ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Doll Lover...รักมากมายเจ้าชายตุ๊กตา

    ลำดับตอนที่ #8 : The Doll Lover.....VII

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 58


     

                เสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมาอยู่หน้าห้อง ทำเอาคนที่กำลังนอนเอกเขนกบนโซฟายาวต้องกดหรี่เสียงโทรทัศน์ลง เฉินยกจานเชอรี่บนอกออก ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาส่องตาแมวประตูดูว่าเป็นใครที่อยู่ด้านนอก

    ภาพที่เจ้านายตัวเองเดินวนไปมาแต่ไม่มีทีท่าจะเปิดประตูเข้ามาสักทีนั้น ทำเอาเค้าถึงกับงง และเมื่อหวังดีเปิดประตูให้ มันกลับทำให้คนด้านนอกถึงกับสะดุ้งโหยง ใบหน้าเหวอๆ แถมอ้าปากค้าง เล่นเอาเฉินถึงกับหลุดขำออกมา

    “ขำมากไหม?!!!” คริสเสียงเข้ม ทั้งโกรธทั้งเสียหน้า แต่อีกคนเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวนอกจากไม่หยุดหัวเราะแล้ว ยังพยักหน้าตอบรับกลับไปโดยไม่ได้รู้ชะตาชีวิตตัวเองเลยสักนิด

    “งั้นหัวเราะให้สะใจ ก่อนที่นายจะได้ร้องไห้แทนตอนโดนไล่ออก!

     ได้ยินที่คริสพูด เฉินหุบปากแทบไม่ทัน แต่เงียบได้เพียงไม่นาน ท่าทีของเจ้านายหนุ่มที่เอาแต่ชะเง้อมองผ่านตัวเค้าเข้าไปข้างใน ทำให้ต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

    “คุณคริสมองหาใครเหรอครับ?”

    “ป...เปล่า”

    “แหม...ปฏิเสธซะเสียงสูงเชียว” เฉินอดแซวออกมาไม่ได้ แต่เมื่อเจอกับสายตาดุๆของคริส เค้าจึงรีบพูดขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น “คุณบอมมี่พาแฟนเด็กออกไปแล้วครับ”

    “ไปแล้ว?” ได้ยินที่เฉินพูดคริสถึงกับใจหายวาบ คิดไม่ถึงว่าคำพูดแรงๆแค่เพียงประโยคเดียว จะไล่ให้ยัยแม่มดตัวร้าย คนที่คอยจุ้นจ้านวุ่นวายหายออกไปจากชีวิตเค้าได้

    “พูดแค่นั้น...ถึงกับไปจริงๆเหรอนี่?”

    คำพูดที่รำพึงกับตัวเองเบาๆแต่ก็ดังพอให้อีกคนได้ยิน

     “คุณคริสว่าอะไรนะครับ?”

    “ไม่มีอะไร นายกลับห้องของนายไปได้แล้ว ฉันอยากพักผ่อน” คริสที่ได้สติจากคำถามของเฉินรีบปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยปากไล่ให้ผู้จัดการจอมจุ้นกลับห้องของตัวเองไป เพราะตอนนี้เค้าอยากอยู่เงียบๆคนเดียว

    หลังจากที่เฉินออกไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟากลางห้อง ทั้งที่ควรดีใจที่กำจัดคนที่คอยแต่จะทำลายความสุขในชีวิตของเค้าออกไปได้ แต่ไม่รู้ทำไมทุกลมหายใจเข้าออกมันถึงเจือไปด้วยความรู้สึกหน่วงๆในอก แถมภาพในหัวก็ไม่วายเป็นภาพของหญิงสาว...ยัยแม่มดตัวร้าย ไล่เรียงตั้งแต่วันแรกที่เธอมาปรากฏตัวในห้องพักที่บริษัท จนได้ย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันที่คอนโดของเค้า หรือแม้กระทั่งใบหน้าตื่นกลัวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาเมื่อคืนตอนที่เกิดเรื่อง รวมถึงดวงตาที่คลอหน่วยไปด้วยน้ำใสๆยามที่ได้ยินถ้อยคำร้ายๆที่เค้าเป็นคนเอ่ยปากไล่เธอไปเมื่อเช้านี้ ทุกภาพหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายเรียกให้หัวใจที่เต้นอยู่เริ่มสั่นรัว

    และเมื่อความรู้สึกปวดหนึบที่ใจเพิ่มมากขึ้นทุกที...ทุกที คริสถึงกับทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ พวงกุญแจบนโต๊ะถูกรวบเอาไว้ในมือ พร้อมๆกับที่ร่างสูงลุกยืนขึ้น ก่อนจะวิ่งตรงดิ่งไปยังประตูห้อง

