    งั้นท่านผู้มีเกียรติท่านใด  อยากฟังเสียงบรรเลงเปียโนของคุณจีน่าก็ขอเสียงปรบมือดังๆหน่อยครับ
     
             
    เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง  ยิ่งทำให้นินจิราคิดหนักเข้าไปใหญ่  หญิงสาวมางไปยังเปียโนสีดำขนากมหึมาที่ตั้งอยู่ด้านข้างเวที
     
              ‘
    ทำไงดีวะ  ช่างเถอะดีดโด เร มี ฟา ซอลไปเรื่อยๆก็แล้วกัน’  นินจิราคิดในใจพลางเดินไปที่เปียโนตัวนั้น  พลั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นมือกีตาร์  หนึ่งในนักดนตรีที่ถูกจ้างมาพอดี  เธอฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปหามือกีตาร์คนนั้น
     
             
    พักตรธิรันเห็นเธอคุยอยู่กับมือกีตาร์  ไม่นานนักนินจิราก้เดินกลับมาพร้อมกับกีตาร์ไฟฟ้าสีดำของนักดนตรี  หญิงสาวสะพายกีตาร์แล้วบอกพิธีกรให้เอาไมคมาจ่อไว้ที่ปากเธอ  เธอสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะใช้นิ้วอันเรียวยาวดีดกีตาร์แล้วร้องเพลงที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับงานแต่ง  ทุกคนต่างมองมาที่นินจิราด้วยความงง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหญิงลักขณากับคุณภูผา  พ่อและแม่ของฝ่ายเจ้าสาว
     
              “
    เอ่อ...ลูกสาวคุณหญิงนี่เล่นกีตารืเป็นด้วยหรอคะ  ดิฉันไม่ยักจะรู้”  คุณหญิงเพ็ญนภาแม่ของพักตรธิรันที่นั้งอยู่ข้างๆเอ่ยถามด้วยความสงสัย
     
              “
    ไม่นี่คะ  ยัยจีน่าเล่นไม่เคยแตะกีตาร์เลยด้วยซ้ำ  แต่ถ้าเป็นยัยนิน...”  คุณหญิงลักขณาหยุดพูดหันไปมองลูกสาวตัวเองที่ยืนควงกีตาร์ร้องเพลงอย่างสนุกสนานบนเวที
     
              “...
    อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมายิ่งหวั่นไหว ยังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน... ฉันต้องคอยหักห้ามใจอดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ เพียงแค่แอบเผลอมองตาจะผิดไหมเก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืน ฉันต้องทำตัวเช่นไร... ช่วยบอกได้ไหมเธอ…  โอะโอโอ๊ะโนโนวววโอะโอโอ๊ะโนโนววว~….”
     
             
    พ่อแม่ของนินจิราต่างอ้าปากค้างก่อนจะค่อยๆหันมามองหน้ากัน  เมื่อเห็นลุกสาวกระโดดหยองแหยงอยู่บนเวที  ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่สักพัก แล้วพูดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายว่า
     
              “
    นินจา!

    2

              ....แล้วความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง  เมื่อนินจิราร้องเพลงจบ  เธอลองมาคิดทบทวนดูอีกทีก็พึ่งรู้ว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดลงไป  เธอทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่  ทำให้สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่เธอด้วยความอึ้ง  ทำให้ทุกคนสงบนิ่งเหมือนกำลังนั้งจำศีลอยู่ที่วัด  ถ้าเธอย้อนเวลากลับไปได้  เธอจะบอกกับพีธีกรว่ามือเธอเจ็บคงเล่นให้ฟังไม่ได้  แต่พึ่งจะมานึกออกตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว ทำไมตอนนั้นสมองของเธอถึงคิดวิธีนี้ไม่ออกนะ  นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายวินาทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรกันเลยสักคำ  ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อ
    ไปเรื่อยๆ  เธอต้องขุดหลุมมุดลงไปอยู่ใต้เวทีแน่ๆ
     
             
    จนในที่สุดเทพบุตรของเราก็ขี่เมฆขาวออกมาช่วยนางเอก  โดยการตบมือรัวเสียงดังเพื่อไล่ไอ้ความเงียบนี้ออกไปซะ  แล้วดูเหมือนว่าจะได้ผลเพราะมีเสียงตบมือจากทางด้านล่างดังขึ้นมาทีละหยอม  สองหยอม  จนตอนนี้ทุกคนในห้องแกนบอลลูนต่างก็ตบมือให้กับความสามารถของนินจีรา(ถึงบางคนจะตบมือด้วยใบหน้าที่งงๆและเอ๋อก็ตาม)  เจ้าสาวยืนยิ้มเจื่อนๆก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ
     
              "
    คุณติดหนี้บุญคุณผมอยู่นะ  อย่าลืมใช้คืนล่ะ"  พักตรธิรันพูดเบาๆเพื่อให้หญิงสาวที่ยื่นอยู่ข้างๆได้ยินเพียงคนเดียว
     
              "
    ฉันเป็นพวกไม่ลืมบุญคุณคน  นายไม่ต้องห่วงหรอกยะ"  นินจิราพูดประชด
     
              "
    ค...ครับ  ช่างเป็นเจ้าสาวที่มีความสามารถเหลือล้นจริงๆ  นอกจากจะเล่นเปียโนได้แล้วยังเล่นกีตาร์เก่งอีกต่างหาก  ยอดเยี่ยมจริงๆเลยนะครับ"  พิธีกรพูดออกมาโดยไม่รู้ว่าเจ้าสาวของงานดีดเปียโนไม่เป็นเลยสักกะนิด  "เอาล่ะครับ  ต่อไปก็ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยกันแล้ว  แขกผู้มีเกียรติทุกท่านห้ามกระพริบตา  เด็กและสตรีมีครรภ์ดูได้ไม่โดนของ  ทุกคนมองมาที่บนเวทีให้ดีๆ...  เจ้าบ่าวเจ้าสาว ช่วยหอมแก้มกันหน่อยคร้าบ~~"  พิธีกรพูดจบแขกผู้มีเกียรติต่างก็ตบมือกันอย่างดีอกดีใจ
     
              "
    อะไรนะ!!"  ทั้งคู่พูดพร้อมกัน  จ้องมองไปที่พิธีกรอย่างเคืองๆ
     
              "
    แหม  ไม่ต้องอายครับ  ไม่ต้องอาย  หอมกันเลยครับทุกคนกำลังรอดูอยู่"
     
              "
    ถ้าเจ้าสาวฆ่าคนกลางงานแต่ง  จะโดนตำรวจจับมั้ยเนี่ย"  หญิงสาวคิดในใจ  อยากจะมือไปขยุ้มคอไอ้พิธีกรจอมยุ่งนี่จริงๆ
     
              "
    หอมเลย!  หอมเลย!  หอมเลย!..."  เสียงเรียกร้องจากคนข้างล่าง  เล่นเอาคู่บ่าวสาวยิ่งลนลานทำอะไรไม่ถูก
     
              "
    ถ้าผมหอมคุณ  คุณคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย"  พักตรธิรันถาม  พยายามไม่สบตากับนินจิรา
     
             
    หญิงสาวเม้มปากแน่นพยายามใช้ความคิดจากสมองอันเท่าเมล็ดถั่ว  เมื่อคิดได้ดีแล้วนินจิราหันไปสบตากับพักตรธิรัน  ก่อนจะตอบไปว่า
     
              "
    โทษนะ  ฉันไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ"  นินจิรายิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์  ทำเอาพักตรธิรันยืนอึ้งไปเล็กน้อย  กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็โดนร่างบางกระชากคอเสื้อโน้วตัวลงไปห่างจากใบหน้าของเธอไม่กี่เซนต์  นินจิราจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขา  ก่อนจะค่อยๆพริ้มตาหลับลงเผยให้เห็นขนตาที่ยาวหนาเป็นแผ  พักตรธิรันมองใบหน้าอันเนียลขาวของเธออย่างละสายตาไม่ได้  พอมองดูดีๆแล้วเธอก็น่ารักไม่ใช่ย่อย  เขาค่อยๆก้มตัวลงไปจะประกบริมฝีปากกับเธอ  ผู้คนที่นั้งอยู่ข้างล่างต่างมองขึ้นมาอย่างลุ้นระทึก  ยิ่งริมฝีปากของทั้งคู่ใกล้กันมากเท่าไร  เสียงกดชัตเตอร์ของสื่อมวลชนก็ส่งเสียงดังระงม  เหมือนเสียงแมลงที่ร้องในป่ายามเช้า
     
              
    อีกนิดเดียว...  อีกนิดเดียว...  อีกนิดเดียว...  นี่คือเสียงที่ร่ำร้องภายในใจของทุกคน  แต่ไม่ใช่กับคุณหญิงลักขณาที่นั้งกำมือแน่นด้วยอารมณ์เดือดปุดๆคนนี้แน่
     
              "
    รอให้งานเลิกก่อนเถอะ  ฉันจะสั่งสอนแกให้ตัวเตี้ยลงกว่าเดิมเป็นสองเท่าเลยค่อยดู"  หล่อนบ่นเบาๆ  ยกแก้วไวน์แดงดื่มรวดเดียวหมด  ก่อนจะมองไปที่ภาพบาดตาบาดใจบนเวที
     
             
    ริมฝีปากบางของพักตรธิรันประทับบรรจงลงไปบนเรียวปากอวบอิ่มของนินจิราอย่างแผวเบา  มืออุ่นๆของชายหนุ่มลูบไล้ไปที่แก้มขาวใสอย่างทะนุทะนอม  หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วผละตัวออกจากเขาอย่างช้าๆ  เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยใช้ลิ้นเลียลิ้มฝีปากล่าง  ทำหน้าเหมือนคนคิดไม่ตก  พักตรธิรันขมวดคิ้วมองหญิงสาวเพราะตามอารมณ์ของเธอไม่ค่อยจะทัน  นินจิราเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มบางๆไปให้เขา
     
              "
    ถือซะว่า...ฉันทดแทนบุญคุณให้นายก็แล้วกัน"
     
             
    พักตรธิรันยืนนิ่ง  ยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองพยายามเสมองไปทางอื่น  เพราะไม่อยากให้ใจตัวเองหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
     
              "
    ก...ก็ตามใจคุณ...ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย"  เขาพูดตะกุกตะกัก
     
             
    นินจิราเห็นท่าทางของเขาก็กำลังจะอ้าปากหัวเราะ  หากแต่เสียงของพิธีกรจอมยุ่งดันเข้ามาขัดจังหวะ  ทำให้หญิงสาวต้องหุบปากลงทันที  เธอกัดปากแน่นหันไปมองหางตาใส่พิธีกรที่กำลังยืนพูดปาวๆอยู่หน้าไมค
     
              "
    วันหลังถ้าฉันเจอไอ้บ้านี่  ฉันจะจับเขายัดใส่ถังขยะเขียวของ กทม. ซะเลย"  หญิงสาวคิดในใจ  ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางไหนก็ได้ที่ไม่ตาพิธีกรจอมยุ่งนี่ 
     
              "
    ครับ  ขอเสียงตบมือดังๆให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวของเราหน่อยครับ"
     
             
    แขกผู้มีเกียรติต่างตบมือด้วยความปิติยินดี


             
    งานแต่งดำเนินเรื่อยๆจนกระทั้งงานเลิก  คู่บ่าวสาวและญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่หน้าห้อง  VIP ของโรงแรม  ซึ่งจะเป็นรังรักของทั้งคู่ในคืนนี้
     
              "
    ขอเวลาคุยกับเจ้าสาวสักห้านาทีนะคะ"  คุณหญิงลักขณาฉุดแขนนินจิราลากไปยังที่ๆปลอดคน
     
              "
    เจ็บนะแม่  ดูดิ๊แขนหนูเป็นรอยแดงหมดเลย"  หญิงสาวลูบแขนตัวเองไปมา
     
              "
    ไม่ต้องมาพูดมาก...  นินจา"
     
             
    นินจิราสะดุ้งเล็กน้อย  แต่ก็ยังตีหน้าซื่อ
     
              "
    แม่พูดอะไรน่ะ  หนูงงมากเลย"  นินจิราใช้นิ้วจิ้มไปที่ขมับทั้งสองข้างพร้อมกับกรอกตาไปมา
     
              "
    เลิกทำหน้าปัญญาอ่อนสักทียัยนิน  ถ้าแกไม่พูดความจริงล่ะก็เพลยทูกับกีตาร์ของแกได้ดำเป็นตอนตะโกแน่"
     
              "
    กะกะกะก็ได้  ก็ได้  หนูเองนั้นแหละ  แม่นิฉล๊าดฉลาดดูออกด้วยว่าเป็นหนู"  นี่ถ้าแม่ไม่ขู่ว่าจะเผากีตาร์ราคาเฉียดสองหมื่นของเธอล่ะก็  จ้างให้หญิงสาวก็ไม่มีทางพูดความจริงหรอก
     
              "
    แกคิดว่าฉันโง่ถึงขนาดดูลูกสาวตัวเองไม่ออกเลยรึไง"
     
              "
    งั้นแม่ก็เคยโง่ไปแล้วแหละ"  นินจิราบ่นขมุบขมิบที่ปาก
     
              "
    เมื่อกี้แกพูดอะไรนะ"
     
              "
    เปล่าซะหน่อย  หนูยังไม่ได้พูดอะไรเลย"  เธอปด
     
              "
    แล้วตอนนี้จีน่าอยู่ที่ไหน"  คุณหญิงลักขณาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆและเย็นชา
     
             
    นินจิราอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบดีรึเปล่า  เพราะตอนนี้พี่ของเธออยู่กับแฟนหนุ่มที่อังกฤษ  ถ้าแม่ตามหานาจีรัตน์เจอ  พี่ก็จะไม่ได้อยู่กับคนที่รัก  และอีกอย่างแม่จะต้องเขี่ยวเข็นเธอให้เรียนต่อจนจบปริญญาแน่  ไม่ได้ๆ  ข้อหลังนี่เป็นปัญหาใหญ่  ไม่ว่าอย่างไงก็ห้ามให้แม่หาพี่เจอเด็ดขาด
     
              "
    เอ่อ...พ...พี่จี...อยู่ที่ออส-สะ-เต-เรีย  เอ่อ... พี่จีไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องหมีโค-อา-ล่า  อีกไม่นานก็คงจะกลับ  เอ่อ...แล้วก็..."
     
              "
    พอๆๆไม่ต้องพูดแล้ว  รู้สึกว่าแกจะโกหกฉันหน้าด้านๆเลยนะเนี่ย"  แม่ของหญิงสาวส่ายหน้าไปมาด้วยความเอื่อมระอา  "ฉันควรจะบอกความจริงกับทาวคุณชายพักตรธิรันดีมั้ยเนี่ย"  คุณหญิงลักขณาเอามือก่ายหน้าเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน
     
              "
    แม่ก็  เครียดไปทำม้ายเดี๋ยวก็เ^_^่ยวกว่าเดิมหรอก"
     
             
    คุณหญิงลักขณาหยุดเดิน  ท้าวเอวมองลูกสาวเจ้าปัญหาอย่างแค้นเคือง
     
              "
    ไม่ใช่เพราะแกรึไง  ที่ดันเอาปัญหาพระอาทิตย์มาให้ฉัน  ทั้งร้อน ทั้งหนัก ทั้งใหญ่  ทำไมแกต้องสร้างปัญหาให้ฉันอยู่เรื่อยเลยห่ะ  ยัยนิน!"
     
              "
    ใช่หนูผิดคนเดียวซะที่ไหนล่ะ  พี่จีน่าต่างหากที่เป็นคนขอร้องให้หนูช่วยเอง  ทำไมแม่ต้องโทษหนูคนเดียวอยู่เรื่อยเลยหนูไม่เข้าใจ  ไม่ว่าเรื่องอะไรแม่ก็ว่าหนูผิด  บ่นแต่หนูตลอด  บ่นจนหนูตัวหดเหลือ 156 เซน  ทั้งที่ความจริงหนูควรจะสูง165 เซน  ถ้าไม่ใช้เพราะแม่หนูก็คงไม่เตี้ยแบบนี้หรอก"  หญิงสาวเถียงจนผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง
     
              "
    นิน..."  คุณหญิงลักขณาพูดไม่ทันจะจบ  นินจิราก็โบกมือห้ามเอาไว้ก่อน
     
              "
    แม่ไม่ต้องมาขอโทษหนู  เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ  อย่างไงหนูก็ไม่มีทางสูงขึ้นแล้วล่ะ"
     
             
    คุณหญิงลักขณาอึกอักพูดไม่ออกได้แต่คิดในใจว่า "เพ้อเจ้ออะไรของมันว่ะ  ฉันไม่เคยคิดที่จะขอโทษแกเลยน่ะเนี่ย  ฉันจะพูดว่า  นินจา  นังลูกบ้าต่างหาก"
     
              "
    เรื่องนี้แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  เดี๋ยวหนูจะเป็นพี่จีน่าไปพลางๆก่อน  ถ้าแม่ตามพี่จีกลับมาได้เมื่อไร  หนูกับพี่ค่อยมาเปลี่ยนตัวกันอีกที  แม่เคยได้ยินเพลงนี้มั้ย  "เมื่อเขามา...ฉันจะไป"  ถ้าพี่จีกลับมาเมื่อไรหนูจะไปทันที  และขอรับรองว่าหนูจะไม่ให้ใครจับได้  ก่อนที่พี่จีจะกลับมาแน่  โอเคม่ะ"
     
             
    ผู้ถูกยื่นขอเสนอคิดหนัก  ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อลูกสาวคนนี้ดีรึเปล่า  ถ้าความแตกขึ้นมา  ทางปิติการพิทักษ์ต้องเอาเรื่องถึงที่สุดแน่ๆ  โทษฐานส่งของปลอม ของเถื่อนไปให้เขา 
     
              "
    แม่ไม่ขอเสี่ยงดีกว่า  ทางที่ดีที่สุดเราควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม  ต้องบอกความจริงกับพวกเขาตั้งแต่วันนี้  และก็บอกเขาว่างานแต่งครั้งนี้ถือว่าเป็นโมฆะ  จนกว่าจะตามจีน่าเจอเราค่อยมาคุยกับทางนั้นอีกที"
     
              "
    แม่คิดว่าเขาจะมาคุยกับทางเราอีกเหรอ  โดนยกเลิกงานแต่ง  ทั้งๆทีพึ่งแต่งไปได้ยังไม่ทันข้ามวัน  ทางเขาเสียหน้ามากกว่าพวกเราอีกนะ  ดีไม่ดีถ้าแม่บอกความจริงเขาไป  ตระกูลเรากับตระกูลเขาอาจจะเข้าหน้ากันไม่ติดเลยก็ได้  คิดดูให้ดีๆนะแม่  คิด...ดู...ให้...ดี...ดี"
     
             
    ก็จริงอย่างที่ลูกสาวเธอพูด  สู้ปิดเรื่องนี้เอาไว้ดีกว่า  จะบอกให้เขารู้วันนี้หรือวันหน้ามันก็มีค่าเท่ากันนั้นแหละไม่แน่ถ้าปิดเอาไว้ทางนั้นอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้
     
              "
    แกแน่ใจเหรอ  ว่าจะอยู่กินนอนกับผู้ชายสองต่อสองได้น่ะ  แกพึ่งจะ 21 เองนะ  แล้วคุณพักตรธิรันเขาก็อายุตั้ง26 แล้วด้วย  แน่ใจหรอนินจา"  เธอถามด้วยความเป็นห่วงลูกสาว  อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงพักตรธิรัน  ที่ต้องมาอยู่ร่วมกับเด็กที่ไม่รู้จักโตอย่างนินจิรา
     
              "
    ไม่ต้องห่วงหรอกแม่  หนูเอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว  สบายใจได้"  นินจิราขยิบตาให้แม่  เพื่อสร้างความมั่นใจ 
     
             
    คุณหญิงลักขณาต้องยอมแพ้ให้กับลูกสาวคนนี้อย่างช่วยไม่ได้  เอาเถอะเชื่อฝีมือลูกคนนี้สักครั้งก็แล้วกัน  หล่อนยิ้มน้อยๆให้กับลูกสาวตรงหน้าที่ยืนยิ้มแป้นจนแก้มยุ้ยน่าหยิก  แล้วสองแม่ลูกก็เดินจูงกลับไปที่ห้อง VIP
     
     
             
    เมื่อญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายพูดคุยและอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวเสร็จเรียนร้อยแล้ว  ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกลับกันไป  ตอนนี้ในห้อง VIP จึงเหลือเพียงนินจิราและพักตรธิรัน  หญิงสาวนั้งลงที่ปลายเตียงสปริงขนาดใหญ่  เอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดู  เธอเปลี่ยนช่องไปเปลี่ยนช่องมา  แต่ก็ไม่มีอะไรน่าดูน่าสนใจเลยสักกะนิด  เธอจึงปิดทีวีแล้วทิ้งตัวลงนอนด้วยความเซ็ง
     
              "
    น่าเบื่อโคตรๆ  ไม่มีอะไรหนุกๆทำเลย"  ร่างบางบ่นกระปอดกระแปดกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง
     
              "
    นี่คุณ  นอนกลิ้งอยู่บนเตียงคิดจะให้ท่าผมรึไง"  ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงยียวนกวนประสาท

              นินจิรารีบเด้งตัวขึ้นมานั้งขัดสมาธิทันที
     
              "
    งั้นฉันนั้งก็ได้"  พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
     
              "
    นี่คุณรู้รึเปล่าสามีภรรยาเข้าเรือนหอวันแรก  เขาทำอะไรกันบ้าง"  พักตรธิรันมองหญิงสาวเบื่องหน้าด้วยแววตาเหลี่ยมจัด
     
             
    นินจิราหน้าเหวอ  ลุกขึ้นเดินออกห่างจากเตียงท่าทางเก้งก้าง  เธอเดินไปที่โคมไฟแก้วสีขาวใสลายคิวปิด
     
              "
    ต๊ายตาย  โคมไฟสวยจังเลย  ราคาคงแพงน่าดูเลยนายว่ามั้ย"  เธอเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว  เอาแล้วไงความซวยเริ่มครอบงำแล้ว
     
             
    พักตรธิรันแสยะยิ้มจนหญิงสาวขนลุกซู่สันหลังวาบ  ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทโยนมันไปบนเตียง  ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด  ทีละเม็ด  เดินไปหาหญิงสาวที่กำลังกลัวจนตัวสั่นเหมือนลูกแมว
     
             
    ร่างบางค่อยๆถอยหลังเมื่อเขาเดินขึ้นหน้า  เธอถอยหลังไปเรื่อยๆจนชิดติดกำแพง  ชายร่างสูงเอามือชันกำแพงก่อนจะโน้วตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของนินจิรา
     
              "
    เรามาต่อจากบนเวทีกันดีกว่า"  มีเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มตามหลัง  ทำเอานินจิราเหงื่อผุดเต็มหน้าผากกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกใหญ่
     
              "
    ฉ...ฉันว่า...ว๊าย!!"  ยังไม่ทันทีหญิงสาวจะพูดจบ  พักตรธิรันก็กระชากแขนของเธอโยนไปที่เตียง  นินจิรานอนคว่ำหน้า  ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ  ชายหนุ่มค้อมร่างของนินจิราเอาไว้  แล้วรูดซิบชุดแต่งงานที่กลางหลังของเธออย่างเบามือ
     
             
    เมื่อนินจิรารู้สึกตัวว่ากำลังโดนปลดชุด  เธอก็เบิกตากว้างทำหน้าตกใจเหมือนถูกผีหลอก 
     
              "
    ไม่ได้เด็ดขาด  ถ้าเขาเห็นรอยสักรูปหัวกระโหลกอันเล็กๆที่เรียงต่อกันเป็นดาวห้าแฉกกลางหลังฉันล่ะก็ ความลับอาจจะแตกก็ได้  เอาไงดีวะ  นอนหงายแทนแล้วกัน"
     
             
    นินจิรารีบผลิกตัวนอนหงายทันที  แต่สายตาก็มาประจัญหน้ากับไอ้หื่นบ้ากามเธอก็แทบอยากจะกลับไปนอนคว่ำเหมือนเดิม 
     
              "
    หึๆๆๆ  แล้วก็ไม่บอกว่าไม่ชอบนอนคว่ำ" 
     
             
    นินจิราหน้าเอ๋อขั่นโคม่า  มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะเนี่ย
     
             
    เขาใช้มือกดไหล่ของเธอ  จนหญิงสาวไม่สามารถกระตุกกระติกไปไหนได้ พักตรธิรันก้มตัวพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเธอ  หญิงสาวใช้มือทั้งสองข้างดันหัวอันใหญ่โตและเทอะทะของชายหนุ่มตรงหน้านี้ออกไป  แต่ก็ไม่เป็นผล  เขากับเข้ามาซุกไซร้หน้าลงที่ซอกคอของเธอแทน
     
              "
    ทำไงดีๆ  ต่อให้ตายฉันก็ไม่มีทางให้ไอ้เบื้อกนี่เปิดซิงฉันแน่ๆ" 

    3

              มือของพักตรธิรันลูบไล้ไปมาที่แผ่นหลังของหญิงสาว  เธอเกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาลูบลึกลงไปเรื่อยๆ  เรื่อยๆ
       
              "
    ด...เดี๋ยวก่อ...อื้ม!!"
             
