คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The Doll Lover.....III
กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆถูกยื่นเข้ามาขวางกั้นสายตา ที่กำลังจดจ่ออยู่กับตุ๊กตาอัลปาก้าแสนรัก ก่อนเสียงของลู่หานจะเรียกให้ใบหน้าคมต้องเงยขึ้นไปมอง
“เบอร์โทรของเจสสิก้า”
“หา?”
“ก็ปาร์ตี้คราวที่แล้ว นายบอกเองว่าสนใจเธอ ฉันเห็นนายไม่ทำอะไรสักที ก็เลยอยากช่วย”
“แต่ว่า...”
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของอีกฝ่าย ลู่หานอดไม่ได้ที่ต้องพูดออกมาตรงๆ
“รับไป! แล้วโทรหาเธอซะ ชวนเธอไปกินมื้อค่ำกับพวกเราคืนนี้”
“เฮ้ย!! ทำอย่างนั้นได้ยังไง น่าเกลียดตายชัก! คนไม่เคยคุยกันมาก่อน อยู่ๆโทรไปแล้วชวนกินมื้อค่ำเลยเนี่ยนะ!” คริสโวยวายขึ้นมา เมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่หานพูด แต่นั่นกลับทำให้อีกคนถึงกับส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขลุกกับตุ๊กตามากเกินไป หรือว่าเพื่อนรักของเค้านั้นอ่อนหัดเรื่องจีบสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกันแน่ ถึงทำให้คนที่ถูกจัดให้เป็นหนุ่มฮอตแห่งปี มีความคิดสวนทางกับภาพลักษณ์ของตัวเองแบบนี้
“ถ้าไม่อยากโทรก็ไม่ต้องโทร แต่เย็นนี้ช่วยทำตัวให้ว่าง ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด ส่วนที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ลู่หาน...ขอบใจนะที่คิดจะช่วยฉันเรื่องเจสสิก้า แต่ว่าฉันยังไม่คิดจะมีใครในตอนนี้ เอ่อ...ฉันยังไม่พร้อม” คริสเอ่ยออกมาอย่างที่คิดจริงๆ เพราะแค่ตารางงานที่แน่นเอียดในแต่ละวัน ก็แทบไม่เหลือเวลาส่วนตัวแล้ว เรื่องจะให้เทคแคร์หรือดูแลใครเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษอีกนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยในเวลานี้
“ไม่พร้อม? รวมไปถึงเรื่องที่จะสลัด ปาร์ค บอมออกจากชีวิตนายด้วยหรือเปล่า?”
“พูดแบบนี้...หมายความว่ายังไง? นี่นายคิดว่าฉันชอบยัยแม่มดนั่นเหรอ!!” คริสถึงกับอารมณ์ขึ้น เพราะจากคำพูดของลู่หาน มันตีความไปในแง่นั้นได้เพียงอย่างเดียว
“ฉันรู้ว่านายไม่ได้ชอบเธอ แต่เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชอบนาย”
“ยัยแม่มดนั่นไม่ได้ชอบฉัน! แค่ต้องการยั่วให้ฉันโกรธ คอยกวนประสาทฉัน นังปิศาจนั่นมันร้ายกาจ!! มันอยากเห็นฉันอกแตกตายตากหากเล่า!!”
ลู่หานมองคนตรงหน้าที่กำลังโวยวายขึ้นมาอย่างพยายามระงับอารมณ์ ถึงแม้คริสจะเป็นเพื่อนสนิทที่เค้ารัก แต่การที่เค้าจิกเรียกปาร์ค บอมแบบนี้ มันทำให้เค้าไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน
“ฉันไม่สนว่าเธอจะชอบนายหรือไม่ เพราะสิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือ...เธอต้องชอบฉัน!! ฉะนั้นนายต้องให้ความร่วมมือด้วย ถ้านายต้องการให้เธอออกจากชีวิตของนายไปจริงๆ...คริส!!”