     

    ทั้งที่ไร้ซึ่งจุดหมาย และไม่รู้ว่าจะไปตามหาหญิงสาวได้ที่ไหน

     

    แต่ยังไงเค้าก็ต้องไป

     

    ไปตามยัยแม่มดตัวร้ายของเค้ากลับมา

     

     

     

     

     

     

     

    แม้สัญญาณไฟสามเหลี่ยมชี้ขึ้นจะปรากฏให้เห็น แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ เลิกกดย้ำรัวถี่ลงไปบนปุ่มกดได้ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ชั้นบนสุดของคอนโด ป่านนี้เค้าคงวิ่งลงไปข้างล่าง ไม่ต้องง้อรอเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมที่ดูจะเหมือนจะหยุดมันแทบทุกชั้นแบบนี้

    ทันทีที่เสียงสัญญาณว่าลิฟต์เคลื่อนมาถึงดังขึ้น เงาสะท้อนบนบานประตูสแตนเลสวาววับ ฉายชัดให้เห็นใบหน้าและท่าทีร้อนรนของตัวเอง  เค้าแทบจะอดใจรอให้บานประตูเปิดออกไม่ไหว ชายหนุ่มรีบขยับไปยืนจนแทบจะชิดไปกับบานประตู

    และเมื่อแผ่นสแตนเลสหนาค่อยๆเปิดกว้างจนแยกออกจากกัน แทนที่จะได้ก้าวเข้าไปข้างในดั่งที่ตั้งใจไว้ ชายหนุ่มถึงกับค้างนิ่ง หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ สมองเริ่มมึนงง แยกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นความจริงหรือเพียงแค่ภาพหลอนที่เค้าสร้างขึ้นมากันแน่

    มือหนาค่อยๆยื่นไปตรงหน้าก่อนจะแตะเข้าเบาๆบนแก้มอิ่ม และทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของผิวเนื้อ ชายหนุ่มรู้ได้โดยทันทีว่ายัยแม่มดของเค้ายืนอยู่ตรงนี้...ยืนอยู่ตรงหน้าเค้าจริงๆ

    “อ...อู๋ฟาน”

    เสียงเรียกแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปาก บอมมี่ตกใจกับเรื่องไม่คาดฝันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้  จนหัวใจเต้นรัวถี่แทบจะหลุดออกมานอกอก ใบหน้าหวานแดงเรื่อเมื่อสัมผัสอ่อนโยนบนแก้มของตัวเองมันชัดเจนและบอกว่าให้รู้ว่าไม่ใช่แค่ฝันไป และถ้าชายหนุ่มไม่ชักมือกลับไปเสียก่อน เชื่อได้เลยว่าเธอคงจะเข่าอ่อนไม่มีเรี่ยวแรงจะทรงตัวยืนอยู่ต่อไปได้แน่ๆ

    “เอ่อ...จะไปข้างนอกเหรอ?” ถึงแม้จะเขินแต่บอมมี่กลับเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน เพราะคนตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบ

    “ถ้างั้นฉันเข้าห้องก่อนนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วอยากพักเต็มทน” หญิงสาวพูดต่อเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่มีทีท่าจะปริปาก แต่เมื่อจะก้าวออกจากลิฟต์ ร่างสูงกลับเข้ามาขวางหน้าเอาไว้

    “เธอ... อืม...ไม่ได้ย้ายออกไปใช่ไหม?”

    “หา?”

    “ไม่ได้ออกไปอยู่กับไอ้เด็กนั่นใช่ไหม?”

    “เปล่า...ฉันไม่ได้ย้ายออกไปอยู่กับจงอิน”  แม้จะยังงงอยู่แต่หญิงสาวก็ตอบกลับไป และถ้าตาไม่ฝาด บอมมี่เห็นรอยยิ้มวาดขึ้นเล็กๆบนมุมปากของคนตรงหน้า ก่อนที่เจ้าของร่างสูงโปร่งจะหันหลังแล้วเดินจากไป ปล่อยเธอทิ้งไว้กับความสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเค้านั่นเอง

     

     

     

    “เฮ้อ...”

    เสียงถอนหายใจเกินกว่าจะนับครั้งได้ดังขึ้นมาอีกรอบ และครั้งนี้ลู่หานไม่ได้ปล่อยผ่านเหมือนที่แล้วๆมา

    “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ...คุณปาร์ค บอม ?”