            
    ริมฝีปากบางกดทับลงไปเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามอย่างเร่าร้อน  คนถูกรุกเผยอปากออกเพราะทนแรงทับที่หนักหน่วงของอีกฝ่ายไม่ไหว  ลิ้นอุ่นๆแทรกผ่านเข้าไปทั้งดูดดื่มและเนินนาน  นินจิราใช้มือข้างหนึ่งจิกผมเขาอีกข้างก็พยายามดันแผงอกกว้างๆให้ออกห่างจากตัวเธอ  แต่ก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่นิดเดียว  ก็หญิงสาวร่างเล็กแสนบอบบาง  จะมาสู้ผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่มีกล้ามเป็นมัดๆได้อย่างไงกัน
             
              "
    ต้องได้สิ  มันต้องมีสักทางหนึ่งนั้นแหละ"  เธอยังดื้อรั้นที่จะคิดในใจ
             
             
    นินจิราเลื่อนมือที่จิกผมลูบไล้ไปตามใบหน้าของเขา  เพื่อหาจุดที่สามารถทำให้เขาเลิกกระทำสิ่งหยาบคายต่อเธอ
             
              "
    เอานิ้วจิ้มตาเหรอ  ไม่ดีๆ  ถ้าเขาเกิดตาบอดขึ้นมา  ฉันก็ต้องมีสามีเป็นคนพิการน่ะสิ  ไม่เอาเด็ดขาด  งั้นเอานิ้วแหย่จมูก  แหวะโสโครกจะตายชัก  ถ้าเกิดมีขี้มูกติดออกมา...อี๋ไม่อยากจะคิด  หยิกแก้มล่ะ  เชอะ!  หน้าด้านๆอย่างตาบ้านี่ไม่มีทางเจ็บหรอก  เอาไงดีว่ะ...  งั้นดีดมะกอกใส่หูเลยกัน"
             
             
    ไม่รอช้าหญิงสาวเกี่ยวนิ้ว  ก่อนจะดีดไปที่ใบหูเขาอย่างเต็มหน่วง

              โป๊ะ!!!

              "โอ๊ย!!!!"  พักตรธิรันร้องลั่นผละตัวจากหญิงสาว  เอามือทั้งสองข้างลูบหูตัวเองไปมาเพราะความเจ็บ

              นินจิราลุกขึ้นกึ่งนั้งกึ่งนอนอยู่บนเตียง  พลางหัวเราะชอบใจกับใบหูที่แดงก่ำของเขา  "นายน่ะยังรู้จักฉันน้อยไป  สมัยม.ต้นเนี่ยฉันได้รับฉายาว่าเจ้าแม่ดีดมะกอก  นี่ฉันยังยับยั้งมือตัวเองให้ดีดไม่ค่อยแรงนะเนี่ย  ไม่งั้นป่านนี้หูนายคงหลุดติดมือฉันมาแล้วล่ะ  ฮะๆๆๆ" 

              พักตรธิรันมองหญิงสาวที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่บนเตียงด้วยความเครียดแค้น  เมื่อนินจิราเห็นแววตาอาฆาตพยาบาทของเขาที่จ้องมองมา  เธอก็ต้องหยุดหัวเราะอย่างฉับพลัน

              "เธอ...อยากลองดีนักใช่มั้ย"  เขาพูดด้วยน้ำเสียงเ-^_^้-ยมโหด

              นินจิราค่อยๆคลานถอยหลังอย่างกล้าๆกลัวๆ

              "ฉ...ฉันขอโทษ  ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆนะ  น...นายผิดเองที่จะข่มขืนฉันน่ะ  เอ่อ..."

              "เฮอะ!  ข่มขืนหรอ  นี่คุ๊ณสามีภรรยาทำแบบนั้นกันมันไม่เรียกว่าข่มขืนหรอก  เขาเรียกว่า SEX ต่างหาก  รู้จักมั้ย SEX น่ะ"  พูดพลางยักคิ้วให้

              "บังอาจนักที่กล้ามาดูถูกฉัน  เห็นโง่ๆแบบเนี่ยวิชาเพศศึกษาฉันได้เกรด 4 เชียวนะ  อย่างงี้มันต้องโดนสั้งสอน"  หญิงสาวคิดในใจ

              "แหม~ที่รักขาาา  อยู่จะมาขึ้นเตียงเลยได้อย่างไงกัน  มันข้ามขั้นตอนการบิ๊วอารมณ์นะคะ"  เธอพูดเสียงหวานแจ๋ว

              "บิ๊วอารมณ์หรอ  อย่างไงล่ะ"  พักตรธิรันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

              นินจิรากระตุกมุมปากนิดๆก่อนจะชี้ไปที่ระเบียง  ร่างสูงหันตามไปแบบงงๆ ไม่เข้าใจในความหมายของเธอ  หญิงสาวเห็นเขาทำหน้าเครื่องหมาย "?" ก็เลยต้องอธิบายให้เขาฟัง

              "ก่อนอื่นเราก็ควรจะไปยื่นตากลมที่ระเบียง  เหงนหน้านับดาว  มองดูพระจันทร์ที่ส่องแสงสีเหลืองอร่าม  จ้องตากันท่ามกลางความอิจฉาของสิ่งสวยงามบนท้องฟ้า..."  นินจิราทำหน้าจินตนาการและสุดแสนจะเพ้อฝัน  จนชายหนุ่มเห็นแล้วต้องแอบอ้วกอยู่ในใจ  "ผู้หญิงอย่างฉันต้องสร้างความโรแมนก่อนถึงจะมีอารมณ์  เข้าใจม่ะ"

              พักตรธิรันทำหน้าเบ้ก่อนจะพยักหน้าเออออไปกับหญิงสาวอย่างจำใจ 

              "เอางั้นก็ได้  แล้วแต่คุณล่ะกัน"

              "โอเค  งั้นพวกเราไปนั้งชมจันทร์ที่ระเบียงกันเถอะ"  หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างภายใต้ความคิดที่ว่า  "แกเสร็จฉันแน่ไอ้กร๊วก"

                พักตรธิรันเดินไปที่ระเบียงโดยมีร่างบางเดินตามมาติดๆอยู่ข้างหลัง  เมื่อเขาเลื่อนประตูกระจกของระเบียงออกลมเย็นๆก็ปะทะเข้าที่ตัวชายหนุ่ม  จนขนลุกตั้งชัน  หน้าหนาวของกรุงเทพฯปีนี้ช่างหนาวสุดขั้วเลยจริงๆ  ยิ่งอยู่บนตึกสูงๆชั้น 18  ของโรงแรมแล้วยิ่งทำให้หนาวเข้าไปใหญ่  ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยังระเบียงพื้นกระเบื้องที่สุดแสนจะเย็นเฉียบ  ทำให้ชายหนุ่มอยากหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องเสียจริงๆ  แต่จะทำไงได้  เพื่อภรรยาจอมเรื่องมากเลยต้องยอมออกมาชมจันทร์ท่ามกลางความหนาวเหน็บ  คอยดูเถอะกลับเข้าไปในห้องเมื่อไร  จะแกล้งให้พรุ่งนี้ลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหวเลย  หึหึหึ...

              และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

              "ดูพระจันทร์เผื่อฉันด้วยนะตาโง่~~"

              ว่าแล้วนินจิราก็ปิดประตูกระจก  ล็อกกลอนอย่างเรียบร้อยและแน่นหนา  ปล่อยให้พักตรธิรันยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่นอกระเบียง  เมื่อตั้งสติได้ชายหนุ่มเอามือทุบกระจก  พยายามเปิดประตูให้ได้อย่างสุดความสามารถ  อากาศหนาวแบบนี้ถ้าเธอให้เขานอนอยู่นอกระเบียงล่ะก็  มีหวังเขาได้แข็งตายเป็นผีเฝ้าระเบียงแน่ๆ

              "เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะยัยตัวแสบ!!"  เขาตะโกนเสียงดังจนหญิงสาวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกระจกแทบจะเอามืออุดหูตัวเองไม่ทัน

              "จุ๊ๆๆๆ   อย่าเสียงดังไปสิคะทีรักขาาา  เดี๋ยวข้างห้องเขาก็มาว่าพวกเราหรอกนะ"  เธอทำหน้าทะเล้น

              "ถ้าฉันออกไปได้ฉันเอาเธอตายแน่"  ชายหนุ่มชูกำปั้นขึ้นขู่หญิงสาว

              "แน่จริงก็ออกมาให้ได้ซี่~ ...เฮ้อ  น่าสงสารจัง  อยู่ข้างนอกคงจะหนาวมากเลยสินะ  ฉันร้องเพลงให้ฟัวเอาม่ะ    ...ก็มันหนาว.. ..ใจจะขาดเพราะขาดเธอคนดี  ขาดไอรักอบอุ่นที่เคยได้มี...ฉัน..."

              "หุบปากไปเลยยัยลิงกัง"

              นินจิรานิ่งเงียบมองหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง  เขาเองก็มองหน้าหญิงสาวอย่างเอาเรื่องไม่แพ้กัน

              "ด่าฉันนักใช่มั้ย  ดี!  งั้นคืนนี่นายก็นอนอยู่ที่ระเบียงทั้งคืนเลยก็แล้วกัน  เชอะ!"  เธอสะบัดหน้าหนีพร้อมกับดึงผ้าม่านมาปิดประตูกระจก  "เชิญนอนให้มีความสุขนะ  คิกคิก"  เธอพูดเบาๆก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมมา  แล้วเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำอย่างสบายใจเฉิ่ม

              1  นาทีผ่านไป

              "อยากตายนักใช่มั้ยห่ะ!  เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ"

              5  นาทีผ่านไป

              "ออกไปได้เมื่อไรฉันฆ่าเธอแน่!"

              10  นาทีผ่านไป

              "เอาจริงหรอเนี่ย  ฉันไม่เล่นด้วยนะเปิดประตูเถอะน่า  รับรองฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก"

              15  นาทีผ่านไป

              "จีน่าที่รักสุดสวาทขาดใจของผม  ได้โปรดช่วยเปิดประตูที่เถิด  ผมจะหนาวตายอยู่แล้วนะ...ครับ"

              20  นาทีผ่านไป

              "เออ! นอนที่ระเบียงก็ได้วะ  ไม่ง้อแล้วยัยลิงกัง!"  พักตรธิรันนั้งชันเข่าอยู่ที่พื้น  เขานั้งกดอกเพราะความหนาว  เสื้อเชิ้ตบางๆกับกางเกงขายาวสีดำไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอุ่นขึ้นเลยสักนิด  ได้แต่นั้งโทษตัวเองที่ฉลาดน้อยจนหลงกลยัยเจ้าเล่ห์นั้น  คราวหลังเขาต้องเอาคืนให้สาสมแน่!  เขานั้งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็พร้อยหลับไป

              นินจิราเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผมเผ้าที่เปียกปอย  เธอใช้ผ้าขนหนูเช็ดๆผมแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างกำแพง

              "โอโฮ้นี่ฉันอาบน้ำเกือบชั่วโมงเลยเหรอ...  โอ๊ะ! ตายแล้ว  ป่านนี่ตาบ้านั้นไม่แข็งตายไปแล้วรึเนี่ย"  หญิงสาววิ่งตาลีตาเหลือกไปที่ระเบียงแล้วเปิดผ้าม่านออก  ภาพชายหนุ่มที่นอนคดตัวอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวอกสั่นขวัญหาย 

              "นอนหลับหรือนอนตายวะเนี่ย"  เธอเลื่อนประตูกระจกแล้วก้าวเท้าฉับๆเดินตรงไปที่เขา 

              "หนาวเป็นบ้าเลยแฮะ...  นี่นายตื่นเดี๋ยวนี่นะ  นี่!"  หญิงสาวก้มตัวลงไปฟังเสียงหัวใจของชายหนุ่ม"โชคดีแฮะยังไม่ตาย...ลุกขึ้นเดี๋ยวนี่นะ  นายกะจะนอนตรงนี้จริงๆรึไงกัน"

              "อืม...ขออีกห้านาที~"  น้ำเสียงสงัวสเงียทำให้หญิงสาวต้องหัวเราะเบาๆ

              "ตาบ้าเอ๊ย  เดี๋ยวก็ได้แข็งตายจริงๆหรอก  ลุกขึ้นมาได้แล้ว"  พูดพลางเขย่าตัว

              "......."

              "เฮ้ๆๆ  ฉันไม่อยากแบกนายเข้าไปข้างในหรอกนะ...  ก็ได้ๆ  ฉันจะแบกนายเข้าไปเอง"  นินจิราค่อยๆแบกชายหนุ่มขึ้นอยากยากลำบาก  แต่เธอก็ประคองเขาขึ้นมาได้  แล้วก็เดินเป๋ไปเป๋มา  ระหว่างที่แบกเขาเข้ามาในห้องเธอก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย 
             
              "
    เพราะฉันไม่อยากเป็นม่ายตั้งแต่วันแรกที่แต่งงานหรอกนะถึงได้แบกนายเข้ามา  ซึ้งในน้ำใจของฉันบ้างรึยัง...  เห็นแบบเนี่ยฉันใจดีกว่าที่นายคิดนะ...  ถามหน่อยเถอะวันๆนายกินอะไรเข้าไปบ้างเนี่ย  ตัวหนักโคตรๆเลย" 

              เมื่อแบกเขามาถึงที่เตียงเธอผลักเขาลงไป  แล้วจัดแจงห่มผ้าห่มให้เขา  เธอบิดขี้เกียจพร้อมกับทุบไหล่ตัวเอง  ปากก็สถบถคำบ่นออกมาไม่ขาดสาย  หญิงสาวเดินไปปิดไฟ  ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน  เธอเหลือยไปมองอีกฝ่ายที่นอนอยู่ข้างๆ  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนอนหลับสนิทแน่ๆ  เธอก็โน้วตัวลงไปจูบที่หน้าผากเขาเบาๆ 

              “ราตรีสวัสดิ์นะ”  แล้วเธอก็ทิ้งตัวลงนอนตามเดิม
             
             
    พักตรธิรันค่อยลืมตาแล้วคลี่ยิ้มที่มุมปากออก  “ราตรีสวัสดิ์”  เขาพูดเบาๆไม่ให้หญิงสาวที่นอนอยู่ข้างๆได้ยิน 

              ในที่สุดวันแรกที่ทั้งคู่แต่งงานกันก็ผ่านพ้นไปอย่าง...ไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไร

    4

                คอนโดสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ 
     
             
    ชั้นบนสุดของคอนโดนี้  เนื้อที่ทั้งหมดนั้นเป็นของพักตรธิรันที่เขาซื้อเอาไว้  ตั้งแต่ตอนที่พ่อให้เขาบริหารงานที่บริษัทใหม่ๆ  เขาอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นส่วนตัวจึงย้ายออกจากบ้าน "ปิติการพิทักษ์" มาใช่ชีวิตอยู่ที่นี่  โดยมีป้าแพรคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเล็กๆกันคนใช้อีกสามคนตามมาอยู่ด้วย  ห้องที่สุดแสนจะใหญ่โตถูกจัดแต่งเหมือนบ้านหลังหนึ่ง  มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว  ห้องนั้งเล่น และอีกสารพัดห้อง  เครื่องใช้ทุกอย่างดูสวยงามและทันสมัยไปเสียหมด  แต่ดูเหมือนหญิงสาวที่มีนามว่านินจิราจะไม่ค่อยถูกใจกับห้องนี้สักเท่าไร  ด้วยเหตุผลที่ว่า

              "บ้าเอ๊ย  หนีจากโรงแรมพ่อแล้วยังมาเจอคอนโดนายอีก ชีวิตนี้ฉันจะได้อยู่บ้านธรรมดาๆกับคนอื่นบ้างมั้ยเนี่ย"

              หญิงสาวนั้งเขี่ยอาหารเช้าอย่างเบื่อหน่าย  ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกือบอาทิตย์  เธอก็ทำหน้าตาเซื่องซึมอยู่ตลอดเวลา  จนผู้ที่เป็นสามีที่นั้งจิบกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องเอ่ยถามเธออย่างอดห่วงไม่ได้

              “เป็นบ้าอะไรของเธอ  ทำหน้าเหมือนลิงไม่ได้กินกล้วย”  นี่เป็นคำถามของสามีที่เป็นห่วงภรรยา

              เธอละสายตาจากอาหาร  ทำหน้าแยกเขี้ยวใส่พักตรธิรันต้นเหตุของอาการเซื่องซึม  สองวันที่ผ่านมาเธอต้องนอนด้วยความหวาดระแหวง  การที่ต้องนอนกับชายหนุ่มสองต่อสอง  ช่างเป็นเรื่องที่น่าขนลุกเสียนี่กระไร  เพราะตื่นมาทุกเช้า  เธอต้องพบว่าตัวเองนอนกอดเขาอยู่ทุกที  ก็รู้ตัวเองอยู่หรอกว่าเป็นคนนอนดิ้น  แต่ไม่เข้าใจทำไมต้องดิ้นไปกอดตาบ้านั้นทุกที  บ้าชะมัด 

              “ผมไปทำงานก่อนนะ”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อกินกาแฟหมดแล้ว

              “ก็ไปสิ  ฉันไม่ได้ล่ามโซ่ไว้ที่ขานายสักหน่อย”  พูดหน้ากวนพลางจิ้มไส้กรอกเข้าปาก

              “จีน่า...มานี่สิ”  เขากระดิกนิ้วเรียกหญิงสาว

              “อะไรอีกเล่า”  เธอทำหน้าไม่พอใจ  ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะไปหาชายหนุ่มที่นั้งอยู่อีกฟาก

              “ผูกไทให้หน่อยดิ๊”  เขายื่นไทสีน้ำเงินเข้มมาให้เธอ

              นินจิรามองชายหนุ่มจอมวางมาด  ที่นั้งไขว่ห้างกระดิกเท้าสั่งเธอเหมือนคนใช้  ด้วยความเป็นภรรยาที่ดีเธอจึงกระชากไทออกจากมือของเขา  ก่อนจะจัดแจงผูกให้ด้วยใบหน้าที่สุดแสนจะบึงตึง

              “นายช่วยยืนขึ้นหน่อยได้มั้ย  นั่งอยู่แบบเนี่ยฉันผูกไม่ถนัด”  เธอบ่น

              “คุณแน่ใจเหรอ  ว่าถ้าผมยืนแล้วคุณจะผูกถึง  หึหึหึ...”  เขายักคิ้วหลิ่วตามองหญิงสาวเพื่อยั่วยุอารมณ์โทสะของเธอ

              นินจิรากัดริมฝีปากแน่นด้วยความโกธร  ก่อนจะง้างมือขึ้นทำท่าจะตบเขาเต็มที่  ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองโดยอัตโนมัติ

              “เฮ้อ...คันหัวจังเลย”  เธอเอามือข้างที่จะตบเขาไปเกาหัวตัวเอง  แล้วเลิกคิ้วยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างกวน

              พักตรธิรันรู้ตัวว่าเสียท่าให้ยัยนี่อีกแล้ว  จึงหาโอกาสแกล้งเธอคืนซะเลย  เขาโอบเอวหญิงสาวให้ลงมานั่งที่ตักของเขา  แล้วกระซิบลงที่ข้างหูของเธอ