“ยังไง?”
“ถ้านายมีแฟนหรือคนที่กำลังคบหาดูใจอยู่ ฉันเชื่อว่าปาร์ค บอม คงไม่กล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายอะไรกับนายมาก เพราะเธอเองคงจะเกรงใจคนที่นายคบอยู่บ้างเหมือนกัน”
ถึงตอนนี้ ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนมุมปาก ก่อนน้ำเสียงเรียบจะเอ่ยออกมาแต่จริงจัง
“เพราะฉะนั้นดินเนอร์ในคืนนี้แสดงออกให้ชัดเจนว่านายชอบเจสสิก้า ทำให้ ปาร์ค บอมได้เห็น ว่านายมีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว”
“ขอตัวก่อนนะครับ”
บอมมี่มองตามร่างของเด็กหนุ่มที่รีบร้อนวิ่งออกจากห้องไปอย่างสงสัย ทั้งที่เพิ่งจะหมดชั่วโมงเรียน แต่ทำไมเค้าถึงต้องรีบขนาดนั้นด้วย
“พี่ซิ่วหมิน เค้าต้องรีบไปดูแลยัยเอ๋อ” เป็นแบคฮยอนที่พูดขึ้นมา เมื่อเห็นสีหน้าของคนที่ยืนอยู่หน้าเปียโนนั้น ซ่อนความสงสัยเอาไว้ไม่มิด แต่แทนที่จะช่วยให้กระจ่าง กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความสงสัยให้มีมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“ยัยเอ๋อ?”
“ซูจีเป็นเด็กพิเศษที่พี่ซิ่วหมินถูกจ้างให้ไปดูแล ทุกวันหลังจากเลิกฝึก พี่ซิ่วหมินก็ต้องรีบออกไปแบบนี้ทุกครั้งล่ะฮะ” เซฮุนอธิบายให้หญิงสาวฟังเมื่อเห็นว่าเธอยังไม่หายสงสัย
“อ้าว! ที่นี่เด็กฝึกหัดทำงานพิเศษได้ด้วยเหรอ? ฉันนึกว่าจะถูกคุมเข้มไม่ให้ออกไปข้างนอกเหมือนที่บริษัทอื่นซะอีก”
“ก็เหมือนๆกันนั่นล่ะฮะ แต่ว่าพี่ซิ่วหมินถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ แค่มาฝึก มาซ้อมให้ครบตามเวลาที่บริษัทกำหนดไว้ แล้วหลังจากนั้นก็สามารถออกไปทำงานพิเศษได้”
“แล้วทำไมซิ่วหมินต้องไปทำงานพิเศษด้วยล่ะ แค่ฝึกร้องฝึกเต้นก็ปาไปกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันแล้ว เค้าไม่เหนื่อยเหรอไง?”
“ถึงเหนื่อยก็ต้องทน บ้านพี่ซิ่วหมินน่ะจนจะตาย ขืนไม่ทำงานพิเศษแล้วพี่เค้าจะเอาอะไรกินล่ะ ลำพังเงินเดือนที่บริษัทให้พวกเรามันไม่พอหรอก” แม้คำพูดและท่าทางของแบคฮยอนจะขัดหูขัดตา แต่หญิงสาวพยายามมองผ่านเลยไป เพราะในตอนนี้ความอยากรู้เรื่องของซิ่วหมินนั้นมีมากกว่า
“แล้วคนอื่นๆไม่มีปัญหาเรื่องเงินกันเหรอ? ทำไมถึงมีแต่ซิ่วหมินคนเดียวที่ทำงานพิเศษล่ะ?”
“ก็เพราะพวกเรารวย จบป่ะ!”