    “เอ่อ...ไม่มีอะไรคะ” หญิงสาวตอบออกไปสวนทางกับความคิดในใจ มันไม่ใช่แค่ตอนนี้ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เธอจมอยู่กับความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคริส ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยวเวลาที่ได้ดีใจกับสัมผัสอ่อนโยนที่ชายหนุ่มมีให้ ก่อนที่ความเฉยชาจะกลับเข้ามาแทนที่ดังเดิม บอมมี่ก็ยังอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ ว่าเพราะอะไรชายหนุ่มถึงทำแบบนั้นกับเธอ

    “อืม...ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เย็นนี้คุณคงไม่ปฏิเสธนะ ถ้าผมจะชวนคุณไปดินเนอร์”

    “ไม่ได้!!!

    เสียงที่ดังมาก่อนตัวทำเอาบอมมี่ถึงกับสะดุ้งโหยง ยิ่งได้เห็นหน้าบึ้งๆของคนที่ก้าวเข้ามาในห้องรวมถึงประโยคถัดมาของชายหนุ่ม หญิงสาวแทบจะล้มทั้งยืน

    “นายเป็นใคร?! ถึงได้เที่ยวมาชวนแฟนชาวบ้านเค้าไปดินเนอร์แบบนี้ฮะ!!

    “แฟน? หมายถึงใครไม่ทราบครับ?”

    “บ---มี่...เป็นแฟนฉัน!

    ลู่หานถึงกับหรี่ตามองดูคนที่ก้าวเข้ามาใหม่อย่างปรามาส เค้าไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย แค่อดแปลกใจไม่ได้ที่ผู้ชายธรรมดาๆดูไม่ค่อยมีวุฒิภาวะเท่าไหร่ จะแอบอ้างเป็นแฟนกับผู้หญิงอย่างปาร์ค บอมได้

    “ผมว่า...”

    “คุณลู่หานคะ ขอโทษนะคะวันนี้ฉันคงไปดินเนอร์กับคุณไม่ได้แล้ว” และก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่ บอมมี่ที่เห็นท่าไม่ดีรีบชิงตัดบท

    “แต่...”

    “ฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดีต้องพาน้องชายไปทำธุระค่ะ” หญิงสาวเน้นคำว่า น้องชาย ดังๆก่อนจะทั้งฉุดทั้งลากเจ้าตัวที่ก่อเรื่องให้เดินตามออกมาด้วยกัน

    “ฮันนี่อ่ะ! พาเค้าออกมาทำไม? เค้ายังเคลียร์กับไอ้หน้าตุ๊ดนั่นไม่รู้เรื่องเลยนะ โอ๊ย!! โอ๊ย!! ตีเค้าทำไม?!! ” จงอินถึงกับร้องลั่นเมื่ออยู่ๆคนที่เดินนำหน้ากลับหันมารัวกำปั้นใส่แขนเค้าเต็มแรง

    “อย่ามาโอดครวญ!! แค่นี้มันยังน้อยไปนะ..จงอิน! รู้ไหมไอ้หน้าตุ๊ดที่นายเรียกนั่นมันเจ้านายฉัน ถ้าฉันโดนไล่ออกแล้วจะทำยังไง?!

    “ก็กลับอเมริกากับเค้าไง!!” นอกจากไม่สำนึก จงอินยังพูดสวนกลับมาให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

    “นายนี่มัน!..ช่างเถอะ! แล้วนี่รู้ได้ยังไงว่าฉันทำงานที่นี่?”  บอมมี่อดสงสัยไม่ได้ เพราะเธอไม่เคยบอกใครว่าทำงานที่ไหน แม้แต่กับแอมเบอร์เธอก็ไม่เคยเล่า

    “ลุงหน้าเหี่ยวบอก”

    “ลุงหน้าเหี่ยว...เฉินเหรอ?”

    “อืม”

    หญิงสาวถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ ปวดหัวกับเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่ทันได้ตั้งรับ ยิ่งเห็นหน้าคนก่อเรื่องที่ยังยิ้มเผล่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย บอมมี่แทบจะกรีดร้องออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นที่มีข้างใน

    “ฉันต้องไปสอนแล้ว นายกลับโรงแรมไปซะ...จงอิน” สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว หญิงสาวจึงเอ่ยปากไล่ให้ลูกพี่ลูกน้องตัวดีกลับโรงแรมไป แต่คนดื้อก็ยังเป็นคนดื้อวันยังค่ำ นอกจากไม่สำนึกผิด ยังเสนอหน้าขออยู่ต่ออย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ

    “ฮันนี่...ให้เค้าไปด้วยนะ ตัวเองจะให้เค้าช่วยทำงานอะไรก็ได้ เปียโน กีตาร์ หรือกลองเค้าก็เล่นได้หมด ตัวเองสอนร้องไป เค้าเล่นดนตรีให้ เห็นไหมดีจะตาย”

    “อยากช่วยมากใช่ไหม? ได้...งั้นฉันขอให้นายช่วย...”