              “งั้นผมช่วยเกาให้เอามั้ย

              นินจิราหน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  พยายามแกะมือของชายหนุ่มที่โอบกอดเอวของเธอไว้  ยิ่งหญิงสาวหน้าแดงขึ้นเท่าไร  พักตรธิรันก็ยิ่งแกล้งเธอมากขึ้นเท่านั้น  ชายหนุ่มใช้หน้าซุกไซร้ลงไปที่คอของเธอ  แล้วใช้มืออันซุกซนล้วงลึกเข้าไปในเสื้อของคนที่นั้งดิ้นดุกดิกอยู่บนตัก

              “อ๊ายก็ได้ๆๆฉันยอมแพ้แล้ว  ยกนี้ฉันแพ้เพราะฉะนั้นนายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”  เธอรัวกำปั้นทุบแผงอกกว้างๆของเขา  แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มร่างใหญ่จะไม่รู้สึกเจ็บกับกำปั้นเล็กๆของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว  เขารวบข้อมือเล็กๆทั้งสองข้างเอาไว้  แล้วโอบรัดหญิงสาวให้แนบชิดกายเขายิ่งกว่าเดิม

              “งั้นก็รีบๆผูกไทให้เสร็จๆเข้าสิ”  เขาพูดเสียงเรียบ

              เธอตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ชายหนุ่มกับกอดรั้งเธอเอาไว้ก่อน

              “ไม่ต้องลุกหรอก  ผูกแบบเนี่ยแหละ

              “อะไรนะ”  เธอทำหน้าเหรอหรา  จะให้ผูกไททั้งๆที่นั้งตักเขาเนี่ยนะ

              “จะผูกมั้ย

              นินจิราไม่ตอบได้แต่ก้มหน้างุดๆ  ผูกไทให้เขาแต่โดยดี  ชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  ให้กับท่าทางขมักเขม้นของบุคคลที่อยู่ตรงหน้า  เขาปัดปอยผมที่ปรกหน้าปรกตาของเธอออกอย่างแผ่วเบา  นินจิราชำเลืองมองเขาที่กำลังจ้องเธอแล้วก็ก้มหน้าก้มตาผูกไทให้เขาต่อ

              “เสร็จแล้ว~”  เธอฉีกยิ้มกว้างให้กับผลงานของตัวเอง  แล้วมองหน้าพักตรธิรันที่ยังจ้องหน้าเอไม่เลิก  “เสร็จแล้วนะ”  หญิงสาวพูดย้ำอีกครั้งเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวเธอสักที

              “อืม...ผมรู้แล้ว

              “รู้แล้วก็ปล่อยฉันสักทีสิ  มัวแต่จ้องหน้าฉันอยู่ได้  มันมีอะไรติดอยู่รึไง

              “ก็ไม่มีหรอก  แต่อยากจ้องมีปัญหาอะไรมั้ย

              “พูดแบบเนี่ยเดี๋ยวฉันก็คันหัวอีกรอบหนึ่งซะเลยหนิ

              “ก็เอาซี่~ ผมจะได้ช่วยเกาไง  คราวนี้จะเกาแบบไม่หยุดเลยดีม่ะ

              นินจิรากัดฟันกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ  ที่ต้องแพ้ให้เขาถึงสองครั้งในวันเดียว

              “ฝากไว้ก่อนเถอะ”  เธอมองชายหนุ่มด้วยแววตาดุดัน

              พักตรธิรันได้แต่หัวเราะชอบใจกับนิสัยไม่ยอมแพ้ใครของหญิงสาว

              “นายครับ  รถพร้อมแล้ว  จะไปเลยรึเปล่าครับ”  ทศทรคนขับรถของพักตรธิรันเดินเข้ามาถามผู้เป็นนายด้วยความนอบน้อม

              “ไปเลยค่ะ”  เธอตอบแทนพลางแกะมือของชายหนุ่มออกอย่างเขินอาย

              ทศทรมองท่าทางของผู้ที่ตอบแทนอย่างขำขัน

              “เออๆๆไปก็ได้  ไล่กันจังเลยนะคุณภรรยา

              พักตรธิรันคลายมือออกจากเอวบาง  เธอลงจากตักเขาก่อนจะผายมือไปทางประตูห้อง  ให้เขารีบๆออกไป  ชายหนุ่มทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วหยิบเสื้อสูทสีดำเตรียมตัวไปทำงาน  พักตรธิรันกำลังจะเดินออกจากห้องแต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้  จึงเดินกลับไปหาหญิงสาวอีกรอบ

              “ลืมบอกไป  ตอนบ่ายเดี๋ยวผมจะให้เลขาฯพาคุณไปซื้อของใช้พี่ห้าง  อย่าลืมแต่งตัวรอล่ะ”  เขาพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องโดยมีทศทรเดินตามหลังไป

              “ซื้อของหรอ”  นินจิราพูดกับตัวเอง  ก่อนจะยิ้มบางๆด้วยความดีใจ


             
    และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนบ่าย  กาณวิมล  เลขาส่วนตัวของพักตรธิรันแวะเข้าไปรับนาจีรัตน์(นินจิรา)ที่คอนโด  เธอเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังนั้งร้องเพลงอยู่บนโซฟา  นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เห็นภรรยาของเจ้านายแบบชัดๆ  เพราะเธอเคยเห็นนาจีรัตน์แค่ในทีวีกับหนังสือพิมพ์ นิตรยาสาร  ตอนที่ลงข่าวแต่งงานของทั้งคู่เท่านั้น  ขนาดแค่รูปถ่าย  หญิงสาวยังดูสวยสง่าไร้ที่ติ  ถ้าได้เห็นตัวจริง  กาณวิมลสาวสูงเพรียวใบหน้าเรียวคม  อาจจะต้องชิดซ้ายเลยก็ได้

              “คุณนาจีรัตน์คะ”  กาณวิมลทักเธอจากทางด้านหลัง

              นินจิราหันไปทางต้นเสียง  ก่อนจะส่งยิ้มให้กับกาณวิมลด้วยความเป็นกันเอง

              ใบหน้ารูปไข่กับพวงแก้มสีอมชมพู  ทำให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของกาณวิมลดูไม่เหมือนผู้หญิงอายุ  23 เลยด้วยแม้แต่นิด  ขนาดกาณวิมลเป็นผู้หญิงยังแทบละสายตาออกจากใบหน้าของเธอไม่ได้  และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้สองสามวันที่ผ่านมาเจ้านายของกาณวิมลอารมณ์ดีผิดปกติ  วันๆได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  ไม่ก็นั้งหัวเราะอยู่คนเดียว  ทำให้พนักงานในบริษัทต่างก็งุนงงในอาการผิดปกติของเจ้านาย

              “เอ่อ...”  นินจิราเกาคางตัวเองทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง  ก่อนจะเอานิ้วชี้ไปที่กาณวิมลแล้วเอ่ยขึ้นว่า  “คุณคงจะเป็น...เลขาของคุณรันที่จะพาฉันไปซื้อของใช้ม่ะ”  เธอทำสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ

              กาณวิมลยิ้มนิดๆ  แล้วพยักหน้าหงึกหงักให้หญิงสาว

              “ว้าวดีจังฉันกำลังรอคุณอยู่พอดีเลย  พวกเรารีบไปกันเถอะ”  นินจิราไม่พูดพร่ำทำเพลง  จูงมือกาณวิมลเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

              “ดะ...เดี๋ยวก่อนสิค่ะคุณนาจีรัตน์”  กาณวิมลหยุดเดิน  หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าจึงหยุดเดินไปด้วย

              “มีอะไรคะ”  นินจิราขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

              “คือจะแต่งชุดนี้ไปรึคะ”  เธอมองเสื้อผ้าที่หญิงสาวตรงหน้าใสอยู่อย่างแปลกใจ

              เสื้อยืดสีดำมีลายเพนท์ที่ดูยุ่งเหยิงสีชมพูเข้มตกแต่งอยู่  กับกางเกงสามส่วนสีดำทรงกระบอกและรองเท้าผ้าใบสียีนส์ขอบขาว

              “ทำไมคะ  ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย  ปกติฉันก็ใส่แบบนี้อยู่แล้ว”  หญิงสาวหัวเราะนิดๆ  ก่อนจะจูงมือกาณวิมลให้เดินตามเธอไป  นินจิราหยุดเดินเมื่อนึกอะไรขึ้นได้  เธอหันไปหัวเราะแหะๆใส่คนข้างหลัง  ก่อนจะถามเขาว่า  “เอ่อ...คือ...พวกเราจะไปไหนกันหรอคะ


             
    กาณวิมลพาภรรยาของเจ้านายมาที่ห้างชั้นนำแห่งหนึ่ง  นินจิราเดินซื้อนู่นซื้อนี่ไปจนเกือบจะทั่วห้าง  ก็ยังไม่มีท่าทีว่าเธอจะหยุดซื้อเลยแม้แต่นิด  และของใช้ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่แผ่นเพลง  แผ่นหนัง  และก็เสื้อผ้าอีกเพียงเล็กๆน้อยๆ  กาณวิมลเดินหญิงสาวไม่ไหว  ทั้งคู่เลยมานั้งพักเหนื่อยอยู่ที่ม้านั้งตามทางเดิน

              “เอ่อคุณนาจีรัตน์...” 

              ยังไม่ทันที่กาณวิมลจะพูดจบ นินจิราก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน

              “เรียกฉันว่านิน...เฮ้ย  ไม่ใช่ๆ  เรียกฉันจีน่าก็ได้ค่ะ  ว่าแต่พวกเราเดินคุยกันมาตั้งนานแล้วฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร

              “กาณวิมลค่ะ

              “แล้วชื่อเล่นล่ะ

              “คะ? ...เอ่อ  มลค่ะ

              “โอเค  เมื่อกี้คุณมลจะพูดว่าอะไรนะคะ

              “คือดิฉันจะบอกว่านี่มันก็เย็นมากแล้ว  ถ้าไม่รีบกลับบ้านคุณพักตรธิรันจะเป็นห่วงเอานะคะ

              นินจิรายกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู  เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา เกือบจะหกโมงเย็น  คงจะได้เวลากลับบ้านเสียที  เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรต่อแล้ว

              “เอางั้นก็ได้ค่ะ  แต่ก่อนกลับขอเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”  หญิงสาวพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้  แล้วเดินตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที

              ระหว่างทางตอนที่เดินกลับไปหากาณวิมล  นินจิราก็เดินก้มหน้าก้มตามองพื้นลายสวยของห้าง  จนเซ่อซ่าไปชนชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเข้าอย่างจัง  ชายหนุ่มเซ่ถอยหลังไปเล็กน้อย  แต่นินจิรากับลงไปนั้งจ้ำบ๊ะอยูที่พื้น  เธอร้องโอดครวญก่อนจะใช้มือชันตัวเองให้ลุกขึ้นไปตวาลผู้ชายคนนั้น (ทั้งๆที่เธอเป็นคนผิดนะเนี่ย)

              “เดินไงวะ  มองไม่เห็นคนรึไง”  เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มท่าทางเอาเรื่อง

            “ผมยืนอยู่เฉยๆ  คุณต่างหากเล่าที่เดินมาชนผมเอง”  เขาเองก็มองหญิงสาวท่าทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

              นินจิรามองชายหนุ่มตรงหน้าเพราะรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน  ดวงตาคมเข้มสีดำ  ปากและจมูกที่เข้ารับกับใบหน้าเรียวยาวของเขา  ผมยาวปะบ่าที่โดนโกรกเป็นสีน้ำตาลอ่อนถูกซอยจนบางเป็นทรงรากไซร้  หญิงสาวขบฟันตัวเองเพื่อนึกว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนรึเปล่า  เขาเองก็รู้สึกคุ้นตากับผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก  แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียที 

              นินจิราจ้องตาเขาไม่กระพริบพยายามรื้อฟื้นความทรงจำอย่างสุดความสามารถ  แล้วในที่สุดเธอก็นึกออกเสียที  เธอฉีกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ  เมื่อรู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคือเขานั้นเอง

              “พี่วิน

    5

              ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า  "พี่วิน"  ได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆด้วยความงง  เพราะนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใครกันแน่    นินจิราทำหน้าละห้อยเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจำเธอไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

              “ซื่อ...บื้อ...  ไม่ได้เจอกันแค่หกปี  จำหน้าน้องสาวแสนสวยคนนี้ไม่ได้เลยเหรอ”  หญิงสาวหน้าง้ำหน้างอพูดน้ำเสียงกึ่งโกธรกึ่งน้อยใจ

              นินจิราจำผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้อย่างแม่นยำ  ต่อให้ผ่านไปกี่ปีเธอก็ยังจำเขาได้  เขาคือผู้ชายคนแรกที่ทำให้เธอร้องไห้แทบเป็นแทบตาย  เมื่อครั้งที่เขาต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ  ตอนนั้นเธอนอนซมเป็นซอมบี้ไม่พูดไม่จากับใครไปหลายวัน  ไม่ว่าคนที่บ้านจะพูดปลอบใจ เอาใจเธอขนาดไหน  นินจิราก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย  จนกระทั้งเขาต้องโทรศัพท์มาหาเธอเพื่อให้เธอสบายใจไม่ต้องเป็นห่วงเขา  หญิงสาวจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง  ผู้ชายที่นินจิราเชื่อฟัง เชื่อใจ และไว้ใจอย่างสุดๆคนนี้ก็คือ...  กรวิณทร์  พี่ชายบุญธรรมของนินจิรานั้นเอง 

              คุณหญิงลักขณา(แม่)รับกรวิณทร์มาเป็นลูกบุญธรรมตอนที่นินจิราอายุได้เจ็ดขวบ  แรกๆเธอกับกรวิณทร์ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไรนัก  เป็นเพราะอายุที่ห่างกันถึงหกปีทำให้นินจิราไม่กล้าเข้าไปคุยกับเขา  แต่แล้วไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตทำให้นินจิราเห็นเขากำลังนั่งดีดกีตาร์  ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวผสมกับความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็ก  นินจิราจึงเข้าไปคุยกับเขาเพราะสนใจไอ้สิ่งที่เขากำลังเล่นอยู่  กรวิณทร์อธิบายให้เด็กน้อยฟังว่ามันคืออะไรและก็สอนให้เธอเล่นมัน  นินจิราใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเล่นตามที่เขาบอกได้  ถึงจะมีผิดและเพี้ยนไปบ้างก็ตาม  หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันบ่อยขึ้นจนสนิทติดกันชนิดที่ว่าปาท่องโก๋ยังเรียกพี่ 

              เวลาล่วงเลยผ่านไปจนนินจิราอายุได้สิบห้า  พอเธอรู้ว่าเขาต้องไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ  เธอก็พยายามรั้งเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาไป  แต่กรวิณทร์ก็ตอบเสียงแข็งว่ายังไงเขาก็ต้องไปให้ได้  เป็นสาเหตุที่ทำให้หลังจากนั้นนินจิราก็ไม่ยอมปริปากคุยกับเขาอีกเลยแม้แต่คำเดียว  จนกระทั่งถึงวันที่กรวิณทร์ต้องเดินทาง ญาติสนิทมิตรสหายต่างก็พากันยกขบวนไปส่งเขาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง  รวมทั้งนินจิรา  ไม่มีคำพูด...คำอำลา...หรือแม้แต่สายตาของเธอที่เหลียวมองมาที่เขาแม้แต่นิดเดียว  ก่อนที่กรวิณทร์จะขึ้นเครื่องเขาก็เดินมาหานินจิราเผื่อว่าเธอจะพูดอะไรกับเขาบ้าง  หญิงสาวยังคงก้มหน้าก้มตาและนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม  กรวิณทร์เอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆด้วยความเอ็นดู  ก่อนจะเดินขึ้นเครื่องไป  หลังจากที่เขาไปแล้ว  น้ำตาที่หญิงสาวอุตส่าห์เก็บกักไว้อย่างดีก็ไหลพรั่งพรูออกมา  เธอก้มหน้านิ่งพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้  ริมฝีปากล่างถูกกัดแน่นจนเลือดซิบ  มือทั้งสองข้างกำไว้ที่ชายเสื้อจนยับยู้ยี่  ถ้าครั้งนั้นกรวิณทร์เลือกที่จะไม่ไปล่ะก็  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจจะไปไกลกว่านี้ก็เป็นได้

              “นินจา!!”  ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะสับสนไม่รู้เพราะดีใจหรือตกใจกันแน่  นินจิราเมื่อหกปีก่อนกับตอนนี้ช่างแตกต่างกันมาก  เธอตัวโตขึ้น(ถึงจะไม่กี่เซนต์)  ดูสาวและสวยขึ้นกว่าแต่ก่อน  ถึงหน้าตาจะเปลี่ยนไปบ้างแต่นิสัยดื้อรั้น  เอาแต่ใจ  ไม่ยอมใคร  ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน  ดูจากท่าทางหาเรื่องของเธอเมื่อตะกี้ก็รู้แล้ว  ถ้าดูแค่หน้าตาก็คงไม่เหลือเค้านิสัยกระโดกกระเดกในสมัยเด็กให้เขาเห็นเลยสักนิด

              “พึ่งนึกออกรึไงกัน  มันน่าจับโบกให้หัวหมุนนักเชียว”  เธอยังงอนไม่เลิก

              “โอโฮ้เจอกันแปบเดียวก็โหดเลยนะ”  เขาพูดกลั้นหัวเราะ

              “ช่างเถอะ  ว่าแต่พี่วินกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”  หน้างอนเมื่อสักครู่เปลี่ยนมาเป็นความสงสัยทันที

              “พึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง  กะว่าวันนี้จะแวะไปเซอร์ไพร์นินจากับคนที่บ้านสักหน่อย  แต่เราก็ดันมาเห็นพี่ซะก่อนน่าเสียดายชะมัด”  กรวิณทร์ส่ายหัวไปมาด้วยความเสียดาย

              “อย่างงี้พี่ก็ยังไม่ได้กลับไปที่บ้านน่ะสิ

              “อืม

              “งั้นก็ยังไม่รู้เรื่องนินจากับพี่จีน่าสินะ” 

              “ถ้าเรื่องของนินจาพี่ไม่รู้หรอก  แต่ถ้าเป็นเรื่องที่จีน่าแต่งงานล่ะก็  พี่พึ่งไปอ่านเจอในร้านหนังสือเมื่อตะกี้นี้เอง  ตกใจหมดเลยไม่ได้เจอกันแค่หกปีน้องสาวก็หล่นลงมาจากคานคนหนึ่งซะแล้ว  คิกคิก”  เขาพูดติดตลก 

              นินจิราเบือนหน้าที่ซีดเผือกหันไปซับเหงื่อที่เกาะอยู่เต็มหน้าผาก  ก่อนจะส่งยิ้มที่ดูแล้วสุดแสนจะแห้งแล้งไปให้เขา

              “ว่าแต่เรื่องของเราล่ะคืออะไร” 

              กรวิณทร์พยายามจ้องดวงตาสีดำอันสุกใส  ที่คอยเลี่ยงหลบตาเขาอยู่ตลอดเวลา...มันต้องมีอะไรแน่ๆ...

              “กะ  กะ  กะ...ก็ไม่มีอะไรหรอก  แค่จะบอกว่านินจาย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดแล้วก็เท่านั้นแหละ...  แค่นั้นจริงๆนะ”  เธอเน้นย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงจ้องจับผิดเธอไม่เลิก

              “แกบ้ารึเปล่า  อยู่โรงแรมหรูๆดีๆไม่ชอบ  ย้ายไปอยู่ทำไมที่คอนโด”  เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจในการกระทำของน้องสาว

              “คะ...คือนินจาแค่อยากเปลี่ยนมุมมองในชีวิตให้มันใหม่กว่าเดิม  แล้วอีกอย่างคอนโดที่นินจาอยู่มันก็หรูพอๆกับโรงแรมของพ่อเลยนะ

              นินจิราพยายามอธิบายเหตุผลให้พี่ชายของเธอเข้าใจ  แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองเธอแบบนักโทษกำลังโดนสอบสวนอยู่ดี

              “แล้วไปอยู่กับใครล่ะ...อยู่คนเดียว...อยู่กับเพื่อน  แล้วเพื่อนที่เราอยู่ด้วยเนี่ยเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  สนิทกันรึเปล่า  ไว้ใจได้ได้มั้ย  แล้ว...

              “โว้ย  พอได้แล้วๆ  พี่จะถามอะไรหนูหนักหนาเนี่ย”  เธอตัดพ้อด้วยความรำคาญ

              “บอกมาว่าเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชาย”  เขาเน้นคำพูดท่อนหลังจนความดันโลหิตของนินจิราพุ่งดิ่งลงก้นเหวทันที

              “เอ่อ...ผู้...”  เธออึกอักไม่กล้าพูด

              “บอก...มา

              “ผู้หญิง...อืม  ใช่แล้วล่ะ  ผู้หญิง” 

              “เอาให้มันแน่ๆ  โกหกขอสาปแช่งให้สิวขึ้น

              “ไม่ได้โกหกสักหน่อยก็เป็นผู้หญิงจริงๆ”  เธอพูดอย่างมั่นใจ  ...ก็ผู้หญิงจริงๆนี่หน่า  ผู้หญิงสอง(ป้าแพรกับพี่แก้ว)  ผู้ชายอีกสอง(พักตรธิรันกับนายทร)ไง...