“แบคฮยอน!!” เมื่อเจอเข้ากับสายตาดุๆรวมถึงน้ำเสียงเข้มของบอมมี่ คนที่ทำเป็นเก่งถึงกับหลบตาวูบ แกล้งมองไปทางอื่นแทน
“พวกเด็กฝึกหัดคนอื่นๆ ทางบ้านต่างก็คอยสนับสนุนกันทั้งนั้นล่ะฮะ แถมส่วนใหญ่ก็ฐานะดีกันด้วย จะมีบ้างที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง แต่เด็กกลุ่มนี้ก็มาอยู่หอพักของบริษัทแทน เพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางลง เงินเดือนที่ทางบริษัทให้ก็ใช้เป็นค่ากินค่าอยู่ไป ทางบ้านก็เพียงแต่ให้เงินสนับสนุนเวลามีกิจกรรมพิเศษเท่านั้น
ที่จริงพี่ซิ่วหมินเกือบจะไม่ได้เป็นเด็กฝึกหัดแล้วนะฮะ แม้พี่เค้าจะผ่านการออดิชั่นมาได้ แต่ฐานะทางการเงินของทางบ้านพี่เค้าไม่ดี ไม่สามารถให้การสนับสนุนได้เต็มที่ เอ่อ...เรียกว่าให้ไม่ได้เลยดีกว่า แต่โชคยังดีที่ท่านประธานเห็นถึงความตั้งใจและเห็นความสามารถของพี่เค้า เลยอนุญาตให้พี่เค้าออกไปทำงานพิเศษได้ แต่ก็ต้องไม่กระทบกระเทือนต่อตารางการฝึก และไม่สร้างความเสียหายกับภาพพจน์ของตัวเองและบริษัทด้วยฮะ”
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง”
นี่! โอ เซฮุน!! มัวแต่พล่ามอยู่นั่นแหล่ะ! ไม่กลับหรือไงฮะ!!! ถ้าออกไปไม่ทันได้เจอรุ่นพี่ชานยอล ฉันไม่รู้ด้วยนะ!!” แบคฮยอนแหวขึ้นมาเสียงดัง และนั่นส่งผลให้คนข้างๆหน้าตื่น รีบเก็บข้าวของแทบไม่ทัน
“ไปก่อนนะครับ ครูบอมมี่” เซฮุนคว้ากระเป๋าเป้ที่ยังรูดซิปปิดไม่สนิทดีมาไว้แนบอก ก่อนจะวิ่งตัวปลิวออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน ทิ้งเพื่อนซี้คู่หูสุดสะดิ้งให้เดินตามไปหน้าหงิก บอมมี่ถึงกับอมยิ้มขำเมื่อคนที่หน้าบึ้งตึงยังมีแก่ใจผงกหัวให้เธอเป็นการล่ำลา
แต่แล้วท่อนฮุคเพลง Dancing tonight ของ Kat deluna ก็ดังขึ้น ส่งผลให้หญิงสาวโยกตัวไปตามจังหวะเพลงสองสามที ก่อนจะกดรับสาย
“ว่ายังไงคะ...เจ้านาย?”
“เรียกแบบนี้ดูห่างเหินจังเลยนะครับ คุณปาร์ค บอม แล้วที่สำคัญคนให้เงินเดือนคุณก็เป็นบริษัทด้วย...ไม่ใช่ผมสักหน่อย”
“ก็ฉันเห็นว่าคุณเป็นคนจัดการเรื่องรถประจำตำแหน่ง แถมยังจัดห้องพักของฉันไปไว้ชั้นเดียวกับห้องพักของคุณอีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ฉันคิดว่าคุณเป็นเจ้านายได้ยังไงล่ะคะ...คุณลู่หาน”
“คุณพูดแบบนี้ ผมดูกลายเป็นจอมบงการไปเลยนะครับ” คำพูดตัดพ้อแต่น้ำเสียงกลับแฝงแววหยอกล้อเอาไว้ เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนที่เธอจะถามถึงเหตุผลที่เค้าโทรหาเธอ
“อืม...แล้วที่โทรมามีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คิดถึง”
“อ่ะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมของอีกฝ่าย ทำให้ลู่หานถึงกับอมยิ้ม
“คริสให้ผมโทรมาชวนคุณไปดินเนอร์ครับ”
“ดินเนอร์? อู๋ฟานเนี่ยนะ! ชวนฉันไปดินเนอร์!!”