    ใบหน้าคมเปื้อนยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นหน้าเจื่อนทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมาของหญิงสาว

    “ช่วยไปไกลๆเลย!! และถ้าฉันสอนเสร็จออกมา แล้วยังเห็นหน้าดำๆของนายอยู่แถวนี้”

    “คิม จงอิน...นายกับฉันขาดกัน!!

     

     

     

    “เฮ้อ/เฮ้อ...”

    เสียงถอนหายใจออกมาพร้อมๆกันดังขึ้นเป็นรอบที่สิบ และนั่นทำเอาแบคฮยอนถึงกับทนไม่ไหว

    “โอ๊ย!! มีเรื่องกลุ้มใจอะไรกันหนักกันหนาครูบอมมี่? พี่ซิ่วหมิน? ผมไม่มีสมาธิจะทำแบบทดสอบแล้วนะ”

    “นั่นสิฮะ ถอนหายใจพร้อมกันแบบนี้มาสิบรอบแล้วนะฮะ” เซฮุนเองรีบสำทับ เค้าก็ทำแบบทดสอบตรงหน้าไม่ได้เหมือนกัน เพราะรำคาญจนไม่มีสมาธิ

    “ขอโทษ/ขอโทษ” สองเสียงเอ่ยออกมาพร้อมกันอีก ทำเอาสองหนุ่มแบคฮยอนและเซฮุนกลายเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาพร้อมกันเสียเอง

    “เฮ้อ/เฮ้อ...”

    “อะแฮ่ม! คือครูมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ ขอโทษด้วยแล้วกันนะ” บอมมี่เอ่ยคำขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิดที่เผลอคิดเรื่องส่วนตัวจนกระทบต่อการสอนของตัวเอง

    “เอ่อ...ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยเหมือนกัน” ซิ่วหมินเองก็รีบเอ่ยคำขอโทษออกมาเมื่อตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่รบกวนการเรียนของเพื่อนๆ

    “ก็บอกแล้วไงพี่ซิ่วหมิน ว่าให้รับงานที่ผมเสนอให้ มัวแต่คิดเยอะอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวคนอื่นคว้าไปก็ไม่มีงานไม่มีเงินใช้หรอก” แบคฮยอนบ่นออกมา และนั่นทำเอาบอมมี่ถึงกับคิ้วขมวดมุ่น แปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น

    “อ้าว...ซิ่วหมิน ก็นายทำงานพิเศษดูแลซูจีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?

    “ซูจีไปอเมริกาวันนี้แล้ว พี่ซิ่วหมินก็เลยกลายเป็นคนตกงาน” เป็นแบคฮยอนที่ชิงตอบแทนเจ้าตัว ที่ได้แต่ยิ้มเจื่อนพูดไม่ทันเพื่อนรุ่นน้อง

    “ก็เด็กที่นายจะให้ฉันไปดูแล เค้าพูดไม่ได้นี่หน่า ส่วนตัวฉันเองก็ใช้ภาษามือไม่เป็น ฉันกลัวว่าจะทำงานนี้ได้ไม่ดี...แบคฮยอน”

    “โอ้ย! จะอะไรนักหนา! เด็กนั่นแค่เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวกสักหน่อย ภาษามงภาษามือก็ไม่ต้องใช้ ยัยนั่นเขียนหนังสือเป็น” แบคฮยอนถึงกับแหวใส่คนข้างๆ ที่มัวแต่เสียเวลาคิดนู้นนี่นั่นซะมากมาย แทนที่จะเอ่ยปากถามข้อมูลเอาจากเค้าตรงๆ

    “อ้าว...เขียนหนังสือได้หรอกเหรอ? ถ้าอย่างนั้น...”

    “เด็กผู้หญิง! เป็นใบ้! เขียนหนังสือได้!!

    แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากรับข้อเสนอของแบคฮยอน เสียงที่ดังลั่นขึ้นมาทำซิ่วหมินสะดุ้งโหยง ก่อนที่ประโยคถัดมาของคุณครูคนสวยจะทำให้คนทั้งห้องพากันมองไปที่เธอเป็นจุดเดียว

    ซิ่วหมิน!! ฉันมีงานให้เธอทำแล้ว!!

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×