              “ก็ได้ๆ  พี่เชื่อใจนินจาหรอกนะ  ว่าแต่วันนี้เรามากับใครล่ะ  มากับคนที่บ้านรึเปล่า” 

              “เปล่าหรอกหนูมากับ...  โอ๊ยตายแล้ว  นินจาลืมคุณกาณวิมลไปซะสนิทเลย  ปานนี้เขาคงรอหนูจนแห้งเ^_^่ยวเฉาตายไปแล้วมั้งเนี่ย  เอางี้แล้วกันนะพี่วิน  วันหลังหนูจะแวะเข้าไปหาพี่ที่บ้านก็แล้วกัน  วันนี้หนูต้องไปแล้วล่ะ  ไปก่อนนะ”  เธอโบกมือบ๊ายบายเขา  ก่อนจะหันหลังเตรียมตัววิ่งอย่างสุดชีวิต

              และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  เมื่อกาณวิมลที่กำลังวิ่งตามหาเธออยู่  เห็นเธอเข้าก็รีบวิ่งตาลีตาเหลือกตรงมาที่นินจิราพลางตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงกระหืนกระหอบ

              “คุณจีน่าคะ  คุณจีน่า  แฮ่กๆๆ”  กาณวิมลวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้านินจิรา  เธอยืนจับเข่าพร้อมกับหอบอย่างแรงด้วยความเหนื่อย 

              กาณวิมลวิ่งตามหาภรรยาของเจ้านายเพราะเห็นเธอไปเข้าห้องน้ำตั้งนานสองนาน  กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป  พอเจอเธอแล้วกาณวิมลก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก  ผิดกับนินจิราที่เหงื่อออกเต็มใบหน้า ทั้งๆที่อากาศในห้างก็ค่อนข้างจะหนาวเย็น

              “พี่งงไปหมดแล้วนะเนี่ย  ตกลงแกเป็นไอ้จีหรือไอ้นิ...”  ชายหนุ่มหยุดพูดเพราะนินจิราเอาศอกมากระทุ้งที่สีข้างเขา

              กาณวิมลมองชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้าด้วยความฉงนใจ  เธอมองหญิงสาวตัวเล็กกับชายหนุ่มร่างสูงสลับกันไปมา  นินจิราเห็นท่าทางความสงสัยของกาณวิมล  จึงเอ่ยแนะนำตัวผู้ชายข้างๆให้เลขาสาวสวยได้รู้จัก

              “เอ่อ...นี่พี่วินค่ะ  พี่ชายฉันเอง...  แล้วนี่ก็คุณกาณวิมลค่ะพี่วิน”  เมื่อเธอแนะนำตัวให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกันเสร็จ  ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบกันไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย  เพราะตอนนี้สายตาของกรวิณทร์ที่มองมาที่นินจิราช่างดุเดือดและเต็มไปด้วยเปวลไฟเสียจริงๆ  หญิงสาวร่างเล็กพยายามหลีกเลี่ยงสายตาอันตรายของเขา  แล้วหันมาพูดกับกาณวิมล

              “คุณมลคะ  แล้วของที่ซื้อไว้หายไปไหนหมดแล้วล่ะคะ”  เธอถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่ากาณวิมลวิ่งมาตัวเปล่า

              “อ๋อ  ให้นายทศทรเอาไปไว้ที่รถแล้วล่ะค่ะ  คุณจีน่าจะกลับเลยรึเปล่าคะ  หรือว่า...จะกลับพร้อม...เอ่อ  คุณวิน”  เธอเอ่ยชื่อชายหนุ่มร่างสูงอย่างกล้าๆกลัวๆ

              “กลับเลยค่ะๆ...อยู่ให้โง่อ่ะดิ”  ประโยคหลังเธอบ่นพึมพำอยู่คนเดียว  “ไปแล้วนะคะพี่วิน”  พูดจบหญิงสาวก็หันหลังเดินดุ่มๆเพื่อออกห่างจากรังสีอันตรายทันที

              กรวิณทร์คว้าคอเสื้อของหญิงสาวเอาไว้แล้วลากเธอกลับไปยืนข้างเขาดังเดิม

              “จะรีบกลับไปไหนล่ะฮึ จีน่า  อยู่คุยกันก่อนสิ  เดี๋ยวพี่ไปส่งแกเองก็ได้” 

              “มะ มะ มะ...ไม่ดีกว่าค่ะพี่วิน  พอดีหนูติดธุระด่วนต้องรีบกลับบ้าน  คงอยู่คุยด้วยไม่ได้  แหะๆๆ”  ท่อนหลังช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย

              กรวิณทร์หันไปมองกาณวิมลเป็นเชิงถามว่าน้องสาวเธอพูดจริงรึเปล่า  ด้วยสายตาที่สุดแสนจะ^_^มโหดบวกกับความกลัวของกาณวิมล  เธอจึงบอกกับหญิงสาวร่างเล็กไปว่า

              “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณจีน่า  เดี๋ยวมลโทรไปบอกคุณรันให้ก็ได้ค่ะ  คุณรันคงจะไม่ว่าอะไร... ถ้างั้นมลขอตัวกลับก่อนนะคะ  เชิญพวกคุณทั้งสองคนอยู่คุยกันตามสบายเลยค่ะ  โชคดีนะคะคุณจีน่า”  แล้วนายพรานสาวผู้ขี้กลัวก็ทิ้งให้ลูกหมูอยู่ในกรงกับราชสีห์

              ...เฮ้ย! เล่นทิ้งกันอย่างงี้เลยหรอ  แล้วฉันจะทำไงดีวะเนี่ย...  เสียงร่ำร้องภายในใจของหญิงสาวดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทุกโสนประสาท

              กรวิณทร์ก้มมองน้องสาวตัวเองที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะความกลัว  ดูแล้วช่างน่าสงสารเหมือนหนูน้อยกำลังโดนผู้ปกครองทำโทษ  แต่อารมณ์ร้อนของกรวิณทร์ก็ไม่ทำให้เขาเห็นความน่าสงสารที่หญิงสาวแผ่ออกมาเลยแม้แต่นิด   

              “เราคงมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะเลยล่ะนินจา


             
    ที่โต๊ะด้านในสุดของร้านค๊อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งในห้าง  กรวิณทร์กำลังจ้องมองหญิงสาวที่นั้งอยู่อีกฟากหนึ่งเพื่อจะให้เธอเล่าความจริง  แต่หญิงสาวกับนั้งก้มหน้างุนๆใช้เล็บจิกนิ้วตัวเองไปมา  ไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่เมื่อตะกี้ 

              “ทำไมผู้หญิงคนเมื่อตะกี้ถึงเรียกนินจาว่าจีน่า”  น้ำเสียงเย็นชาของเขายิ่งทำให้นินจิรานั่งเงียบยิ่งกว่าเดิม  “ถ้าวันนี้นินไม่พูดก็ไม่ต้องกลับบ้าน  นั้งมันอยู่อย่างงี้ทั้งคืนนั้นแหละ

              คำขู่ของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวเหงยหน้าขึ้นมามองเขา  ด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวไม่เกรงกลัวชายหนุ่มเหมือนเมื่อตะกี้

              “นินจาจะไม่พูดเรื่องนี้กับพี่วิน  ถ้าพี่วินอยากจะรู้  วันนี้พี่วินก็ไปถามแม่กับพ่อเอาเองล่ะกัน

              ปัง!!

              มือหนาใหญ่กระทบกับโต๊ะเสียงดังสนั่นจนคนทั่งร้านหันมาทั่งคู่เป็นตาเดี๋ยว  หญิงสาวก้มหน้าลงต่ำไม่อยากมองหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า

              “พวกเราโตๆกันแล้วนะ  ควรจะพูดให้มันรู้เรื่องมากกว่านี้”  ชายหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน  พยายามสะกัดกั้นอารมณ์โกรธเอาไว้

              “ไม่!  อย่างไงก็ไม่บอก  ถ้าหนูบอกพี่ต้องฆ่าหนูตายแน่ๆ  เพราะฉะนั้นนินจาไม่บอกเด็ดขาด” 

              กรวิณทร์รู้ดีว่าถ้าน้องสาวจอมดื้อรั้นของเขาบอกว่าไม่ล่ะก็  อย่างง้าย~ อย่างไงเธอก็ไม่มีทางปริปากพูดเด็ดขาด  ถ้ายังเป็นแบบนี้คงต้องใช้ไม้ตายเสียแล้ว  กรวิณทร์หยิบแบงค์เทาในกระเป๋าออกมาวางไว้บนโต๊ะ  หญิงสาวเหลือบมองแวบหนึ่งแต่ก็ทำหน้าไม่สนใจต่อ  กรวิณทร์หยิบขึ้นมาอีกแบงค์  หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮ้อใหญ่  แล้วก็ส่ายหน้าไปมา

              “พี่ซื้อกีตาร์ให้แกตัวหนึ่งเลยเอามั้ย”  กรวิณทร์เอ่ยไม้ตายขั้นสุดยอดขึ้นมา

              หญิงสาวคิดหนัก  แต่ถึงกระนั้นก็ยังวางมาดปากแข็งอยู่ดี  

              “ไม่!  พี่วิน  เลิกเซ้าซี้สักทีได้มั้ย”  

              “งั้นก็เล่ามาสิ  พี่จะได้เลิกเซ้าซี้เราไง

              “วันนี้พี่วินจะกลับบ้านไม่ใช่หรอ  พี่วินก็ไปถามแม่เอาเองสิ  ถ้าเป็นคนอื่นหนูอาจจะเล่าให้ฟัง  แต่ถ้าเป็นพี่วิน...หนูพูดไม่ออกจริงๆ”  แววตารู้สึกผิดของนินจิรา  ทำให้รู้ทันทีว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

              “ก็ได้  พี่จะไปถามแม่เอาเอง  ถ้าแกไปก่อเรื่องอะไรร้ายแรงเข้าล่ะก็  พี่จะตีแกให้ก้นลายเชียว”  ชายหนุ่มพูดแบบยิ้มๆ  น้องสาวจึงได้แต่หัวเราะกับบทลงโทษของพี่ชาย

              “โธ่เอ๊ย~ อย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลย  นินจายังไม่ได้เช็คบิลเรื่องที่พี่วินเคยโกหกหนูเลยนะ

              ชายหนุ่มคิดหนัก  “โกหกเรื่องอะไรล่ะ

              “ก็เรื่องที่ตอนแรกพี่วินบอกนินจาว่าจะไปเรียนต่อเฉยๆไง  แต่ไหงไปๆมาๆดันไปติดใจแหม่มที่นั้นจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องซะได้

              ชายหนุ่มถึงบางอ้อ  คิ้วหนาขมวดชนกันก่อนจะปฏิเสธข้อกล่าวหา  “จะบ้าหรอไง  พี่ไปทำงานอยู่ที่นั้นต่างหาก  นี่ก็ลางานมาเยี่ยมบ้านได้แค่อาทิตย์เดียว  เดี๋ยวก็ต้องกลับไปที่นั้นต่อ  ไม่ได้เหลวไหลไปจีบแหม่มจนลืมบ้านเกิดสักหน่อย”  เขาอธิบายให้หญิงสาวหน้ามุ่ยตรงหน้าเข้าใจ

              นินจิราก็พยักหน้าเออออเข้าใจกับบทความท่อนแรกๆ  แต่ท่อนหลังเนี่ยไม่ค่อยอยากจะเชื่อพี่ชายสักเท่าไร  มีเหร๊อหนุ่มหล่อจอมเจ้าชู้อย่างกรวิณทร์จะไม่ทำ  ใครเชื่อก็บ้าแล้ว


             
    ทั้งคู่สั่งอาหารมากินกันเรื่อยเปื่อย  พลางคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสมัยเด็กๆ  นินจิราเหลือบมองดูนาฬิกาบ่อยครั้ง  เมื่อเวลาก้าวย่างเข้าทุ่มครึ่ง 

              “จะกลับกันรึยังเนี่ย  เย็นมากแล้วด้วย  เดี๋ยวเพื่อนที่คอนโดหนูจะเป็นห่วง”  นินจิราเริ่มลุกลี้ลุกลนเพราะโทรศัพท์ในหระเป๋ากางเกงสั่นมาตลอดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว  และคนที่โทรมาคงไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนแน่ๆ

              “ทำไมรีบกลับนักล่ะ  ของที่สั่งมายังกินไม่หมดเลยนะ”  กรวิณทร์เอาส้อมชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะซึ่งเหลือเหลือเป็นกองพะเนิน  คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยกว่าจะกินหมด

              “ห่อกลับไปกินที่บ้านก็ได้นี่หน่า

              “อย่าเลย...เสียเวลา  นั้งกินไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันก็หมดเองแหละ”  กรวิณทร์ไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตากินอาหารต่อ

              นินจิราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อมันหยุดสั่นไปแล้ว  ดวงตาเธอเบิกกว้างเพราะหน้าจอบนมือถือปรากฏคำว่า "สายไม่ได้รับ 14 สาย"  พอเธอเปิดดูทั้ง 14 สายต่างเป็นของชื่อ "ผัวฉัน" ทั้งสิ้น  หญิงสาวเก็บมือถือเข้ากระเป๋าเช่นเดิม  ทำหน้าปลงกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า 

              “ไหนๆก็คงเป็นมือสุดท้ายแล้วขอกินให้หนำใจเลยแล้วกัน”  เธอบ่นพึมพำ  ก่อนจะกินอาหารตรงหน้าให้มันค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ


             
    สองทุ่มยี่สิบหกนาที  นี่คือเวลาหน้าปัดรถเท็กซี่ที่เดินช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงจากเวลาของจริง  รถค่อยๆเคลื่อนตัวมาจอดอยู่ที่หน้าคอนโด  โดยมีผู้โดยสารสองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

              “จะให้พี่เดินเข้าไปส่งที่ห้องมั้ย”  กรวิณทร์หันไปถามน้องสาวที่มัวแต่เหงยหน้าขึ้นมองชั้นบนของคอนโด  ไม่ยอมลงจากรถเสียที

              “ไม่ต้องหรอก  นี่ก็ดึกแล้วพี่วินรีบกลับบ้านเถอะ  พี่บอกกับหนูไว้ว่าจะแวะไปทักทายคนที่บ้านไม่ใช่หรอ”  เธอพูดกับเขาแต่สายตาก็ยังคงมองไปที่เดิม

              “เอางั้นก็ได้

              นินจิราเปิดประตูก้าวเท้าลงจากรถ  ก่อนที่เธอจะปิดประตู  เธอก็ชะโงกหน้าเขามาพูดกับพี่ชาย

              “พี่วินถ้าวันนี้พี่กลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้าน  ฝากเอาเพลย์ทูกับกีตาร์มาให้หนูที่คอนโดพรุ่งนี้ด้วยนะ  เอามาให้ตอนไหนก็ได้  เพราะหนูอยู่ในนั้นทั้งวัน

              “พรุ่งนี้หรอ...พี่คงไม่ว่างแวะมาหาแกหรอก  เอาเป็นวันอื่นได้มั้ย

              หญิงสาวหัวเราะในลำคอ  แล้วบอกกับกรวิณทร์ไปว่า  “ไม่ต้องห่วง  นินจารู้ว่าอย่างไงพรุ่งนี้พี่วินก็ต้องมา  เอาหัวเป็นประกันได้เลย  แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะพี่วิน

              นินจิราโบกมือให้ชายหนุ่มก่อนจะปิดประตูรถเดินตัวปลิวเข้าไปข้างในคอนโด  กรวิณทร์ได้มองตามหลังน้องสาวอย่างงงๆ ...ทำไมวันพรุ่งนี้เขาต้องแวะไปหาเธอด้วยนะ...  ชายหนุ่มเลิกคิดมาก  บอกกับโซเฟอร์ให้ตรงไปยังจุดมุ่งหมายที่ต่อไป  นั้นก็คือ...โรงแรมปุณญพิช  ที่พ่อแม่เข้าอาศัยอยู่นั้นเอง     

    6/1


         
    พักตรธิรันนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโซฟา มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์ไว้แน่น อีกข้างใช้นิ้วเคาะตักตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์ หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ดึกดื่นปานนี้ยังไม่กลับบ้าน  โทรศัพท์ไปหาก็ไม่รับสาย  นี่ยังดีนะที่เลขาคนโปรดมารายงานว่าภรรยาเขาไปกับพี่ชาย ไม่งั้นคอนโดแห่งนี้คงพังพินาศย่อยยับไปนานแล้ว  ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งเลือดขึ้นหน้า  ถ้าตัวต้นเหตุโทรมาบอกเขาสักนิดล่ะก็  เขาก็คงไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลเช่นนี้

          ทศทรกับแก้วตาแอบมองเจ้านายอย่างเงียบๆ  พลางบ่นซุบซิบอุ๊บอิบกระซิบกระซาบกันอยู่สองคน

          “ฉันว่านะพี่ทร  ถ้าคุณจีน่ากลับมาล่ะก็...มีหวังโดนคุณรันด่าไฟแลบแน่ๆ  คิดแล้วรู้สึกเสียวสันหลังชอบกล”  สาวใช้ลูบแขนตัวเองไปมา  เมื่อนึกสภาพนายหญิงถูกเจ้านายทารุณ

          “ข้าว่าไม่จริงหรอกว่ะ  อย่างคุณจีน่าเนี่ยนะไม่มีทางยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำฝ่ายเดียวอยู่แล้ว  รายนั้นน่ะโต้ตอบเก่งออกจะตาย  แล้วดูแต่ละทีที่เจ้านายเราโดนโต้กลับสิ  เป็นอันต้องเงียบกริบพูดไม่ออกทุกครั้ง

          “พี่จะบอกว่าเจ้านายเรากลัวเมียว่างั้นเถอะ” 

          “เฮ้ย! ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”  ทศทรรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน

          “จะอย่างไงก็ช่างเถอะ  ฉันว่าครั้งนี้เจ้านายเราดูไม่เหมือนครั้งก่อนๆนะ  เล่นแผ่รังสีอำมหิตซะทั่วคอนโดขนาดนี้  ฉันกลัวว่าคุณจีน่าจะรับมือไม่ไหวน่ะสิ  อย่างไงเขาก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งนั้นแหละนะ”  แก้วตาจ้องมองไปที่เจ้านายอย่างเลื่อนลอย ...คุณพักตรธิรันก็ใช่ย่อยซะที่ไหน  เวลาโกธรขึ้นมาจริงๆล่ะก็  รับมือยากใช่เล่น...

          “พวกแกมายืนด้อมๆมองๆอะไรกันอยู่แถวนี่ห่ะ!”  เสียงเฉียบคมของป้าแพร  ทำเอาทั้งสองคนรีบหันมามองกันอย่างลนลาน

          “ม...ไม่มีอะไรจ้ะป้า”  สาวใช้รีบกระวีกระวาดไปหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดพื้นทันที  ส่วนนายทศทรก็เดินจ้ำอ้าวหนีเข้าไปในห้องครัว  เหลือเพียงป้าแพรที่ยืนส่ายหัวไปมาเพราะเอือมระอาคนใช้ทั้งสอง 

          หญิงวัยเลยกลางคนไปแล้วทอดมองไปทางชายหนุ่มบนโซฟา  ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง  “พรุ่งนี้เช้าต้องมีใครได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แน่ๆ”  


         
    ความกลัวเริ่มครอบงำไปทั่วทุกรูขุมขน  เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้หน้าห้องทุกที...ทุกที  เธอพนมมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบๆตัวก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทาไปกดออด  มีเสียงปึงปังตึงตังดังออกมาจากข้างใน  ไม่นานนักประตูก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว  ภาพชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนกัดฟันแน่นแววตาฉายความโกธรเคือง  แทบทำให้นินจิราทรุดฮวบลงไปนั่งกองกับพื้น  แต่ด้วยความเป็นหญิงแกร่งมันต้องวางฟรอมกันนิดส์นึง

          “หวัดดี...ดูหนังบู๊ล้างผลาญอยู่หรอ  หน้าดำคล่ำเครียดเชียว

          “...”  ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลตรงหน้า

          “งั้นฉันไม่กวนนายดีกว่า  เชิญนายดูต่อไปเถอะ  ไปก่อนนะ”  หญิงสาวแทรกตัวเดินผ่านเข้าห้องหน้าตาเฉย  ดูภายนอกแล้วเหมือนจะไม่เกรงกลัวเขา  แต่ในความเป็นจริงแล้วหัวใจเต้นแรงแทบจะกระเด็นออกมานอกตัว

          ปัง!!!!!!

          เสียงปิดประตูที่ดังสะเทือนไปทั่วทั้งคอนโด  ทำให้หญิงสาวชะงักฝีเท้าสูดลมหายใจเข้าไปทางปากเต็มปอด  ร่างบางอยากจะก้าวเท้าฉับๆเดินหนี  แต่ขาที่สั่นพั่บๆบ่งบอกเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่า  เกิดโรคอัมพาตที่ขาแบบฉับพลัน  เธอยืนแน่นิ่งเหงื่อแตกพลั่กๆเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหลังเธอ

          “ไปไหนมา”  น้ำเสียงที่สุดแสนจะเย็นเฉียบ  พุ่งหลาวไปเกาะกุมอยู่ที่รูหูของนินจิรา

          “ไปกินข้าวกับพี่”  เธอหันหลังพูดกับเขา

          พักตรธิรันกระฉากแขนหญิงสาวให้หันหน้าไปทางเขา  ก่อนจะรัวคำถามน้ำเสียงเกรี้ยวโกธรใส่เธอเป็นชุด

          “จะกลับดึกแล้วทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน  ผมโทรไปหาคุณตั้งหลายรอบแล้วทำไมคุณถึงไม่รับสาย  เคยคิดบ้างมั้ยว่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงแค่ไหน  ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไง  ผมบอกให้คุณไปซื้อของเฉยๆไม่ได้ให้ไปกินข้าวกับพี่ชาย  แล้วเป็นผู้หญิงไปเดินเที่ยวเล่นกับผู้ชายสองต่อสอง  แถมยังกลับบ้านมืดค่ำแบบเนี้ย  คนอื่นเห็นเข้าเขาจะคิดอย่างไง  ทำผิดแล้วเคยคิดที่จะขอโทษกันบ้างมั้ย  คำว่าขอโทษเนี่ยสะกดเป็นรึเปล่า”  ใบหน้าหล่อคมบิดเบี้ยวไปด้วยความโกธรและอารมณ์โทสะ

          นินจิราหน้าเอ๋อ  พยายามเรียบเรียงคำพูดของเขาใส่สมอง  ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วรัวคำตอบกลับไปว่า

          “แล้วทำไมฉันต้องโทรบอกนายด้วยล่ะ  ฉันโตพอแล้วไม่ใช่เด็กอมมือที่ต้องคอยมารายงานตัวกับผู้ปกครอง  คุณกาณวิมลเขาก็บอกนายแล้วไม่ใช่หรอว่าฉันไปกับพี่ชาย  นายรู้แค่นี่ก็พอแล้วนี่  ยังอยากจะรู้อะไรอีกมากมายล่ะ  แล้วที่ฉันไม่รับโทรศัพท์นายก็เพราะตอนนั้นฉันนั่งกินข้าวอยู่กับพี่วิน  มันขัดหวะฉันก็เลยไม่อยากรับสาย  อีกอย่างฉันไปทำให้ใครเป็นห่วงรึไง...นายหรอ

          “...”