“เค้าคงรู้สึกผิดที่ทำไม่ดีกับคุณไว้ เลยอยากจะเลี้ยงมื้อค่ำเป็นการไถ่โทษ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก” หญิงสาวพึมพำออกมากับตัวเอง แต่เมื่อได้สติ ความเคลือบแคลงใจที่มีทำให้เธอต้องเอ่ยถามออกมา
“ทำไมเค้าไม่เอ่ยปากชวนฉันด้วยตัวเองล่ะคะ? ทำไมต้องรบกวนคุณด้วย?”
“คงไม่กล้ามั้งครับ ก็ทำกับคุณไว้ซะขนาดนั้น ส่วนเรื่องรบกวน...สำหรับผมแล้วไม่เลยสักนิด ผมเต็มใจและก็ยินดีเสมอถ้าเป็นคุณ”
ทั้งที่เป็นคำพูดหยอกเย้าตามสไตล์หนุ่มเพลย์บอยอย่างลู่หาน แต่น้ำเสียงจริงจังที่จับได้ในท้ายประโยค กลับทำให้บอมมี่รู้สึกได้ถึงความนัยบางอย่างที่ซ่อนอยู่ หญิงสาวถึงกับรีบเบี่ยงประเด็นเพราะกลัวจะได้ยินอะไรที่มากไปกว่านี้
“ที่ไหนล่ะคะ? แล้วนี่อู๋ฟาน...เค้านัดกี่โมง? พอจะมีเวลาให้ฉันสักสองชั่วโมงไหมคะ? ฉันอยากกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดก่อน”
“อืม...ถ้างั้นอย่าให้เกินทุ่มนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปรับที่คอนโด”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ...ฉันไปเองได้” บอมมี่รีบปฏิเสธออกมาทันที ที่ลู่หานเสนอตัวมารับเธอที่คอนโด
“La Ville de Pins รู้เหรอครับ...ว่าอยู่ที่ไหน?”
“เดี๋ยวเสิร์ชหาเอาใน google maps ก็ได้นี่คะ”
“กว่าคุณจะขับรถกลับถึงคอนโด กว่าจะอาบน้ำแต่งตัว กว่าจะเสิร์ชหาแผนที่ร้าน ผมว่าดินเนอร์คงเลทไปไม่น้อยกว่าชั่วโมงแน่ครับ คุณคงไม่อยากเห็นดินเนอร์ไถ่โทษ กลายเป็นสงครามย่อยๆเพราะเจ้ามือโมโหหิวหรอกนะครับ”
“เอ่อ...แต่ว่า”
“หรือว่าคุณกลัว?”
“กลัว?” บอมมี่ถึงกับงง ไม่เข้าใจที่ลู่หานต้องการจะสื่อ “กลัวอะไรคะ?”
“กลัวว่าหัวใจตัวเองจะหวั่นไหว เวลาต้องอยู่กับผมตามลำพังยังไงล่ะครับ...คุณปาร์ค บอม”
ทั้งที่รู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะยั่วเย้า แต่คำพูดท้าทายของเค้า กลับปลุกสัญชาตญาณการเอาชนะในตัวให้ตื่นขึ้น ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะตอบกลับไปอย่างท้าทายเช่นกัน
“หนึ่งทุ่มตรงที่คอนโด อย่าสายนะคะฉันไม่ชอบคนไม่ตรงเวลา อ๋อ! แล้วอีกเรื่อง ขึ้นชื่อว่าแม่มด...ยังไงก็ร้ายกาจ คนที่ควรต้องกลัวน่าจะเป็นคุณมากกว่านะคะ คุณเสี่ยว ลู่หาน!”