          “เห็นมั้ยล่ะว่าไม่ใช่  งั้นนายจะมาเดือดร้อนแทนฉันทำไมล่ะ  ฉันจะเป็นอะไรอย่างไงมันก็เรื่องของฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายเลยสักนิด  แล้วที่ฉันไปเดินเที่ยวเล่นกับผู้ชายที่เป็นพี่เนี่ยมันผิดด้วยรึไง  ใครจะมองมาอย่างไงฉันก็ไม่สน  เพราะว่าเขาเป็นพี่ชายฉัน...  โอเคเรื่องนี้ฉันผิดฉันขอโทษก็ได้  ...ขอไข่...อออ่าง...สระโอ...ทอทหาร...บอใบไม้ยัดไส้  แล้วฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดสะกดคำง่ายๆแบบนี้ไม่เป็น”  หญิงสาวจ้องตาเขาแบบไม่ยอมแพ้  ...ไหนๆฟิวส์ก็ขาดแล้วเอาให้หม้อแปลงมันระเบิดไปเลยก็แล้วกัน...

          ผู้สังเกตการณ์สองคนที่แอบมองอยู่  ต่างตบมือเบาๆให้กับนายหญิง  เสียงกระแอมของป้าแพรทำให้สองคนรีบเดินหนีไปทำอย่างอื่นกันคนละทิศคนละทาง

          “เวลาขอโทษเขาขอโทษกันแบบนี้รึไง  ถ้าไม่เต็มใจล่ะก็เก็บคำขอโทษของคุณเอาไว้ดีกว่า”  เขาตวาดพลางบีบแขนของหญิงสาวแรงขึ้นตามอารมณ์

          ”ฉันก็พูดดีแล้วนะ  กับพ่อแม่ฉันก็พูดแบบเนี่ย  จะต้องพูดให้เลิศเลอเพอร์เฟคขนาดไหน  นายเป็นใครกันล่ะ...  หึ  ก็แค่สามี

          คำพูดของหญิงสาวดูเหมือนจะเข้าไปทิมแทงจิตใจของพักตรธิรันเป็นอย่างมาก  ไม่เคยมีใครกล้าขึ้นเสียงหรือดูถูกเขามากขนาดนี้  ชายหนุ่มขบฟันแน่นมองเธอด้วยแววตาที่ดุร้ายเหมือนสัตว์ป่าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ  จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาตะหงิดๆ

          นินจิราทำท่าอึกอักอยากจะขอโทษ  แต่เสียงตวาดดุจฟ้าร้องของเขาก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

          “ใช่ผมเป็นสามีคุณ  งั้นก็ใช้สิทธิ์ความเป็นสามีบนเตียงหน่อยก็แล้วกัน

          พักตรธิรันฉุดกระฉากลากถูให้หญิงสาวร่างบางเดินตามเขาเข้าไปที่ห้องนอน

          “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”  เธอพยายามสลัดแขนออกจากแรงบีบมือของเขา  ทั้งใช้เล็บจิกหยิกขวนลำแขนเป็นมัดของชายหนุ่มจนเลือดไหลซิบๆ  ชายหนุ่มก็ไม่หยุดเดินหรือเลียวหลังหันมามองเธอเลยแม้แต่น้อย  กับยิ่งบีบและกระฉากแขนเธอแรงขึ้นมากกว่าเดิม 

          “ฉันขอโทษนายก็ได้  ฉันขอโทษๆๆๆ  ฮึก... ที่หลังฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ฮึก... ฉันเจ็บ  ฮือๆๆ  ฉัน...ขอโทษ...”  เสียงสะอึกสะอื้นของหญิงสาวร่างเล็กทำให้พักตรธิรันต้องหยุดกึก  ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกแรงๆ  เขาหันกลับไปมองหญิงสาวที่หน้าตาแประเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำใสๆด้วยแววตารู้สึกผิด  ชายหนุ่มเอานิ้วเรียวยาวปาดน้ำตาให้กับเธอแบบเบามือ  เหมือนกับใบหน้าของเธอเป็นกระดาษบางๆที่ขาดง่าย  ...ฉันต้องใจอ่อนให้ยัยนี่อีกแล้วรึเนี่ย  ไม่...ไม่มีทาง! ฉันยอมเธอมาหลายครั้งแล้ว...

          ชายหนุ่มเก๊กหน้าโหดตามเดิมแล้วลากหญิงสาวแบบไม่สนใจใยดี  เขาไม่รับฟังเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นหรือเสียงร้องวิงวอนของหญิงสาว  อารมณ์โกธรของเขาตอนนี้ดูเหมือนจะหยุดยากซะแล้ว

          "อะไรกันวะเนี่ย  ไหนแม่บอกว่าผู้ชายแพ้น้ำตาผู้หญิงไง  ไม่เห็นจะจริงเลยโกหกทั้งเพ"  นินจิราคิดในใจ

          ป้าแพรเห็นท่าว่าจะเป็นเรื่องใหญ่  จึงวิ่งเข้าไปขว้างทางเพื่อหยุดชายหนุ่ม  “ปล่อยคุณจีน่าเถอะนะคะคุณหนู  ค่อยๆคุยกันก็ได้

          พักตรธิรันตอบกลับทันที  “กับยัยนี่ค่อยๆพูดไม่ได้หรอกป้าแพร

          “ป้าแพรช่วยหนูด้วย...ปล่อยฉันนะอีตาบ้าป่าเถื่อนตัณหากลับ”  เธอแขวะใส่เขา  หน้าตาไม่หลงเหลือความน่าสงสารเมื่อสักครู่เลยสักนิด

          คนถูกด่าว่าป่าเถื่อนตัณหากลับยิ่งเดือดเข้าไปใหญ่  เขาจับเธอขึ้นไปพาดไว้บนบ่าไม่สนใจเสียงร้องห้ามของใครทั้งนั้น 

          “คุณหนูจะทำอะไรคะเนี่ย”  ป้าแพรทำสีหน้ากังวล

          “ดื้อแบบยัยนี่มันต้องจับกดซะให้เข็ด”  ทิ้งท้ายไว้ให้ป้าแพรแค่นั้นแล้วพักตรธิรันเดินตรงไปทางห้องนอน  เสียงเรียกห้ามที่ดังไล่หลังของป้าแพรไม่ได้เข้าไปในหูของชายหนุ่มเลยแม้แต่คำเดียว 

          ร่างสูงแบกหญิงสาวที่ดิ้นดุกดิกๆไปในห้องนอน  พร้อมกับปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย  เขาโยนหญิงสาวตัวเล็กลงบนเตียงแล้วโถมตัวลงไปค่อมหญิงสาวชนิดที่เธอเองยังไม่ทันจะตั้งตัว

          “ออกไปเดี๋ยวนี่นะ  ไม่งั้นฉันจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายซะเลย”  เธอขู่

          “นี่ที่ร้ากกก...  คุณคิดว่านี่เป็นหนังจีนกำลังภายในสมัยเมื่อสี่ ห้าปีที่แล้วรึไงหืม”  ชายหนุ่มพูดกวน

          หญิงสาวทำท่าจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ  แต่ปากของชายหนุ่มก็กดทับลงมาปิดเสียก่อน  เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  มือทั้งสองข้างกำแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น  ...ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ที่หญิงสาวถูกชายหนุ่มสะกดมนต์เคลิบเคลิ้มเอาไว้  ตาที่เบิกกว้างเมื่อสักครู่ปิดลงแน่นสนิท  มือที่กำแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่นค่อยๆคลายออกอย่างช้าๆ  พักตรธิรันถอนริมฝีปากออกจากเธอ  จ้องมองใบหน้าขาวนวลที่หลับตาพริ้มสนิท

          “นี่คุณ...  คุณ”  ชายหนุ่มตบหน้าหญิงสาวเบาๆ  ไม่มีเสียงตอบรับจากฝ่ายตรงข้าม  นอกจากเสียงฟี้ๆที่ดังเล็ดลอดออกมาเบาๆ  “เล่นหลับทั้งๆแบบนี้เลยเนี่ยนะ...ใจร้ายเกินไปหน่อยแล้วม้าง~”  เขาบ่นปนหัวเราะ  แล้วแบกหญิงสาวให้ลงนอนบนเตียงดีๆ  ผ้าห่มค่อยๆเลื่อนไปปิดทับร่างกายของหญิงสาวถึงครึ่งตัว  เป็นเพราะเธอเหนื่อยจากการเดินเที่ยวหรือทะเลาะกับเขากันแน่  ถึงได้หลับสนิทชนิดเป็นตายขนาดนี้ 

          พักตรธิรันทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ  การได้มองหญิงสาวตรงหน้าทำให้เขายิ้มออกมาได้ทุกที  ไม่รู้ว่าเพราะมีความสุขหรือตลกใบหน้าของเธอกันแน่  เขายิ้มบางๆใช้มือหนาเอื้อมไปลูบหัวของเธออย่างระมัดระวังเพราะกลัวเธอตื่น 

          “ที่เธอถามฉัน  ว่าฉันเป็นห่วงเธอรึเปล่า...ใช่ฉันเป็นห่วงเธอนั้นแหละ  รู้ไว้ซะยัยจอมดื้อ

          ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆหญิงสาวก็นอนละเมอมาจับมือของเขาไปไว้ที่แก้มของตัวเอง  พักตรธิรันจะชักมือออกแต่หญิงสาวกับยิ่งจับเขาแน่นแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน  จนชายหนุ่มต้องปล่อยให้เธอจับมือของเขาเอาไว้

          “นินจาก็คิดถึงพี่วินเหมือนกันนะ

          บทความที่เธอละเมอทำเอาชายหนุ่มต้องทำหน้าเครียดทันที  รู้สึกเหมือนจะมีแต่คำว่า "คิดถึงพี่วิน" ดังกึกก้องไปอยู่ในโซนประสาทของเขา ชายหนุ่มแกะมือของหญิงสาวออก  แล้วลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะกระแทกตัวลงนอนข้างกายเธอ  กว่าพักตรธิรันจะข่มตานอนหลับได้ก็เล่นเอาต้องนับแกะไปหลายตัวเลยทีเดียว

          แค่นี้ยังทนไม่ได้  แล้วพรุ่งนี้...จะรับมือไหวมั้ยเนี่ย

    6/2

     

     

          “นินจิรา...  เจ้ามีความผิดโทษฐานต้มตุ๋นหลอกลวงข้าและตระกูลของข้าใช่หรือไม่”  พักตรธิรันที่นั่งอยู่บนแท่นไต่สวนสอบสวนของศาลฟงฟง  กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม

          ผู้ต้องหาที่ถูกให้นั่งคุกเข่ามีโซ่ล่ามคอและมือ  รีบหันรีหันข้างไปมองตระกูลปิติการพิทักษ์ที่กำลังจ้องเขม่นมาที่เธอทุกคน  หญิงสาวรีบสะบัดหน้าหนีจากสายตาที่ประณามว่าเธอเป็นคนผิดแทบไม่ทัน  หล่อนเม้มปากแน่น  ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นมองพักตรธิรัน  แล้วตอบปฏิเสธเสียงแข็ง

          “ไม่จริงค่ะท่านรัน  ข้ามิได้หลอกลวงใครทั้งนั้น  เพราะข้าคือ นาจีรัตน์ไม่ใช่นินจิรา  ขอให้ท่านรันโปรดจงเข้าใจด้วย”  เธอพูดอย่างฉาดฉาน

          ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดๆ  ก่อนจะถามคนกระทำผิดตรงหน้าอีกทีเพื่อความแน่ใจ  “เจ้าแน่ใจรึ...  ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พูดความจริงอีกที  โทษหนักมันจะได้เป็นเบา

          “ที่ข้าพูดไปเมื่อตะกี้นั้นแหละคือความจริง”  คนผิดยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหา

          “หึ...พูดกับคนไม่ยอมรับความผิดเช่นเจ้า  อย่างไงก็คงไม่ได้รับความจริงเป็นแน่...  จั่นทรไปเบิกตัวพยานมา”  เขาหันไปบอกชายชุดแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ

          “ครับท่านรัน”  พูดพลางคำนับ 

          จั่นทรพาพยานคนสำคัญของคดีมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆนินจิรา  เมื่อหญิงสาวเห็นผู้เป็นพยานก็ต้องเบิกตาอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ

          “ท่านพี่วิน!

          ความตกใจของหญิงสาวต้องแปลเปลี่ยนมาเป็นความวิตกแทน  เมื่อผู้พิพากษาเอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นมา

          “กรวิณทร์เจ้าจงบอกข้ามาสิว่า  หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเจ้าเป็นใคร

          กรวิณทร์หันไปมองหญิงสาวด้วยแววตาเย็นชา  หล่อนบุ่ยใบ้ปากและส่งซิกส์ให้เขา  ทว่าชายหนุ่มเพียงแต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเท่านั้น

          “ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายข้าก็คือ...”  พยานหนุ่มเว้นช่วงการพูดเหล่มองไปที่หญิงสาว  “นินจิราเป็นคำตอบสุดท้ายครับท่านรัน

          ผู้กระทำผิดทำหน้าเหรอหรา  ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ชายที่แสนจะน่ารักของเธอ  จะกล้าหักหลังเธอให้โดนเข้าไปกินข้าวแดงอยู่ในคุกได้ 

          “ม...ไม่จริงค่ะท่านรัน  ไอ้ผู้ชายคนนี้มันโกหกพูดเท็จ  ท่านต้องเชื่อข้านะเพราะว่าท่านเป็นสามีของข้า” 

          “สามห้าว!”  พักตรธิรันลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังปัง  “ข้าไม่เคยมีภรรยาจอมโกหกหลอกลวงเช่นเจ้า

          “ข้าไม่ได้โกหก” 

          “มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังจะไม่ยอมรับผิดอีกรึ  งั้นเจ้าจงเอานี้ไปดูซะ”  ผู้ตัดสินคดีโยนกระดาษสองสามใบไปให้นินจิรา  เธอหยิบมันขึ้นมา  แล้วทำหน้าตางงๆ

          “อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกใช่มั้ยล่ะ  งั้นข้าจะแปลให้เจ้าฟังเอง  มันคือผลการตรวจ  ดีเอ็นเอ  ที่ข้าสั่งให้หมอหลวงทำการวิจัยเส้นผมของเจ้า  แล้วผลการวิจัยที่ออกมาก็คือเจ้าเป็นนินจิรา ไม่ใช่นาจีรัตน์  หลักฐานคามือเจ้าขนาดนี้ยังจะมีอะไรแก้ตัวอีกห่ะ...  หวังแพร หม่าแก้วเอามันไปประหารหัววานรซะ

          หนึ่งสาวหนึ่งแก่ท่าทางทะมัดทะแมง  เดินไปหิ้วปีกนินจิราไปที่เครื่องประหารหัววานร

          “ข...ข้าขอโทษ  ท...ท่านรันได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย  ข้ายอมรับผิดแล้ว  อ...อภัยให้ข้าด้วย”  หญิงสาวดิ้นพล่านวิงวอนขอร้องท่านผู้พิพากษา  หวังแพรและหม่าแก้วยัดหัวของนินจิราลงไปที่เครื่องประหารหัววานร  เตรียมพร้อมที่จะสับศีรษะของเธอให้หลุดได้ทุกเมื่อ

          “มันสายไปซะแล้ว  ข้าต้องขอแสดงความเสียใจด้วย”  พักตรธิรันหยิบแท่งไม้สีแดงเล็กๆขึ้นมาตั้งท่าเตรียมตัวจะโยน

          “ช่วยด้วยยย...  ท่านพี่วินช่วยข้าด้วยยย”  น้ำหูน้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยความกลัว

           “พี่...ช่วยเจ้าไม่ได้  เจ้าทำตัวของเจ้าเองก็สมควรแล้วแหละ”  กรวิณทร์ก้มหน้าลงต่ำ  ปลงกับเหตุการณ์ข้างหน้า 

          “สั่งเสียกันเสร็จแล้วใช่มั้ย  งั้นก็...  ประ...หารรร”  ผู้ตัดสินความโยนไม้สีแดงทิ้งลงพื้น  หม่าแก้วดึงมีดลงมาเพื่อจะสับหัวเธอ  ทุกคนต่างหลับตาลงไม่อยากเห็นภาพสยดสยอง  มีเพียงนินจิราเท่านั้นที่เบิกตากว้างแหกปากร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น

          “อ๊ากกก  ใครก็ได้ช่วยข้าด้วยยย~”


          “
    นี่  คุณ! คุณ!  เป็นอะไรรึเปล่า”  พักตรธิรันเขย่าตัวภรรยาที่นอนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเป็นห่วง  เพราะจู่ๆหญิงสาวก็ตะโกนแหกปากพลางดิ้นไปดิ้นมาเตะเขาจนกระดูกแทบหัก 

          คนละเมอลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน  นั่งหอบเหมือนพึ่งกลับมาจากการวิ่งมาราธอนระยะทางห้าร้อยกิโลเมตร  เธอปาดหยาดเหงื่อที่ไหลอยู่เต็มใบหน้า  พลางชำเหลืองมองชายหนุ่มที่กำลังส่งสายตามองมาที่เธอ

          “ว๊ากกก!”  เธอส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับถอยตัวออกห่างจากชายหนุ่ม  หญิงสาวเอามือกำหัวใจตัวเองที่เต้นรัว  แล้วหันไปพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงออกแนวเคืองๆ  “ออกไปห่างๆเลยปะ  เห็นหน้านายแล้วหัวใจฉันแทบจะลงมาอยู่ที่หัวแม่โป้งเท้า

          พักตรธิรันขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย ผมไปทำอะไรให้คุณรึไง

          “ทำ”  ตอบทันควัน

          “นี่จีน่า  ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณฝันอะไร  แต่คุณก็ไม่ควรเอาความฝันกับความเป็นจริงมารวมกัน  หัดมีเหตุผลซะมั้งสิ”  เขาพูดเสียงกึ่งดุกึ่งตวาด

          “ก็แม่ฉันไม่ได้คลอดฉันออกมาพร้อมกับคำว่าเหตุผลนี่หน่า”  เธอเถียง

          “คุณน่ะนิสัยเสียชอบเถียงคนอื่นอยู่เรื่อย

          นินจิราหันมาค้อนชายหนุ่ม  แต่ก็ขี้เกียจจะทะเลาะกับเขาต่อ เลยลุกขึ้นออกจากเตียงสะบัดก้นเดินกระแทกเท้าเข้าห้องน้ำไปเหมือนเด็กขี้งอน 

          “เออ  เข้าไปอยู่ในนั้นนานๆเลยนะ  ผมจะได้นอนหลับสบายๆสักที”  เขาตะโกนบ่นไล่หลังหญิงสาว  ก่อนจะนอนหลับตามเดิม  ...พึ่งจะหกโมงครึ่งดันโดนปลุก(ถีบ)ให้ตื่นซะได้เสียรมณ์หมด...


         
    นินจิรานั่งขัดสมาธิอยู่บนฝาชักโครกพลางกุมขมับตัวเอง  เผื่อจะลืมความฝันบ้าบอคอแตกนั้นไปได้บ้าง  ดีนะที่ในความฝันหัวของเธอไม่หลุดออกมาเสียก่อน  ไม่งั้นมีหวังได้นอนซมเป็นไข้อยู่บนเตียงแน่ๆ  ขนาดแค่นี้ยังปวดหัวตุบๆไม่หายเลย  ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มเกิดมา 21 ปีไม่เคยฝันอะไรน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน  สงสัยเย็นนี้ถ้าหล่อนว่างคงต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์แน่ๆ
     
         
    หลังจากที่เสียเวลาไปนานหลายนาทีกับการคิดฟุ้งซ่านอยู่บนชักโครก นินจิราก็อาบน้ำสระผมทันทีเพราะกลิ่นเหงื่อทั้งของเมื่อวานและก็เมื่อเช้าลอยฟุ้งตลบอบอวลไปซะหมด 

          พอทำภารกิจทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย  นินจิราก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆพักตรธิรันที่กำลังนอนหลับแน่นิ่งเป็นตาย

          “กล้าดีอย่างไงมาสั่งประหารหัววานรฉันห่ะ อีตาบ้า!  คิดว่าตัวเองเป็นเปาปุ้นจิ้นรึไง  คอยดูเถอะคราวหน้าฉันจะเข้าไปหลอกหลอนนายในความฝันบ้าง  จะเอาให้นายกลัวจนหัวหดเข้าไปอยู่ในกระดองเลย  ชิ!

          บ่นจบเพียงไม่กี่วิเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น  หญิงสาวเจ้าของเครื่องเดินไปหยิบโทรศัพท์  หน้าจอปรากฏเบอร์ที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย  เธอกดรับสายก่อนจะกรอกเสียงหวานๆลงไป

          “ฮาโหลสวัสดีค่ะ

          “...”

          “ฮาโหล...  นั้นใครพูดคะ”  น้ำเสียงออกแนวหงุดหงิด

          “…เดี๋ยวเอาของไปให้”  ปลายสายพูดมาแค่นั้นแล้วก็ตัดสายไป

          นินจิรามือไม้อ่อน  ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่าโทรศัพท์ของเธอราคาหมื่นต้นๆล่ะก็  เธอคงปล่อยมันให้ล่วงหล่นลงพื้นเหมือนในละครทีวีหลังข่าวไปนานแล้ว  เพียงแค่ฟังน้ำเสียงหญิงสาวก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นใคร  ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ถูก  คิดได้เพียงแค่ว่าต้องปลุกผู้ชายที่เป็นสามีของเธอให้ตื่นเสียก่อน 

          “รันตื่นก่อนเร็วเข้า  เจ็ดโมงแล้วยังนอนอุตุอยู่ได้  นายต้องรีบไปทำงานอย่างด้วยเลย เร็ว!...  โอ๊ย! ตื่นสิโว้ยอีตาบ้า”  เธอหยิบหมอนข้างไปตีที่หัวเขาหลายๆที

          “อะไรของคุณนักหนาเนี่ยปกติผมก็ออกจากบ้านตอนแปดโมงกว่าๆทุกวัน  คุณจะให้ผมตื่นเช้าๆเพื่อไปปลุกคนงานรึไง” 

          พักตรธิรันล้มตัวลงนอนต่อ  แต่ภรรยาก็ยังดึงแขนให้เขาลุกขึ้นมาอยู่ดี  ชายหนุ่มบัดมือของเธอออกก่อนจะนอนหันหลังให้หญิงสาวแล้วดึงผ้าห่มไปคลุมโปรง  ทุกอย่างนิ่งเงียบไปสักพัก  จนชายหนุ่มอยากจะแง้มผ้าห่มออกมาดูว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

          “พี่ชายฉัน...กำลังจะมา

          เสียงที่เธอพูดแสนจะเบา  แต่ชายหนุ่มที่อยู่ใต้ผ้าห่มก็ยังอุตส่าห์ที่จะได้ยิน  เขารีบสปริงตัวขึ้นนั่ง  หันไปมองหญิงสาวที่ใบหน้ามีแต่ความกังวล  ไม่เข้าใจว่าทำไมภรรยาเขาต้องคิดมาก กะอีแค่พี่ชายจะมาไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อย  ก็ดีเหมือนกันถ้าพี่ชายของเธอจะมา  เขาเองก็อยากเห็นว่าหน้าตาจะดีสู้เขาได้รึเปล่า

          “แล้วไง  ไม่ใช่พี่ผมสักหน่อย

          “เรื่องนั้นฉันรู้แต่ว่าพี่ชายฉันน่ะ...เอ่อ...โหดมากเลยนะ”  เธอพูดหน้าตาจริงจัง

          “แล้วไง”  เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

          “เขาเป็นพวกประเภทหวงน้องสาวตัวเองขั้นสุดยอด

          “อืม

          “หน้าตาเขาโหดมากยิ่งกว่าโจรห้าร้อย

          “ถึงหกร้อยผมก็ไม่กลัว

          “แต่เพื่อตัวนาย  ไม่ใช่สิ  ต้องเพื่อตัวฉันเองต่างหาก  เพราะงั้นนายควรรีบออกไปที่นี่ซะก่อนที่พี่ฉันจะ...

          ปิ๊งป่อง!  ปิ๊งป่อง!  ปิ๊งป่อง! 

          เสียงออดดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ  เธอหลับตากัดริมฝีปากล่างแน่นไม่อยากคิดถึงเหตุโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

          “พี่ชายคุณคงมาแล้ว  ไม่นึกว่าจะมาเร็วขนาดนี้ผมจะได้อาบน้ำรอ  คุณออกไปหาพี่ชายคุณก่อนเถอะเดี๋ยวผมตามออกไปที่หลัง” 

          พักตรธิรันลุกไปเข้าห้องน้ำ  เหลือเพียงนินจิราที่ยืนถอนหายใจไปมาไม่อยากเดินออกไปจากห้องนอนเลยแม้แต่นิด


         
    สาวใช้เมื่อได้ยินเสียงคนกดออดก็ต้องเกิดอาการแปลกใจว่าใครมาตั้งแต่เช้า  เธอเดินดุ่มๆไปเปิดประตูแต่ก็ยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม  เพราะคนที่มายืนอยู่หน้าห้องเป็นหนุ่มหล่อหน้าไม่คุ้นที่ไม่เธอเคยเห็นมาก่อน  ดูจากการแต่งตัวแล้วคงไม่ใช่เพื่อนของเจ้านายเธอแน่  เพราะเพื่อนของพักตรธิรันแต่ละคนมักจะใส่เสื้อสูททำงานกันทั้งนั้น  แต่ผู้ชายคนนี้กลับใส่เสื้อยืดกางเกงยีนต์ธรรมดา  แถมยังสะพายกระเป๋ากีตาร์และยังหิ้วกล่องอะไรบางอย่างมาอีกสองสามกล่อง  แก้วตาทำหน้าเหมือนจะถามชายหนุ่ม  แต่เขาก็รู้ทันชิงตอบเธอเสียก่อน

          “ผมชื่อกรวิณทร์เป็นพี่ชายของ...จีน่าครับ”  พูดพร้อมส่งยิ้มบางๆมาให้สาวใช้  จนใจของเธอแทบจะละลาย

          “อ...อ๋อค่ะๆๆ  เชิญเข้ามาก่อนค่ะ...  ให้แก้วช่วยถือนะคะ”  แก้วตาเอากล่องใบบนสุดของเขามาช่วยถือ  ชายหนุ่มยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณ  ก่อนจะเดินตามสาวใช้ไปยังโซฟาของห้องรับแขก

          “นั่งรอก่อนสักครู่นะคะ  คุณจีน่ายังไม่ออกมาจากห้องเลยค่ะ  งั้นเดี๋ยวแก้วไปยกน้ำมาให้นะคะ

          “ได้ครับ”  กรวิณทร์ตอบสั่นๆแล้ววางของลง ทิ้งตัวนั่งบนโซฟา  เขากวาดตามองไปรอบๆห้อง  ...ก็หรูดีเหมือนกัน  ทั้งใหญ่ทั้งกว่าแถมเครื่องใช้ต่างๆก็ยังทันสมัยอีกต่างหาก...

          ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยๆประตูห้องๆหนึ่งก็เปิดออก  หญิงสาวตัวเล็กร่างบางในชุดลำลองธรรมดาๆเดินออกมาจากห้องแล้วส่งยิ้มกว้างมาให้เขาตั้งแต่ไกล  เขากำลังจะส่งยิ้มตอบถ้าหากไม่มีผู้ชายที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเพื่อปกปิดท่อนล่างยืนอยู่ข้างหลัง  กรวิณทร์เบือนหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกับสบถคำบางคำออกมาเบาๆ


          “
    นั่นหรอพี่ชายคุณ”  ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเอ่ยถาม

          “อืม... เฮ้ย! แล้วนายจะมายืนตากลมล่อนจ้อนทำซากอะไรอยู่ตรงนี้เล่า  ฉันก็ว่าแล้วว่าทำไมพี่ชายฉันอยู่ๆก็เบือนหน้าหนี  ที่แท้ก็เป็นเพราะนายนั้นเอง  รีบกลับเข้าไปในห้องเลย ไป๊!”  เธอดันแผ่นหลังกว้างๆของเขาให้เข้าไปในห้อง  ก่อนจะเดินตรงมาหากรวิณทร์ที่ใบหน้าไม่แสดงอาการอะไรเลย  จนหญิงสาวรู้สึกหวิวๆชอบกล 

          นินจิรานั่งลงข้างๆเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ  ช่วงเดียวกับทีแก้วตายกน้ำมาให้พอดี  สาวใช้ส่งยิ้มให้นายหญิง  เธอเองก็ส่งกลับไป  ถึงจะดูแห้งแล้งและอิดโรยไปหน่อยก็ตาม

          “คุณจีน่าจะรับอะไรมั้ยคะ”  สาวใช้ถาม

          นินจิราส่ายหัวเล็กน้อย  “ไม่ล่ะ  เดี๋ยวฉันค่อยกินพร้อมกับคุณรันที่โต๊ะดีกว่า  พี่แก้วจะไปทำงานอย่างอื่นก็ไปทำก่อนเถอะจ้ะ  เดี๋ยวจีน่าขอคุณธุระกับพี่วินก่อน

          แก้วตาพยักหน้าก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในห้องครัว

          “นินจาไม่คิดว่าพี่วินจะมาเร็วขนาดนี้เลยนะ”  เธอไม่กล้ามองหน้าเขาได้แต่ก้มหน้าลงต่ำมองพื้นอย่างเดียว

          กรวิณทร์เองก็เช่นกันไม่อยากจะมองหน้าคนข้างๆที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวสุดหวงของเขา  ทำได้แค่เพียงทอดสายตามองตรงไปอย่างเลื่อนลอย  “พี่กะจะมาตั้งแต่เมื่อวานตอนที่รู้เรื่องแล้วแหละ  แต่แม่ก็ห้ามไว้ก่อนแล้วก็ยังบอกอีกว่าให้เก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ

          “...”

          “รู้รึเปล่าว่าพวกเธอสองพี่น้องทำอะไรลงไป

          “รู้

          “หึ...รู้แล้วแต่ก็ยังทำ

          “เพราะนินจาคิดวิธีอื่นไม่ออก  เลยคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุด

          “ตัวต้นคิดคือเราใช่มั้ย

          “ก็ไม่เชิง

          “...”

          “พี่จีบอกให้หนูช่วย  หนูก็เลยช่วย  และอีกอย่างพี่จีก็มีแฟนอยู่แล้ว  ถ้าต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักก็คงจะเจ็บน่าดู...  การที่เราต้องมาจากคนที่เรารักเนี่ยหนูรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไง  นินจาไม่อยากให้พี่จีต้องมาเป็นเหมือนหนูอีกคน”  เธอยังคงก้มหน้านิ่งพยายามฝืนยิ้มให้กับตัวเอง

          “เพราะงั้นเราก็เลยยอมแต่งงานแทนจีน่า...  ไม่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บบ้างรึไง  ที่ต้องมาอยู่กินนอนกับคนที่ไม่ได้รักเนี่ย”  กรวิณทร์มองดูหญิงสาวแบบยิ้มๆ

          “ไม่หรอก  นั้นไม่ใช่เหตุผลที่หนูแต่งงานแทนพี่จี  ความจริงคือหนูขี้เกียจเรียนต่างหาก  อีกอย่างคุณพักตรธิรันเขาเป็นคนดี(คิดว่านะ)  ถึงบางครั้งอาจจะดูโหดๆไปบ้าง(อันนี้แน่นอน)  แต่เขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษ(มั้ง)  หนูอยู่กับเขาก็ไม่ค่อยซีเรียสด้วย(ไม่จริงสักนิด)  บางทีหนูก็เคยคิดนะว่าการได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้มันก็ดีเหมือนกัน(โกหกอย่างแรง)”  เธอพูดพร้อมกับหันไปยิ้มเจื่อนๆให้พี่ชาย 

          “รู้สึกคำพูดกับหน้าตาแกนี่มันจะไม่บาราลสกันเลยนะเนี่ย” 

          นินจิราหัวเราะน้อยๆ  แต่ก็ยังรู้สึกตงิดๆที่งวดนี่พี่ชายเธอมาแบบแปลกๆ  ทั้งที่ความเป็นจริงควรจะแว้ดๆใส่เธอเป็นชุดถึงจะถูก 

          “พี่วินจะไม่ว่าอะไรหนูหน่อยหรอ”  ใบหน้างงๆของหญิงสาว  ทำให้กรวิณทร์กระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

          “แกโตแล้ว  จะให้พี่สั่งสอนแกเหมือนตอนเป็นเด็กๆรึไง” 

          “ไม่ได้มีแผนอะไรแน่นะ”  คิ้วขมวดชนกันอย่างสงสัย

          กรวิณทร์ไม่ตอบแต่หันไปสนใจกับสิ่งของที่เขาได้เอามาให้น้องสาว  ยิ่งทำให้นินจิราสงสัยในตัวพี่ชายเข้าไปใหญ่  ...ไม่เป็นไรหรอกมั้งอย่างไงเขาก็มาอยู่ที่ประเทศไทยแค่อาทิตย์เดียว  เดี๋ยวก็ต้องโดนเด่งกลับไปทำงานที่อเมริกาต่ออยู่ดี...

          “พี่เอาแผ่นเพลง แผ่นหนัง แผ่นเกม ที่บ้านมาให้แกหมดเลยนะ  เยอะเป็นบ้าแกซื้อมาทำไมนักหนาวะ  ถ้าเอาไปตั้งขายหน้าคอนโดคงขายได้หลายตังค์เลยนะเนี่ย

          “เลิกบ่นเถอะน่า  พี่เอามาให้นินจาแค่นี้เองหรอ”  เธอค้นหาดูของที่อยู่ในกล่องเห็นมีแต่แผ่นซีดีอย่างเดียว

          “ใจเย็นๆสิน้อง  มีอีกกล่องหนึ่ง  ใส่เกมเพลย์กับหนังสือเพลงของแกเอาไว้อยู่  แล้วนี้ก็กีตาร์เอาไปด้วย”  หญิงสาวหน้าระรื่นรับของพวกนั้นไว้  มีแค่ของพวกนี้เธอก็อยู่ได้เป็นชาติแล้ว

          พักตรธิรันที่พึ่งเดินออกมาจากห้องเห็นภรรยากำลังคุยสนุกอยู่กับผู้ชาย(ถึงจะเป็นพี่ก็ไม่เว้น)  ความรู้สึกแปลกแล่นเข้ามาตรงกลางอก  ทำให้เขาต้องรีบเดินลิ่วๆตรงไปยังพวกเขาทันที

          “นี่คุณไปกินข้าวได้แล้ว  เดี๋ยวก็ผอมแห้งหัวโตหรอก”  เขาพูดน้ำเสียงห้วนๆ

          “เดี๋ยวค่อยไปก็ได้นี่หน่า  ฉันกำลังดูของที่พี่วินเอามาให้อยู่  นายไปกินก่อนก็ได้”  เธอพูดกับเขาพลางหยิบของในกล่องออกมาตั้งไว้ข้างนอก

          “ใช่ครับคุณพักตรธิรัน  ถ้าคุณหิวก็ไปทานข้าวก่อนก็ได้  อย่างไงเดี๋ยวผมพาจีน่าไปกินข้าวเอง”  น้ำเสียงยียวนที่ดูเหมือนชัยชนะนั้นทำให้พักตรธิรันหันควับไปมองเขาตาขวางทันที  หญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาดูของที่อยู่ตรงหน้า  ไม่ได้รู้เลยว่าชายหนุ่มสองคนกำลังทำศึกสงครามทางสายตากันอยู่

          กรวิณทร์ยักคิ้วให้พักตรธิรันก่อนจะใช้มือมาโอบไหล่ของหญิงสาวร่างบาง

          “จริงสิจีน่า  พี่ลืมบอกเราไปเรื่องหนึ่ง

          “เรื่องไรคะ”  เธอหน้างง

          “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้พี่จะย้ายมาอยู่ชั้นล่างคอนโดนี้แล้วนะ

          ทั้งนินจิราและพักตรธิรันต่างทำหน้าเหวอ  ไม่นึกไม่ฝันกับคำพูดของบุคคลตรงหน้า

          “ล...ล้อเล่นรึเปล่า  อีกไม่กี่วันพี่วินก็ต้องกลับอเมริกาแล้วไม่ใช่หรอ

          “อ๋อ  พี่ลาออกจากงานที่นั้นแล้วแหละ  พอดีพ่อเราชวนให้พี่มาทำงานบริหารโรงแรมของท่านน่ะ  พี่เองก็สนใจก็เลยตอบตกลงไปซะเลย  ทีนี้จะได้อยู่กับจีน่าน้องสาวสุดที่รัก ทุกวันๆ ไง

          นินจิราพยักหน้าหงึกหงักพยายามทำความเข้าใจ  ส่วนพักตรธิรัน... ไม่รู้จะบรรยายอย่างไงดี

          ...พี่วินคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย  ไม่เข้าใจเลยจริงๆ...  เสียงร่ำร้องภายในใจของนินจิรา

          ...ถึงจะเป็นพี่ชายก็ไม่ไว้หน้าหรอก  รู้ไว้ซะไอ้หน้าจืด...  เสียงร่ำร้องภายในใจของพักตรธิรัน

          ...ฉันไม่มีทางยกน้องสาวให้แกหรอก  จำเอาไว้ไอ้ไก่อ่อน...  เสียงร่ำร้องภายในใจของกรวิณทร์

     

    7

          บรรยากาศที่สุดแสนจะมาคุบนโต๊ะกินข้าว  มีสาเหตุมาจากชายหนุ่มสองคนที่นั่งกันอยู่คนละฟากกำลังจ้องตากันแบบไม่กระพริบ  หญิงสาวคนเดียวที่นั่งอยู่ด้านข้างสามีได้แต่มองทั้งคู่สลับกันไปมา  ถ้าไม่มีใครทำอะไรสักอย่าง  วันนี้ก็คงไม่ได้กินข้าวเช้ากันพอดี

          “เฮ้ๆๆ  รีบกินกันดีกว่าน่า...  ข้าวต้มจะกลายเป็นข้าวสวยแล้วนะ”  นินจิราพูดพร้อมกับเอาช้อนเคาะชามเสียงดัง โป๊ง! เป๊ง! แต่ทว่าชายหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกจ้องตากันสักที  “เอ่อ...  รัน...นายไม่รีบไปทำงานหรอ  นี่มันก็สายมากแล้วนะ  รีบกินแล้วรีบไปทำงานดีกว่าน่า  จะให้ฉันป้อนให้เอามั้ย”  หญิงสาวเอาช้อนตักข้าวต้มแล้วไปจ่อไว้ที่ปากของสามี  เขาเบือนหน้าหนี  เธอเลยต้องชักมือกลับไปที่เดิม

          “จีน่า  ชีวิตแต่งงานแกราบรื่นดีมั้ย”  กรวิณทร์ละสายตาออกจากคู่อริหันไปถามน้องสาว

          “อ๋อ...ก็เรื่อยๆน่ะ  พี่วินถามทำไมหรอ”  เธอเงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ

          “พี่เห็นรอยข่วนที่คอสามีแก  ก็เลยคิดว่าทะเลาะกันบ่อยๆซะอีก”  ถึงปากจะพูดกับน้องสาวแต่สายตากับมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างยั่วยุ

          พักตรธิรันเหมือนโดนพี่เขยต่อยหน้าอย่างหนักหน่วง  แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มพูดโต้กลับไป

          “สำหรับคนโสดแบบคุณกรวิณทร์ คงไม่รู้ใช่มั้ยครับว่ารอยขีดข่วนสำหรับคู่รักเนี่ย  มันไม่ได้มีแค่ตอนที่ทะเลาะกัน ตอน...อื่น...อื่น มันก็มีได้”  เขาเน้นท่อนหลัง

          คำว่า ตอนอื่นๆ ช่างเหมือนลูกเตะที่อัดเข้าไปเต็มท้องของกรวิณทร์เสียจริงๆ  ความรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกโถมเข้าใส่แบบรุนแรง

          นินจิราที่เข้าใจความหมายอยู่กลายๆ  พอเหลือบไปเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ชาย  จึงหันไปเอ็ดสามีเบาๆ

          “นายพูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย  เห็นมั้ยว่าพี่ชายฉันเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว

          เขาไม่สนใจคำพูดของหญิงสาวข้างๆ  ยิ่งได้เห็นผู้ชายตรงหน้าอึ้งเงียบพูดไม่ออก  พักตรธิรันก็ยิ่งอยากแกล้งแหย่คนๆนั้นมากขึ้น

          “เป็นสามีภรรยากันจะอายไปทำไมล่ะคุณ  รึว่ายังโกธรที่เมื่อวานผมรุนแรงไปหน่อย  จนคุณถึงขนาด...สลบเหมือดคา...

          “เงียบสักทีเถอะน่า”  หญิงสาวตะวาดใส่เขาอย่างเหลืออด  เล่นพูดจากำกวมแบบนี้เป็นใครก็ต้องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ชายเธอที่มองมาแบบเย็นชา  “ไม่ใช่แบบทีพี่วินคิดนะ  เรื่องนี้หนูอธิบายได้  ความจริงแล้ว...”  นินจิราหยุดพูดเมื่อชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆจู่ๆก็ลุกพรวดพราดหยิบสูท  เดินออกจากห้องไปเสียดื้อๆ  หญิงสาวลุกขึ้นยืนมองตามแบบงงๆ  ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกอย่างเหนื่อยหน่าย  แล้วทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม

          “ไม่ตามไปง้อหรอ”  เมื่อเห็นน้องสาวนั่งเงียบเลยอยากลองถามดูสักหน่อย

          “น่ารำคาญเดี๋ยวตอนเย็นกลับมาก็ดีเองแหละ”  เธอพูดกับเขาแต่สายตาก็ยังคงมองชามข้าวต้มอยู่ดี

          “แล้วถ้าเย็นนี้ไม่ดีขึ้นล่ะ

          “...”

          “ช่างเถอะ  กินข้าวกันดีกว่า”  ชายหนุ่มตักข้าวต้มกินอย่างเอร็ดอร่อย

          “พี่กินไปก่อนล่ะกัน  เดี๋ยวหนูมา”  

          นินจิราลุกขึ้นยืนแล้วหยิบขนมหวานห่อหนึ่งที่วางไว้อยู่บนโต๊ะ  ก่อนจะวิ่งติดจรวดออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว 

          กรวิณทร์มองดูน้องสาวสุดหวงที่เปลี่ยนไป  โดยปกติแล้วนินจิราไม่ใช่คนที่จะตามง้อใครง่ายๆ  ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เธอไม่ผิดแล้วล่ะก็  อย่างหวังเลยว่าเธอจะตามไปง้อ  แล้วนี่มันอะไรกันล่ะ...