ทันทีที่เห็นร่างบางในชุดเดรสสั้นเกาะอกสีดำโชว์เรียวขาเพรียวสวยก้าวออกมาจากลิฟต์ ลู่หานแทบจะลืมเสียงหวานใสที่กำลังส่งเสียงออดอ้อนผ่านมาตามสายไปจนหมดสิ้น เค้าเลิกสนใจโทรศัพท์ในมือและไม่รู้ว่าตัวเองกดตัดสายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เค้ารู้เพียงแต่ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ทำเอาเค้าแทบลืมหายใจ
ลอนผมดัดอ่อนๆขับให้ใบหน้าหวานที่ถูกแต่งเติมให้มีสีสัน...สวยราวกับตุ๊กตา ความอ่อนหวานน่ารักบนใบหน้า ขัดกันกับความร้อนแรงและเย้ายวนของรูปร่างที่อยู่ในชุดเดรสสุดเซ็กซี่ กลายเป็นเสน่ห์ที่ลงตัว จนทำให้ใครต่อใครที่ได้เห็น เป็นต้องลุ่มหลงแทบถอนตัวไม่ขึ้น เหมือนกับเค้าที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“รีบไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากให้ดินเนอร์กลายเป็นสนามรบหรอกนะคะ”
ไม่รู้ว่าเพราะคนที่เดินเคียงคู่กันเข้ามาในร้านอาหารนั้น คือดาราหนุ่มไฮโซสุดฮอต อย่างเสี่ยว ลู่หาน หรือคนที่เดินอยู่ข้างๆนั้นสวยราวกับตุ๊กตาเดินได้ จึงทำให้คนทั้งร้านถึงกับมองมาเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่คริสที่มองไปยังคนทั้งคู่จนตาค้าง ลืมคนที่นั่งข้างๆไปชั่วขณะ
“คริสคะ?”
เมื่อได้ยินเสียกเรียกเค้าถึงได้สติ เค้าหันไปยิ้มให้เจสสิก้า แต่ในใจนึกโกรธตัวเองที่เผลอต้องมนต์สะกดของแม่มดร้ายในคราบตุ๊กตาหน้าสวยนั่น
“อะไรครับ...เจสสิก้า?”
“เปล่าหรอกค่ะ พอดีเจสเห็นคุณดูเหม่อๆ ไม่แน่ใจว่าคุณเบื่อที่จะคุยกับเจสหรือเปล่า?”
“ไม่เลยครับ” ใบหน้าสวยของเจสสิก้าฉายแววกังวลใจน้อยๆ ทำเอาคริสรีบพูดขึ้นมาเพื่อให้เธอสบายใจ
“อยู่กับคนสวยน่ารัก แถมจิตใจดีอย่างคุณ มันมีแต่จะทำให้ผมมีความสุข ไม่เหมือนกับใครบางคน ที่สวยแค่เปลือกแต่ข้างในร้ายกาจ น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่าปิศาจเสียอีก”
ท้ายประโยคชายหนุ่มตั้งใจเน้นย้ำเพื่อให้คนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาร่วมโต๊ะได้ยิน ลู่หานที่กำลังเลื่อนเก้าอี้ให้บอมมี่ถึงกับชะงักไป เค้ามองดูหญิงสาวที่ถูกกระทบกระเทียบอย่างนึกเป็นห่วง แต่กลับพบว่า ใบหน้าสวยนั่นส่งยิ้มหวานหยดไปให้เพื่อนรักของเค้าแทน
“สวัสดีค่ะ ฉัน ปาร์ค บอม ลี ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ...คุณ?”