         
    ร่างบางวิ่งหอบแฮ่กๆออกจากห้องแล้วหันซ้ายหันขวามองหาเขา  เมื่อเห็นเขากำลังก้าวเข้าไปในลิฟต์เธอก็รีบวิ่งและตะโกนบอกให้เขาหยุด  แต่ชายหนุ่มก็ทำเป็นไม่สนใจเดินเข้าลิฟต์แล้วกดปิดประตูทันที  ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเธอให้วิ่งมาทันก่อนทีประตูลิฟต์จะปิด  หญิงสาวรีบแทรกตัวผ่านเข้าไปยืนหยุดอยู่ข้างๆเขาพร้อมกับน้ำเสียงทีเหนื่อยหอบจากการวิ่ง

          การอยู่ในลิฟต์สองต่อสองกับผู้ชายก็น่าอึดอัดพออยู่แล้ว  ยิ่งมีความเงียบเข้ามาครอบงำยิ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่  ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตั้งแต่ตรงไหนก่อนดี  เพราะเธอเองก็ง้อใครไม่เป็นซะด้วย

          “เอ้า”  เธอยื่นขนมที่เอาติดมือมาด้วยไปให้ชายหนุ่ม  ใบหน้าที่เบือนหนีมองไปทางอื่นทำให้เธอไม่เห็นว่าคนที่อื่นอยู่ข้างๆกำลังกลั้นหัวเราะอยู่  เมื่อคนที่เธอตามง้อไม่ยอมรับขนมไปสักที  เธอจึงหันไปมองเขา  พักตรธิรันที่เห็นว่าเธอกำลังจะหันมาจึงหุบยิ้มทำเป็นเสมองไปที่แผงกดลิฟต์

          “อย่าเข้าใจผิดคิดว่าฉันเอามาให้นายล่ะ  ฉันเห็นป้าแพรเขาบ่นๆอยู่ว่าลืมเอาขนมมาให้นาย  ฉันก็เลยต้องรีบวิ่งเอามาให้” 

          ชายหนุ่มไม่พูดอะไรได้แต่รับขนมนั้นไว้ นินจิราถอนหายใจไม่รู้จะทำอย่างไงต่อไปดี  การง้อผู้ชายมันก็อยากเหมือนกันนะเนี่ย

          “ป้าแพรฝากมาบอกอีกว่า  ตอนเที่ยงขอให้คุณหนูของป้ากินข้าวให้อร่อยๆ” 

          “...”

          “เอ่อ...  แล้วก็ยังบอกอีกนะว่า  ขอให้คุณหนูของป้าอย่าทำงานหักโหมให้มากนัก  รักษาสุขภาพตัวเองให้ดีๆ

          พักตรธิรันอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังๆ  รู้อยู่แล้วว่าคนที่ฝากมาบอกไม่ใช่ป้าแพรแน่ๆ  แต่ก็ต้องตีหน้าเข้มเอาไว้เพราะอยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณเธอจะพูดอะไรต่ออีก

          “แล้วก็...  เย็นนี้กลับบ้านไว้ๆนะ  ป้าแพรจะทำกับข้าวอร่อยๆให้ทาน

          “มีอะไรอีกรึเปล่า” 

          ใบหน้าที่ดูเย็นชาทำให้เธอคิดว่าเขาต้องโกธรอยู่แน่ๆ  ประตูลิฟต์เปิดออกอย่างช้าๆ  ร่างสูงกำลังเดินออกจากลิฟต์  หากแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเล็กๆของหญิงสาวดังขึ้นมา

          “ป้าแพรบอกว่า  เลิกงอนคุณจีน่าได้แล้ว  เป็นสามีภรรยากันมันต้องรักใคร่กลมเกลียว”  หญิงสาวเม้มปากแน่นไม่รู้ว่าเขาจะหายโกธรรึเปล่า 

          พักตรธิรันหันมามองหญิงสาวแบบยิ้มๆ  “ผมก็มีอะไรจะบอกคุณเหมือนกัน…  ผมไม่ชอบกินของหวานเรื่องนี้ป้าแพรก็รู้  คราวหน้าจะเอาอะไรมาง้อก็ขอเป็นอย่างอื่นล่ะกัน”  พูดจบชายหนุ่มเดินออกจากลิฟต์ไป

          ประตูเลื่อนปิดพร้อมกับร่างบางที่แทบจะทรุดลงนั่งกองกับพื้น  เธอกำมือตัวเองแน่นใบหน้าแดงก่ำเหมือนอยู่หน้ากองไฟ  “ชาตินี้ทั้งชาติ  อย่าหวังว่าฉันจะตามง้อนายอีกรอบเลย”  เธอตะโกนบ่นอยู่คนเดียวในลิฟต์ 


         
    ตึกสูงตะหง่างราวๆสี่สิบชั้นภายใต้ชื่อบริษัท  PITI-Jewel  international  ผู้บริหารหนุ่มร่างสูงเดินเข้าไปในตัวอาคารพร้อมรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่เต็มใบหน้า  พนักงานที่เดินผ่านต่างก้มหัวแล้วยิ้มตอบกลับอย่างสุภาพ  ถ้าภรรยาเขาไม่ยอมตามมาง้อล่ะก็คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเป็นแน่ 

          “แหม  ตั้งแต่แต่งงานไปเนี่ยเจ้านายดูมีความสุขจังเลยนะคะ  วันๆได้แต่ยิ้มแก้มปริไม่บึ้งตึงเหมือนแต่ก่อน”  กาณวิมลเลขาหน้าห้องเอ่ยแซวเมื่อเห็นหน้าเจ้านาย

          “น้อยๆหน่อยคุณมล  ปกติผมก็มีความสุขอยู่แล้ว  ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะได้แต่งงานสักหน่อย”  เขาพูดค้าน

          “ทำเป็นปากแข็งไปเถอะค่ะ  อย่ามีความสุขเพลินจนลืมประชุมตอนบ่ายนี้ก็แล้วกันนะคะ

          พักตรธิรันพยักหน้ารับ  ก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไป


     
         
    หลังจากที่นินจิราเดินกลับเข้ามาในห้อง  พี่ชายเธอก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย  นอกจากตั้งหน้าตั้งตากินข้าวต้มอย่างเดียว  เธอจึงอธิบายเรื่องเมื่อสักครู่ต่อเพื่อให้เขาเข้าใจ  แต่พี่ชายก็ได้แต่พยักหน้าเอออออย่าเดียว  ผ่านไปนานพอสมควรที่เธอมานั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่ข้างๆเขา  แต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดอะไรเธอจึงก้มหน้าก้มตาดีดกีตาร์ต่อไปเรื่อยๆ

          กรวิณทร์ได้แต่มองน้องสาวอยู่อย่างเงียบๆ  ปากก็อยากจะถามคำถามตั้งมากมายกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า  แต่ใจมันมากล้าพอที่จะถามไป  กลัวว่าคำถามที่เขาถามไปเธอตอบว่าใช่ขึ้นมา  เขาคงจะยืนแทบไม่ไหวเลยที่เดียว

          “นิน...

          หญิงสาวเอามือแตะที่ปากเขาเบาๆ  ก่อนจะมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่จึงชักมือกลับมา 

          “อยู่ที่นี่ห้ามเรียกหนูว่านินจาเข้าใจมั้ย”  แล้วเธอก็หันไปสนใจกีตาร์ต่อ

          “...แกชอบคุณพักตรธิรันใช่มั้ย”  เขาตัดสินใจถามหลังจากที่คิดไตร่ตรองอยู่นาน

          หญิงสาวหยุดนิ่งมองคนที่ตั้งคำถามใส่เธอด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ 

          “ถ้าพี่ถามว่าวันนี้หนูใส่กางเกงในสีอะไร  มันคงจะฟังรื่นหูมากกว่านี้เยอะเลย”  เธอส่ายหัวไม่เข้าใจเลยว่า  ทำไมอยู่ๆพี่ชายถึงได้ตั้งคำถามโลกแตก ปัญญาอ่อนแบบนี้ขึ้นมา 

          “นั้นมันไม่ใช่คำตอบนะ”  เขาเซ็งทันที  อุตส่าห์นั่งทำใจตั้งนานกว่าจะถามออกไปได้  แล้วดูคุณเธอตอบกลับมาสิ  มันเกี่ยวกันซะที่ไหน

          “ไม่ได้ชอบสักหน่อย  พี่วินดูก็น่าจะรู้นี่หน่า”  เธอตอบอย่างหัวเสีย

          ...ก็เพราะว่าดูนั้นแหละ  มันถึงได้ไม่แน่ใจ...  “ถ้าแกเกิดไปชอบเขาขึ้นมาจริงๆล่ะจะทำอย่างไง”  เขาตั้งคำถามใส่เธออีก

          นินจิรานั่งเงียบใช้ความคิด  ความจริงเธอจะชอบหรือรักเขาก็ไม่ได้อยู่แล้ว  เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร ตอนไหน วันไหน ที่เธอจะโดนเด่งออกจากที่นี่  การที่ได้อยู่ร่วมกินนอนกับผู้ชายไปนานๆแล้วไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าชอบเนี่ย  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว 

          “ก็ทำใจไง”  เธอตอบแบบยิ้มๆ  แล้วก้มหน้าดีดกีตาร์ต่อ

          “ทำให้ได้ก็แล้วกัน”  ชายหนุ่มใช้มือหนากดขยี้หัวเธอเบาๆอย่างเอ็นดู 

          ไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่ดูมีความสุขแบบนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน  แต่ถ้ารอยยิ้มของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเลือนหายไปเมื่อไร  เขาจะเป็นคนเอามันกลับมาเอง   


         
    การประชุมในตอนบ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น  คงเป็นเพราะหัวหน้าในการประชุมออกแนวอารมณ์ดี  จึงรับฟังความเห็นของฝ่ายต่างๆด้วยเหตุผล  ไม่ได้ใช้อารมณ์เหมือนแต่ก่อน  พักตรธิรันกลับเข้ามาที่ห้องทำงานตามเดิมหลังจากที่ประชุมเสร็จ  เขานั่งเซ็นเอกสารอยู่สักพักเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะที่พ่วงกับเลขาหน้าห้องก็ดังขึ้น  เขากดปุ่มกระจายเสียง  แล้วกรอกเสียงลงไป

          “ว่าไงครับคุณมล

          “เอ่อ...มีคนมาหาคุณรันค่ะ”  เธอตอบกลับมาแบบตะกุกตะกัก  ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย

          “ใครหรอคุณมล

          “เอ่อ...เขาบอกว่าถ้าให้เขาเข้าไป  คุณรันก็จะรู้เองแหละค่ะ” 

          พักตรธิรันชักเริ่มอารมณ์เสีย  ...ใครกันมาเล่นตลกเอาตอนนี้  ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตูห้อง  กะจะโวยใส่คนที่มาหาเต็มที่  หากแต่เมื่อเขาเปิดประตูออกไปแล้วคนๆนั้นไม่ใช่หญิงสาวร่างสูงหุ่นดีราวนางแบบ  หน้าตาสวยคมที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางสีชมพูแบบอ่อนๆ  ดูแล้วยังร่าเริงสดใสไม่เคยเปลี่ยน 

          “โย...”  เขาพูดออกมาเบาๆ  จะเรียกว่าเป็นเสียงกระซิบก็ได้  เกือบปีมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าหญิงสาวคนนี้  ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่ได้เจอเธอ  ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งเพื่อนและคนที่เขาเคยรักมากคนหนึ่ง  มายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเขา  เหมือนดังเช่นแต่ก่อน

          “ไฮ  คิดว่าจะจำกันไม่ได้ซะอีก  โยขอเข้าไปข้างในได้มั้ย” 

          “ไม่...”  เขาพูดเสียงเข้มจนหญิงสาวหน้าเจื่อนลงไปทันที  “ไม่...ให้เข้าได้ไงล่ะ  เพื่อนรักถ่อมาหาถึงที่ทำงานทั้งที”  เขาหัวเราะนิดๆพร้อมกับผายมือเชิญให้หญิงสาวที่ตอนนี้กำลังมองค้อนใส่เขาเดินเข้าไปในห้อง

          โยหรือโยทะกา  เรืองวุฒินิธิไพศาล  เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยม.ปลายของพักตรธิรัน  เมื่อปีที่แล้วเธอต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่ญี่ปุ่น  ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะกลับมาอีกครั้ง  ความรักที่พักตรธิรันเคยมีให้เธอก็ค่อยๆหายไปจนเกือบจะหมด  แต่การที่หญิงสาวคนนี้กลับมาไม่รู้ว่าจะลดหรือเพิ่มความรักที่เขาเคยมีให้เธอกันแน่

          “ได้ข่าวว่ารันแต่งงานแล้วนี่หน่า  น่าตกใจจังว่าใครกันหนอที่มัดใจชายหนุ่มอย่างพักตรธิรันได้”  เธอพูดหยอกล้อพลางหยอนก้นลงนั่งบนโซฟารับแขก

          พักตรธิรันทิ้งตัวลงนั่งตามแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในลำคอ  “โดนพ่อแม่บังคับน่ะ  ที่จริงก็ไม่ได้อยากแต่งหรอก”  รู้สึกอยากตบปากตัวเองซะจริงๆ

          “เอ่อ...เลิกงานแล้วรันว่างรึเปล่า  โยกะว่าจะช่วยไปกินข้าวสักหน่อย” 

           ชายหนุ่มนิ่งเงียบคิดหนัก  ...เย็นนี้กลับบ้านไว้ๆนะ  ป้าแพรจะทำกับข้าวอร่อยๆให้ทาน...  คำพูดของนินจิราเข้ามาตอกย้ำในหัวสมอง  ทำให้เขาอึกอักพูดไม่ออก  มีโอกาสได้กินข้าวกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบปีทั้งที  เขาจะปล่อยให้มันลอยนวลไปเฉยๆเหรอ  ถ้าคราวหน้าเธอไปไม่ได้ขึ้นมาก็หมดโอกาสกันพอดี

          “ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ  ถ้าวันไหนโยว่างๆจะแวะเข้ามาชวนใหม่

          “ว่างสิไม่ได้มีนัดไว้ที่ไหนอยู่แล้ว  แต่ต้องรอรันเคลียร์งานบนโต๊ะให้เสร็จก่อน  รอไหวมั้ยล่ะ”  ชายหนุ่มมองไปที่โต๊ะทำงานที่มีแฟ้มเอกสารว่างไว้อยู่สองสามตั้ง  คงเป็นชั่วโมงกว่าเขาจะทำเสร็จ

          “ก็นะ  ต้องไหวอยู่แล้วสิ  แต่...อย่านานมากก็แล้วกัน  เดี๋ยวโยจะหิวตายซะก่อน”  เธอทำหน้าโอดครวญพร้อมกับลูบท้องแบบราบของตัวเองเบาๆ

          ชายหนุ่มหัวเราะนิดๆก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อจัดการกับเอกสารต่างๆที่กองอยู่ตรงหน้า  ในใจก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่แอบไปกินข้าวกับเพื่อนสาว  แต่เขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นออกจากหัวเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวาน  ...ช่างปะไรที่ยัยนั้นยังแอบไปกินข้าวกับพี่ชายได้เลย  ดีเหมือนกันจะได้รู้ซะบ้างว่าการเป็นห่วงคนอื่นเนี่ยมันเป็นอย่างไง...

    8

     ณ สวนอาหารแห่งหนึ่ง

     “รัน... เป็นอะไรรึเปล่าโยทะกาเอ่ยถาม เพราะสังเกตเห็นชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่บ่อยครั้ง

     “อ...อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก กินต่อเถอะชายหนุ่มวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วตั้งหน้าตั้งตากินต่อ

     เวลาเข้าใกล้สองทุ่ม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าภรรยาจะโทรมาตามเลยแม้แต่นิด พอจะหยิบมือถือโทรไปบอกเธอก็เปลี่ยนใจให้เธอโทรมาตามเองดีกว่า ผู้เป็นสามีจึงทำได้แค่เหลือบมองมือถืออยู่บ่อยๆเผื่อหล่อนจะโทรมาถามเขาบ้าง แต่ไอ้มือถือมันก็มีแต่เงียบกับเงียบ ไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักแอะ

     “ถ้าจะรีบกลับก็บอกโยได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ

     “ไม่เป็นไรหรอกอยู่นานๆก็ได้ใจจริงก็อยากกลับบ้านอยู่หรอก แต่ปากมันดันพูดไปเอง

     “รันจำนายนนท์เพื่อนสมัยเรียนม.ปลายได้มั้ย

     พักตรธิรันทำหน้าครุ่นคิด นายนนท์... อ๋อ... จำได้ๆ คนที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเรา นานมากเลยนะเนี่ยที่ไม่ได้เจอไอ้นนท์ ตั้งแต่จบม.ปลายก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ามันเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้มันเป็นไงบ้าง... โยถามทำไมหรอเขาถามหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังใช้หลอดคนน้ำในแก้วไปมา

     “ตอนที่โยกลับมาเมืองไทยใหม่ๆน่ะ โยเจอเขาหญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มตาปริบๆ

     “แล้วมันเป็นไงมั้งล่ะ ยังสบายดีอยู่รึเปล่าเขาพูดไปกินไป

     “สบายดี ตอนนี้ก็...ทำงานเป็นมาม่าซังอยู่แถวๆสีลม

     สิ้นคำพูดของหญิงสาว พักตรธิรันก็หยุดกินรวบช้อนส้อมไว้ข้างจานแล้วหยิบผ้ามาเช็ดปากแมนๆอย่างไอ้นนท์เนี่ยนะจะเป็น... โยจำผิดคนแล้วล่ะมั้งเขาพูดติดตลก

     “ไม่ผิดหรอกน่า ก็นนท์เป็นคนเข้ามาทักโยเอง... อีกอย่างพวกเราก็ยังคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสมัยที่เรียนม.ปลายด้วยเลย

     “ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้เลยนะเนี่ย... ว่าแต่คุยอะไรกันบ้างล่ะ วีรกรรมสมัยม.ปลายรึไงเขาหัวเราะนิดๆให้เธอ หญิงสาวเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆมาให้เขา

     “ก็มีบ้างนั้นแหละ  แต่ว่ามีอยู่ประโยคหนึ่งที่นนท์เขาถามโย แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ทำให้โยต้องมาหารันในวันนี้ด้วย ...นนท์เขาถามว่า รันมาสารภารรักกับโยรึยัง... มันหมายความว่าไง รันช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ย

      สายตาที่คาดคั้นอยากจะหาคำตอบของหญิงสาวทำให้พักตรธิรันต้องก้มหน้านิ่ง ...ไอ้เพื่อนปากโป้ง อย่าให้เจอหน้านะ แม่จะเอากำปั้นยัดปากซะเลย...

     “มันเป็นเรื่องสมันก่อนน่ะ อย่าไปคิดถึงมันเลยมือที่อยู่ว่างๆไม่รู้จะทำอะไร หยิบแก้วน้ำขึ้มมาดื่มเหมือนคนกำลังกระหายน้ำอย่างแรง

     “รันรักภรรยาของรันมั้ยเธอถามน้ำเสียงเรียบๆ

     “เอ่อ...ไม่รู้สิ อยู่ด้วยกันยังไม่ถึงเดือนเลยจะให้พูดว่ารักก็คงไม่ได้หรอก น่าจะอยู่แค่ประมาณชอบซะมากกว่า

     โยทะกาจ้องมองแววตาของชายหนุ่มพร้อมกับกระตุกยิ้มที่มุมปากงั้นพวกเรา...ลองมาเป็นกิ๊กกันมั้ย


     
    นินจิราที่พึ่งกลับมาจากการช้อปปิ้งกับกรวิณทร์ค่อยๆเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่กลับบ้านเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

     “คุณจีน่า!น้ำเสียงเรียกที่ดูเหมือนจะตกใจของสาวใช้ทางด้านหลัง เล่นเอานินจิราต้องสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปทางต้นเสียง

     “โธ่เอ๊ยพี่แก้ว เรียกซะเสียงดังตกอกตกใจหมดเลย เฮ้อ...เธอเอามือทาบหน้าอกตัวเองที่ตอนนี้เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ

     “ป...ไปทำอะไรกับผมมาคะนั้นน่ะ ดูแปลกๆอย่างไงก็ไม่รู้

     นินจิราเอามือไปจับที่ผมของตัวเองแล้วยิ้มให้สาวใช้จนตาหยี จะไม่ให้คนอื่นตกใจได้อย่างไงก็วันนี้คุณเธอเล่นไปเปลี่ยนลุคโกรกผมสีน้ำตาลอ่อนประกายทองซะขนาดนั้น

     “ฉันไปโกรกผมมา  ทำไม...ไม่สวยหรอ

     “สวยสิค่ะ ดูเปรี้ยวขึ้นเยอะแถมยังดูสวยขึ้นอีกต่างหากสาวใช้ตอบแบบยิ้มๆ

     “พี่แก้วอยากได้เงินเท่าไรบอกมาเลยดีกว่า ไม่ต้องมาพูดอ้อมค้อมหญิงสาวแกล้งแหย่

     “โธ่~ คุณจีน่าล่ะก็ นี่แก้วพูดจริงๆนะคะไม่ได้โกหกเลยสาวใช้รีบโบกมือปฏิเสธ

     “เข้าใจแล้วค่ะๆ ว่าแต่คุณรันยังไม่กลับมาอีกหรอ

     “ยังเลยค่ะ สงสัยงานที่บริษัทคงจะเยอะ คุณจีน่าไม่ลองโทรไปตามดูล่ะคะ

     “ไม่ต้องหรอกเปลืองค่าโทรศัพท์ ถ้าเขาจะกลับเดี๋ยวเขาก็กลับมาเองนั้นแหละ ฉันไปอาบน้ำก่อนดีกว่าหญิงสาวไม่สนใจเดินผิวปากจากสาวใช้ตรงไปที่ห้องนอนของตน

     นินจิราอาบน้ำเสร็จก็เตรียมตัวจะเข้านอน แต่หัวถึงหมอนได้ไม่นานเธอก็ต้องเด้งตัวขึ้นมานั่งแทน  เพราะจะข่มตานอนอย่างไงก็ไม่หลับสักที เธอเหลือบมองพื้นที่เตียงด้านข้างที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบมือถือบนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่รู้ว่าทำไมการจะกดเบอร์โทรไปหาเขามันช่างยากเย็นยิ่งกว่าการแก้สมการวิชาเลข หญิงสาวว่างมือถือไว้ที่เดิม แล้วเดินออกจากห้องไปนั่งรอเขาที่โซฟาของห้องนั่งเล่น 

     หนึ่งชั่วโมงผ่านไปกับการนั่งเล่นเกมเพลย์เพื่อรอสามีกลับบ้าน แต่เขาก็ยังไม่ยอมกลับมาสักที จนเธอชักจะเริ่มหงุดหงิดไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นเกมแล้วนะเนี่ย


     
    หลังจากที่พักตรธิรันพาโยทะกาไปส่งที่บ้านแล้ว เขาก็สั่งให้ทศทรรีบขับรถตรงดิ่งกลับบ้านทันที ชายหนุ่มเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างรถ นึกย้อนไปที่คำพูดของโยทะกาตอนที่นั่งกินข้าว ถึงเพื่อนสาวจะบอกว่าพูดเล่นก็เถอะ แต่ด้วยน้ำเสียงกับใบหน้าที่จริงจังนั้นมันช่างขัดกับคำว่าล้อเล่นเสียจริงๆ เขาสลัดความทรงจำเรื่องเมื่อสักครู่ออกเพราะมันจะทำให้เขาสับสนซะเปล่าๆ ตอนนี้เขาควรจะคิดถึงภรรยาที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังรอเขาอยู่หรือจะนอนหลับปุ๋ยไปแล้วกันแน่ 