“เจสสิก้าค่ะ”
หญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆคริสส่งยิ้มสดใสมาให้ บอมมี่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ารอยยิ้มนั่นไม่ได้แฝงความหมายอื่นใดซ่อนไว้ และนั่นทำให้เธอสบายใจขึ้น เมื่อดินเนอร์ในค่ำคืนนี้ คนแปลกหน้าที่ได้พบไม่ใช่ตัวปัญหาที่เธอต้องคอยรับมือ
“ตอนที่ลู่หานโทรชวนฉันมาดินเนอร์ เค้าไม่เห็นบอกเลยนะคะ ว่าคืนนี้จะมีคนสวยๆอย่างคุณ ปาร์ค บอม มาด้วย”
“อย่างนั้นเหรอคะ?” บอมมี่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะตวัดสายตาคมมองคนข้างๆที่ส่งยิ้มเจื่อนมาให้ “คุณลู่หานคงอยากจะเซอร์ไพรส์พวกเรามั้งคะ”
“แต่เจสดีใจนะคะ ที่คุณ ปาร์ค บอมมาด้วย เพราะถ้ามีแค่พวกเราสามคน คงจะกร่อยแย่เลย เพราะเจสเองก็คุยไม่ค่อยเก่ง”
“ไม่หรอกค่ะ คุณเจสสิก้าสวยน่ารักขนาดนี้ แค่ได้มองเฉยๆก็เพลินตาแล้ว จนบางครั้งพวกผู้ชายอาจจะลืมไปเลยก็ได้ว่าอยากจะคุยอะไร ใช่ไหมคะ...คริส?”
“ใช่! แต่ไม่ใช่แค่ลืมเรื่องที่จะพูดนะ การได้อยู่กับเจสมันทำให้ฉันลืมผู้หญิงทุกคนไปเลยต่างหาก”
ตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆเค้า ถึงกลับหน้าขึ้นสี อายจนต้องยกมือขึ้นตีไปเบาๆบนต้นแขนของชายหนุ่ม
“คริสอ่ะ...พูดอะไรก็ไม่รู้”
“อะไรเนี่ย! แค่ได้คุยกันไม่เท่าไหร่ นายหลงเสน่ห์เจสสิก้าแล้วเหรอคริส?” ลู่หานเอ่ยแซวออกมาอย่างอารมณ์ดี พอใจเหลือเกินที่เพื่อนรักทำได้ดีกว่าที่ตัวเองคิดไว้
ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่ม คริสเพียงแค่ยักคิ้วให้ลู่หาน ก่อนจะหันไปหาคนข้างๆพร้อมกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แต่นั่นทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเจ็บแปลบขึ้นมาที่อกด้านซ้าย บอมมี่นึกขอบคุณที่บริกรยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ ไม่อย่างนั้นภาพตรงหน้าอาจทำให้เธอไม่สามารถซ่อนความอ่อนแอที่มีเอาไว้อีกต่อไปได้
บรรยากาศของการดินเนอร์นั้นสนุกสนาน เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่บอมมี่กลับไม่ได้รู้สึกร่วมไปกับคนอื่นๆเลย เธอเอาแต่หันมองออกไปนอกหน้าต่าง จะมีบ้างที่หันกลับมาเวลาที่ลู่หานหรือเจสสิก้าเอ่ยถามหรือเรียกเธอ
“อืม...เดี๋ยวเราไปคลับกันต่อไหมครับ?” เป็นลู่หานที่เสนอขึ้นมาเมื่อดินเนอร์จบลง
“ขอตัวนะคะ พรุ่งนี้ฉันมีสอนแต่เช้าค่ะ” บอมมี่ปฏิเสธออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยเจสสิก้าที่ยิ้มแหยๆก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันเองก็มีงานเช้าเหมือนกัน”
“อืม...ถ้างั้นแยกย้ายกันกลับก็ได้ คริสเดี๋ยวนายไปส่งเจสสิก้านะ ส่วนคุณปาร์ค บอม ฉันจะไปส่งเธอเอง”
“เจสขับรถมาเองค่ะ” คำพูดของเจสสิก้าทำเอาลู่หานถึงกับคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาขุ่น
“พอดีเมื่อตอนเย็นฉันติดธุระสำคัญน่ะ เลยไปรับเจสสิก้าเค้าไม่ได้” คริสหลบตาวูบ เพราะธุระสำคัญที่ว่าคือนัดรับตุ๊กตาอัลปาก้าตัวใหม่ล่าสุดที่สั่งจองไว้นั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นคริสนายเดินไปส่งเจสสิก้าที่รถนะ คุณปาร์ค บอมครับ คุณรอผมที่หน้าร้านเลยเดี๋ยวผมเอารถไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ในเมื่อคริสไม่ต้องไปส่งเจสสิก้าแล้ว ฉันกลับกับเค้าเลยดีกว่า ถึงยังไงฉันกับคริสก็อยู่ที่เดียวกันอยู่แล้ว”
“ธ...เธอ!” คริสถึงกับหน้าขึ้นสี ถลึงตามองร่างบางที่พูดอะไรไม่คิดออกมาอย่างโกรธจัด แต่เมื่อเห็นว่าเจสสิก้ามองอยู่ เค้าจึงได้แต่ซ่อนอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้ข้างใน พร้อมกับปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ
“ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับคริสค่ะ แล้วตอนนี้ฉันพักอยู่ที่คอนโดของเค้า แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้นนะคะ ได้ห้องที่ถูกใจเมื่อไหร่ก็คงย้ายออก” บอมมี่หันไปบอกกับเจสสิก้า และนั่นเรียกรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายออกมา
“ไปกันเถอะครับ...เจสสิก้า เดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
“ไปก่อนนะคะคุณปาร์ค บอม บายนะ...ลู่หาน” เจสสิก้าเอ่ยลา ก่อนจะค่อยๆเดินเคียงคู่กันออกไปกับคริส
“คุณกลับกับผมเถอะนะ ผมไม่อยากให้คุณไปกับคริส หมอนั่นต้องเล่นงานคุณแน่ๆ” ลู่หานเอ่ยออกมาสีหน้าและท่าทางเป็นกังวลอย่างชัดเจน แต่นั่นไม่ได้ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกกลัวเลยสักนิด
“ขับรถดีๆนะคะ คุณลู่หาน” พูดจบหญิงสาวก็ก้าวฉับๆเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มที่รู้สึกหงุดหงิดใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
“ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ...คุณ ปาร์ค บอม!”
เมื่อคริสเปิดประตูเข้ามาในรถ เค้าเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้บอมมี่เป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะโวยวาย เธอเองก็ตัดสินใจที่จะเงียบเช่นกัน
แต่เมื่อรถแล่นออกมาจากร้านได้เพียงไม่นาน เสียงของคริสทำเอาเฉินที่กำลังขับรถเพลินๆอยู่ถึงกับคิ้วขมวดมุ่น
“หยุดรถ!”
เฉินหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง นึกแปลกใจที่อยู่ๆ คริสก็สั่งให้ตัวเองจอดรถ
“ลงไปจากรถฉัน!! ยัยแม่มด!!” เสียงห้วนที่เอ่ยออกมา สร้างความตกตะลึงให้กับบอมมี่จนค้างนิ่ง เฉินเองก็รู้สึกตกใจจนต้องรีบทักท้วงออกมา
“คุณคริสครับ นี่มันดึกแล้วนะครับ แถมตรงนี้มันทั้งมืดทั้งเปลี่ยว แท็กซี่สักคันก็ไม่มี แล้วคุณบอมมี่จะกลับยังไงล่ะครับ?”
“เงียบไปเลยเฉิน!! หรือนายอยากลงไปเป็นเพื่อนยัยนี่ แล้วไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกตลอดชีวิต!!” คำขู่ของเจ้านายได้ผลเสมอ เฉินถึงกลับเงียบกริบไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงนิ่งอยู่ คราวนี้คริสถึงกับตวาดออกมาเสียงดังลั่น
“บอกให้ลงไป!! ไม่ได้ยินเหรอไง!!”