     “กลับดึกแบบนี้คุณจีน่าไม่ว่าเอาหรอครับ น่าจะโทรไปบอกเธอสักหน่อยนะครับทศทรที่ขับรถอยู่แสดงความเห็นเพราะเวลาในตอนนี้ก็เข้าใกล้สี่ทุ่มแล้ว

     “ไม่ต้องหรอกเปลืองค่าโทรศัพท์ ถ้ายัยนั้นเป็นห่วงเดี๋ยวก็คงโทรมาเองนั้นแหละ อีกอย่างตอนนี้ก็ใกล้จะถึงบ้านแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องโทรไปหรอกเขาทำเป็นไม่สนใจเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างต่อ

     เป็นเพราะนั่งคุยกับโยทะกาติดลมนานไปสักหน่อย พอมองดูนาฬิกาอีกทีก็ปาเข้าไปสามทุ่มแล้ว ไหนจะต้องไปส่งเธออีก ทำให้เสียเวลาไปเยอะพอสมควร แต่ถึงจะดึกขนาดไหนภรรยาก็ไม่มีวี่แววว่าจะโทรมาเลยสักนิด


     
    พักตรธิรันเดินนำทรทศเข้าไปในห้องพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเขาก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อได้ยินเสียงยิงปืนกระหน่ำดังลั่นห้องนั่งเล่น ถึงคนที่นั่งเล่นเกมอยู่จะโดนโซฟาตัวใหญ่บังเอาไว้ เขาก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นภรรยาเขาแน่ๆ เพราะคนที่อยู่ในบ้านก็มีแค่ภรรยาเขานั้นแหละที่เล่นเกมเพลย์เป็น

     ชายหนุ่มค่อยๆย่องเข้าไปหาเธอเบาๆกะว่าจะแกล้งให้เธอตกใจเล่นสักหน่อย แต่คนที่ต้องตกใจอ้าปากค้างกลับกลายเป็นเขาซะเอง

     “ค...คุณไปทำอะไรกับผมมาเนี่ยชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ

     หญิงสาวที่นั่งเล่นเกมอยู่ที่พื้นหันมายิ้มให้เขา พร้อมกับลูบผมของตัวเองไปมาท่าทางชื่นชมกับสีผมของตัวเองเป็นอย่างมาก

     “วันนี้ฉันไปโกรกผมมา นายลองออกความเห็นสิว่าสีสวยรึเปล่าเธอถามเขายิ้มๆพร้อมจะรับฟังคำชมเต็มที่

     พักตรธิรันเอามือกายหน้าผากแล้วถอนหายใจออกมาแรง ก่อนจะตอบกลับไปว่า ไปโกรกกลับเป็นสีดำเหมือนเดิมเลยป่ะ ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย

     “ทำไมล่ะฉันไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหนเลยเธอหน้าง้ำหน้างอขึ้นเสียงใส่เขา

     “นี่ถ้าแม่ผมมาเห็นคุณเข้าล่ะก็... หืมไม่อยากจะพูด ทางที่ดีผมกว่าคุณไปโกรกกลับเป็นสีเดิมดีกว่าพักตรธิรันเตือนด้วยความหวังดี เพราะแม่ของเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะหัวโบราณ ถ้ามาเห็นลูกสะใภ้โกรกผมเป็นสีฝรั่งจ้าล่ะก็มีหวังภรรยาเขาได้โดนเทศน์จนหูแฉะแน่

     “ไม่! นายนั้นแหละบ้า สมองไม่ดี ฉันพึ่งจะโกรกมาวันนี้แล้วจะไปโกรกทับอีกรอบเนี่ยนะ มีหวังผมฉันได้ฟูฟ่องหยาบกระด้างแน่ๆ รอทิ้งไว้หลายๆเดือนก่อนแล้วฉันค่อยไปโกรกกลับหญิงสาวทำหน้าไม่พอใจ คนอุตส่าห์รอรับคำชมดันกลายมาเป็นคำติซะได้ รู้งี้ไม่น่ารอเลยสู้ข่มตาหลับไปตั้งแต่ตอนแรกซะก็ดี

     “แต่ก็สวยดีชายหนุ่มพูดออกมาเบาๆ

     “เมื่อกี้นายว่าไงนะเธอถามเขาเพราะเสียงเกมทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงพูดของชายหนุ่ม

     พักตรธิรันทำหน้าเซ็งก่อนจะลงไปนั่งพูดใกล้ๆเธอผมบอกว่าก็สวยดี ได้ยินรึยัง

     “Game Over” นี่คือเสียงที่ดังออกมาจากโทรทัศน์

     นินจิราโกยผมมาบังหน้าตัวเองเอาไว้ แล้วยิ้มให้กับตัวเองอย่างอายๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆได้แต่ทำหน้างงกับการกระทำของภรรยา ที่มัวแต่นั่งสางผมม้วนผมตัวเองอยู่ได้ สงสัยวันไหนที่เขาว่างๆต้องพาเธอไปเช็คดูอาการสักหน่อยแล้ว

     “ไปนอนได้แล้วไป คุณมานั่งรอผมนานแล้วน่ะสิตัวเย็นเชียวเขาพูดพลางจับแขนหญิงสาว

     “ก็ไม่นานเท่าไรหรอกแค่ชั่ว...นินจิรารีบเงยหน้าหันควับไปมองเขาอย่างรวดเร็ว ใครบอกว่าฉันมานั่งรอนาย ฉันมานั่งเล่นเกมคลายเครียดต่างหาก หลงตัวเองชะมัด... เอ่อ...แล้วนายไปไหนมาล่ะกลับซะดึกเชียว

     นึกว่าจะไม่ถามซะอีก... ก็ไปกินข้าวกับเพื่อนมาน่ะ แล้วก็อยู่คุยกันเพลินไปหน่อยเลยกลับดึก

     “อ๋อหรอ... งั้นให้ฉันเดาเอามั้ยว่าเพื่อนคนนั้นต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆเธอพูดไปพลางเก็บเกมของตัวเองเข้ากล่อง

     “...อืม

     หญิงสาวนิ่งไปสักพักแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ

     “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกน่า เขาก็เป็นแค่เพื่อนเขาพยายามจะอธิบายแต่หญิงสาวก็พูดดักคอขึ้นมาก่อน

     “ฉันก็ไม่ได้คิดมาก เพราะเพื่อนมันก็คือเพื่อน...ใช่มั้ยเธอพูดพร้อมกับหันมายิ้มให้เขา ชายหนุ่มพยักหน้าเออออหวังว่าเธอคงจะเข้าใจ

     นินจิราลุกขึ้นยืนหลังจากที่เก็บของเสร็จ เธอก้มมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นแล้วพูดกับเขาว่า แต่คำว่าเพื่อนเนี่ย... มันมักจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเสมอเธอพูดแบบยิ้มๆก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งคิดถึงคำพูดของเธอ

     ...ทางที่ดีที่สุดคงต้องเลิกติดต่อกับโยทะกาซะแล้วมั้ง...


     “
    หลายวันที่ผ่านมาเนี่ยนายดู...แปลกๆไปนะเป็นอะไรรึเปล่านินจิราเอ่ยถามผู้ชายตรงหน้าขณะนั่งรับประทานอาหารเช้า

     “เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยเขายิ้มแห้งๆให้หญิงสาว

     จริงอยู่ที่หมู่นี้เขาดูแปลกไป เป็นเพราะโยทะกาแวะมาหาเขาที่บริษัทเขาเกือบทุกวัน แค่คิดว่าภรรยาเขาจะจับได้ก็เสียวสันหลังวูบวาบแล้ว แถมวันนี้เพื่อนสาวยังโทรมาชวนเขาไปกินข้าวเย็นอีกต่างหาก ความกลุ้มใจและกังวลใจจึงขึ้นไปอยู่เกือบถึงจุดไคแมกซ์

     “หมู่นี้ฉันไม่เห็นพี่ชายคุณเลยแฮะ บินกลับไปต่างประเทศแล้วรึไงเขาพูดติดตลก

     “ไม่ใช่สักหน่อย พี่วินกำลังโดนพ่อจิกหัวใช้อยู่ต่างหาก สมน้ำหน้าไม่รู้คิดอย่างไงถึงไปทำงานกับพ่อฉัน แต่ว่าพี่วินก็แวะมาหาฉันตอนเย็นๆทุกวัน ถึงจะแค่แปบเดียว แต่ก็เรียกว่ามานั้นแหละ

     “พี่เธอนี่ก็สุดยอดจริงๆ ขนาดทำงานตัวเป็นเกรียวก็ยังพยายามมาหาเธอให้ได้ ช่างเป็นพี่ที่น่าสรรเสริญมากๆเขาพูดอย่างชื่นชม แต่เป็นพี่น้องสนิทกันมากไปมันก็ไม่ดีหรอก ยิ่งพวกเธอโตๆกันแล้วคนอื่นเขาจะยิ่งมองเห็นเป็นอย่างอื่นเข้าไปใหญ่

     นินจิราหัวเราะออกมานิดๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายของเธอให้เขาฟังไม่เป็นไรหรอกเพราะว่าฉันกับพี่วินไม่ใช่...เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกกินกันต่อดีกว่าเธอตัดสินใจไม่บอกเขาดีกว่า เดี๋ยวตาบ้านี่กับพี่ชายเธอจะยิ่งเข้าหน้ากันไม่ติด

     เมื่อกินข้าวเสร็จพักตรธิรันก็ออกไปทำงานตามปกติ  เหลือเพียงหญิงสาวที่นั่งเฉยๆอยู่กับบ้าน เมื่อไม่มีอะไรทำนินจิราจึงจะเข้าไปช่วยงานป้าแพรกับแก้วตาทำงานอยู่ในครัว

     “มีอะไรให้หนูช่วยบ้างมั้ยคะ

     “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณจีน่า เรื่องในครัวให้ป้ากับยัยแก้วเป็นคนทำเองดีกว่าป้าแพรนึกดีใจที่หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของคุณหนูไม่ใช่คนที่ชอบถือตัว แต่...หญิงสาวคนนี้ก็มีข้อเสียอยู่อย่างตรงที่...

     “ไม่เอาอ่ะ นั่งอยู่เฉยๆน่าเบื่อออกจะตาย เอางี้นะให้หนูช่วยหันผักก็แล้วกันยังไม่ทันที่ผู้สูงวัยจะอนญาติ นินจิราก็เดินไปหยิบมีดมาควงเล่นอย่างสนุกสนาน

     ป้าแพรกับแก้วตายกหม้อไหชามกะละมังมาบังหัวตัวเองเอาไว้ เนื่องจากกลัวว่ามีดที่หญิงสาวควงอยู่จะพลาดหลุดมาเฉาะหัวตัวเองเข้า ...ก็ไอ้นิสัยดื้อรั้นชอบทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้แหละ ทำให้ป้าแพรต้องออกสั่นขวัญหายทุกที

     หลังจากที่โดนป้าแพรสั่งห้ามว่าไม่ให้จับมีดหรือสิ่งของมีคม นินจิราจึงต้องมายืนล้างผักอยู่ที่อ่างล้างจานแทน

     “ป้าแพรขา คุณหนูของป้าชอบกินอะไรคะเธอเอ่ยถามป้าแพรน้ำเสียงหวานแหวว

     ป้าแพรที่กำลังง่วนอยู่กับการต้มผัก หันมายิ้มให้หญิงสาวก่อนจะตอบไปว่า คุณรันชอบกินทอดมันกุ้งค่ะ

     “แล้วตอนนี้มีของที่พอจะทำไอ้ทอดมันกุ้งนั้นได้รึเปล่าคะ

     “ก็พอมีเหลืออยู่ในตู้เย็นอยู่บ้าง คุณจีน่าจะทำให้คุณรันทานหรอคะป้าแพรพูดแซว

     “หนูทำไม่เป็นหรอกค่ะ กะว่าจะให้ป้าแพรทำแล้วให้หนูเป็นลูกมือต่างหาก... ได้รึเปล่าคะ

     “ได้สิคะ ว่าแต่คุณจีน่าจะทำตอนไหนล่ะคะ

     “ตอนนี้เลยค่ะนินจิราหยุดล้างผักแล้วเดินยิ้มหน้าระรื่นไปหาป้าแพร

     “ตอนนี้เลยหรอคะป้าแพรขมวดคิ้วอย่างสงสัย

     “ใช่ค่ะ หนูกะว่าจะเอาไปให้เขาตอนเที่ยงน่ะ เพราะอย่างไงวันนี้ก็เบื่อๆไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว แวะไปหาเขาที่ทำงานสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร... นะคะป้าแพรหญิงสาวเขย่าแขนอ่อนหญิงสูงวัย

     “เอางั้นก็ได้ค่ะ งั้นพวกเรามาลงมือทำกันเลยก็แล้วกัน

     ตอนนี้ในห้องครัวเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะไอ้การทำทอดมันกุ้งโดยมีหญิงสาวที่ชื่อนินจิราเป็นลูกมือ มันช่างสร้างความลำบากยากเย็นให้ทั้งป้าแพรและแก้วตาเป็นอย่างมาก กว่าจะทำเสร็จก็เล่นเอาห้องครัวเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ทอดมันกุ้งไม่ถึงยี่สิบชิ้นแลกกับการมานั่งเก็บกวาดห้องครัวช่างไม่คุ้มกันเลยสักนิด

     หลังจากเก็บกวาดห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เล่นเอาทั้งสามคนในห้องครัวแทบล้มทั้งยืนกันเลยทีเดียว

     “ตั้งแต่นี้ต่อไป ฉันจะไม่ทำทอดมันกุ้งอีกแล้วนินจิราที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะกินข้าว พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพล่าน

     “คุณจีน่าคะ แก้วเอาทอดมันกุ้งแพ็คใส่กล่องไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว แก้วเอาว่างไว้บนโต๊ะนะคะ

     “อืม...เธอตอบอย่างเหนื่อยๆ

     “แล้วคุณจีน่าจะเอาไปให้คุณรันตอนไหนคะเนี่ยแก้วตาถามด้วยความสงสัย

     “เที่ยงๆน่ะ

     “เอ่อ... แต่นี่มันเที่ยงสิบห้าแล้วนะคะ

     นินจิราลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนนั่งทับกองไฟ ความเหนื่อยเมื่อสักครู่หายไปเป็นปริบทิ้ง พอตั้งสติได้เธอก็รัวคำพูดใส่สาวใช้ทันทีงั้นฉันไปก่อนนะ ฝากบอกป้าแพรด้วยว่าฉันจะกลับพร้อมคุณรัน แล้วถ้าเกิดพี่วินมาหาฉันล่ะก็ บอกว่าฉัน...เอ่อ ไปซื้อของข้างนอกก็แล้วกัน ฉันไปก่อนล่ะพูดจบหญิงสาวก็หิ้วกล่องทอดมันกุ้งวิ่งหน้าตั้งออกไปจากห้อง ทิ้งให้สาวใช้ยืนเรียบเรียงคำพูดเร็วดุจรถไฟฟ้าบีทีเอสผสมกับรถไฟใต้ดินของเธอ


     
    ที่บริษัท PITI-Jewel  international พักตรธิรันนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกับเอกสารกองพะเนินบนโต๊ะทำงานของตัวเอง อีกทั้งยังกลุ้มใจเรื่องภรรยากับโยทะกาอีกต่างหาก ความเครียดเลยยิ่งพุ่งกระฉูดเข้าไปใหญ่ เขาควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไงดี ควรบอกภรรยาว่าเพื่อนสาวมาเยี่ยมเขาที่บริษัทเกือบทุกวัน หรือว่าควรจะเก็บเอาไว้เป็นความลับแล้วบอกให้โยทะกาเลิกมายุ่งกับเขาเสียที เฮ้อ...ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มเพราะทำไม่ได้เลยทั้งสองข้อ

     การคิดเรื่อยเปื่อยของพักตรธิรันต้องหยุดลง เมื่อเสียงโทรศัพท์ที่ต่อกับเลขาหน้าห้องดังขึ้น แล้วก็เป็นไปตามแบบฟรอม์เดิม คือเขากดปุ่มกระจายเสียงพร้อมกับกรอกเสียงมาดเข้มลงไป

     “มีอะไรครับคุณมล

     “เอ่อ... มีคนมาหาคุณรันค่ะ

     จะเป็นใครที่ไหนได้อีกที่มาหาเขาตอนเที่ยงแบบนี้ นอกจากโยทะกา

     “ให้เขาเข้ามาได้

     “ค่ะ

     เสร็จสิ้นการสนทนาทางโทรศัพท์ ประตูห้องทำงานของเขาก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงในชุดเดรสเกาะอกสีฟ้าน้ำทะเล ซึ้งดูแล้วสวยผิดปกติกว่าทุกวัน ผมที่ดันหยิกเป็นลอนอ่อนๆ ช่างเข้ากับใบหน้าเรียวคมของเธอซะจนพักตรธิรันต้องมองเธอตาค้าแบบไม่กระพริบ เมื่อชายหนุ่มตั้งสติได้เขาก็แกล้งพูดเล่นติดตลกแก้อาการเขินอาย

     “วันนี้แต่งตัวซะสวยเชียวนะ จะไปนัดหนุ่มดินเนอร์รึไง

     “แหม เดาใจคนอื่นเก่งจังเลย พอดีโยกะจะชวนรันดินเนอร์ที่โรงแรม... หลังเลิกงานสักหน่อย

     ชายหนุ่มยืนอึ้งอ้าปากค้า ...ทำไมต้องเป็นเขาด้วย...

     “ไปไม่ได้หรอ โยอุตส่าห์แต่งตัวสวยๆมารอรันเลยนะเนี่ยโยทะกาก้มหน้านิ่ง รู้สึกเสียดายรู้งี้นัดเขาเอาไว้ก่อนซะก็ดี

     “ป...ไปได้ ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่ากลับดึกก็แล้วกันปากมันก็เป็นแบบนี้ซะทุกที

     หญิงสาวยิ้มแก้มปริด้วยความดีใจ ก่อนจะพูดชวนเขาไปกินข้าวเที่ยงแถวๆนี้


     
    เลขาสาวที่แอบดูอยู่ที่กระจกเล็กๆของประตู รู้สึกกังวลใจแทนเจ้านายเสียจริง ยัยผู้หญิงคนนั้นก็มาหาเจ้านายเขาอยู่ได้เกือบจะทุกวันเห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดชะมัด เลขาสะบัดหน้าหนีเพราะทนดูต่อไปไม่ได้ จึงกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

     “คุณรันนะคุณรัน ถ้าคุณจีน่ารู้เข้าล่ะก็ มีหวัง...ยังไม่ทันทีหญิงสาวจะพูดจบภรรยาของเจ้านายก็เดินยิ้มแฉ่งมาให้เธอแต่ไกล กาณวิมลทำอะไรไม่ถูกได้แต่ลุกลี้ลุกลนวิ่งไปบังประตูห้องของเจ้านายเอาไว้

     “สวัสดีค่ะคุณมลนินจิรากล่าวทักทายอย่างสุภาพ

     “ห...หวัดดีค่ะ แหะๆๆ

     นินจิราจะเปิดประตูเข้าไปข้างในแต่กาณวิมลก็ดันมาบังไว้ซะก่อน

     “เข้าไปไม่ได้หรอคะเธอเอ่ยถามอย่างสงสัย

     “อ๋อ  ได้สิคะ แต่ว่าตอนนี้คงจะไม่สะดวกสักเท่าไร” 

     นินจิราชักเริ่มจะสงสัยแล้วสิ ก็คุณเลขาเล่นเหงื่อแตกพลั่กๆออกเต็มใบหน้าซะขนาดนั้น มันต้องมีอะไรแน่ๆ ถอย...ไปแววตาที่เปลี่ยนมาเป็นแนวโหด^_^ ทำให้กาณวิมลต้องรีบถอยออกมาจากประตูอย่างรวดเร็ว

     หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดประตู ภาพที่สามีกำลังคุยอยู่กับสาวสวยพราวเสน่ห์อย่างสนุกสนานพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักๆ เตะเข้าไปที่ตาของนินจิราอย่างเต็มๆ

     พักตรธิรันที่รู้สึกเหมือนกำลังโดนใครจ้องมองอยู่ ค่อยๆหันไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นภรรยาที่จ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ไม่มีความรู้สึกอะไรแต่แฝงไปด้วยไอเย็นที่หนาวสะท้านไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มก็ต้องรีบผละออกจากเพื่อนสาวทันที

     เลขาสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังภรรยาเจ้านาย ยกมือขอโทษเขาอย่างเงียบๆที่กันภรรยาเขาเอาไว้ไม่อยู่

     “คุณมลว่าฉันควรจะวิ่งร้องไห้ออกจากห้องไปเหมือนนางเอกในนิยายน้ำเน่า หรือว่าฉันควรจะเข้าไปจิกหัวตบยัยนั้นเหมือนนางร้ายในละครหลังข่าวดีนินจิราถามเลขาข้างหลังทั้งที่สายตายังมองไปที่คู่กรณีทั้งสอง

     กาณวิมลที่มีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกพูดไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งเงียบเป็นคนใบ้รับประทาน นินจิราเห็นคนที่อยู่ข้างหลังไม่ยอมตอบกลับมาสักที เธอจึงใช้สมองอันเท่าเมล็ดถั่วคิดเองซะเลย

     “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เพราะฉันคิดออกแล้วว่าจะเลือกข้อไหนดีพูดจบนินจิราก็เดินยิ้มไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ที่ข้างกายสามีอย่างไม่รอช้า

     “คุณจีน่าใจเย็นๆนะคะเสียงอันแหบแห้งของเลขาสาว คงส่งไปไม่ถึงหูหญิงสาวร่างเล็กที่เดินละลิ่ว ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแน่ๆ

     ...คุณรันนะคุณรันหาเรื่องใส่ตัวเองแล้วเห็นมั้ยล่ะ...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×