บอมมี่ถึงกับหน้าชาเมื่อโดนไล่ซ้ำเป็นครั้งที่สอง หญิงสาวกำกระเป๋าคลัทช์ในมือเอาไว้แน่น ก่อนตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วก้าวออกไป
ทันทีที่ร่างบางออกไปยืนอยู่ด้านนอกแล้ว ประตูรถถูกกระชากปิดโดยคนที่อยู่ด้านใน ก่อนเสียงที่ดังขึ้น จะสร้างความลำบากใจให้เฉินมากถึงมากที่สุด
“ออกรถ!”
คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยถึงกับเม้มปากแน่น เค้าค่อยๆเหยียบลงไปบนคันเร่งและขับตรงออกไปข้างหน้า
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เฉินนายเห็นหน้ายัยนั่นไหม...ซีดเป็นไก่ต้มเลย” คริสหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ดูจะสะใจมากกับการกระทำของตัวเอง
“คุณคริสครับ ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ แถวนั้นมีแต่พวกคนจรจัด กับพวกขี้เมาทั้งนั้น”
“สมน้ำหน้า!! ให้ยัยนั่นเจอเรื่องน่ากลัวซะบ้าง จะได้รู้ว่าความทรมานจากการหวาดกลัว มันเจ็บปวดแค่ไหน!!” ดวงตาของเค้าวาววับขึ้นมาอย่างโกรธแค้น เมื่อคิดไปถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานที่ตัวเองได้รับ ในใจได้แต่คิด ว่าสำหรับยัยนั่นแล้ว...แค่นี้ยังน้อยเกินไป!
“ผู้หญิงตัวคนเดียวแถมยังใส่ชุดเซ็กซี่ขนาดนั้นอีก ผมกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับคุณบอมมี่นะครับ คุณคริส...กลับรถตอนนี้ยังทันนะครับ แต่ถ้าเลยแยกหน้าไปแล้ว ถนนมันจะวันเวย์ คราวนี้กว่าจะหาทางวนรถกลับไปรับเธอได้ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแน่ๆ”
คริสไม่ได้สนใจที่เฉินพูด เค้าปล่อยให้รถขับผ่านสี่แยกไฟแดงไป ก่อนจะแล่นเข้าสู่ถนนที่วิ่งรถได้แค่ทางเดียว
“เดี๋ยวยัยนั่นก็โทรหาลู่หานเองแหล่ะ!! นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ดีไม่ดีป่านนี้ หมอนั่นอาจกำลังรีบบึ่งรถมารับแล้วก็ได้”
“จะโทรได้ยังไงล่ะครับ มือถือของคุณบอมมี่แบตหมดพอดีตอนที่โทรตามผม แล้วนี่ก็เพิ่งจะเกิดคดีฆ่าข่มขืนขึ้นแถวๆนั้นด้วย ป่านนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย คิดแล้วก็อดห่วงคุณบอมมี่ไม่ได้จริงๆนะครับ...คุณคริส!”
“หยุด!”
“เอ่อ...แต่ว่า”
“หยุด!!”
เฉินถึงกับเม้มปากแน่น เมื่อเจอเข้ากับเสียงตวาดของคริสที่ดังขึ้นมาเป็นรอบสอง เค้าทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัดที่มี
“ฉันบอกว่าให้หยุด!”
“ผ...ผมแค่ถอนหายใจเฉยๆ ยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะครับ”
“ฉันหมายถึงให้หยุดรถ!!! เดี๋ยวนี้!!”
ไม่ทันที่ล้อรถจะหยุดสนิทดี ประตูด้านหลังกลับเปิดออกอย่างแรง ก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มจะพุ่งตัวออกมาอย่างรีบร้อน สองขาพาเค้าวิ่งย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม ที่...ที่เค้าปล่อยให้ใครคนหนึ่ง ต้องเผชิญกับความมืดมิดอยู่เพียงลำพัง
“ยัยแม่มด...อย่าเป็นอะไรไปนะ!!”
ความคิดเห็น